ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ก่อนจะสงบ

๒๑ ส.ค. ๒๕๕๔

 

ก่อนจะสงบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันข้อ ๕๘๑. เรื่อง “อาการที่เกิด” เขาถามนะ..

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อครับ หลวงพ่อช่วยตอบปัญหาให้ผมด้วย คือเมื่อก่อนผมมีปัญหามีอยู่ว่า ผมได้นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการต่างๆ พอผมนั่งไปสักระยะหนึ่งก็จะเกิดอาการหาวอยู่ตลอด ขนาดบริกรรมพุทโธอยู่ก็ยังหาว หาวจนน้ำตาไหล แต่ผมไม่ได้ง่วงนอนนะครับ ผมเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร? หลังจากอาการหาวได้ระยะหนึ่งผ่านไป อาการต่อมาคืออาการเรอ จะเรอตลอดไป ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร? ขอความเมตตาหลวงพ่อตอบปัญหาด้วยครับ

หลวงพ่อ : กรณีของการปฏิบัติมันมีอยู่อันหนึ่ง อันหนึ่งคือว่าเวรกรรมของคนมันมีนะ ดูสิเวลาคนจะบวชพระเขาบอกให้ระวังมากเลย ถ้าใครจะบวชพระ ถ้าไม่ดูแลตัวเองมันจะเกิดอุบัติเหตุ มันจะเกิดอุบัติเหตุ มันจะเกิดอะไรให้เลือดตกยางออก เขาว่าไม่สมควรที่จะบวช เห็นไหม

เวลาจะบวชพระ แต่เวลาคนไม่บวชพระมันก็อยู่ทั่วไปปกติ เวลาคนจะบวชพระเขาต้องระวังนะ ยิ่งอย่างสังคมไทยเขาบอกว่าอะไรนะ เบญจเพสๆ ให้ต้องระวังนะปีนี้เบญจเพสนะ นี่ให้ต้องระวัง อันนี้เพราะว่าเป็นประเพณี แต่เรื่องของกรรม เห็นไหม เรื่องของกรรม นี้เราพูดเรื่องของกรรมก่อน ถ้าเป็นเรื่องของกรรมนะจะทำอย่างไรก็เป็น

เพราะเราเคยเห็นพระองค์หนึ่ง อยากสวดปาติโมกข์มาก พอหยิบหนังสือปาติโมกข์เริ่มท่องปั๊บ ปาก ๒ ข้างจะเป็นปากนกกระจอก เจ็บมาก พอวางหนังสือปาติโมกข์นะเดี๋ยวมันก็จะหาย พอหยิบหนังสือปาติโมกข์ท่องๆ นี่นะปากจะเป็นปากนกกระจอก จนสุดท้ายแล้วพระองค์นั้นจะพยายาม เขาพยายาม เขาจะทำความดี เขาจะพยายามของเขาอยู่ สุดท้ายนะเขาพยายามหลายรอบแล้วมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นซ้ำรอยเดิมนี่แหละ จนวางหนังสือปาติโมกข์ไว้นะ

คนใจดีอยู่ แล้วนั่งน้ำตาไหล คืออยากทำแต่ทำไม่ได้ พอทำแล้วมันจะมีเหตุการณ์อย่างนี้ เหตุการณ์พอเริ่มท่องปาติโมกข์ขึ้นมา ปาก ๒ ข้างจะเป็นปากนกกระจอก มันจะเน่า พอวางหนังสือปาติโมกข์ปั๊บรักษาก็หาย ถ้าไม่วางรักษาไม่หายนะ พอรักษาหายแล้วก็จะมาท่องอีกก็เป็นอีก เป็นอีก จนสุดท้ายก็สรุปว่าเป็นกรรม เพราะเขาก็เป็นพระนี่แหละใฝ่ดีมากเลย

ฉะนั้น ถ้าเป็นกรรมนี่นะ มันจะมีอะไรที่ทำแล้วนี่มันจะมีอุปสรรค มีความขัดข้องไป แต่กรรมมันก็ต้องแก้ไขกันไปนั่นล่ะ ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้เราก็ทำอย่างอื่น ทำอย่างอื่น นี่พูดถึงเรื่องกรรมก่อนนะ ถ้าเรื่องกรรม เห็นไหม นี่ประเพณีของเรา จะบวชพระ จะอะไรเขาให้ระวัง ให้ระวัง แล้วคนถ้ามันมีกรรมอย่างนั้นมา คือทำซ้ำอย่างนั้นปั๊บ เหมือนเรานี่ทำอย่างนั้นปั๊บมันจะขัดข้องทันที ขัดข้องทันที เราเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น

ฉะนั้น เพียงแต่ทำอย่างอื่นนะ แต่นี้มันเป็นการภาวนา การภาวนาก็ต้องทำใจให้สงบ แล้วพอพุทโธขึ้นมาแล้วมันจะเกิดอาการหาวน้ำตาไหล มีอาการเรอ แล้วทำแล้วทำเล่าเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงลองทำวิธีการอื่น ทำอย่างอื่นบ้าง ทำอย่างอื่น เห็นไหม นี่ลองตั้งสติให้ดี พอตั้งสติให้ดี พอถ้ามันหาวใช่ไหมเราก็ลุกเดิน เดินจนแบบว่ามันไม่ง่วงนอน หรือมันไม่มีอาการอย่างนั้นแล้วเราค่อยภาวนา

แต่นี้พอทำไปแล้วอาการต่อเนื่อง เห็นไหม อาการเรอ พอหาวเสร็จแล้วนะมันก็จะมีอาการเรอ แม้แต่ลุกแล้วมันก็ยังมีอาการต่อไป ถ้ามีอาการต่อไปมันก็เหมือนกับเมื่อกี้ที่ว่า เวลาเราพิจารณาเห็นร่างกายแล้ว เวลาไปฝัน นี่จิตของคนมันต่อเนื่องนะ อย่างเช่นพอเวลาจิตเราสงบแล้วนี่ พอสงบ เห็นไหม ๓-๔ วันนั้นมันต่อเนื่องออกมาข้างนอก

นี่พอจิตเราสงบนะ นั่งนี่จิตสงบมากเลย พอออกจากจิตสงบมาปกติ จิตมันก็เบา มันมีต่อเนื่องมา จิตมันเบา มีความสบายไปอีก ๒-๓ วันเลย ฉะนั้น พอจิตเราเคยสงบปั๊บ เราเห็นปั๊บเราไปนอนมันต่อเนื่องมาได้ เพราะอะไร? เพราะจิตดวงเก่าใช่ไหม? จิตเรานี่ สมมุติวันนี้ทุกข์ยากมากเลย ฟุ้งซ่านมากเลย พรุ่งนี้เช้ามันก็ยังตกค้างไปนะ ตกค้างไปพรุ่งนี้ อืม.. ก็ยังเบลอๆ อยู่นะ เพราะเมื่อวานมันทุกข์ยากมาก แล้วเวลามันหาวนี่อาการต่อเนื่อง อาการที่มันตกค้างในหัวใจ ถ้ามันตกค้างในหัวใจมันมีของมัน

ทีนี้พอเวลาไปนั่งมันหาว มันน้ำตาไหลต่างๆ เห็นไหม นี่ผมไม่ง่วงนะ ถ้าไม่ง่วงเราแก้ไป นี่พอเวลาออกจากภาวนาก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ขออโหสิกรรมต่อกัน การขออโหสิกรรมต่อกันนี่ดีที่สุดเลย คือขออภัยต่อกัน เราขออภัยต่อกัน ทำสิ่งใดผิดพลาดไปก็ขออภัย เพราะตอนที่ทำนี่ ๑. ขาดสติ ๒. ไม่เข้าใจ ยังไม่เข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผล

แต่ในปัจจุบันนี้ยอมรับแล้ว เพราะว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในการกระทำสิ่งใดมันต้องมีผลทั้งนั้น ฉะนั้น เราจะไม่ทำสิ่งใดให้กระทบกระเทือนใคร สิ่งที่กระทบกระเทือนมาแล้วผลมันมีมา เห็นไหม ฉะนั้น นี่พูดถึงเรื่องกรรมเก่าก่อน ถ้ามีกรรมนะจะทำงานต่อไป..

กรรมนี่นะพอทำบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้ามันก็เหมือนการที่เราฝึกหัด เห็นไหม เรานั่งนะ ท่านั่งนี่ใครนั่งท่าไหนก็แล้วแต่มันก็จะเป็นนิสัยอย่างนั้นไป แล้วมันจะให้ผลกับร่างกาย ให้ผลต่างๆ จิตใจถ้ามันกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็เป็นจริต เป็นนิสัย

มันเป็นกรรม แล้วเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นนิสัยปั๊บเป็นสันดาน เป็นสันดานไปเลยนะ ทำจนเคยไปเลย เคยไปเลยแล้วแบบว่าทำจนไม่เห็นผิด เห็นถูก มันเป็นความเคยชิน ฉะนั้นย้อนกลับหมด พอย้อนกลับมา พอความเคยชินเป็นอย่างนั้นเราจะดึงใจเรากลับมาเพื่อเข้าสู่สัจธรรม

คำว่าสัจธรรมนี่เป็นอริยสัจนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเป็นสัจจะ แต่เวลามันกลั่นออกมา จิตเรานี่กลั่นออกมาจากอริยสัจ คือกระบวนการของอริยสัจ คือกระบวนการการกระทำของมัน นี่เขาเรียกมรรคญาณ พอพ้นจากมรรคญาณมันถึงเป็นธรรมไง พ้นจากกระบวนการของมัน นี้เราทำกระบวนการกันอยู่ นี่สภาวธรรมๆ คือกระบวนการหนึ่ง

เขาบอกสภาวธรรมๆ เป็นกระบวนการหนึ่ง อย่างเช่นสติก็เป็นสภาวะหนึ่ง สมาธิก็เป็นสภาวะหนึ่ง ปัญญาก็เป็นสภาวะหนึ่ง สภาวะอย่างนี้เราฝึกฝนของเรา ให้มีความชำนาญของเรา เราฝึกของเรา เราทำของเรา ฉะนั้น พอจิตนี่ กระบวนการของมันกลั่นออกมาจากอริยสัจ เห็นไหม พอจิตมันพ้นออกมาจากอริยสัจ คือว่ามันได้พักใช้ปัญญาใคร่ครวญแล้ว ถอดถอนแล้ว รื้อค้นแล้ว แล้วจิตมันหลุดพ้นออกมาแล้วนี่ มันพ้นออกมาจากอริยสัจ เป็นธรรมไม่ใช่สภาวะ เป็นความจริง อยู่สภาวะแบบนั้นเลย

ฉะนั้น เราเข้าใจว่าในเมื่อจิตมันต้องเป็นอย่างนั้น จิตมันต้องมีการภาวนาไปอย่างนั้น เราถึงเริ่มต้น เริ่มทำความสงบของใจกัน พอเริ่มทำความสงบของใจกัน เห็นไหม มันเกิดอาการหาว เกิดน้ำตาไหล คำว่าน้ำตาไหลมันมีหลายเรื่อง เช่นน้ำตาไหลเพราะว่าสังเวช สังเวชในชีวิต สังเวชในความทุกข์ สังเวชในการกระทำ นี่สังเวชมันมี น้ำตาไหลมันเป็นทุกข์ก็ได้ เป็นความลำบากลำบนก็ได้ เป็นสังเวช เป็นปีติก็ได้

น้ำตาเป็นกลางๆ ไง น้ำตาไหลนี่เป็นกลางๆ แล้วแต่ว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุข เป็นสุข เห็นไหม คนพลัดพรากจากกัน ไม่เคยเห็นกันเป็นสิบๆ ปี เจอหน้ากัน กอดกันร้องไห้โฮๆ โอ้โฮ.. มีความสุข ปลื้มปีติมากเลย น้ำตาไหลพรากๆ เห็นไหม ฉะนั้น คำว่าน้ำตาไหลนี่เป็นกลางๆ เพียงแต่ว่าจิตเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถ้ามันสังเวชมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น น้ำตาไหลมันเป็นอาการของกาย

ฉะนั้น ง่วงเหงาหาวนอน มันมีอาการต่างๆ เราจะบอกว่า ถ้าเป็นเรื่องของกรรมเราก็ต้องแก้ไข เราต้องพยายามอุทิศส่วนกุศล แล้วทำคุณงามความดีของเรา แล้วเริ่มหัดภาวนาใหม่.. เริ่มภาวนาใหม่ เห็นไหม นี่การภาวนา หน้าที่การงานของเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา หน้าที่การงานนะ เพราะคนเกิดมาต้องมีอาชีพเพื่อดำรงชีวิต ชีวิตนี้เราทำหน้าที่การงานมาก็เพื่อตอบสนองชีวิตเรา แล้วชีวิตเรานี่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์มีการคัดเลือกดีและชั่ว มนุษย์มีการกลั่นกรอง มีการคัดเลือกได้

ความดีของโลกเป็นความดี เป็นประวัติ เห็นไหม เป็นประวัติ เป็นสถิติว่าคนนั้นดีหรือชั่ว แต่จิตใจ สถิติที่กรรมมันซับซ้อนมาเป็นพันธุกรรมของมันในใจ มันเป็นความรู้สึกของเราลึกๆ ลึกๆ ฉะนั้น ธรรมะจะมาแก้ตรงนี้ แก้ความลึกๆ ลึกๆ ในใจ ถ้าลึกๆ นะ ความสงสัย นิวรณธรรมที่อยู่ตกผลึกในก้นบึ้งของใจ ถ้าได้ทำการชำระล้างแล้วนี่ธรรมะสอนที่นี่ ธรรมะสอนที่นี่ สอนให้เป็นการกระทำของเรา ในใจของเรา ต้องทำความสงบของใจ เหมือนชักความรู้สึกต่างๆ กลับมาที่ตัวเราก่อน แล้วตัวเรามันเกิดปัญญาญาณ เห็นไหม มันจะเข้ามาจากภายใน

ทีนี้เราจะเกิดปัญญาญาณ เราจะเริ่มความสงบของเรา มันก็เกิดอุปสรรค เห็นไหม พอจะเริ่มทำความสงบปั๊บนี่หญ้าปากคอกไง มีอาการหาว บางคนนะ บางคนมีอาการเหงื่อไหลไคลย้อย บางคนมีอาการตัวโคลง บางคนนั่งไปแล้วร้อนนะ.. เดี๋ยวจะมีปัญหาข้างหน้า ปัญหาเหมือนกันเลย มี ๒ ปัญหา อีกปัญหาหนึ่งว่าเป็นอย่างนี้แหละคล้ายๆ กัน

ฉะนั้น สิ่งนี้ถ้ามันมีอุปสรรคอย่างนี้ปั๊บ ถ้าคนที่ฉลาดนะ อย่างเช่นหลวงปู่มั่นท่านจะฝึกนะ เวลาใครจะมาบวชเป็นพระให้เป็นปะขาวก่อน ให้ฝึกหัดตัวเองก่อน ให้หัดตัดผ้า ให้หัดทำข้อวัตร บุญกุศลมันมาทอนออกไป สิ่งที่มันหมักหมมในใจมันเริ่มกระจายออก กระจายออก แล้วพอกระจายออก พอมันทำสิ่งใดมันก็มีความเจาะจง

นี้เราเปรียบเทียบให้เห็นถึงชีวิตของเราไง ถ้าชีวิตของเรานี่เราจะภาวนา เห็นไหม ในทางโลกศีล ๕ เราก็มีศีลของเรา ผิดถูกเราจะแก้ไขของเรา ถ้าเราแก้ไขของเราแล้วนี่ เราว่ามีศีล เราทำสมาธิ ทำความสงบของใจแล้วเราก็ดูเอาไง มันหาวนี่หาวเพราะอะไร?

ถ้ามันหาวเพราะว่าร่างกายมันเมื่อยล้ามา เครียดมา ทำการงานมา นั้นมันก็มีส่วน แล้วถ้าเกิดร่างกายนี่มันได้ใช้อย่างไรมา เพราะมันตึงเครียดมาจากการทำงาน มันตึงเครียดมาจากหน้าที่ความรับผิดชอบ ถ้าตึงเครียดมานี่เราก็ตั้งสติดีๆ ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย ผ่อนคลาย เราผ่อนคลายแล้วไม่ใช่ผ่อนคลายทิ้งนะ ผ่อนคลายนี่มีสติ เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิ หรือกำหนดสิ่งใดให้จิตมันเกาะไว้

คำว่าผ่อนคลาย ถ้าเราไปบริหารจัดการด้วยปัญญา เห็นไหม รับผิดชอบ พอมาพุทโธ พุทโธมันผ่อนคลายทั้งหมดแล้วเกาะไว้อันหนึ่ง เราบอกว่ามันเครียดมาแล้ว มันคิดมาแล้ว มันรับผิดชอบมาแล้ว นี่เครียดไปหมดเลย แล้วจะมาพุทโธอีกมันยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่เลย.. เพราะเราไปเจาะจงบีบบังคับมันก็เลยเครียด แต่ความรู้สึกเรามันเป็นสัจจะ มันเป็นพลังงาน ถ้ามีสติเราเอาพลังงานมาเกาะพุทโธไว้จะเครียดตรงไหน?

เหมือนเรานี่นะ เราเดินไปอ่อนเพลียมากเลย นี่น้ำท่วม เห็นไหม เขาใช้เชือกผูกแล้วให้สาวเชือกนั้นไป นี่ก็เหมือนกัน จิตเราก็เกาะพุทโธไว้ เบาๆ รักษาตัวเราไว้นะ แล้วเราก็สาวตัวเรากับเชือกนั้นไป มันจะไปเครียดตรงไหน? มันจะเครียดทันทีเลยบอกว่าต้องได้ อู๋ย.. ต้องเกาะไว้ ต้องตั้งสติไว้ นี่เครียดทันทีเลย พอเครียด เห็นไหม

นี่เราจะบอกว่าถ้ามันทำไปแล้ว อาการหาว อาการต่างๆ เราต้องดูเหตุ ดูปัจจัยไง พอเหตุปัจจัยต่างๆ ดีขึ้น แล้วเราค่อยแก้ไขไป แก้ไขมาจากข้างนอก แล้วก็แก้ไขมาจากชีวิตประจำวันของเรา ชีวิตประจำวันของเราแล้วก็ดูเหตุการณ์ แล้วถ้ามันหาวอยู่เราเดินจงกรมซะ เดินจงกรมซะ แล้วก็ค่อยผ่อนไปนะ พิจารณาเรื่องความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ ว่าความเป็นอยู่ของเรา เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัย มันมีเหตุใดจะทำให้มันเป็นอย่างนี้ แล้วเราแก้ไข

คำว่าเหตุใด เห็นไหม อย่างเช่นพระเรานี่ พระเราเวลาภาวนาขึ้นมา พระเรานี่เขาอดอาหารตั้งหลายองค์ ไม่กินข้าวกัน เพราะเขาบอกว่าเขาอยากได้ความสงบ เขาอยากได้ความจริง เขาลงทุนด้วยการอดอาหารนะ แล้วกลางคืนนี่จุดไฟเต็มไปหมดเลย ถ้าใครอยู่กลางคืนจะเห็น เขาจะจุดเทียนไว้ตามทางจงกรม สว่างไปหมดเลย เขาเร่งกันทั้งคืนนะ เพราะว่าคนที่ฝักใฝ่ดีมี คนที่อยากจะสัมผัสสัจธรรมมี ฉะนั้น เขาทำของเขาอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราจะบอกว่าอดนอนผ่อนอาหาร เราบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องภาวนาเลย ไม่เกี่ยวกันเลยนะ ไม่เกี่ยวเลย แต่เป็นอุบาย เราจะเดินทางด้วยรถ น้ำมันเกี่ยวอะไรกับเรา น้ำมันมันเป็นน้ำ แต่ทำไมเราเติมน้ำมันแล้วรถเราจะวิ่งไปถึงกรุงเทพฯ ล่ะ วิ่งไปเชียงใหม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะ? น้ำมันมันเกี่ยวอะไรกับเราไปเชียงใหม่ล่ะ? แต่เราก็ต้องเติมน้ำมัน พอเติมน้ำมันรถก็ไปได้ ถ้าไม่มีน้ำมันรถไปได้ไหมล่ะ? เราจะไปเชียงใหม่แล้วเกี่ยวอะไรกับน้ำมันล่ะ?

น้ำมันเป็นปัจจัยของรถ พอรถมีน้ำมันเครื่องก็ติดได้ พอเครื่องติดได้ เราขับรถไปมันก็มีระยะทางไปถึงปลายทางได้ การผ่อนอาหาร เห็นไหม การผ่อนอาหารทำให้ร่างกายไม่พะรุงพะรัง ทำให้ความกดดันของร่างกายมันไม่มี หิวไหม? หิว แต่หิวแล้ว ตั้งใจแล้วร่างกายมันก็เบา ความง่วงเหงาหาวนอนมันก็น้อยลง นี่วัน ๒ วันก็มึนชานะ ตอนอดใหม่ๆ มันไม่ค่อยรู้หรอก มึน มึนตื้อเลย ทำอะไรก็ไม่ถูกเลย แต่พอมันไปๆ มีสติไปมันจะเริ่มโล่ง เริ่มโปร่ง เริ่มดีขึ้น

นี่มันเป็นปัจจัย อดนอนผ่อนอาหารมันเกี่ยวอะไรกับสมาธิล่ะ? มันเกี่ยวอะไรกับการภาวนา ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย ไม่เกี่ยวกันเลย มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน พอภาวนาไปแล้วจะรู้เลยว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร ถ้าไม่เกี่ยวทำไมพระเรา ผู้ที่ปฏิบัติทำไมต้องอดนอนผ่อนอาหาร ทำไมต้องตัดทอนล่ะ ตัดทอนสิ่งที่ไปส่งเสริม สิ่งที่ไปบำรุงบำเรอเรื่องหัวใจล่ะ? เราไปตัดทำไมล่ะ?

พอไปตัดแล้ว ก็ตัดสิ่งที่มันไปกระตุ้นให้กิเลสมันตัวใหญ่ๆ ไง นี่เวลากิเลสดิบๆ มันตัวใหญ่ๆ ใช่ไหม? แล้วเราก็เผชิญกับมัน เรานี่ตัวนิดหนึ่ง ตัวเล็กน้อยมากแล้วไปเผชิญกับมัน เห็นไหม ง่วงเหงาหาวนอน สู้อะไรมันไม่ได้ซักอย่างเลย แล้วกิเลสเราไม่เห็นตัวมันนะ มันก็เหยียบเอาๆ แล้วเราจะแก้อย่างไรล่ะ?

พอเราเริ่มอดนอนผ่อนอาหาร แล้วมันเกี่ยวอะไรล่ะ? ก็ไปทอนกำลังไอ้ตัวใหญ่ๆ ที่มันยืนขวางเราอยู่ แต่เราไม่เห็นมันไง พอมันไม่ได้อาหาร มันไม่ได้การส่งเสริม ไอ้ตัวใหญ่ๆ มันก็เล็กลงๆๆ ไอ้เราก็มีกำลังมากขึ้นๆๆ เดี๋ยวจะรู้เลยว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับภาวนาเลย แล้วมันเรื่องอะไรต้องไปอดนอนผ่อนอาหารล่ะ? ทำไมต้องทำตนให้ทุกข์ลำบากเปล่าล่ะ? พอภาวนาเป็นขึ้นมา พอภาวนาได้นะ

อ๋อ.. เดี๋ยวนี้ทำอะไรก็ง่ายขึ้น เดี๋ยวนี้ทำอะไรก็ดีขึ้น อ๋อ.. พออ๋อขึ้นมานี่เขาก็เต็มใจจะทำไง ถ้าไม่อ๋อขึ้นมานะ บังคับทำไม่มีประโยชน์หรอก ต้องทำอย่างนี้นะ ต้องทำอย่างนี้นะ แล้วทำไปแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ? โอ้โฮ.. ทำอะไรนี่เพราะเขาไม่เต็มใจ เขาไม่เต็มใจ เขาไม่ขวนขวาย เขาไม่ทำของเขา แต่พอเขาเห็นประโยชน์ของมัน เออ! เขาเต็มใจทำของเขา

แล้วพวกที่ว่าง่วงเหงาหาวนอนอะไรต่างๆ นี่เรื่องกรรมเรื่องหนึ่ง เรื่องในปัจจุบัน เรื่องกิเลสที่มันเหยียบย่ำในการปฏิบัติเราเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น อาการแบบนี้เกิดขึ้นเราแก้ไข เห็นไหม ตอบซะยาวเลย เขาบอกว่า “ขอความเมตตาหลวงพ่อแก้ปัญหาให้ผมด้วยครับ”

นี่มันเหมือนกับไปหาหมอ เวลาป่วยก็ไปหาหมอ บอกว่าหมอหายไหม? หมอหายไหม? นี้พูดถึงอาการที่มันเกิดขึ้นนะ

ฟังอันนี้สิเกี่ยวเนื่องกันเลย ข้อ ๕๘๒. ฟังนะ

ถาม : ๕๘๒. เรื่อง “นั่งสมาธิแล้วเลือดในกายมันเดือด ก่อนจะปวดแสบปวดร้อนผิวหนัง”

หลวงพ่อ : นั่งสมาธิแล้วนี่ เขารู้ไงว่าเลือดของเขาเดือดเลยนะ.. เลือดในกายมันเดือด ก่อนจะปวดแสบปวดร้อนไปทั่วผิวหนัง

ถาม : กราบขอหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติด้วยครับ ผู้ปฏิบัติคนหนึ่งมีปัญหาครับ นั่งสมาธิแล้วเลือดในกายมันเดือด (นี่ความรู้สึกของเขานะ) ก่อนจะปวดแสบปวดร้อนผิวหนัง อาการก่อนนั่งคือ หลังจากลมหายใจเรื่อยๆ ทำมาได้ ๒-๓ วันแล้วค่ะ

ก่อนนั่งจะสวดมนต์ สมาทานศีล บูชาพระรัตนตรัย ก็เริ่มนั่งภาวนา จิตก็ภาวนาไปเรื่อยๆ สบายๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ เนียนๆ ไม่สะดุด แต่อาการร้อนจะค่อยๆ ร้อนขึ้นๆ ร้อนจากภายในออกมา เหมือนร่างกายคือเตาอบ แล้วเลือดก็ค่อยๆ ร้อนขึ้น ร้อนขึ้นมากๆ รู้สึกเหมือนภายในตัวเดือด มีไอออกมาค่ะ แล้วผิวหนังก็เริ่มแสบร้อน

หลังจากนั้นก็นั่งไปสักพัก อาการร้อนก็ยังไม่หายไป ไปอาบน้ำกลับมาอาการก็ยังคงอยู่ เหมือนร่างกายเราเป็นเตาไฟให้พลังงานความร้อน ตอนนี้รู้สึกเหมือนรอบๆ ตัวมีความร้อนแผ่ออกมา โดยเฉพาะที่หลังจะเห็นชัดมากกว่าส่วนอื่นค่ะ เวลาที่ลมเย็นพัดมา ร่างกายจะรู้สึกเหมือนเปลวเทียน เวลาถูกลม ไอร้อนในตัวจะพัดไปตามลม พอหมดลมก็กลับมาร้อนเหมือนเดิมค่ะ กราบขอหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ด้วย

หลวงพ่อ : อืม.. อันนี้แปลกนะ เพราะว่าเวลาเขียน เห็นไหม นี่มันแปลกตรงนี้ แปลกที่ว่า

“โดยเฉพาะที่หลังจะเห็นชัดมากกว่าส่วนอื่นค่ะ”

ส่วนอื่นค่ะนะ แต่เวลาสรุปลงบอกว่า “ช่วยสงเคราะห์ผมด้วยครับ”

ไอ้ “ค่ะ” กับ “ครับ” นี่มันใครไม่รู้เนาะ ไอ้คนเขียนนี่มันเขียนทั้งค่ะ ทั้งครับเลยล่ะ เอ๊ะ.. ก็งงนะ สับสนขนาดนั้น จะเป็นผู้หญิงหรือจะเป็นผู้ชาย นี่เอาให้จริงสักคนหนึ่ง ทั้งค่ะ ทั้งครับอยู่ในคำถามเดียวกัน จะเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่ แล้วจะเป็นใครเนี่ย

อันนี้นะ พูดถึงถ้าเป็นทางอภิธรรม เขาจะบอกว่าเวลาปฏิบัติไปแล้วพวกพุทโธมันจะเกิดอาการนิมิต เกิดอาการต่างๆ ถ้าให้อภิธรรมแก้นะ เขาก็บอกว่ารู้จริง รู้นาม รู้รูปก็จบหมด ถ้ารู้จริงก็จบ แล้วมันจะไปร้อนอะไรล่ะ? แล้วทำไมกรรมฐานนี่อู้ฮู.. ตอบอะไรกันบ้าบอคอแตก พุทโธก็เป็นนิมิตอยู่แล้ว แล้วก็จะมาติดนิมิต แล้วจะมาหลงนิมิตกันอยู่ แล้วก็พูดถึงเรื่องนิมิต แล้วนี่กลับมารู้นาม รู้รูปก็จบ

คำว่ากลับมารู้นาม รู้รูปนะ มันก็ดึงจิตเรากลับมาให้เป็นปกติไง อย่างเช่น! อย่างเช่นเราตั้งน้ำไว้นี่อุณหภูมิน้ำมันจะเดือด แล้วเราก็ปิดไฟซะก็จบไง พอปิดไฟแล้วมันก็กลับมาเป็นน้ำเย็น มันมีอะไรล่ะ? มันก็ไม่มีอะไรนะ พอเป็นน้ำเย็นแล้วทำอะไรล่ะ? แกงก็ไม่ได้ แกงจืดก็ไม่ได้ ข้าวหุงก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้หมดเลย เพราะน้ำเอาไว้กินอย่างเดียว น้ำเย็นก็เอาไว้ดื่มไง แต่น้ำทำอะไรต่อไปล่ะ? เห็นไหม พอจะทำอะไรไปนะ โอ๋ย.. เสียหายหมดแหละ กลับมาที่รู้นาม รู้รูป รู้ก็กลับมาปกติ

ถ้าเรามีสติอยู่ เราไม่ทำอะไรเลยเราเป็นอะไรไหม? เราก็ไม่มีอะไรเลยเพราะเราไม่ไปไหน เราไม่ไปไหนเราก็ไม่มีอะไรเลย นี่อย่างนี้ ถ้ากลับมาอย่างนี้ไม่เสีย แต่ถ้าพุทโธ พุทโธ เป็นสมถะแล้วเสียหมดแหละ ไปหมด เห็นนิมิตหมดแหละ พวกนี้เสียหมด แต่! แต่พอเวลาตั้งน้ำไป พอเราเกิดพลังงานขึ้นมาน้ำมันจะเริ่มเดือด ต้องโมโหก่อน โมโหแล้วก็เดือด หรือเดือดก่อนแล้วค่อยโมโหเนาะ นี่พอมันมีอุณหภูมิของมัน มันก็จะเดือดของมัน ถ้าเดือดของมัน เห็นไหม เราจะต้ม จะแกง จะทำสิ่งใดได้ทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น เวลาถ้ามันเป็นอย่างนั้นปั๊บ เวลาน้ำมันเดือดขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเราเอาน้ำนะ น้ำที่เป็นน้ำสารพิษ มันมีพิษ มีไอพิษนะ พอเราต้มให้มันเดือด ไอของมันเดือดนี่นะมันจะเป็นสารพิษไปทำลายสุขภาพของคนหมดเลย แต่ถ้าเป็นน้ำสะอาด เวลามันเดือดขึ้นมา เห็นไหม นี่เป็นไอน้ำขึ้นมา ไอน้ำนะมันทำเป็นอุตสาหกรรมก็ได้ เอามาทำอบไอน้ำก็ได้ ทุกอย่างได้หมดเลย

ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น เวลาจิตมันเปลี่ยนแปลงมันจะเกิดของมันอย่างนี้ เกิด เห็นไหม เกิดในทางที่ดี เกิดแล้วเห็นนิมิต เห็นเทวดา เห็นเทวดานะ เห็นพรหม เห็นอนาคต เห็นต่างๆ มันก็เห็นได้ เห็นผี เห็นเปรต เห็นแล้วตกใจกลัว เห็นสิ่งที่น่ากลัว เห็นมารร้าย เห็นต่างๆ ก็น่ากลัว มันอยู่ที่กรรมของคน

หลวงตาบอกว่า “จิตคึกคะนองมี ๕ เปอร์เซ็นต์” ๕ เปอร์เซ็นต์นี่ พอเวลามันสงบแล้วมันจะรู้อะไรแปลกประหลาด จะรู้อะไรสิ่งที่ดีกว่าเขา ฉะนั้น พวกนี้จะต้องมีครูบาอาจารย์ที่ทัน แล้วควบคุมตรงนี้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นกลางๆ คือว่าสงบก็สงบเฉยๆ ไม่ค่อยรู้ค่อยเห็นสิ่งใด หรือรู้เห็นสิ่งใดก็เล็กน้อยชั่วคราว

คำว่าชั่วคราว คือเห็นเป็นครั้งเป็นคราวแล้วก็จบ แต่ถ้าจิตมันคึกคะนอง จิตมันมีนิสัยอย่างนั้นนะ มันจะเห็นอย่างนั้นชัดๆ แล้วเห็นบ่อยๆ แล้วเห็นมาก ถ้าอย่างนั้นแล้วต้องคุม คุมหมายถึงว่าอย่าตกใจ อย่าตื่นเต้น อย่าหลง อย่าไปกับมัน แล้วกลับมาที่พุทโธ ทำให้จิตสงบก่อน พอจิตสงบก่อนแล้วค่อยมาพิจารณา มาวิปัสสนา ถ้ามันชำระกิเลสได้ไปแล้วนะ เป็นขั้นเป็นตอนเข้าไปชำระกิเลสได้แล้ว สิ่งที่เป็นอำนาจวาสนาของใจมันจะมีกับมัน พวกนี้เป็นพวกอภิญญา พวกที่รู้อะไรต่างๆ ฉะนั้น สิ่งที่มันเป็นไปใช่ไหม?

ฉะนั้น ย้อนกลับมาเรื่องปัญหานี้ เราพูดคำนี้ออกมากันไว้ก่อนไง ถ้ากันไว้นี่ โดยทั่วไปถ้าเขาเข้ามานะ โฮ้.. คนถามก็ค่ะหรือครับก็ยังไม่รู้เลย คนตอบก็ตอบไปสามวาสองศอกไง แล้วนี่คือปัญหาอะไรล่ะ? แต่ถ้าเป็นปัญหานะ มันเป็นปัญหาของคนที่ภาวนาแล้วมีปัญหา คนนั้นจะหนักอกมาก คนเรานะ ไม่มีอะไรเป็นบาดแผล คนนั้นก็ไม่เจ็บปวด ถ้าใครมีบาดแผลคนนั้นก็เจ็บปวด

นี่ก็เหมือนกัน ใครภาวนาไปแล้วสงสัย ใครภาวนาไปแล้วมีอะไรคาใจ คนนั้นก็จะมีความหนักอกหนักใจ มีความเครียด นี่แล้วถ้าแก้ก็แก้ตรงนั้นไง เฉพาะบุคคลไง แต่เวลาคนนอกฟังนะ นี่พูดเรื่องอะไรกัน ไหนว่าพระปฏิบัติไง ไหนว่าเราคุยกันเรื่องภาวนา ทำไมมาคุยอะไรนอกเรื่องนอกราว.. นอกเรื่องนอกราวเพราะเราไม่ได้ประสบ เราไม่รู้ แต่ถ้าผู้ประสบนะ ถ้าประสบ ถ้ามันเป็นอย่างนี้มันจะต้องแก้ไข

คำว่าแก้ไขคือเริ่มหาทางภาวนาใหม่ หาทางภาวนาใหม่ ถ้าหาทางภาวนาใหม่ ถ้ามันจะเดือด เดือดอย่างไร? มันจะเดือดนะ ถ้าเราตั้งสติดีๆ ถ้าเราตั้งสติดีๆ นะ กายไม่ใช่จิต เราภาวนาเพื่อให้จิตสงบนี่ เราไม่ได้ภาวนาให้เลือดในกายมันเดือด เลือดในกายนี้เป็นอะไร? มันเป็นวัตถุไหม? เลือดเป็นวัตถุไหม? แล้วจิตนี่มันเป็นนามธรรมไหม? เราต้องแยกให้ได้ว่าเราทำนี่ทำเพื่อจิตสงบ เราไม่ได้ภาวนาให้เลือดในกายมันเดือด ถ้าเลือดในกายมันเดือด เลือดก็ส่วนเลือด

เราจะบอกว่า เห็นไหม นิวรณธรรม นี่ความลังเลสงสัย ความวิตกกังวล ความต่างๆ มันมีเป็นพื้นฐานนะ นิวรณธรรมปิดกั้นมรรค ผล ปิดกั้นทำจิตให้เป็นสมาธิ ฉะนั้น ถ้าเราวางตรงนี้แล้วพิสูจน์กัน เลือดมันเดือดจริงหรือเปล่า? เลือดมันเดือดจริงหรือเปล่า? ถ้าเลือดมันเดือดขึ้นมาจริง เห็นไหม เลือดเดือดขึ้นมาจริง แต่ความร้อนมันมีได้

เรานั่งนานๆ เวลาปวดนี่ปวดแสบปวดร้อนเลย ปวดแสบ ปวดร้อน ปวดต่างๆ สิ่งนี้มีได้ สิ่งนี้เพราะว่าจิตมันไปยึดไง แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธต่อ จนจิตมันสงบแล้วมันปล่อยหมดนะ ถ้าเข้าอัปปนาสมาธิ กายกับจิตนี้แยกออกจากกัน จิตเป็นว่าจิต กายเป็นว่ากาย จิตกับกายแยกออกจากกัน เพราะจิตมันสักแต่ว่ารู้เลย มันวางกายได้หมดเลย จิตที่อยู่ในร่างกายมันวางร่างกายนี้

จิตที่อยู่ในร่างกายนี้ มันวางร่างกายนี้ วางร่างกายจนเป็นจิตเฉพาะจิตเลย จิตอย่างเดียวเลย วางร่างกายนี้หมดเลย แล้วมันจะไปเดือดตรงไหนล่ะ? อะไรมันจะมาเดือดล่ะ? เห็นไหม เพราะจิตมันไม่รับรู้ร่างกายนี้เลย แต่นี้เราทำไมมันเดือดล่ะ? ถ้ามันเดือดนะเราแก้ไขของเรา นี่ถ้าผ่านแล้ว ถ้าผ่านเข้าไปแล้วทุกอย่างจะหายไปหมดเลย ทุกอย่างจะหายหมด ทีนี้หายหมดแล้วนี่เข้าสมาธิด้วย คือเข้าสมาธิจิตสงบด้วย มีหลักมีเกณฑ์ด้วย แล้วหายไป

แต่ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์ เป็นทางโลก เห็นไหม บอกว่ากลับมาเป็นปกติก็หาย นี่เห็นไหมติดนิมิต ติดความรู้ พอเข้าไปแล้วมันก็เกิดอย่างนี้แหละ อย่างนี้หลง ถ้ากลับมารู้เท่า รู้ทัน รู้นาม รู้รูป รู้ทุกอย่างหมดเลย ก็กลับมาหมดเลย.. ก็กลับมาดิบๆ ไง กลับมาเป็นคนปกติไง

นี่ถึงบอกว่า ถ้าจิตไม่สงบ เห็นไหม สติปัฏฐาน ๔ ที่เห็นนี่สติปัฏฐาน ๔ ปลอมๆ เพราะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ด้วยการคาดหมาย ด้วยการนึกเอา แต่ถ้าจิตสงบแล้วจิตเข้าไปรู้ไปเห็นตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน ๔ จริงๆ ต้องจิตสงบก่อน แล้วจิตเข้าไปรู้จริงตามจริง เห็นจริงตามนั้น

ถ้าเห็นจริงตามนั้นมันคำพูดเดียวกันนะ กินกับรับประทาน รับประทานกับกินก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่ทำไมคนหนึ่งกิน อีกคนหนึ่งรับประทานล่ะ? อ้าว.. คนรับประทาน คนนั้นมีศักยภาพ คนนั้นเป็นผู้ที่ทานอาหาร ไอ้คนที่ไม่มีศักยภาพคนนี้กินอาหาร นี่ก็เหมือนกัน เพราะพูดถึงสมาธิก็คือสมาธิ เขาบอกว่าสมาธิไง จิตคนเราสงบแล้วก็พิจารณาเห็นนาม เห็นรูป

ฉะนั้น กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กาย เราภาวนาเพื่อความสงบของใจ ถ้าใจสงบนะ ถ้าค่อยๆ ทำใจสงบไป กายก็เป็นกาย เลือด.. ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ๔ ธาตุ ๔ เป็นธาตุ ๔ มหาภูตรูปเขาว่านะ มหาภูตรูป ทุกอย่างต้องเกิดจากมหาภูตรูปนี่ธาตุ ๔ แล้วนามรูปล่ะ? แล้วนามล่ะ นามเป็นอย่างไร?

นี่พูดถึงภาวนาไปนะ ถ้ามันเดือด คำว่าเดือดนะแล้วถ้าเราตามไปมันก็จบไง พุทโธมีสติ ถ้าพุทโธนะ อานาปานสติกำหนดลมก็ได้ กำหนดต่างๆ เห็นไหม นี่แก้ไขของเรา

“นั่งสมาธิแล้วเลือดในกายเดือด”

เพราะเราเชื่อมั่นแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น พอเราเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นมันก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราเชื่อว่านั่งสมาธิ เราจะเอาสมาธิ เราไม่ใช่นั่งสมาธิเพื่อให้เลือดในกายมันเดือด เรานั่งสมาธิเพื่อความสงบ เรานั่งสมาธิเพื่อจิตสงบ เรานั่งสมาธิเพื่อเราจะใช้โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา เราทำของเราอย่างนี้เพื่อหดเข้ามาๆ เดี๋ยวมันจะหาย

ทุกอย่างเกิดแล้วต้องหายได้ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” เราแก้ไขของเรา แล้วมันจะแก้ไขของมันได้นะ แก้ไขไป แก้ไขไป จะเป็นประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น ที่ว่า “เลือดในกายมันเดือด” อันนี้มันเป็น ๒ ปัญหา ปัญหาหนึ่งถ้าเราติดของเรา เราแก้ไขของเรานี่มันเป็นปัญหาหนึ่ง แล้วปัญหาที่แล้ว เห็นไหม ปัญหาเรื่องกรรม ถ้ากรรมมันไม่มาเกี่ยวข้องมันก็จบ ถ้ากรรมมันเกี่ยวข้องเราก็พยายามทอนไป ใครอย่าคิดว่าเราไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมานะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“มนุษย์ที่เกิดมานี่ ไม่เคยเป็นพี่เป็นน้องกันมาในชาติใดชาติหนึ่งไม่มีเลย”

เคยเป็นพี่เป็นน้องกันมามันถึงมีเวรมีกรรมมาต่อกัน แต่ในชาติปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นญาติตระกูลของเรา ก็ครอบครัวของเรา ในครอบครัวของเรา เห็นไหม ชาติตระกูลที่ชัดเจน แต่ญาติกันโดยธรรมมันมีของมัน นี่มันถึงบอกว่าเวรกรรมทุกคนมี ถ้าทุกคนมีแล้วมันมาก มันน้อย แล้วมันแก้ไขอย่างไร?

ในปัจจุบันนี้ศาสนาเจริญใช่ไหม? นี่เวลาปฏิบัติแล้วถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ใช่ไหม? เราก็อยากจะปฏิบัติให้สิ้นสุดแห่งทุกข์กัน เราก็มาปฏิบัติกัน แล้วพอมาปฏิบัติกันแล้ว เริ่มต้นก็คิดเหมือนผ้าขาวหมดเลย นี่คนเหมือนคน จิตเหมือนจิต ความรู้สึกเหมือนความรู้สึก แล้วจริงไหมล่ะ? จริงหรือเปล่าล่ะ? ความรู้สึกของคนมีเท่ากันหรือ?

นี่ต้นทุนไม่เท่ากันนะ คนภาวนาง่าย เห็นไหม ผู้ที่ภาวนาง่ายรู้ง่าย ภาวนาง่ายรู้ยาก ภาวนายากรู้ยาก นี่มันมี ขิปปาภิญญาก็มี ฉะนั้น ต้นทุนมันถึงไม่เหมือนกัน คนเหมือนคนแต่คนไม่เท่ากัน ความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน ต้นทุนไม่เท่ากัน ความรู้สึกจากภายในไม่เท่ากัน เวรกรรมของคนไม่เหมือนกัน

ฉะนั้น เริ่มต้นมามันถึงมีอาการไม่เหมือนกันเลย คนหนึ่งไปอย่างหนึ่ง คนหนึ่งไปอย่างหนึ่ง แต่โดยหลัก โดยหลักขึ้นมาเราก็ต้องการความมั่นคง ต้องการจิตให้มันสงบให้ได้ ถ้าจิตสงบได้มันก็แก้ไขได้ ถ้าจิตสงบไม่ได้มันก็วนเวียนอยู่นี่แหละ

นี่พูดถึงว่าเขาให้แก้ไขเนาะ ลมพัดมามันก็เย็นแล้วเหมือนเทียนเลยนะ เพราะเราเชื่อไว้ก่อนไง เราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นปั๊บ ถ้าเราพิจารณาของเรา เราก็เชื่อแต่เราก็วางให้ได้ก่อน เพราะสิ่งนี้มันไม่เป็น.. ถ้ามันเป็นความอบอุ่น เป็นความว่าง เขาเรียกว่าเป็น “ปีติ” พอจิตมันสงบแล้ว จิตมันเป็นสมาธิเล็กน้อยมันจะเกิดปีติ เกิดปีติจะรับรู้นะ แม้แต่รู้ถึงวาระจิตของคนเลย

จิตเราพอเริ่มสงบนี่รู้ว่าคนคิดอะไรๆ รู้ต่างๆ ที่เขาไปรู้ไปเห็นต่างๆ สิ่งนั้นก็มี ถ้าสิ่งนั้นมีมันจริงหรือเปล่าล่ะ? รู้แล้วเราได้สตางค์หรือเปล่าล่ะ? รู้แล้วเราได้อะไรขึ้นมาล่ะ? รู้แล้วเราไม่เห็นได้อะไรเพราะเราส่งออก เราไปรู้ทำไมล่ะ? รู้สติเราสิ รู้ว่าจิตเรามีสติพอไหม? ถ้าจิตเรามีสมาธิพอไหม? จิตเป็นสมาธิ จิตมันตั้งมั่นไหม? รู้ที่นี่สำคัญกว่า รู้ตัวเองดีกว่ารู้คนอื่น

นี่ถ้ารู้ตัวเอง เห็นไหม สิ่งที่มันร้อน สิ่งที่มันเดือด เราแก้ไขของเรา เรารู้ของเรา ถ้ารู้ของเราจิตก็สงบกลับมาที่เรา ถ้าจิตสงบกลับมาที่เรานะ เดี๋ยวพอมันปล่อยแล้วนะ เฮ้อ.. ของเล็กน้อย แค่นี้ก็ไม่รู้.. แค่นี้ก็ไม่รู้ถ้าเรารู้จริงนะ ถ้ายังไม่รู้ยังงงอยู่นี่ แต่ถ้ารู้แล้วนะ เฮ้อ.. เพราะอุปสรรคข้างหน้ายังอีกไกลมาก เพราะเริ่มต้นพวกเรามันก็เหมือนเรียนหนังสือนี่แหละ พอเรียนจบแล้วก็ต้องหางานทำกัน เรียนหนังสือก็เครียดเกือบเป็นเกือบตายนะ พอจบแล้วเตะฝุ่น ไม่มีงานทำ พอทำงานแล้วไปทำงานอีกเรื่องหนึ่งนะ พอไปทำงานไปอีกเรื่องหนึ่งเลย

นี่ก็เหมือนกัน จิตกว่าจะสงบก็เกือบเป็นเกือบตาย พอจิตสงบแล้ว เหมือนเรียนจบแล้ว จบแล้วทำอะไรล่ะ? เตะฝุ่นสิ เตะฝุ่นแล้วทำอย่างไรต่อล่ะ? หางานทำ พอจิตสงบแล้วก็ออกวิปัสสนา วิปัสสนาแล้วนี่ พอไปทำงานแล้วนะที่ทำงานมีปัญหาอีก โอ้โฮ.. ยังอีกไกล แล้วพอเริ่มต้นขึ้นมายังมีอุปสรรคขนาดนี้แล้ว แล้วเรายังต้องเดินทางนะ เรายังต้องไปกันอีก

ฉะนั้น เริ่มต้นมันก็มีปัญหา พอมีปัญหาแล้วเราก็แก้ไขของเรา ดูแลใจของเรา ทำใจของเราเนาะ แล้วรักษาใจ แก้ไขตรงนี้ให้มันเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปได้มันจะเป็นไปได้

อันนี้น่าจะยังไม่พูดเนาะ อันนี้ อ้าว.. ตกลงเอาแค่นี้ก่อนดีกว่าเนาะ เอวัง