เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ก.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พระบวชมาแล้ว พระบวชมาเพราะพระเห็นภัยในวัฏสงสาร แต่วัฏสงสาร การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย นี่เราจะหาฝั่งตรงข้าม เวลาพระบวชมาแล้ว พระยังต้องบิณฑบาต พระยังต้องมีปัจจัย ๔ เห็นไหม คำว่าปัจจัย ๔ เวลาบวชอุปัชฌาย์นี่ปัจจัย ๔ ให้รักษาตัวด้วยน้ำดองมูตรเน่า ให้บิณฑบาตเลี้ยงชีพ ให้อยู่ตามโคนไม้ ให้ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร นี่ปัจจัย ๔

ปัจจัย ๔ คือว่าปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิต เห็นไหม แม้แต่พระบวชมาแล้ว พระพยายามจะพ้นจากทุกข์ให้ได้ พระพยายามประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้บรรลุธรรมให้ได้ ก็ต้องอาศัยปัจจัย ๔ เหมือนกัน ฉะนั้น เราอยู่ในโลก เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยมันต้องหา แต่หาโดยธรรมไม่ใช่หาโดยโลก ถ้าหาโดยธรรม เห็นไหม เราทำตามหน้าที่จนสุดความสามารถ ถ้าสุดความสามารถนะถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ เรารักษาใจของเรามันไม่ดิ้นรนไง แต่ส่วนใหญ่แล้วเวลาเราดิ้นรนสุดความสามารถแล้ว เราจะทุกข์น้อยใจไง

ความทุกข์ ความน้อยใจ ความเหยียบย่ำหัวใจ นั่นแหละกิเลส คำว่ากิเลสนะ ถ้าเราดิ้นรนของเราจนสุดความสามารถของเราแล้ว นั้นถือว่าเป็นการกระทำของเราทางโลก ไม่ใช่กิเลส การทำหน้าที่การงานไม่ใช่กิเลส แต่คำว่ากิเลสๆ เห็นไหม นี่เราพยายามแสวงหากันอยู่ แม้แต่พระบวชมายังต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัย ยังต้องบิณฑบาตเป็นวัตร ยังต้องการดำรงชีวิต เราก็ต้องดำรงชีวิตเหมือนกัน

นี้การดำรงชีวิตด้วยความสุข ความสงบในครอบครัว สิ่งในครอบครัวนะ ครอบครัวของเรานะ เริ่มต้นจากฐานในบ้านของเรา ถ้าฐานในบ้านของเรามั่นคงแข็งแรง ฐานในบ้านของเรายิ้มแย้มแจ่มใส แล้วคุยกันได้ไง

เราเกิดมาในครอบครัวของเราก็แปลก ในครอบครัวของเรานะ ตั้งแต่สมัยเราเด็กมานี่ อยู่ในบ้าน ใครจะมาบ้านเราก็แล้วแต่ทุกคนจะแปลกใจมาก ไม่พูดกัน ไม่คุยกัน คนเจ๊กเป็นอย่างนั้นนะ ไม่คุยกัน ไม่อะไรกัน แต่! แต่รักกันนะ เพราะว่าในครอบครัวของเรา เราสังเกตมานะ มีสิ่งใดขึ้นมานี่จะเสียสละๆ ไม่มีใครเอาเปรียบใคร ในบ้านของเราไม่มีใครเอาเปรียบใคร แต่! แต่มีอยู่อันหนึ่งคือไม่ค่อยคุย ไม่พูดกัน ไม่คุยกัน แต่เรื่องในครอบครัวนั้นดี

นี้เราพูดถึงว่าในสัจธรรมไง เวลาเราศึกษาแล้ว เราปฏิบัติมาแล้ว เริ่มต้นมาจากไหน? ปฏิสนธิจิต จิตมันมาจากไหน? จิตมันเกิดในไข่ ในครรภ์ แล้วเกิดมาเป็นเรา เห็นไหม จิตนี่เอกเทศมา แต่เวลามาสภาคกรรม บาลานซ์เวรกรรมระหว่างพ่อ แม่ ลูก นี่มันต้องมีมาด้วยกัน ต้องมีสเปิร์ม ต้องมีไข่ แล้วถ้าไม่มีปฏิสนธิจิตมาเกิดนะ นี่เวลาครอบครัวที่เขามีลูกยาก เห็นไหม เขามีพร้อมแต่ทำไมเขาไม่มีของเขา

ฉะนั้น ถ้าจิตมันมาเกิด จิตนี่เป็นเอกเทศ จิตเป็นเรา เรามีเวรมีกรรมส่วนตัวของเรา แต่เรามาเกิดในครอบครัวไง พอเรามาเกิดในครอบครัวของเรา เห็นไหม ในครอบครัวของเรา พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นพระอรหันต์ของลูก ให้ชีวิต ให้เลือดเนื้อ ให้เชื้อไข ให้การดูแลรักษา ทะนุถนอม เลี้ยงดูมา มีคุณไหม? นี่พระอรหันต์ของลูก

ถ้าพระอรหันต์ของลูก เห็นไหม สิ่งนี้ถ้าในครอบครัวนะ แล้วเราเติบโตขึ้นมา เวลาเราแก่เฒ่าขึ้นมา นี่ในครอบครัวเราอบอุ่น แล้วเราจะต้องพลัดพรากจากไปล่ะ? ไม้ใกล้ฝั่ง เราถึงต้องมีคุณธรรม เวลาเกิดก็เกิดมาคนเดียว เวลาความอบอุ่นในครอบครัว นี่อบอุ่นเพื่อให้ฐานในครอบครัวเราแข็งแรง ถ้าฐานในครอบครัวเราแข็งแรง จิตใจของคนในครอบครัวนั้นจะแข็งแรง ถ้าจิตใจคนในครอบครัวนั้นอ่อนไหว เวลาเขาออกไปสังคมเขาก็อ่อนไหว

สิ่งนี้เป็นฐานในครอบครัวส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นพันธุกรรมทางจิต ถ้าจิตของคน เห็นไหม นี่ในพระไตรปิฎกมีมาก นกแขกเต้า ๒ ตัว จำชื่อไม่ได้ ๒ ตัว ตัวหนึ่งโจรเอาไปเลี้ยง ตัวหนึ่งราชวังเอาไปเลี้ยง นิสัยแตกต่างกันมาก นี่คือสภาวะแวดล้อม แต่เวลาโจรเอาไปเลี้ยงนะ เลี้ยงอย่างไร ให้มันทำอย่างไร มันเป็นนกที่ดีก็ได้

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรานะ ถ้าพันธุกรรมของเราตัดแต่งมาดี เห็นไหม เราจะมาอยู่ในสถานะไหน จะอยู่ในสิ่งใดมันเข้มแข็งของมัน อย่างนี้ในทางการกีฬาเขาเรียกว่าช้างเผือก เขาไปหาช้างเผือกนะ หาช้างเผือกมา แต่เขาต้องมาฝึกของเขา ประสบความสำเร็จก็มี ช้างเผือกที่มองว่ามีแววนะ แต่ถึงที่สุดแล้วไปไม่รอดก็มี อันนี้เป็นเรื่องของกรรม เวรกรรมของจิตที่สร้างมา เราเกิดมาในครอบครัว ถ้าครอบครัวแข็งแรง ครอบครัวมั่นคง เห็นไหม เราคุยกัน เรารักษากัน เราดูแลกัน

นี้เป็นเรื่องของการบำรุงรักษา เหมือนพระบวชใหม่ พระบวชใหม่มาในวัดนะ นี่ในนวโกวาท ทุกข์ของพระบวชใหม่คือทนคำสั่งสอนได้ยาก เพราะจริตของฆราวาส จริตของคฤหัสถ์ของเรา เราทำสิ่งใดก็ได้ เราทำอะไรตามความพอใจของเราก็ได้ แต่เราเข้าไปบวชแล้ว เห็นไหม บวชเขามีธรรมและวินัย เขามีประเพณีวัฒนธรรม เขามีอาวุโส ภันเต เขามีการเคารพกัน ความเคารพกันเขาเรียกถือนิสัย

คำว่าถือนิสัยนะ นี่ถ้าผู้ใหญ่ทำมา เหมือนแม่ปูกับลูกปู ถ้าแม่ปูมันเดินนะ บอกว่าลูกเดินตรงๆ ลูกเดินตรงๆ แต่แม่ปูมันเดินอย่างนั้นน่ะ แล้วให้ลูกเดินตรงๆ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีจริตนิสัย ท่านวางตัวของท่านเป็นแบบอย่าง นี่เราจะเดินตามนั้น พอจะเดินตามนั้น นี่ลูกปู ลูกปูพอโดนบังคับให้เดินตรงๆ ลูกปูมันอึดอัดมาก อึดอัดมาก แต่การบังคับนั้นมันก็ต้องมีเทคนิคใช่ไหม? ครูบาอาจารย์ท่านมีเทคนิค

นี้พูดถึงพระบวชใหม่ เห็นไหม เราเกิดใหม่! เราเกิดใหม่มาในครอบครัวของเรานะ เด็กอ่อนไร้เดียงสา ความไร้เดียงสานั้นเป็นเหมือนผ้าขาว แต่ต้องมีพ่อมีแม่ มีสังคมฟูมฟักมา ให้มีพื้นฐานมา ให้มีความเข้มแข็งมา ถ้ามีความเข้มแข็งขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์ นี่แล้วถ้าเป็นประโยชน์ เติบโตขึ้นมาเขาจะเป็นคนดี

เขาจะเป็นคนดี เห็นไหม ดูส่วนใหญ่ทางโลกที่มีปัญหา.. นี่ไม่ใช่พูดนะ นี้เป็นเวรกรรมนะ ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว พอเลี้ยงเดี่ยวขึ้นมา เด็กมันจะมีปมด้อย มันจะร้องมัน มันบอกว่าสังคมรังแกมัน สังคมรังแกมัน อันนั้นเด็กที่มันคิด แต่ถ้าพันธุกรรมทางจิตเขาเข้มแข็งมา ดูเด็กกตัญญูสิ มันวิ่งไปโรงเรียนกลับบ้านทุกวัน ไปเช็ดขี้ เช็ดเยี่ยวปู่ ย่า ตา ยาย จากพ่อ จากแม่ เด็กกตัญญู เด็กขนาดนั้นมันคิดได้อย่างใด? เด็กขนาดนั้นมันมีความเข้มแข็งของใจมันได้อย่างใด? จิตใจของเราเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ เรายังทำไม่ได้แบบเด็กกตัญญูที่มันทำกัน

นี่เวลาเลี้ยงเดี่ยว ถ้าจิตใจเข้มแข็งมันเป็นไปได้ นี่พูดถึงเวรถึงกรรม พูดถึงภาพสังคม ภาพของโลกไง แล้วเรามองภาพของธรรม ภาพของธรรม เห็นไหม นี่การเกิดมา ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะการเกิดมีสถานะ มีสถานะต้องมีความรับผิดชอบ แบกรับภาระทุกๆ อย่าง ในเมื่อมีภวาสวะ มีภพ มีฐานความคิด.. ความคิด ความรู้สึก ความวิตกกังวล เกิดจากจิตนี้ทั้งหมดเลย แล้วนี่มันแบกรับภาระ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า “ให้ทำความสงบของใจ ให้ทำความสงบของใจ” ถ้าทำความสงบของใจมันก็กลับเข้าไปสู่ฐานนี้ไง ถ้ากลับเข้าไปสู่ฐานนี้ ใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้วิปัสสนา เห็นไหม นี่ทำให้เรือนว่าง เรือนนี้มีแต่ภาระ มีความรกชัฏ มีแต่ความแบกรับทั้งนั้นเลย

ความสุขสงบในครอบครัวนั้นมันเป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของชีวิต เป็นผลของครอบครัว แต่ใจเราล่ะ? ใจของเรา เห็นไหม เวลาเราแก่เฒ่าขึ้นมา เราต้องพลัดพรากไปเป็นธรรมดา.. ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มันเวียนตายเวียนเกิดเป็นที่สุด นี่สัจธรรม เรามาทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลให้จิตใจเราเข้มแข็ง จิตใจเราเข้มแข็งนะ เราเสียสละของเรา เราเสียสละมีพัฒนาการของมัน

โดยธรรมชาติของจิต โดยธรรมชาติของใจ โดยธรรมชาติของตัณหาความทะยานอยากมันหวงแหนทั้งนั้นแหละ ความหวงแหนเป็นเรื่องปกติของใจ เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติเลยความหวงแหน แต่เพราะเราเห็นคุณค่า แต่เพราะจิตใจเรามีปัญญา เห็นไหม ทำไมเราเสียสละสิ่งนี้ได้ เราเสียสละ พอจิตใจมันคิดเสียสละ นี่มันสละทานออกไป พอสละทานออกไป นี่มันพัฒนาใจตรงนี้แหละ ที่ว่าสิ่งที่เสียสละเป็นทิพย์ๆ

ของนี้เป็นวัตถุ เก็บไว้นะมันจะเน่าบูดไปหมดเลย แต่ถ้าเสียสละออกไปจากมือของเรา เห็นไหม ๑๐ ปี ๒๐ ปีนึกถึงภาพนั้นมันยังอุ่นๆ อยู่เลย ควันยังขึ้นอยู่เลย นี่มันเป็นทิพย์ๆ จิตใจเรามันเร่ร่อน มันไม่มีสิ่งใดเกาะ แต่พอมันคิดถึงบุญกุศลมันเกาะไหม? เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์บอกว่าให้คิดถึงพุทโธ พุทโธ ให้จิตมันเกาะพุทโธ พุทโธ เพราะมันเป็นนามธรรม พอเป็นนามธรรมมันไปหมด

เวลาปฏิสนธิจิต เราปฏิสนธิขึ้นมามีร่างกายแล้วมันถึงเป็นมนุษย์ขึ้นมา ถึงมีความรับรู้ มีความรู้สึก เราก็ว่าความรู้สึกเป็นเรา กายกับจิต กายกับจิต แต่ไม่เคยเห็นจิต ไม่เคยรู้จัก จิตไม่เคยสงบ ไม่เคยเข้าฐานของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร.. ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครแล้วเราจะไปทำอะไร? ถ้าเราไม่รู้ตัวเองว่าเป็นใคร คนๆ นั้นจะไปทำสิ่งใด? แต่ถ้าจิตมันรู้ตัวของมันว่านี่สัมมาสมาธิ แล้วมันออกใช้ปัญญาของมัน เห็นไหม นี่สิ่งนี้เป็นอริยทรัพย์

เราเกิดมาในครอบครัวมีความมั่นคง ความแข็งแรง ในครอบครัวของเรามีความอบอุ่น อันนี้เป็นบุญนะ.. บุญคือความสุข คือสังคมในครอบครัวเรายิ้มแย้มแจ่มใส คุยกันได้หน้าชื่นตาบาน อันนั้นคือบุญ! นี่แล้วเวลาครอบครัวเราประพฤติปฏิบัติ เรามีทรัพย์สมบัติ เรามีสิ่งใด อันนั้นเป็นผลตามมา ถ้าเป็นผลตามมา เห็นไหม นี่เป็นสมบัติสาธารณะ เป็นสมบัติของโลก

ใครมีปัญญา ใครมีต่างๆ สิ่งต่างๆ ทรัพย์สมบัติมีอยู่ทั่วไป เพียงแต่ใครมีปัญญา ใครใช้ทำธุรกิจการค้าต่างๆ มันจะได้สิ่งนั้นตอบแทนมา นั้นทรัพย์สมบัติทางโลก.. นี้เราเกิดมา เห็นไหม ในครอบครัวเราก็มีความสุข ในครอบครัวเราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ในครอบครัวเราสามารถคุยกันได้ เราสามารถเจือจานกันได้ นี่โลกมีความสุขแค่นี้แหละ

ฉะนั้น เวลาอริยทรัพย์ล่ะ? อริยทรัพย์ ทรัพย์ของใจ ทรัพย์ของใจ ใจที่เป็นนามธรรมๆ เราจะหาทรัพย์ของเรา เพราะเราเกิดมาเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา พุทธศาสนานี่ประเสริฐที่สุด เกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุด เป็นอริยทรัพย์ เห็นไหม ไหนว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง.. การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่งต่อเมื่อเราวิปัสสนา เรารู้จริงตามจริงของเรา เราจะบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

ที่ไหนมีการเกิดที่นั่นต้องมีความทุกข์ ที่ไหนมีการเกิดที่นั่นมีการตาย แต่มันก็ต้องเกิด จิตนี้มันต้องเกิดปฏิเสธไม่ได้! มันมีของมี สสารนี้มันมีของมัน ธาตุรู้มันมีของมัน มันต้องไปตามธรรมชาติของมัน มันมีแรงขับอยู่ มันต้องเกิดเด็ดขาด! แต่เกิดเป็นมนุษย์นี่ประเสริฐที่สุด เห็นไหม แล้วทำไมบอกว่าเกิดแล้วเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะ! เพราะเรามีปัญญา เพราะเรามีสติ เรามีปัญญา จิตเราสงบแล้ว นี่การเกิดการตายอย่างนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด มันจะขึ้นต้น ท่ามกลาง และที่สุดอยู่อย่างนี้ แล้วขึ้นต้น ท่ามกลาง ที่สุด ถ้าในครอบครัวมีบุญกุศลขึ้นมา ชีวิตของเราก็ราบรื่น ชีวิตของเราก็มีความสุขพอสมควร ถ้าเราเกิดมา เห็นไหม เกิดเริ่มต้นด้วยความทุกข์ความยาก เพราะคนเราทำบาปอกุศลก็มี ทำบุญกุศลก็มี แล้วถึงวันตอบสนองเมื่อไหร่?

นี่มันจะเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ มันถึงบอกว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเกิดมาแล้วเริ่มต้นมันต้องมีท่ามกลาง แล้วต้องมีที่สุด แล้วมันสุดที่ไหนล่ะ? มีที่สุดคือจบสิ้นกระบวนการ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วสุดไหมล่ะ? มันไม่สุด เห็นไหม การเกิดการตายถึงหลอกกัน ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติแล้วบอกว่าการเกิดการตายคือหลอกกัน คือมันเป็นอนิจจัง มันเป็นผลของวัฏฏะ มันแปรสภาพของมันอยู่อย่างนี้ไม่มีวันจบหรอก

แต่การปฏิบัติอริยทรัพย์ นี่ผลของวัฏฏะ วิวัฏฏะ.. วัฏฏะมันมีได้ มันเหมือนสถานีรถ สถานีรถที่เราจอดเป็นป้ายๆ ไป เห็นไหม นี่เกิดเป็นภพชาตินั้น ภพชาตินั้น มันจะหมุนเวียนของมันอยู่อย่างนั้นแหละ.. วิวัฏฏะ! ไม่มีรถ จะไปจอดที่ไหน? ไม่มีสิ่งใดมันจะไปจอดที่ไหน? ไม่มีรถแต่มีเรา มีความรู้สึก เพราะนิพพานมันมีของมันอยู่

ไม่มีรถคือเราทำหัวใจของเรา นี่อริยทรัพย์ ทรัพย์อย่างนี้ เราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราต้องแสวงหา เราต้องเข้มแข็ง เพราะเราเข้มแข็งเท่านั้น เราถึงจะรักษาตัวเรา ถ้าจิตใจของเราไม่เข้มแข็ง จิตใจของเราอ่อนแอ การประพฤติปฏิบัตินั้นมันก็ล้มลุกคลุกคลาน แต่ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง ล้มลุกคลุกคลานมันทุกข์ไหม? ทุกข์ ทุกข์ทั้งนั้นแหละ

การปฏิบัติง่ายรู้ยาก การปฏิบัติยากรู้ง่าย เห็นไหม การปฏิบัติง่าย เราทำง่าย แต่เมื่อไหร่มันจะจบสิ้น.. การปฏิบัติง่ายรู้ง่าย การปฏิบัติง่ายรู้ยาก การปฏิบัติยากรู้ง่าย อันนี้มันเป็นผลที่เราทำบุญกุศลกันเนี่ย มันเป็นผลที่เราทำบุญกุศลกัน เราเสียสละกัน สิ่งนี้พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่ง ได้มีการกระทำ ได้มีการเปลี่ยนแปลง

พันธุกรรมของมัน เสียสละ การเสียสละ นี่บุญอันนี้มันตัดแต่งใจของเรา เพราะ! เพราะสิ่งที่เราทำนี่มันซับลงที่ใจแน่นอน จะรู้หรือไม่รู้ สิ่งที่สละออกไปจากมือเรานี่มันซับลงที่ใจแน่นอน นี่เราเสียสละ เราเจือจาน เรามีจิตใจที่เป็นสาธารณะ เห็นไหม พอจิตใจสาธารณะ มันเห็นสิ่งใดมันสะเทือนใจหมดแหละ แต่ถ้าจิตใจมันเห็นแก่ตัวนะ มันจะรวบเข้ามาหมดแหละ มันไม่เห็นสิ่งใดเป็นประโยชน์เลย

แต่ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะ เห็นไหม มันเริ่มเห็น เห็นการกระทำ เห็นชีวิต เห็นความทุกข์ยากของคนอื่น นี่ภาพมันมี สัจธรรมมันมี แต่เขาไม่ได้ประโยชน์ แต่ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะเราได้ประโยชน์ใช่ไหม? เห็นคนทุกข์คนยากสิ ถ้าเราเป็นล่ะ? ถ้าเราทุกข์ล่ะ? นี่จิตใจที่เป็นสาธารณะมันจะเทียบเข้ามา พอจิตใจเป็นสาธารณะ สิ่งนั้นปัญญามันเกิดขึ้นมา แล้วจิตใจเราเป็นอย่างไร? มันธรรมสังเวชไง

คำว่าสังเวชมันสะเทือนใจ พอมันสะเทือนใจนี่น้ำตาไหล น้ำตาร่วง แล้วเราทำอย่างนั้นไหม? เราจะรักษาใจเราไหม? เราจะดูแลใจเราไหม? มันก็ไม่ทำความชั่ว มันก็ไม่ไหลไปตามกิเลส แต่ถ้าจิตใจมันไม่เป็นสาธารณะมันเอาเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ มันไม่เป็นประโยชน์กับมันเลย เห็นไหม นี่เกิดจากอะไรล่ะ? เกิดจากพันธุกรรม เกิดจากการตัดแต่งของเรา การกระทำของเรานะ

นี่พุทธศาสนาสอนลงที่หัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกทุกดวงใจมีสิทธิเสรีภาพที่จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นจะสามารถทำให้ตนชำระสะอาดได้ ตนเท่านั้นจะทำให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์ได้ ไม่มีใครสามารถทำให้เราได้ ถ้าไม่มีใครสามารถทำให้เราได้ เราถึงว่าการทำบุญกุศลขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วเราต้องมีปัญญา

ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราพิจารณาของเรา ใคร่ครวญของเราว่าเราจะเดินไปทางไหน? ถามใจตัวเองว่าอยากได้สิ่งใดเป็นสมบัติ ถามใจตัวเองว่าจะทำอย่างใดต่อไป เกิดมาโลกนี้มันก็ต้องมีอยู่มีกิน เห็นไหม พระเราบิณฑบาตมา พระเราขนาดว่าจะพยายามประพฤติปฏิบัติ ก็ยังต้องมีปัจจัย ไอ้เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นส่วนหนึ่ง นี่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ เห็นไหม เวลาทิ้งบอกว่าไม่เอาอะไรเลย แล้วชีวิตจะอยู่อย่างไรล่ะ?

นี่ชีวิตนี้ก็อยู่ของเรา แต่เราก็ลืมตาอีกตาหนึ่ง คือพยายามพิจารณาของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ ชีวิตนี้มีค่ามาก แล้วเวลาสิ้นสุดไปแล้วนี่ ไปเกิดอีกภพชาติหนึ่งไม่รู้ว่ามันจะคิดอย่างนี้อีกไหม? ถ้าไปเกิดในครอบครัวที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พ่อแม่ก็เป็นลัทธิอื่นนี่เราจะไม่มีโอกาสเลย เว้นแต่ว่าเราพยายามของเรา เราแก้ไขของเรา นี้ขณะที่เรามีโอกาสแล้วเราต้องตั้งใจของเรา

ชีวิตนี้เป็นอย่างนี้แหละ เราก็ต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนของเรา เพื่อความดำรงชีวิตของเรา แต่หัวใจของเรานี่นั่งเฉยๆ กำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ไม่ต้องไปปากกัดตีนถีบเลย แต่ทำไมไม่ทำ? ถ้าทำแล้วมันจะเป็นประโยชน์ของใจดวงนั้น เอวัง