เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันสำคัญของชาตินะ มันเป็นวันสำคัญของชาติเพราะว่าเราเกิดมาซีกโลกตะวันออก เห็นไหม มีศาสนาและวัฒนธรรมเป็นจุดแข็งของซีกโลกตะวันออก ซีกโลกตะวันตกของเขา เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ เชื่อในวัตถุนิยม ทีนี้ความเชื่ออย่างนั้น เวลาสงครามวัฒนธรรมเขาว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์ๆ ไอ้เราก็ไปหลงใหลในวัฒนธรรมของเขา วัฒนธรรมของเขาเพื่อความสะดวกสบายไง
เราเกิดมานะ เราเกิดมาในซีกโลกตะวันออก มันมีศาสนาและวัฒนธรรม ศาสนาของเรานะ วัฒนธรรมของเรา เห็นไหม แม้แต่ขงจื๊อเขาให้กตัญญูกตเวที คนมีความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี แต่ศาสนามันลึกซึ้งกว่านั้น ศาสนานี่กตัญญูกตเวทีกับใคร? กตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่มีพระคุณกับเรา แล้วจิตเราล่ะ? จิตที่มันเกิดอยู่นี่เราควบคุมดูแลมันไหม? เราเคยกตัญญูกับตัวเองไหม?
ถ้าคนว่ากตัญญูกับตัวเอง ทุกคนบอกรักตัวเองทั้งนั้นเลย ทำไมทุกคนเอาสิ่งที่เป็นโทษใส่กับตัวเองตลอดเวลา แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีใส่เราล่ะ? ถ้าเรากตัญญูกตเวทีนี่วัฒนธรรม แต่ตัวศาสนามันลึกซึ้งกว่านั้นไง เห็นไหม เราเกิดในประเทศอันสมควร ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก
เราเกิดในประเทศอันสมควรนะ เป็นมงคลของชีวิต
ประเทศอันสมควร เกิดมานี่ดูสิ พ่อ แม่ ลูก หลาน รักกัน ดูแลกัน แล้วถ้าลูกกตัญญูกตเวที.. นี่ความกตัญญูมันเป็นตัวอย่าง ถ้าใครทำไว้ เห็นไหม จะสอนลูกก็สอนง่าย ดูสิดูพ่อทำอย่างนั้น แม่ทำอย่างนั้น ลูกมันก็มีตัวอย่างใช่ไหม?
เห็นไหมประเพณีเดี๋ยวนี้นะ เวลาเขาเจอพระนะบอกว่า ลูกไหว้พระ ลูกไหว้พระ แต่พ่อแม่มันไม่เคยไหว้เลยนะ บอก ลูกไหว้พระ ลูกไหว้พระ แต่ถ้าพ่อแม่มันทำซะ มันไม่ต้องบอกนะ พอพ่อแม่ยก ลูกก็ยกตาม พอพ่อแม่ยก ลูกก็ยกตาม แล้วมันยกที่ไหนล่ะ?
นี่ศาสนา วัฒนธรรม.. วัฒนธรรมมันหลากหลาย ฉะนั้นวัฒนธรรมหลากหลาย เราจะศึกษาขนาดไหน จะให้เข้าใจวัฒนธรรมโดยทั้งหมดเราก็ต้องดู เราต้องศึกษาของเรา ถ้าศึกษาแล้วเราจะซึ้งน้ำใจเขานะว่าเขาทำเพราะอะไร? เขาทำเพราะเขามีความเชื่ออย่างใด? เขาทำแล้วเขามีความสุขอย่างใด? เพราะเขาทำความเชื่อของเขาแล้ว เห็นไหม เขาก็ปลดปล่อยหัวใจของเราโล่ง โถง สบาย แต่ในการกระทำของเขามันมีความจริงไหมล่ะ?
ดูสมัยพุทธกาลนะเวลาเขาไหว้ทิศนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบิณฑบาต มีนักปราชญ์เขาไหว้ทิศ รับจากพ่อแม่มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก
เราก็ไหว้เหมือนกัน แต่เราไม่ไหว้แบบนี้นะ เราไหว้ของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์อยู่บนศีรษะ พ่อแม่อยู่ข้างหน้า เพื่อนฝูงอยู่ทางซ้าย ทางขวา บ่าวไพร่อยู่ข้างล่าง เราจะไหว้ทิศของเราอย่างนี้
โอ้โฮ.. เขาซึ้งมากนะ เขาซึ้งมาก เขาก็ไหว้ทิศเหมือนกัน เช้าขึ้นมาเขาก็ไหว้ทิศๆ จนปัจจุบันนี้ในอินเดียก็ยังมีอยู่ เช้าขึ้นมาก็ต้องไหว้ทุกทิศเลย ไหว้เคารพบูชา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราก็ไหว้เหมือนกันนะ แต่เราไม่ไหว้แบบนี้ เพราะเราศึกษาวัฒนธรรมของเขา เรารู้วัฒนธรรมของเขา แล้วของเรานี่มีคุณค่ามากกว่า เราสอนเขา บอกเขา เขาก็ซึ้งได้ เขาปล่อยของเขาได้เลย วัฒนธรรมของเขา เขาศึกษาของเขาได้แค่นั้น นั้นเป็นวัฒนธรรมประเพณี
แต่ศาสนาล่ะ? ศาสนา ถ้าคำว่าศาสนานะ ต้องบอกหรือต้องชี้นำถึงชีวิตเราได้จบสิ้นกระบวนการ จิตนี้มาจากไหน? เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาได้อย่างไร? เกิดมานั่งอยู่นี่อะไรพามา แล้วนั่งทุกข์ร้อนอยู่นี่ทุกข์ร้อนทำไม? แล้วเวลาตายไปแล้วไปไหน?
นี่ศาสนาถึงจะแจกแจงเรื่องของชีวิตเราได้ทั้งหมด มันถึงจะเป็นศาสนา แต่ถ้าเราไม่เข้าใจ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม บอกถึงคนเราเกิดมานี่เพราะกรรม กรรมของผู้มีการกระทำ แล้วกรรมมันตั้งอยู่บนอะไรล่ะ? กรรมก็คือการกระทำ กิริยา กิริยามันตั้งอยู่บนอะไรล่ะ? ถ้ามันไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีเจ้าของมัน แล้วเจ้าของมัน มันจะรับสิ่งนั้นมาได้อย่างไรล่ะ?
ดูสิทุกคนมีจิตเหมือนกัน แต่ทำไมเกิดไม่เท่ากัน เกิดสูง เกิดต่ำ เกิดมาแล้วยังลุ่มๆ ดอนๆ แตกต่างกัน เห็นไหม กิริยาที่กระทำนั้นมันซับลงอยู่ที่จิตนั้น กิริยาที่กระทำ ทำดีทำชั่วจิตนั้นรับหมด เพราะจิตมันทำแล้วมันรับลงที่จิตนั้น พอจิตนั้นดูสิมันเป็นจริตนิสัยของมัน พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่งของมันมา นี่มันถึงให้ผลไง
นี่ไงเกิดเพราะกรรม กรรมทำให้เราเกิด ดูสิเวลาทำคุณงามความดี เห็นไหม กรรมละเอียดก็เกิดบนพรหม เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดในนรกอเวจี.. นี่ภวาสวะ ภพก็เหมือนกันไง ภพอันเดียวกันไง จิตอันเดียวกันไง บอกว่าจิตนี้นิพพานมีอยู่แล้ว นิพพานมีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วมันก็ไม่เกิดน่ะสิ แต่มันมีจิตอยู่แล้ว!
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เห็นไหม มันมีเวรมีกรรมของมัน มันถึงพาเกิดพาตายอยู่นี่ไง แล้วนิพพานถ้ามันมีอยู่มีอยู่อย่างไรล่ะ? นิพพานมันจะมีอยู่ต่อเมื่อศาสนาและวัฒนธรรม
วัฒนธรรมประเพณี เห็นไหม เราทำของเรา เราเชื่อของเรา ทีนี้เราเชื่อของเรา แล้วความเชื่อเป็นความจริงไหมล่ะ? ความเชื่อเป็นความจริงหรือเปล่า? แต่พอเป็นความจริง วัฒนธรรม ประเพณีเราก็ทำของเรา แต่เวลาพัฒนาขึ้นไปแล้วมันไปเห็นจริงเข้านะ เอ๊อะ! เอ๊อะ! เอ๊อะ!
เอ๊อะ! เอ๊อะ! เอ๊อะ! ทำไมถึงเอ๊อะล่ะ? เห็นไหม มันเข้าไปสู่ภวาสวะ ถึงภพ ถึงตัวมันเองไง นี่ของหาย ทุกคนนะโพกผ้าขาวม้าไว้บนศีรษะ แล้วก็หาผ้าขาวม้านะ เดินหา ค้นหา หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอนะ ผ้าขาวม้าหาไม่เจอหรอก แต่มันอยู่บนหัวนั่นล่ะ หาไม่เจอ
จิตก็เหมือนกัน หาไปเถอะ หาให้มันเจอ นี่นิพพานอยู่ไหน? นิพพานอยู่ไหน? วิ่งหากัน ตะครุบเงากัน ไม่มีเจอ ไม่มีเจอ.. ทำความสงบของใจเข้ามา นี่ผ้าขาวม้าอยู่บนหัวนะ ความรู้สึกเราทำไมหัวมันหนักๆ ล่ะ? เอ๊ะ.. ทำไมหัวมันหนักๆ ล่ะ? อ๋อ.. มันมีของอยู่บนหัว พอเอามือจับ อ๋อ! อ๋อ!
นี่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้าไป พอจิตมันสงบ ภวาสวะ เห็นไหม นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตมีอยู่ทุกคน ทุกคนถึงมีสิทธิ มีเสรีภาพเท่ากัน ความรู้สึกอันนี้มีค่ามาก ชีวิตนี้มีค่ามาก เราเกิดในประเทศอันสมควรนะ ประเทศอันสมควรหมายถึงว่าวัฒนธรรมประเพณีดี เกิดมาแล้วนี่ เพราะวัฒนธรรมนี่นะ กฎหมาย เห็นไหม ทำผิดทางกฎหมาย กฎหมายจับ จับแล้วก็ต้องไต่สวนนะ ผิดตามกฎหมายข้อไหนก็ลงโทษตามข้อนั้น
วัฒนธรรมประเพณี เห็นไหม เราทำผิด เขาไม่ทำกันเราไปทำ โอ้โฮ.. เขามองนะ เดินไม่เป็นเลย เดินไม่เป็น วัฒนธรรมประเพณีมันบอกเลยทำผิดอย่างไร ทำถูกอย่างไร ถ้าเราทำไปนี่ผิดถูกอย่างไร? ฉะนั้นวัฒนธรรมประเพณีหล่อหลอมเราเข้ามา ถ้าหล่อหลอมเราเข้ามา นี่เราทำบุญกุศลกัน ทาน ศีล ภาวนา เราจะได้
ทุกคนบอกเลย อู๋ย.. เราเกิดมาทุกข์เรายาก เราไม่มีอะไรเลย เราทำบุญกุศลนะ นั่งเฉยๆ ลมหายใจเข้าพุท ลมหายใจออกโธ นั่นแหละมีบุญที่สุด ทำบุญมากน้อยขนาดไหน ถ้าถึงที่สุดพ้นจากทุกข์จะต้องเกิดจากการปฏิบัติเท่านั้นแหละ การกระทำถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ต้องมีการภาวนา แล้วการภาวนามันลงทุนลงแรงที่ไหน? ภาวนาซื้อได้ไหม? เอาเงินไปซื้อมรรค ผล ที่ไหน? สมาธิ ซื้อสมาธิให้ดูหน่อย แล้วปัญญา เห็นไหม ปัญญาดีๆ ขึ้นมานี่ซื้อมันมา
มันไม่มีหรอก! ถ้ามันไม่ฝึกไม่ฝนขึ้นมาไม่มีหรอก เห็นไหม ทุกคนศึกษาศาสนาแล้วบอกว่ารู้หมดๆๆ รู้แล้วได้อะไร? รู้แล้วได้อะไรล่ะ? รู้แล้วก็ทุกข์ไง รู้แล้วเดี๋ยวก็งงไง นี่ศึกษาๆ ขนาดไหนมันก็ศึกษา มันไม่ปฏิบัติ มันไม่ฝึกหัด มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ พูดกันปากเปียกปากแฉะ นิพพานพูดกันไปปากเปียกปากแฉะ
นิพพานคืออะไร?
นิพพานคือว่างๆ
ว่างๆ อวกาศ จักรวาลนี่มันเป็นนิพพานหมดแหละ สุญญากาศมันก็นิพพานน่ะสิ นี่มันว่างๆ ว่างอย่างไรล่ะ? มันว่างอย่างไร? บอกมาสิมันว่างอย่างไร?
นี่ไงมันอยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราต้องฝึกหัด นี่ศาสนา วัฒนธรรม มันไม่มีอะไรเสียหายหรอก ทุกอย่างนะรู้จักใช้ รู้จักทำประโยชน์ มันได้ประโยชน์หมดนะ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้มัน เราก็ไปติไปเตียนมัน นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด มันจะผิดได้อย่างไรล่ะ? มันจะผิดได้อย่างไรในเมื่อเราเกิดมาในวัฒนธรรมอย่างนี้ เราเกิดมาด้วยบุญกุศล เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เห็นไหม พ่อแม่เราก็เชื่ออย่างนี้มา แล้วเราก็เชื่ออย่างนี้ นี่วัฒนธรรมประเพณี
แต่วัฒนธรรมประเพณีเราทำแล้ว เราศึกษาแล้วเราเพิ่มขึ้นมากไหม? ถ้ามันมากขึ้นมา เห็นไหม นี่ศีล สมาธิ ปัญญา.. เวลาเราจะภาวนา เราบอกว่าเราทุกข์ เรายาก เราลำบากลำบน นี่ถ้ามีปัญญานะ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีปัญญาแล้วมันแก้ไขทุกๆ อย่างได้นะ
ดูสิวัฒนธรรมประเพณีเขาเถียงกัน เขาขัดแย้งกัน เราไปดูเราก็ขำ เราก็ขำเขาได้เนาะ ดูขำๆ มันก็เป็นเรื่องขำนะ ดูไม่ขำมันหน้าแดงคร่ำเครียดนะ มันเอาปืนจะยิงกัน จะฆ่ากันอยู่นั่นล่ะ เพราะความเห็นต่าง แต่ถ้าเราไปดูขำๆ นะ แล้วเรามาคุยกัน ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมมันเป็นอย่างนั้น นี่มีประโยชน์สิ่งใด ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง เรามีปัญญา ถ้าคนมีปัญญาถึงจะแยกแยะ ชี้แจงให้เขาเข้าใจได้
เราไม่มีปัญญา บอกว่า ไม่ดีๆๆ
ไม่ดีอย่างไรล่ะ?
ก็มันไม่ดี
แล้วไม่ดีอย่างไรล่ะ?
ก็มันไม่ดี
แล้วไม่ดีอย่างไรล่ะ? ไม่ดีอย่างไร?
แต่ถ้าคนมีปัญญานะ มันดี มันดีได้เฉพาะของมัน แต่ความดีที่ดีกว่านี้ ดีที่เหนือกว่า ดีที่หลุดพ้นได้ ดีที่เป็นอิสระมันยังมีอีกระดับหนึ่ง เห็นไหม ความดีอย่างนี้นะ เป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นคนดูแลพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย นี่ดีทั้งนั้นแหละ ดีทั้งนั้นแหละ แล้วตัวเองล่ะ? ตัวเองล่ะ?
ถ้าตัวเองเราก็ดูแลตัวเราด้วย ถ้าจิตใจมันพัฒนา จิตใจเราดีขึ้นมา เห็นไหม อภิชาตบุตรนะ บุตรที่เหนือพ่อ เหนือแม่ บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ พ่อแม่คิดได้แค่นี้ บุตรนี่มันคิดได้กว้างขวางกว่า คิดได้ลึกซึ้งกว่า คิดได้ดีกว่า นี่อภิชาตบุตร ถ้าอภิชาตบุตรเราจะแก้แม่เราอย่างไร? เห็นไหม หลวงตาท่านสอนนะ
พ่อแม่ของเรา จะดี จะชั่ว เราก็อย่าโต้แย้งอย่าเถียง เพราะถึงเวลาแล้วนี่ความไม่ดีก็ตกกับเราหมดแหละ
เราอย่าโต้อย่าเถียง แต่ถ้าเรามีปัญญา เราจะแก้ไขท่านอย่างไรล่ะ? แม่ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ? สิ่งนี้ไม่ดีแม่ทำไมทำล่ะ? แม่ทำไมสอนหนูไม่ให้ทำ แล้วแม่ทำทำไมล่ะ? เห็นไหม ถ้ามันมีปัญญานะ เราค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ไข ค่อยๆ ทำไป เพราะ! เพราะมันเป็นสิ่งที่แก้ได้ยากที่สุด แก้ยากที่สุดเพราะสิ่งใด?
เพราะพ่อแม่นี่ โดยธรรมชาติพ่อแม่ก็สิทธิ เห็นไหม เราเกิดจากท่าน แล้วนี่คิดดูสิ เวลาพูดอะไรไปนะ อ้าว.. ก็เลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย รู้หมดแหละ รู้หมดทุกอย่าง แต่มันต้องมีอุบาย มีวิธีการ มันต้องมีอุบายของมัน ถ้าคนมีปัญญานะ มันมีปัญญาแล้วมันแก้ไข มันมีการกระทำได้ ถ้าคนไม่มีปัญญานะมันซื่อบื้อ บอกว่า ก็มันดี ก็มันดี
แล้วมันดีอย่างไรบอกมาสิ บอกมาว่ามันดีอย่างไร?
ก็มันดี
แล้วมันดีอย่างไร นี่บอกไม่ได้ ความดีมันมีหยาบมีละเอียดนะ ความดีในโลกนี้ก็อย่างหนึ่ง ความดีของจิต เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส
เราจะล้างภพล้างชาติกันเลยนะ เราจะล้างหัวใจกันเลยนะ เราจะล้างสิ่งที่มันข้ามภพข้ามชาตินะ เขาเลี้ยงกันชาตินี้ใช่ไหม? เวลาพ่อแม่ตายก็เคาะโลง โป๊กๆๆ กินข้าวๆๆ แต่ถ้าเรามีคุณธรรมนะ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่ใครส่งเสริมมา ใครทำมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาว่าการเอาแม่บนสวรรค์ เห็นไหม นี่เทศนาว่าการเอาหมด แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชนะ เขาว่าเห็นแก่ตัวๆ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญาขึ้นมาแล้วทั้งตระกูลเป็นพระอรหันต์หมดเลย ดึงมาเป็นพระอรหันต์หมดเลย
คำว่าพระอรหันต์นะมันก็เป็นความปรารถนาของเราใช่ไหม? มันเป็นสิ่งที่เราปรารถนา เราอยากจะมีความสุขที่ยั่งยืน ความสุขในโลกนี้เป็นความสุขแบบไตรลักษณ์ นี่เป็นวิบาก เป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของคุณงามความดี บุญกุศลส่งเรามาเราก็มีความสุขแช่มชื่นกันไป แต่เวลาโดยสัจธรรมของมัน เห็นไหม นี่ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ จะมีความร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหน ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจต้องเดินทาง ทุกดวงใจต้องตาย ทุกดวงใจต้องไปข้างหน้า จะมีความสุขขนาดไหนมันก็ว้าเหว่อยู่กลางหัวใจนี่แหละ
แต่ถ้ามันสร้างบุญกุศลขึ้นมา เห็นไหม หัวใจมีหลักมีเกณฑ์ ปัจจุบันนี้ก็มีสุข เราอยู่ด้วยความสุขนะ เราเกิดมามีชีวิตนะ ชีวิตเรามีค่าใช่ไหม เราก็ต้องอยู่ของเราด้วยความร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม? แล้วถ้ามันจะหมดชีวิตนี้ไปนะ จิตใจมันไปต่อไป เห็นไหม มันจะไปด้วยการมีหลักมีเกณฑ์ ไม่ใช่ว้าเหว่ เร่ร่อน ไม่มีหลักมีเกณฑ์ไปข้างหน้า
นี่ถ้าเราทำของเราอย่างนี้ เราเกิดในประเทศอันสมควร มีศาสนาและวัฒนธรรมเป็นหลักชัย แล้ววันสำคัญก็เกิดจากวัฒนธรรมนี่แหละ เกิดจากความเชื่อ เกิดจากศีลธรรม เกิดจากต่างๆ มันก็เป็นวันสำคัญ สำคัญเพราะว่าเราเคารพ เรากตัญญูกับผู้นำ เรากตัญญูกับผู้ดีในสังคม เรากตัญญูแล้วก็ย้อนกลับมา นี่วันแม่แห่งชาติ ก็พ่อก็แม่ในบ้านนั่นแหละ ก็ดูก็แล แล้วเราทำเพื่อประโยชน์กับเรา
นี่วัฒนธรรมประเพณี แล้วตัวศาสนานะจะชี้เข้ามาในใจของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรานะ นี้เป็นหลักสัจจะ นี้เป็นความจริง ใครพิสูจน์ได้คนนั้นจะรู้เอง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ฟังเทศน์ฟังธรรมขึ้นมา ก็เหมือนกับดูหนัง ดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง เอวัง