เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ มิ.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ชาวพุทธนะ ว่าอยากทำบุญเพื่อความสงบร่มเย็น เพื่อความสุข คนเกิดมาทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ความทุกข์ไม่ปรารถนาต้องการเจอมัน ปรารถนาอยากเจอแต่ความสุข แต่ถ้าเรามีความพอใจนะ ความสุขจะเกิดขึ้นตามอัตภาพ

ความสุขที่มันไม่เกิดขึ้นตามอัตภาพเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดัน พอมันขับดัน มันคาดมันหมายของมันไป เห็นไหม แต่ถ้าเป็นหน้าที่นะ คนเราเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน การทำงานนี่ คนมีบุญนะ อำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้ คนเราแข่งอย่างอื่นได้ แต่แข่งอำนาจวาสนากันมันแข่งได้ยาก

ถ้าคนมีอำนาจวาสนา กรรมเก่า กรรมใหม่ บุญเก่า บุญใหม่ ถ้ามีบุญเขาสะสมของเขามาดี เหมือนกับเขาทำบุญในปัจจุบันที่เราทำกันอยู่นี้ ถ้าเขาทำของเขามาดี เห็นไหม โอกาส จังหวะมันจะสมดุลของเขาตลอด แต่ถ้าของเรานะจังหวะสมดุล เขาเรียกว่าพรสวรรค์ แต่พรสวรรค์จะมีมากขนาดไหน แต่ถ้าไม่ดิ้นรน ไม่มีการกระทำ ความแสวงหาไม่มีมา พรสรรค์มันก็เป็นแค่พรสวรรค์เท่านั้นแหละ

คำว่าพรสวรรค์ แต่ก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียรนะ เราจะฉลาด เราจะโง่เง่าขนาดไหน แต่ถ้าเรามีความขยัน มีการฝึกฝนขึ้นมานี่ คนเรามันฉลาดได้ มันดีขึ้นมาได้ด้วยการฝึกการฝน

ในปัจจุบันนี้เราพยายามแข่งขันกัน โลกเขาว่านะ ต่อไปอนาคตนี่ข้าวยากหมากแพง ปีนี้มันก็ทุกข์พอสมควรแล้ว อนาคตจะมีมาอีก ตั้งแต่สมัยเราเด็กๆ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕๐ สตางค์นะ แล้วก็มา ๑ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท เดี๋ยวนี้ ๒๐-๓๐ บาท ทองคำบาทละ ๔๐๐ บาท เดี๋ยวนี้ทองคำบาทละ ๒๐,๐๐๐ กว่า นี่เขาเรียกว่าสภาวะเงินเฟ้อ

ถ้ามันเงินเฟ้อโดยธรรมชาติ สิ่งใดอุปสงค์ อุปทานของมัน ถ้ามีอุปสงค์ อุปทานของมัน มันก็เป็นไปตามกลไกตลาด แต่! แต่ถ้ามีใครมาครอบงำตลาด มาฉกฉวยผลประโยชน์ พวกเราเป็นเหยื่อหมด เห็นไหม นี่พูดถึงทางโลกที่เขาเปรียบเทียบกันได้นะ แต่ถ้าทางธรรมล่ะ? ทางธรรมถ้าเขาคุมตลาด เขาแทรกแซงการตลาดได้ เขาบงการตลาดได้ เขาจะต้องการสิ่งใดเขาก็ต้องการได้ นี้เป็นเรื่องของโลกนะ

ธรรมะ! สัจธรรมมันเป็นความจริง ถ้าเขาบงการธรรมะล่ะ? เขามาครอบงำ แล้วเขาต้องการให้เป็นไปตามความเห็นของเขาล่ะ? มันเป็นความจริงไหมล่ะ? ถ้ากลไกตลาดมันเป็นโดยความเป็นจริงนะ อุปสงค์ อุปทาน เห็นไหม ถ้าของขาดแคลน ราคามันก็สูงเป็นธรรมดา แต่ถ้าของมันมีมาก ราคามันก็ตกเป็นธรรมดา นี้เป็นธรรมดา เป็นกลไกของตลาดนะ

สัจจะความจริงในสัจธรรมก็เหมือนกัน ถ้าเราทำของเราขึ้นมา จิตใจเรามีความสุข เห็นไหม ถ้าเรามีความสุข เรามีความสุขของเรา นี่เราสร้างของเรามา ถ้ามันขาดแคลนล่ะ? มันขาดแคลนมันก็มีความทุกข์ ความขาดแคลน สิ่งนี้มันเป็นการแสวงหาของเรา

เรื่องของสมบัติทางโลก นั้นเป็นสมบัติของโลก เขาวัดกันด้วยสถิติ วัดกันด้วยจำนวน แต่ถ้าเป็นสมบัติทางธรรมนะ จิตใจเรา ถ้าเราอิ่มเต็มของเรา สิ่งใดอิ่มเต็มของเรา เห็นไหม “สุขหนอ สุขหนอ” คนสุขหนออยู่ที่ไหน? อยู่ที่โคนไม้ กษัตริย์ออกจากราชวังมาบวช บวชเสร็จแล้วประพฤติปฏิบัติ ถึงเวลามันถึงที่สุดแห่งทุกข์ไหม?

“สุขหนอ สุขหนอ” เขาวัดกันที่ไหนล่ะ? เวลาเป็นกษัตริย์ใช่ไหม เป็นกษัตริย์เราก็ต้องมีความสุขนะ เป็นผู้ปกครองต้องมีอำนาจวาสนา ต้องมีความสุข ทำไมเวลาเป็นกษัตริย์เขาบอกเขาต้องมีภาระรับผิดชอบล่ะ? เวลาบวชแล้วประพฤติปฏิบัติแล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม “สุขหนอ สุขหนอ” จนพระที่อยู่ด้วยกันเขาไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่ากษัตริย์องค์นี้ พระภัททิยะคงคิดถึงราชวัง นี่บ่นว่า “สุขหนอ สุขหนอ” จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิมนต์มานะแล้วถามว่า

“เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?”

“จริงๆ ครับ”

“แล้วทำไมเธอถึงบอกว่าสุขหนอๆ”

“ก็มันสุขจริงๆ”

“แล้วทำไมถึงสุขจริงๆ ล่ะ?”

ก็พรรณนาเลยนะ ว่าเป็นกษัตริย์มันมีความทุกข์ขนาดไหน มันยุ่งอยากขนาดไหน โอ๋ย.. มันลำบากไปหมดเลย พอปฏิบัติขึ้นมาแล้ว พอมันสิ้นสุดแห่งทุกข์นะ นี่มันหมดเลย ทุกอย่างเป็นภาระไม่มีซักอย่างเลย

นี่ถ้าความสุขอย่างนี้ เขาทำของเขาด้วยความจริง เห็นไหม มันสุขด้วยหัวใจ สุขด้วยนามธรรม ฉะนั้น สิ่งที่ว่าสมบัติทางโลก ถ้ามันมีสิ่งใดเขาเรียก “อามิส” มันต้องมีอามิสต่างๆ มันถึงตอบสนองความพอใจของเรา เราก็มีความพอใจพอสมควร ได้สิ่งใดมา สิ่งนั้นก็มีความสุขกันไป นี้สมบัติทางโลก

แต่! แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ “ปัจจัย ๔ เครื่องดำรงชีวิต” ชีวิตนี้ขาดอาหารไม่ได้ ขาดที่อยู่อาศัยไม่ได้ ขาดยารักษาโรคไม่ได้ ขาดเครื่องนุ่งไม่ได้

ฉะนั้น จะมีสุข มีทุกข์ขนาดไหน ปัจจัย ๔ มันก็ต้องเป็นปัจจัย ๔ นะ ถ้าเราคิดถึงทางโลก เห็นไหม ประชดเลย.. ถ้ามีความสุขก็ปฏิเสธสิ ปัจจัย ๔ ไม่ต้องใช้ มีความสุขเป็นสุขสิ เอาแต่เรื่องนามธรรม เอาแต่เรื่องหัวใจทั้งหมดสิ

กิเลสเวลามันคิดแซงธรรมะนะ นี่เขาว่าหมาบ้า หมาบ้าเวลามันกัดมันกัดไม่เลือก พอเวลามันขึ้นมามันกัดหัวใจเรานะ จะไม่ให้เราทำสิ่งใดเลย ถ้าบอกว่ามันเป็นนามธรรม มันเป็นความสุขแล้วก็ปฏิเสธปัจจัยไปเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสธ พระเราก็ปัจจัย ๔ บริขาร ๘ นี่ปัจจัย ๔ บาตรคือตัวแทนของอาหารเพราะบิณฑบาตมา ผ้ากาสาวพัสตร์เครื่องนุ่งห่ม ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า อยู่ในเรือนว่าง

สิ่งที่มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นเครื่องดำรงชีวิต พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสธนะ แต่เราไม่ตื่นเต้นไปกับมัน เห็นไหม นี่ภิกษุเวลาได้บิณฑบาตมา ฉันอาหารเพื่อดำรงชีวิต รักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ รักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อเวลาชำระกิเลส ก็รักษาที่ชีวิต ที่จิต ที่ภพนั้น

โลกเขากินด้วยเกียรติ กินด้วยกาม กินด้วยศักดิ์ศรี กินเพื่อดำรงชีวิต มันซับซ้อนกันมาหลายซับหลายซ้อน ถ้าหลายซับหลายซ้อน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ถือศีล ๘ ศีล ๘ ก็ไม่กินข้าวเย็นแล้ว เพราะกิน ๒ มื้อมันพอดำรงชีวิตแล้ว ถ้าพระถือธุดงควัตรก็ฉันอาหารมื้อเดียว เพราะธุดงควัตร เอโก_ธัมโม เป็นเอก เห็นไหม มีหนึ่งเดียว.. ถ้ามีหนึ่งเดียว สิ่งนี้เป็นรั้วกั้นไม่ให้จิตใจเรามันวิ่งเต้นเผ่นกระโดด คือมันดีดดิ้นจนเกินไป เราต้องมีรั้วกั้น

แล้วบ้านอยู่ไหนล่ะ? ถ้ามีรั้วกั้นแล้วนะ ศีล สมาธิ ปัญญา รั้วกั้นบ้านของเรา มีรั้วกั้นอยู่แต่หาบ้านไม่เจอ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม รั้วกั้นแล้วให้จิตใจเราเข้ามา

หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “ปลาในสุ่ม” เราเอาสุ่มครอบปลาไว้ ปลาในสุ่มมันจับง่ายขึ้น ปลานอกสุ่มนะ ปลาในแม่น้ำ ปลาในหนอง ปลาในคลอง ปลาในบึง เราต้องแสวงหามันกว้างไกล ถ้าปลาในสุ่มเรามีศีลครอบงำ เรามีรั้วแล้วเราจะหาหัวใจของเรา ถ้าหาหัวใจของเรานะ เราตั้งสติของเรา เราหาหัวใจของเรา

นี่ถ้าเราจะหาความสุข ความสุขมันอยู่ที่นี่ ความสุขมันอยู่ที่ความพอใจ เห็นไหม โลกเขาใครจะควบคุมตลาด ใครจะบงการตลาด นั้นมันเรื่องของเขา แต่ถ้าในการประพฤติปฏิบัตินะ ใครจะบงการธรรม เวลาโลกเงินเฟ้อ สิ่งที่ใครๆ ไม่ต้องการ ถ้าธรรมะมันเฟ้อธรรมะไม่เป็นความจริงนะ แต่ถ้าธรรมะนี่มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นธรรมะในขอบรั้วของเรา เป็นธรรมะในหัวใจของเรา เป็นประสบการณ์ในหัวใจของเรา เห็นไหม

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เขาปฏิบัติกันที่นี่ ความเป็นประสบการณ์ของจิตนี้ จิตนี้ถ้าประสบขึ้นมาสิ่งต่างๆ นี่ใครพูดอย่างไรก็พูดไปเถอะ โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่มีมาแต่ดั้งเดิม ติฉินนินทา สรรเสริญ มันมีแต่ไหนแต่ไรมา จะดีขนาดไหน จิตใจคนมันต่ำมันเข้าใจไม่ได้ มันก็ติฉินนินทาว่าไม่ดี แต่ถ้าคนจิตใจสูงส่งขึ้นมานะ ดีขนาดไหนเขาจะรู้ว่าดี ฉะนั้นมันอยู่ที่วุฒิภาวะของเขา

คนโง่มาก คนฉลาดมาก.. โลกนี้มีแต่คนโง่ โง่ในอะไร โง่ในตัวเอง โง่ในสัจจะความจริง ฉลาด! ฉลาดในทางโลกไง ฉลาดในการแสวงหา ฉลาดในการสะสม ฉลาดในการอยู่ในสาธารณะสังคม แต่ตัวเองปล่อยทิ้งไป ตัวเองมองข้ามไป มองข้ามตัวเองไปแล้วไปมองสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของข้างนอก แต่มองข้ามตัวเองไป

ธรรมะสอนให้กลับมามองที่ตัวเอง ปัจจัยเครื่องอาศัยไม่มีใครปฏิเสธหรอก แต่ตัวเองนี่ถามตัวเองว่า เกิดมาทำไม? เกิดมาปรารถนาสิ่งใด? เกิดมาก็มีชาติมีตระกูล มีเผ่าพันธุ์ก็ต้องรักษา รักษาด้วยคุณงามความดีนะ

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม”

คุณงามความดี นี่ว่าคนนั้นเป็นคนดีนะ คนนั้นก็ว่าบ้านนั้นเป็นคนดี บ้านนี้เป็นคนดี คุณสมบัติของศีลธรรม เห็นไหม ถ้าเป็นคนดี สิ่งที่มีคุณสมบัติในกลิ่นของศีลหอมทวนลม เราจะเอาสมบัติสิ่งใดล่ะ? ถ้าดำรงชีวิตของเราได้ เราไม่ตื่นเต้นไปกับโลกเขา สิ่งที่แสวงหามาประหยัดมัธยัสถ์ ถ้าใครรู้จักประหยัดมัธยัสถ์นะ ตระหนี่ถี่เหนียวนั้นเป็นคนที่ไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดเลย

ประหยัดมัธยัสถ์ เห็นไหม ดูสิ หลวงตาท่านบอกว่าท่านเป็นคนจน ถ้าท่านมีของท่าน ท่านเสียสละทั้งหมด ท่านเป็นคนจนท่านหาไม่ได้ แต่เวลาท่านได้สิ่งใดมา ท่านไม่เก็บเป็นของท่าน ท่านเสียสละหมด

ความประหยัดมัธยัสถ์คือตัวเราเองประหยัดมัธยัสถ์ ใช้สอยพอสมควร ที่เหลือ! ที่เหลือเป็นประโยชน์หมดเลย แต่ถ้าเราไม่ประหยัดมัธยัสถ์ นี่หาเท่าไหร่มามันก็ไม่พอหรอก สิ่งใดมันไม่พอกับหัวใจ ไม่พอกับสิ่งที่มันแสวงหา แต่ถ้าเราประหยัดมัธยัสถ์นะ มักน้อย สันโดษ นี่สิ่งนี้มันอยู่ได้แล้วแหละ ถ้าความอยู่ได้นะชีวิตจะมีความสุข

เราแสวงหาของเรา เราใช้ของเราเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วถ้าจิตใจมันมีความสงบร่มเย็นเข้ามานะมันจะรู้เห็น ถ้าเรารู้เห็นขึ้นมา เราจะเข้าใจได้ว่าสิ่งใดเป็นธรรม.. กุศล อกุศล เราตั้งใจว่าทำบุญกุศล เราประพฤติปฏิบัติกัน เวลามันเกิดกิเลส เห็นไหม กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก แล้วถ้ามันเป็นอุปกิเลสล่ะ?

อุปกิเลส ๑๖ นะ ความว่าง แสงสว่าง ความปล่อยวาง กิเลสอันละเอียดนะ แล้วบอกว่าว่างๆ ว่างๆ นี่กิเลส อุปกิเลส กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างละเอียด.. กิเลสอย่างละเอียดมันก็ขับดัน กิเลสอย่างละเอียดมันเป็นไฟสุมขอน มันเผาไหม้ใจของเรา แล้วเราก็ทำสิ่งใดไม่ได้เลย

โลก เห็นไหม เวลาเขาแทรกแซงตลาด เขาควบคุมตลาด เขาบงการได้ ธรรมะเวลามันเฟ้อ เฟ้อโดยที่ว่าสิ่งที่ให้ค่ากันด้วยปาก ด้วยสัญญาอารมณ์ ด้วยคารมคมคาย แต่ไฟสุมขอนในใจนี่ใครแก้ไขมัน แต่ถ้าเรามีสติ มีปัญญานะ ไฟสุมขอนนี่ไฟมันเกิดจากสิ่งใด? ไฟมันเผาใคร? สิ่งใดมันสุมอยู่? ถ้ามันจับของมันได้ ไฟเกิดที่ไหนดับได้ที่นั่น

ไฟเกิดที่หัวใจของเรา จะไปดับที่อื่นดับไม่ได้ โลกจะเฟ้อ ธรรมะจะเฟ้อ เป็นเรื่องของโลกเขา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ใครจะติ ใครจะเตียน เรื่องของเขา ถ้าเราทำประสบความสำเร็จของเรา มันเป็นเรื่องของเรา เห็นไหม มันเป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตัง เวลาธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง สนทนาธรรมมันออกมาจากหัวใจ ถ้าสนทนาธรรมนะมันมีแต่สัญญา มีแต่ความจำเขามา เวลาคาดเคลื่อนจากสิ่งที่จำมานี่ตอบไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเป็นความจริงนะมันหมุนโดยรอบตัวของมัน ความรู้มันหมุนโดยรอบตัวของมัน มันเข้าใจโดยตัวของมัน จะแง่มุมใดอธิบายได้หมดแหละ อธิบายได้ทั้งนั้นแหละ

อธิบายเพื่อเหตุใด อธิบายได้ว่าจิตหนึ่ง เห็นไหม จิตดวงหนึ่งแก้ไขจิตอีกดวงหนึ่ง จิตดวงหนึ่งอยู่ข้างกลางหัวอกของเรา จิตดวงหนึ่งอยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าจิตดวงนั้นยังไม่เข้าใจวงรอบของจิตดวงนั้น จะเอาความรู้ที่ไหนไปบอกจิตดวงอื่น จิตดวงไหนที่จะบอกจิตดวงอื่นได้ จิตดวงนั้นต้องเข้าใจวงรอบของจิตดวงนั้นโดยรอบ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เวลาเจ้าลัทธิต่างๆ ตรัสรู้ไม่ชอบ ไม่ชอบคือว่าอ้างว่าตรัสรู้ อ้างว่ารู้ธรรมแต่ไม่ชอบ ไม่ชอบมันก็ไม่เป็นความจริง ไม่ชอบมันคืนได้ ไม่ชอบมันตีกลับได้ ไม่ชอบมันโต้แย้งได้ แต่ถ้าโดยชอบ ไม่มีสิ่งใดที่จะโต้แย้งได้ เพราะว่าสิ่งที่ในโลกนี้นะมันมีของคู่ทั้งนั้นแหละ แต่เวลาถึงจิตหนึ่งมันไม่ใช่ของคู่ จะเอาอะไรไปโต้แย้งมัน จะเอาสิ่งใดไปโต้แย้งมัน ในเมื่อมันกำจัดภวาสวะ กำจัดภพ กำจัดสิ่งที่เป็นสถานะทั้งหมดแล้วมันเหลือสิ่งใดไว้

มารยังหาไม่เจอนะ พญามารพยายามคุ้ยหาขนาดไหนก็ไม่เจอ อันนี้ไม่ต้องพญามารไปคุ้ยหานะ พญามารมันเกิดจากจิตของเรา มันอยู่กับจิตของเรา ถิ่นกำเนิดมันอยู่บนหัวใจของเรา มันเหยียบย่ำทำลายอยู่ บอกมารหาไม่เจอ มารมันจะขับพาไปเกิดนั่นล่ะ แต่ถ้าเวลามารมันหาไม่เจอนะมันทำลายสิ้น

ถ้าทำลายสิ้น เห็นไหม นี่ใครจะแทรกแซงตลาด ควบคุมตลาด มันเรื่องของเขา แต่ในการประพฤติปฏิบัติ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกมันเรื่องของเรา เราจะต้องพิสูจน์ตรวจสอบตามความเป็นจริง จิตของเรา เราลังเลสงสัยอันนั้นทั้งหมด แต่ถ้ามันเข้ามารื้อค้น เข้ามาตีแผ่ในหัวใจ เห็นไหม เวลาธรรมะขึ้นมา มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา มันรื้อค้นของมัน อันนี้เป็นสมบัติของเรา

โลกเขาจะเป็นอย่างไรนะ โลกนี้เป็นอจินไตยมันจะมีอยู่ของมัน มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าชีวิตของเรานี่ ชีวิตหนึ่ง อายุขัยหนึ่ง เกิดตายภพชาติหนึ่ง เห็นไหม มันเวียนตายเวียนเกิด ในปัจจุบันมีสติสัมปชัญญะขนาดนี้ มีสติสัมปชัญญะรู้จักตัวตนของเรา โลกเป็นชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน เขาเป็นชาวพุทธเป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่เขาแสวงหากันตามแต่โลกๆ

เรามีสติสัมปชัญญะ แสวงหาในหัวใจของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเป็นงานหนักหนาทั้งนั้น งานไม่อยากทำ งานที่เขาทำกัน เขาได้กำไรขาดทุน มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ยิ่งโลภ ยิ่งอยากได้ ยิ่งขยันหมั่นเพียร เวลาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตใจมีแต่ความแห้งแล้ง จิตใจไม่มีสิ่งใดหล่อเลี้ยง มันมีแต่ความทุกข์ยาก เราก็ต้องตั้งสติของเรา

“ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว”

ใครทำดีทางโลก ก็ได้ประโยชน์ทางโลก ใครทำดีทางธรรม ใครทำดีการแสวงหาหัวใจของตัว แสวงหาจิตที่มันเกิดมันตายแล้วชำระอันนี้ นี้คือความดีภายใน ความดีในพุทธศาสนา ศาสนาสอนที่นี่ ศาสนาสอนตัวตนของเรา สอนหัวใจของเรา สอนสิ่งพาเกิดพาตายให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ เอวัง