ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

อฐานะ

๒๓ ต.ค. ๒๕๕๔

 

อฐานะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ๖๗๘. เรื่อง “อุปสรรคในการนั่งสมาธิ”

๑. เวลานั่งสมาธิแล้ว หลังจากคำบริกรรมหายไป มีความรู้สึกเหมือนมีไรมาไต่ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายซาบซ่าน เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย เหงื่อออก เวลามีคนเปิดประตูรู้สึกสะเทือนกาย แต่ไม่สะเทือนใจ ไม่ใส่ใจกับเสียง รู้สึกเส้นเอ็นกระตุก ลมหายใจอ่อนจนเหมือนไม่มีลมหายใจ แต่ก็มักจะตกสมาธิทุกครั้งที่ลมหายใจไม่มี ไปต่อไม่ได้ พยายามสู้และไม่กลัวตาย แต่ก็ต้องออกจากสมาธิทุกที ควรจะทำอย่างไร? และพิจารณาเพื่อไม่ให้กลัวตาย

๒. ในบางครั้งเวลานั่งสมาธิ พอคำบริกรรมหาย ร่างกายซาบซ่าน แต่รู้สึกว่าทำไมน้ำลายมันออกเยอะ และต้องพ่วงกับการกลืนน้ำลาย ไม่ทราบว่าควรจะแก้ตรงไหนดีคะ รู้สึกว่าการกลืนน้ำลาย กลับทำลายสมาธิมากกว่าเสียงจากภายนอก

หลวงพ่อ : เราจะบอกว่านี่เป็นสมาธินอก สมาธิใน ถ้าสมาธิในนะ มันออกมาจากภายในนะ ทุกอย่างที่พูดถึงจะไม่มีเลย แต่สมาธินอกหมายถึงว่าเรานี่ไม่เป็นสมาธิ แล้วเราก็คิดว่าเป็นสมาธิ แล้วก็ความว่างอย่างนั้นมันเข้ามา เห็นไหม ความว่างเราก็คิดว่าเป็นความว่าง แต่ความว่างจากภายนอก แต่ตัวจิตมันยังมีอนุสัย มันมีความขัดแย้ง มันมีสิ่งใดอยู่ในใจ ฉะนั้น เขาบอกว่า

ถาม : ข้อ๑. เวลานั่งสมาธิไป หลังจากคำบริกรรมหายไป

หลวงพ่อ : ไม่หาย คำบริกรรมหายไปเพราะขาดสติ ถ้าคำบริกรรมหายไปนะ พุทโธ พุทโธ พุทโธจนมันละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น จนพุทโธหายนี่นะมันจะชัดเจนเข้าไป ถ้าพุทโธหายคืออัปปนาสมาธิ พุทโธหาย พุทโธจนพุทโธไม่ได้ แต่รู้สึกอยู่ชัดเจนมากคืออัปปนาเลย มันจะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป จนพุทโธไม่ได้ ถ้าพุทโธหายคืออัปปนาสมาธิ แต่ถ้ามันเป็นขณิกะ หรืออุปจาระนี่พุทโธยังรับรู้อยู่

ฉะนั้น บอกว่าบริกรรมหายไป พุทโธหายไป จริงๆ คือมันปล่อยวาง มันไม่ยอมพุทโธ จิตมันไม่พุทโธ พอไม่พุทโธปั๊บมันก็มีอาการที่รับรู้นี่ไง คือเหมือนมีไรมาไต่มาตอม มีการไหลเวียนเลือด เหงื่อออกต่างๆ คำว่าเหงื่อออก เรายังรู้ว่าเหงื่อออกเลย เสียงรับรู้ว่าเสียง อุปจาระนี่เสียงรับรู้ได้ ถ้าเป็นอุปจาระ

ถ้าอุปจาระนี่เสียงรับรู้ได้ ทุกอย่างรับรู้ได้ การรับรู้ได้คือการวิปัสสนาได้ไง ถ้าการรับรู้ได้คือการแยกแยะได้ คือการเอามาใช้ปัญญาไตร่ตรองได้ นี่คืออุปจารสมาธิ ถ้าขณิกะ สมาธิเล็กน้อยมันทำสิ่งใดไม่ได้ ถ้าเป็นอุปจาระ ถ้าเป็นจนพุทโธหาย ฉะนั้น คำว่าพุทโธหาย พุทโธหาย ทำไมจะต้องหายด้วยล่ะ? ถ้าจิตเรามันสงบนะเราพุทโธได้ ถ้าจิตเราสงบร่มเย็น นั่นใช้ได้แล้ว นี่พอจิตสงบร่มเย็น แล้วถ้ามันมีความอบอุ่นขึ้นมาแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาก็ได้แล้ว

ทีนี้เพียงแต่เราไปตั้งเป้าไง เราซีเรียส เราซีเรียสว่าต้องพุทโธหาย จิตนี้ต้องเหมือนกับจรวดที่เขาจะออกไปในอวกาศ พอจิตสงบแล้วมันจะเกิดยานอวกาศ มันจะพุ่งออกไปจากโลก เราคิดกันอย่างนั้นไง เพราะเราคิดว่าเป็นสมาธิแล้วจะเกิดกำลัง จะเกิดต่างๆ มันเกิดกำลังจริงๆ แต่ไม่ใช่กำลังอย่างนั้น ดูคลื่น ดูกระแสน้ำสิ มันมีพลังงานของมัน เห็นไหม มันมีพลังงานของมัน คลื่นนี่

จิต! จิตถ้าสงบแล้วมันเป็นพลังงานที่นุ่มนวลมาก มันไม่เป็นพลังงานอย่างนั้นหรอก พลังงานที่นุ่มนวลเพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วมันออกฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าออกใช้ปัญญานี่มันจะมีปัญญาของมัน ถ้ามันมีปัญญา มันน้อมไปถึงเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจะเป็นวิปัสสนา มันจะเกิดภาวนามยปัญญา มันจะละเอียดมาก

นี้มันเป็นความคาดหมาย เป็นความคาดหมายว่านี่คำบริกรรมหายไป เหมือนมีไรมาไต่มาตอม เพราะเราคิดว่าเป็นสมาธิมันต้องนิ่ง แล้วไม่มีสิ่งใดมารบกวนเลย ฉะนั้น เวลาคนเราเป็นอย่างนั้นก็มี หรือว่ามีสิ่งใด เห็นไหม อย่างเช่นตัวเอียง กลืนน้ำลาย น้ำลายออก กรณีเริ่มต้นของการเข้าสมาธินี่นะมันจะมีอุปสรรคมาก ถ้าคนเราสร้างเวรสร้างกรรมมา แต่ถ้าคนเราสร้างบุญกุศลมามันจะราบรื่นมาก ความราบรื่นหรืออุปสรรคของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

ฉะนั้น ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันจะเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ว่าถ้าทำสมาธิต้องเป็นแบบที่หลวงพ่อพูดทุกเรื่องเลยนะ ต้องผ่านอุปสรรคอย่างนั้น อุปสรรคอย่างนี้นะ ไม่ใช่ คนที่มีอุปสรรคก็ต้องผ่านอุปสรรค แล้วถ้าคนมีอุปสรรค ได้กำจัดอุปสรรคนั้นไปแล้ว คราวต่อไปปัญญามันรู้ทัน อุปสรรคนั้นจะหายไป อุปสรรคนั้นจะไม่เกิดขึ้น

อุปสรรค เวลาอุปสรรคมันเกิดนี่นะ ถ้าอย่างเช่นเรา นี่เรานักหัดภาวนา แล้วเราเป็นคนที่กรรมหนามาก เคยทำความบาปอกุศลไว้เยอะมาก คราวนี้จะเจออุปสรรคมหาศาลเลย พอผ่านอุปสรรคนั้นไปนะ คราวหน้าอุปสรรคมันยิ่งวิกฤติเข้าไปใหญ่ มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาไง

คราวนี้มันอุปสรรคชนิดนี้ เราแก้ไขอุปสรรคนี้ไปได้ พอแก้ได้มันก็สงบร่มเย็น คราวหน้าไปนะมันมีอุปสรรคใหม่ อุปสรรคใหม่มันก็สร้างอุปสรรคใหม่ คือว่าถ้ายังมีกรรมอยู่นะ อุปสรรคนี่คือว่ากิเลสมันสร้าง อย่างเช่นไรมาไต่มาตอม อย่างเช่นความรู้มันแผ่ซ่าน รู้ว่าเส้นเลือดนี่เลือดมันสูบฉีด มันรู้ไปเรื่อยแหละ

ถ้าทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ทางโลกเขาบอกว่าอย่างนี้เป็นอุปาทานหรือเปล่าหลวงพ่อ? แหม เขาเป็นอุปาทานหลวงพ่อก็ตอบใหญ่เลย นี่มันเป็นอุปาทานหรือเปล่า? ถ้ามันเป็นอุปาทาน หรือเป็นอะไร มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ แต่เวลาจิตมันเป็นนะ อุปาทานแค่นั้นแหละ แค่เสียงจิ้งจกทักนี่แหละ พอนั่งไปคราวหน้าเสียงจิ้งจกมาก่อนแล้ว

แค่เสียงจิ้งจกทักนี่นะ พอจิตมันซับแล้วนะจิ้งจกมาทุกทีเลย พอจิตสงบจิ้งจกมาแล้ว พอจิตสงบจิ้งจกมาแล้ว เพราะอะไร? เพราะสัญญามันซับไปแล้ว นี่ถ้าบอกว่ามันเป็นอุปาทานหรือเปล่า? อ้าว เป็นหรือเปล่า? ถ้าภาวนาก็จะรู้ว่าเป็นหรือเปล่า?

ฉะนั้น เราบอกว่าอุปสรรคนี่ เราจะย้อนให้กลับไปดูที่กรรมของเรา ถ้ากรรมของเรา นี่กรรมของเราทำมาอย่างนี้ แล้วเวลาเราหัดปฏิบัติใหม่ เหมือนเด็กๆ หัดฝึกงาน เด็กฝึกงานนี่หันรี หันขวางนะ ทำงานไม่ชำนาญ ผู้ที่เขาผ่านงาน ประสบการณ์ ๑๐ ปี ๒๐ ปี งานอย่างนี้เขาทำนะคล่องตัวมาก เพราะเขาทำด้วยความชำนาญของเขา จิตหัดปฏิบัติใหม่จะเป็นอุปสรรคอย่างนี้

ฉะนั้น เวลาเราฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ คือผู้มีประสบการณ์จนท่านสิ้นกิเลสแล้ว อย่างเช่นหลวงตากับหลวงปู่มั่นท่านสิ้นกิเลสไปแล้ว เวลาท่านอธิบายเราก็จะต้องให้เป็นแบบนั้น คนอธิบายอธิบายแบบผู้ชำนาญการ ไอ้เรานี่ฝึกหัดใหม่ เราเอาสิ่งที่ผู้ชำนาญการ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการไว้ เอาสิ่งนั้นเป็นหลัก แล้วเราภาวนาของเราไป จะมีอุปสรรคอะไรเราก็แก้ของเราไป ไม่ใช่ว่าให้เราเพิ่งหัดปฏิบัติก็จะให้เป็นผู้ชำนาญการเลยนี่มันไม่มีหรอก

ฉะนั้น สิ่งที่มันจะมีอุปสรรคนี่นะ อ่านอีกทีหนึ่ง

ถาม : ๑. เวลานั่งสมาธิแล้ว หลังจากคำบริกรรมหายไปแล้ว

หลวงพ่อ : นี่ตรงนี้เรายกไว้ คำบริกรรมหายไปแล้ว ถ้าหายไปแล้วนะมันก็สักแต่ว่าพุทโธ สักแต่ว่านิ่ง คิดไม่ได้ ไม่รับรู้สิ่งใดเลย ฉะนั้น คำว่าคำบริกรรมหายไปแล้วนี่เราคิดเอาเอง แต่มันไม่เป็นความจริง มันถึงได้มีความรู้สึกต่อไปนี้

ถาม : เมื่อคำบริกรรมหายไปแล้ว ก็รู้สึกเหมือนมีไรมาไต่ หลังจากนั้น (หลังจากนั้นนะ) ก็รู้สึกว่าร่างกายซาบซ่าน เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย เหงื่อออก เวลามีคนมาเปิดประตูรู้สึกสะเทือนกาย แต่ไม่สะเทือนใจ ไม่ใส่ใจในเสียง รู้สึกเส้นเอ็นกระตุก ลมหายใจอ่อนจนเหมือนไม่มีลมหายใจ แต่ก็มักจะตกสมาธิทุกครั้งที่ลมหายใจไม่มี ต่อไปไม่ได้ พยายามสู้และไม่กลัวตาย แต่ก็ต้องออกจากสมาธิทุกที

หลวงพ่อ : นี่เวลาอุปสรรคนะ อุปสรรคก็วางไว้ คืออย่าไปหมกมุ่นกับความรู้สึกนึกคิดนี้ เวลาเราจะภาวนานะ เราพยายามไม่หมกมุ่น จิตนี้เป็นเอกภาพ คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สอนพระไว้บอกว่า “ถ้าใครเจอโลกธรรม” หมายถึงว่าเจอแรงนินทา แรงกลั่นแกล้ง โลกธรรมคือการทำร้ายว่าอย่างนั้นเถอะ

“ถ้าพระองค์ใดเจอโลกธรรมรุนแรงให้นึกถึงเราตถาคต เพราะในการเสียดสีกับโลกธรรม ไม่มีใครโดนเสียดสีรุนแรงเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ฉะนั้น เวลาเราจะปฏิบัติเราทุ่มเทไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงความทุกข์ ความยาก คิดถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์ ออกมาปฏิบัติ ๖ ปีทุกข์ยากขนาดไหน? นี่เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง พอเป็นที่ตั้งปั๊บ ไอ้ที่ว่านี่ลมหายใจมันสูบฉีด เลือดมันสะเทือน มันแผ่ซ่าน มีไรมาไต่มาตอม นี่มันจะไม่ไปล้วงข้อมูลภายใน ล้วงข้อมูลจากจิตขึ้นมาให้มันรู้สึกไง

น้อมใจไปที่พุทโธ พุทโธ ไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเต็มที่เลย แล้วบริกรรมให้ชัดๆ สิ่งใดจะเกิดขึ้น อันนี้มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเรากำหนดพุทโธมันก็จะผ่านไปเอง แต่ถ้าเราไปบอกว่า โอ๋ย ไรมาตอมแล้วนะ นี่เลือดสูบฉีดแล้วนะ เดี๋ยวก็สูบฉีดแล้ว สูบฉีดเล่า ตอมแล้ว ตอมเล่าอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าเราคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดๆ

คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพุทโธไปเรื่อยๆ อะไรจะเกิดช่างหัวมัน อะไรจะเกิดช่างหัวมัน เดี๋ยวผ่านไป พอผ่านไปแล้วนะ เอ้อ ไม่น่าถามหลวงพ่อให้เหนื่อยเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย โฮ ไม่เห็นมีอะไรเลย ไปยึดติดเอง มันผ่านไปก็จบ

ข้อ ๒. ก็เหมือนกัน ข้อ ๒ นี่นั่งสมาธิแล้วมันมีสิ่งใดซาบซ่าน พุทโธชัดๆ ไว้ อุปสรรคมีทุกคนนะ แล้วถ้าเรื่องอุปสรรคนี่ก็ต้องย้อนกลับไปที่กรรม กรรมใครกรรมมันนะ บัว ๔ เหล่า จิตเราแบ่งออกเป็นบัว ๔ เหล่า ใต้น้ำ เสมอน้ำ ปริ่มน้ำ พ้นจากน้ำ ใต้น้ำนี่ไม่ฟังอะไรเลย ดูสิลูกน่ะ เวลาพ่อแม่คุยกับลูก มันกระฟัดกระเฟียด มันไม่สนเลยนะ แบมือเอาอย่างเดียวเลยล่ะ แล้วสุดท้ายก็บอกว่าพ่อแม่ไม่รัก (หัวเราะ) ถ้ามันบัวเหนือน้ำนะมันจะช่วยพ่อ ช่วยแม่ นี่มันเป็นเวรกรรมมาอย่างนั้น แล้วเราค่อยๆ แก้ไปนะ

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจนี่ พอคำว่าอุปสรรคมันไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แล้วใจดวงเดียวกัน ปฏิบัติแต่ละคราวก็ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรอก มันเป็นปัจจุบันตลอด ถ้าเหมือนก็เป็นอดีตไปแล้ว อดีต อนาคตแก้กิเลสไม่ได้ อดีต อนาคตนั่นแหละมันทำให้การปฏิบัติปัจจุบันเราล้มลุกคลุกคลาน เราวางอดีต อนาคตให้หมดแล้วอยู่กับปัจจุบันนี่แหละ ดีหรือชั่วนี่สุคโต จะสุคโตต้องสุคโตตรงนี้ แล้วถ้าที่นี่สุคโตนะ เดี๋ยวตายไปมันจะสุคโตอยู่ร่มเย็นเป็นสุข นั้นพูดถึงว่าให้ตั้งใจปฏิบัตินะ

ทีนี้เข้าอันนี้แล้วนะ ข้อ ๖๗๙. นะ

ถาม : ๖๗๙. เรื่อง “ความเสื่อมลงจากพระอริยะ และหลับไม่ได้ในพุทโธ” (นี้คำถามที่เขาถามมานะ)

๑. พระอริยบุคคล ชั้นพระโสดาบันจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ โดยไม่ไปเกิดในอบายภูมิเด็ดขาด ตามที่หลวงพ่อเคยเทศนาไว้นั้น ถ้าผมคิดแบบโกง คือถ้าตอนใกล้สิ้นลมของพระโสดาบัน ท่านสามารถปรารถนาเกิดเป็นสัตว์ที่มีอายุขัยไม่นานได้หรือไม่ครับ เช่นมดและยุง เพื่อให้ ๗ ชาตินั้นเลื่อนมาไวๆ ขึ้นครับ หรือว่าเป็นไปไม่ได้ครับ (หัวเราะ)

๒. พระอริยบุคคลสามารถเสื่อมลงได้หรือไม่ครับ เช่นพระโสดาบัน ผมเคยเห็นในบทสวดมนต์ บทอะไรสักอย่างแต่จำไม่ได้ครับ มีคำแปลด้วยเหมือนว่าอย่านอนใจ ให้เร่งปฏิบัติ เพราะมันเสื่อมลงได้ ถูก ไม่ถูกอย่างไรขออภัยด้วยครับ

๓. (นี่ของจริงอยู่ที่ข้อที่ ๓.) อันนี้เป็นปัญหาของผมที่ประสบเองครับ คือผมจะภาวนาพุทโธ โดยมักจะทำตอนท่านอน เริ่มแรกก็พุทโธ พุทโธไปเรื่อยๆ แล้วหลับไปสบายดี แต่พอมาช่วงหลังๆ นี้ พอจะล้มตัวลงนอนปรากฏว่าคำบริกรรมพุทโธจะผุดออกมา คือเราจะนึกเองเลย ทำให้กลายเป็นนอนไม่หลับ กลายเป็นไม่สามารถนอนหลับได้ เพราะจิตมันนึกพุทโธอยู่ ทำให้เป็นครึ่งหลับครึ่งตื่นครับ เพราะจิตด้านหนึ่งเหมือนอยากจะนอน แต่อีกด้านหนึ่งนึกพุทโธอยู่ แบบนี้จะแก้ไขอย่างไรดีครับ?

พอใกล้สว่างจะตื่นนอนอัตโนมัติ มันจะร้อนๆ นอนไม่หลับ ข่มตาหลับไปแบบเป็นฝัน แต่พอลองมานึกพุทโธพบว่าจิตสงบร่มเย็น เหมือนมีสติครับ แบบนี้เกิดจากอะไรครับ? แล้วพระโสดาบันคืออะไรครับ?

หลวงพ่อ : เวลาถาม ถามพระโสดาบันเลยนะ เวลานอนบอกว่านอนไม่หลับ นี่เวลาฟังเทศน์หลวงปู่เจี๊ยะสอนไว้ บอกว่ามีดเชือดโค มืดเชือดไก่ เห็นไหม มีดเชือดไก่เขาใช้มีดเล็กๆ มีดเชือดโค มีดเชือดสัตว์ใหญ่มันแตกต่างกัน

เวลาเราพูดถึงธรรมะ พระอริยเจ้าพูดถึงโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล มันเป็นธรรมที่ว่าเป็นอกุปปธรรมแล้ว ธรรมที่เหนือโลก อฐานะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมนี้เป็นอนัตตา สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรม กิริยาที่การเคลื่อนไหวนี่เป็นอนัตตา แต่ผลของมันไม่เป็นอนัตตา พ้นจากอนัตตาไป อฐานะ อกุปปธรรม

ฉะนั้น ธรรมที่สูงส่ง ธรรมที่พ้นเหนือจากโลก นี่อุตริมนุษยธรรม ธรรมเหนือมนุษย์ไง ธรรมเหนือมนุษย์ มนุษย์ปกติก็สามัญสำนึกเรานี่แหละ แต่ถ้าเป็นโสดาบัน เห็นไหม ธรรมเหนือมนุษย์ ฉะนั้น ใครอวดสิ่งที่ไม่มี อวดอุตริมนุษยธรรม สิ่งที่เวลาพูดไปนี่มันธรรมเหนือการคาดหมายของปุถุชน เวลาข้อ ๑ กับข้อ ๒ เราจะให้เห็นว่าคนถามนี่นะจับแพะชนแกะไง จับแพะชนแกะเพราะอะไร? เพราะเวลาข้อที่ ๒ เห็นไหม บอกว่า

ถาม : เคยได้ยินบทสวดมนต์ว่านี่มันจะเสื่อม ถ้ามันจะเสื่อมต้องให้เจริญยิ่งขึ้น

หลวงพ่อ : มันมีบทสวดมนต์มีอยู่ ต้องทำความดีที่ดีมากกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีต้องมีการกระทำขึ้นไป นี่มันมี บทสวดมนต์มันมี บทสวดมนต์มันก็กิริยาที่การกระทำนั่นไง แต่เวลาเป็นพระโสดาบันมันพ้นไปแล้ว

นี่เราจะบอกว่าธรรมนี้ธรรมเหนือโลก แต่เพราะเราไม่เข้าใจ เราฟังแล้วเราไม่เข้าใจเราก็สับสนไง ไปเอาธรรมที่สูงส่ง ธรรมที่เหนือโลก กับโลกนี่เอามาคละเคล้ากัน แล้วก็จับต้นชนปลายไม่ถูกไง แล้วก็งงไปหมดไง แล้วก็ตั้งคำถามมา แล้วตั้งคำถามมา คำถามแปลกด้วยนะ บอกว่า

ถาม : ถ้าผมคิดแบบโกง

หลวงพ่อ : ถ้าคิดแบบโกงมันก็ไม่ใช่พระโสดาบันน่ะสิ พระโสดาบันมันสีลัพพตปรามาสมันจะโกงได้อย่างไรล่ะ? มันต้องคิดแบบพระโสดาบันสิ นี่คิดแบบโกง คิดแบบโกงมันก็มิจฉาทิฏฐิ โกงมันก็เป็นอกุศล ถ้าเป็นอกุศล มันคิดแบบโกงมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ นี้เริ่มต้นนะ

ถาม : ๑. พระอริยบุคคลขั้นโสดาบันจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ โดยไม่ได้เกิดในอบายภูมิเด็ดขาด ตามที่หลวงพ่อเทศนาไว้

หลวงพ่อ : มันไม่เกิดในอบายภูมิเด็ดขาด มันแน่นอนอยู่แล้ว นี้คิดแบบโกงไง พอตอนใกล้สิ้นลม แรงปรารถนา เพราะเวลาคนตาย ถ้าคนตายนี่แรงปรารถนา เพราะเรารู้ก่อน เห็นไหม นี่การปฏิบัติครูบาอาจารย์ท่านจะไม่บอกก่อน ถ้าบอกก่อนปั๊บมันจะเป็นวิปัสสนึก เราจะนึกตามสร้างภาพให้ได้อย่างนั้นเลย เราบอกพระโสดาบัน

นี่เวลาคนตาย เห็นไหม เวลาเราจะตาย คนโบราณบอกว่า ถ้าคนจะตายนะให้นึกถึงพระ นึกถึงพุทโธไว้ เพราะเวลาเรานึกถึงพระ เราได้อยู่ใกล้พระ เราจะนึกถึงคุณงามความดีไว้ ฉะนั้น เวลาใกล้ตายนะ เราก็ปรารถนานึกว่าเกิดเป็นสัตว์ นี้ความคิดของเขาไง ก็คิดแบบโกงมันก็เลยโกงทั้งชีวิตเลย โกงทั้งตัวเองด้วย นี่ไปเกิดแบบสัตว์ แบบสัตว์เพราะอะไร? เพราะพระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ

คำว่าพระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาตินี่นะ แบบว่าพระโสดาบันแบบต่ำสุดนะ นี่ถ้าเอกพีชี คือว่าโสดาบันชาตินี้อย่างเช่นพระอานนท์ เห็นไหม พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน แล้วพระอานนท์ก็เป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน ยังไม่ได้ตายเลย แต่ถ้าพูดถึงคนที่ปรารถนาเป็นพระโสดาบัน อย่างต่ำสุดจะเกิดอีก ๗ ชาติ แต่ไม่ใช่ว่าเกิด ๗ ชาติแล้วจะสิ้นกิเลส ไม่ใช่!

คำว่าเกิด ๗ ชาติคือเกิด ๗ ชาติ แต่เกิดแล้วเขามาสร้างคุณงามความดี ภายใน ๗ ชาตินั้นเขาพยายามจะปฏิบัติของเขาให้พ้นไป ถ้าเกิด ๗ ชาติ เกิดเฉยๆ เกิดตายๆ ๗ ชาติเป็นพระอรหันต์หรือ? อ้าว อย่างนี้มันก็ปั๊มเอาน่ะสิ มันไม่ใช่

พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ ภายใน ๗ ชาตินั้นพระโสดาบันจะพยายามประพฤติปฏิบัติให้เป็นพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีพยายามประพฤติปฏิบัติให้เป็นพระอนาคามี พระอนาคามีพยายามจะขวนขวายให้เป็นพระอรหันต์ ภายใน ๗ ชาติ ไม่ใช่เกิดเฉยๆ โอ๋ย นี่เกิดอีก ๗ ชาติแล้วคิดจะเกิดเป็นสัตว์

คำถามนะ บอกว่าผมคิดแบบโกง ถ้าเวลาพระโสดาบันจะตายก็ปรารถนาให้เกิดเป็นยุงหรือเป็นมดก็ได้ เพราะมันจะได้ครบ ๗ ชาติไวๆ อ้าว ให้มันครบ ๗ ชาติมันจะได้เป็นพระอรหันต์ไง นี่ไงก็คิดแบบโกง เห็นไหม เพราะเริ่มต้นด้วยการคิดแบบโกง มันก็เลยโกงตัวเอง มันไม่ใช่ว่าการเกิดครบ ๗ ชาติแล้วได้เป็นนะ

อย่างเช่นที่หลวงตาท่านเทศน์ประจำ เห็นไหม พระอนาคามีไปเกิดเป็นพรหม พอเกิดเป็นพรหมนี่สุกไปข้างหน้า ขณะที่เป็นพรหมนั่นแหละ นี่เวลามันต้องการปฏิบัติให้พ้นไปไง เพราะมันไม่ลงมาแล้ว ไม่ลงมาเกิดอีกแล้ว มันเกิดเป็นพรหมแล้วก็จะสิ้นเป็นพระอรหันต์ไปเลย แต่มันก็ต้องมีการกระทำ มันต้องมีมรรคญาณ นี่มันต้องมีเหตุมีผลของมัน

แต่นี่เพราะคิดแบบโกงใช่ไหม? เพราะคำว่าพระอรหันต์ต้องเกิดอีก ๗ ชาติ ฉะนั้น ให้ครบ ๗ ชาติซะ พระโสดาบันจะเกิดอีก ๗ ชาติ ต้องเกิดให้ครบ ๗ ชาติ ก็เลยอยากให้ครบ ๗ ชาติไวๆ ก็คิดแบบว่าให้เกิดเป็นมดซะ (หัวเราะ) ให้เกิดเป็นมด เกิดเป็นยุงมันจะได้ครบ ๗ ชาติ

เพราะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนะ ถ้าพูดถึงเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่สมองเขา สิ่งต่างๆ เขาทำความดีได้นะ ดูสิสัตว์มันรักหมู่คณะ รักฝูงนะ รักลูก จะรักมาก จะดูแลลูกของเขาเหมือนกัน เขาทำความดี ความชั่วได้ อย่างเช่นสุนัข เห็นไหม สุนัขที่ในพระไตรปิฎก

นี่เขานิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน แล้วพอมาฉัน แล้วนิมนต์ฉันทั้งพรรษา แล้วถึงเวลาอาหารเสร็จแล้วจะนิมนต์ นัดหมายกันว่าให้สุนัขนี่ไปบอก ให้สุนัขเดินไป สุนัขมันจะมา ทีนี้สุนัขมันก็ไปทุกวัน พอไปทุกวันพระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นสุนัขแล้วรัก สงสารไง เวลาไปก็แกล้งเดินหลงทางบ้าง อะไรบ้าง สุนัขมันไม่ยอมนะ มันมากัดจีวรแล้วก็ดึงกลับมา ไม่ใช่ๆ ทางนี้ๆ

นี่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เล่นกับสุนัขนั้น สุนัขมันก็ผูกพันมาก ออกพรรษาแล้ว ประเพณีนะ อริยประเพณี ออกพรรษาพระจะต้องออกธุดงค์ ฉะนั้น ออกพรรษาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องจากที่นั่นไป สุนัขมันรักมาก มันหอนจนมันสิ้นชีวิตเลย มันหอนจนหัวใจแตกจนสิ้นชีวิตไป พอสิ้นชีวิตนี่ด้วยความผูกพัน ด้วยคิดถึงพระตลอด เห็นไหม มันไปเกิดเป็นเทวดา เป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุด เพราะมันใช้เสียงไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปเห่าทุกวัน ไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันอาหาร

ฉะนั้น ในเทวดา เห็นไหม เวลาพระเราปฏิบัติ เอตทัคคะ อย่างพระอานนท์เป็นเอตทัคคะคือเลิศที่สุด ในเทวดาที่เสียงเพราะที่สุด เลิศที่สุดคือท้าวโฆษก ท้าวโฆษกเป็นเทวดา สุนัขไปเกิดเป็นเทวดานะ สุนัขหรือสัตว์เดรัจฉานนี่ทำดี ทำชั่วได้ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมได้ แต่สัตว์เดรัจฉานบรรลุธรรมไม่ได้

การบรรลุธรรม กับการไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นี้แตกต่างกัน การเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เพราะทำบุญกุศล สร้างคุณงามความดี การสร้างคือการให้ คือการเสียสละนี่แหละ ผลมันได้เป็นอัตโนมัติ แต่มรรคผลมันไม่ใช่อัตโนมัติ อัตโนมัติไม่มี มีแต่ปัญญา มีแต่มรรคญาณ มรรค ๘ มรรคสามัคคี มรรคญาณมันเข้ามาชำระล้างกิเลสของตัวเอง ฉะนั้น ไปเกิดอีก ๗ ชาติมันไม่มีอะไรชำระล้าง เกิดตายๆ เกิดตายคือผลของวัฏฏะไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าสัตว์เดรัจฉาน ที่ว่าไปเกิดเป็นยุง เป็นสัตว์นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเกิดเป็นอริยบุคคลนะ เกิดเป็นอริยบุคคลแล้วมันลงมาไม่ได้ ต่ำกว่านั้นไม่ได้ อย่างต่ำสุดเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์นี่ประเสริฐด้วย คือมันจะปฏิบัติให้สิ้นไป ฉะนั้น คิดแบบโกงไง คิดแบบโกงมันก็เลยโกงไปหมดเลย

เราจะบอกว่า “ธรรมอย่างหยาบกับธรรมอย่างละเอียดไง” เพราะธรรมเรามันอย่างหยาบๆ ใช่ไหม? เราก็คิดแบบโลกๆ อย่างเช่นเทวดานี่เขากินวิญญาณาหาร อาหาร ๔ ในวัฏฏะ เห็นไหม กวฬิงกวราหาร อาหารคำข้าว วิญญาณาหาร อาหารของเทวดา ผัสสาหาร อาหารของพรหม มโนเจตนาหาร มโน นี่มโนเจตนาหาร อาหารของการเกิด การตายในวัฏฏะ แล้วเทวดากับมนุษย์ก็กินอาหารต่างกันแล้ว

นี้พอเราก็โอ้โฮ เป็นห่วงนะ ทำบุญกันใหญ่เลยนะ จะเอาหูฉลามน้ำแดงอย่างเดียวเลยนะ เพื่อจะเอาไปกินบนเทวดาด้วยไง พอไปเป็นเทวดาขึ้นมามันไม่มีปาก มันไม่มีร่างกายจะกิน หูฉลามเลยกินไม่ได้ เอาไปก็ไปเน่าอยู่บนนั้นไง มันกินทิพย์ เทวดามันไม่มีปาก ไม่มีร่างกาย เห็นไหม เวลาไปเกิดสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง นี้คือความคิดไง ความคิดว่า เออ

มีคนโต้แย้งนะ บอกว่า ถ้าเป็นวิญญาณาหาร นึกเอาอย่างนี้ โอ้โฮ อย่างนี้เทวดาก็เป็นง่ายๆ เนาะ นึกว่าเป็นเทวดาก็เป็นเทวดา ก็เป็นทิพย์ก็นึกเอา พอนึกเอาก็นึกเอา แล้วนึกอะไรล่ะ? นึกอะไร? ถ้าไม่เคยทำนึกอะไร? อ้าว ในกำมือนี้มีอะไรนึกมา? ในกำมือนี้มีอะไรนึกเอา? ก็เดาน่ะสิ ในกำมือก็มีอากาศไง

ถ้าเราไม่เคยทำเรานึกไม่ออกนะ ถ้าเราไม่เคยทำ ถ้าเราไม่ได้ทำไว้เรานึกไม่ออก นี่ไงความลับไม่มีในโลก เราทำสิ่งใดไว้เรานึกสิ สิ่งที่เราเคยทำเรานึกได้หมดแหละ สิ่งที่ไม่เคยทำเรานึกออกไหม? มันนึกไม่ได้หรอก แต่มันก็คิดใช่ไหม? เออ นึกเอา ก็นึกเอาเลยนะ นึกเอาสิ่งที่ดีๆ นึกเอาสิ่งที่ดีมันอะไร มันไม่มีจริง แต่ถ้ามีจริงคือการเสียสละ นี้พูดถึงความคิดของโลก

ฉะนั้น พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ คำว่าเกิดอีก ๗ ชาติ เพียงแต่ว่ามันเป็นสถานะไง สถานะว่าพระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติก็ได้ ๓ ชาติก็ได้ ไม่เกิดเลยก็ได้ นี่พระสกิทาคามีเกิดเท่าไร? พระอนาคามีไม่เกิดในกามภพอีกแล้ว เกิดบนพรหม นี่พระอรหันต์ไม่เกิดอีก แล้วที่เกิด อะไรพาเกิด? แล้วไม่เกิด เพราะอะไรถึงไม่เกิด? ทีนี้บอกว่าเกิดอีก ๗ ชาติก็คิดว่าเกิดให้มันครบ ๗ ชาติ เออ งง เราก็เพิ่งคิดว่าเขาคิดได้อย่างนี้เหมือนกันเนาะ

เกิดอย่างไรก็ได้ขอให้ครบ ๗ ชาติ จะได้จบ พระโสดาบันจะได้สิ้นกิเลสไวๆ เนาะ ฉะนั้น ก็เลยนึกว่ามาเกิดเป็นมด เป็นยุง เพราะมัน ๗ วันจะได้ครบ ๗ ชาติไวๆ เห็นไหม นี่คำถามอย่างนี้มันทำให้คิดถึงมรรค ๘ ดำริชอบกับดำริไม่ชอบไง ถ้าดำริชอบก็เป็นมรรค ดำริไม่ชอบมันก็เป็นอกุศล ฉะนั้น นี่ไงที่ว่าดำริชอบ ดำริไม่ชอบ มรรค ๘ ไง มรรค ๘ ต้องใช้ปัญญา ปัญญาชอบกับปัญญาไม่ชอบ ถ้าปัญญาชอบมันก็ทำให้เราพ้นจากกิเลส แล้วนี่ปัญญาไม่ชอบ แต่เขาก็ดีอย่างนะ

ถาม : ถามผมคิดแบบโกง

หลวงพ่อ : เขารู้อยู่ว่ามันผิดอยู่แล้วไง ถ้าผมคิดแบบโกง ผมจะเกิดให้ครบ ๗ ชาติไวๆ ผมก็คิดว่าพระโสดาบันปรารถนาเกิดเป็นมด เกิดเป็นมดแล้วก็ไปโดนชะมดมันกินใช่ไหม? เกิดเป็นมดแล้วจะให้อะไรกินล่ะ? เกิดเป็นมดจะให้ปลากินใช่ไหม? นี่ความคิดของเขานะ

นี่พูดถึงว่าเป็นไปได้ไหม? ไม่ได้

ถาม : ๒. พระอริยบุคคลสามารถเสื่อมลงมาได้หรือไม่ครับ เช่นพระโสดาบัน ผมเคยได้ยินบทสวดมนต์

หลวงพ่อ : ไม่ได้ อกุปปธรรม กุปปธรรมคือสัพเพ ธัมมา อนัตตา อกุปปธรรม อฐานะ อฐานะเป็นไปไม่ได้ พระโสดาบันจะเสื่อมจากพระโสดาบันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าสิ่งที่สวดมนต์ บทสวดมนต์เขาบอกว่าสิ่งที่พระโสดาบันก็อยากเป็นพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีอยากเป็นพระอนาคามี

พระโสดาบันอยากสิ้นจากทุกข์ ฉะนั้น พระโสดาบันก็พยายามประพฤติปฏิบัติเสริมต่อไป แต่พระโสดาบันไม่เสื่อมจากพระโสดาบันเด็ดขาด พระโสดาบันอฐานะในการเสื่อม แต่เวลาขึ้นไปปฏิบัติในขั้นสกิทาคามีก็งงนะ งงไปหมดเหมือนกัน เอ๊ะ ทำผิด ทำถูกนะ ไม่อย่างนั้นพระสกิทาคามีหลงไม่ได้ ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วมันต้องมีปัญญารอบรู้ มันจะเดินตรงไปสู่พระอรหันต์เลย ไม่ใช่

พระโสดาบันปัญญารอบรู้ มรรคหยาบๆ มรรคของพระโสดาบัน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล แล้วเป็นสกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตมรรค อรหัตผล นี่มันเป็นขั้นตอนของมัน ถ้าขั้นตอนของมัน กิเลสมันละเอียดกว่านั้น กิเลสของสกิทาคามีกับกิเลสของอนาคามีไม่เหมือนกัน กิเลสของอนาคามีกับกิเลสของสกิทาคามีไม่เหมือนกัน กิเลสของอรหัตมรรคกับกิเลสของพระอนาคามีก็ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน

พอไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันอย่างไรล่ะ? ไม่เหมือนก็ต้องคนที่ปฏิบัติแล้วรู้จริงเห็นจริงถึงจะรู้ได้ ฉะนั้น ที่ว่าจะเสื่อมจากโสดาบันเป็นไปไม่ได้เลย แล้วเวลาตายไปแล้วล่ะ? ไปเกิดเป็นอะไร? ถ้าไปเกิดเป็นเทวดานะ เป็นเทวดาพระอริยเจ้ากับเทวดาปุถุชน ถ้าเป็นพรหมก็เป็นพรหมพระอริยเจ้ากับพรหมปุถุชน พรหมอริยเจ้าคือมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้าปุถุชนก็คนมีกิเลสแล้วเกิดเป็นพรหม

นี่ไงก็เกิดในโลกนี้แหละ แต่จิตใจมันแตกต่างกันไป แล้วมันจะเสื่อมไหมล่ะ? มันเสื่อมมาไม่ได้ มันเสื่อมมาไม่ได้ ถ้าพระโสดาบันคือพระโสดาบันตลอดไป แล้วอย่างที่ว่าอีก ๗ ชาติ เห็นไหม นี่เวลาข้อที่ ๑. บอกจะไปเกิดเป็นมด เป็นยุง แล้วพอมาข้อที่ ๒. ก็บอกว่ามันจะเสื่อม เกิดเป็นคนแล้วมันจะเสื่อมไหม?

ไม่มีวันเสื่อมนะ ไม่เสื่อมจากโสดาบันเด็ดขาด แล้วไม่เสื่อมอย่างไร? ไม่เสื่อมเพราะมันรู้ตัวเองตลอดเวลา เหมือนของที่ทำสำเร็จแล้วจะไปกลับสู่อย่างนั้นไม่ได้ ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์นะ เฟอร์นิเจอร์นั่นถอดได้ แต่จิตนี้ไม่ได้ พอโสดาบันก็โสดาบันตลอดไป แล้วโสดาบันพยายามจะพัฒนาไปไม่มีวันเสื่อม เสื่อมไม่ได้อีกเลย

ถ้าเสื่อมไม่ได้ มันแกล้งเสื่อมก็ไม่ได้ อย่างเช่นพระโสดาบันแกล้งมาเกิดเป็นมดนี่ไม่ได้หรอก แกล้งไม่ได้ มันไม่ใช่ศาลนี่ ศาลยังเอียงได้ ศาลยังตัดสินผิดได้นะ แต่อริยภูมิมันผิดไม่ได้ ไม่มีผิดอีกแล้ว เพราะมันพ้นไปแล้ว มันกลับไม่ได้ไง มันกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้น เรื่องว่าเสื่อมไม่มี แต่ถ้าเป็นสูงขึ้นไปๆ จนสิ้นกิเลสก็จบ

ถ้าไม่สูงขึ้นไปนะ สกิทาคามีก็ยังมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ มันยังมาเกิดอยู่นะ ถ้ามาเกิดอยู่จิตใจสูงส่งมาก ทีนี้พอเกิดมาแล้วใครรู้บ้างล่ะว่าเป็นสกิทาคามีหรือไม่เป็นสกิทาคามี? แต่นี่ขิปปาภิญญา เวลาปฏิบัติมันจะปฏิบัติเร็วของมัน มันมีของมัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขาพร้อมโดยตัวเขาเอง เขารู้โดยตัวเขาเอง เขาเจอเหตุการณ์วิกฤติอย่างไรเขาก็อยู่โดยตัวเขาเอง

นี่พูดถึงว่า “พระอริยบุคคลจะเสื่อมได้ไหม?”

ไม่ได้ แต่ในบทสวดมนต์ บทสวดมนต์เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาคัดมาจากพระไตรปิฎกไง เวลาเราสวดมนต์ เรานึกถึงพระพุทธเจ้า เราสวดมนต์อะไรนะ นึกไม่ออก เพราะบทสวดมนต์เริ่มตั้งแต่ อย่างบางบทมันแต่งเอาก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วอย่างเช่น ธัมมจักร(ธัมมจักกัปปวัตนสูตร) เทศน์อนัต(อนัตตลักขณสูตร) บทสวดมนต์พระพุทธเจ้าเทศน์สอนทั้งนั้นแหละ ถ้าอย่างนั้นแล้วมันเป็นพระพุทธเจ้าสอนบอกถึง นี่อนัต(อนัตตลักขณสูตร) เห็นไหม

“ขันธ์ ๕ เป็นเธอหรือไม่เป็น? เป็นเราหรือไม่เป็นเรา?”

“ไม่เป็นเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

“เป็นทุกข์พระเจ้าค่ะ”

“เป็นทุกข์เรายึดไว้ทำไม?”

นี่ไล่มาเรื่อยๆ ไล่มาเรื่อยๆ เพราะว่าขณะสอนไง สอนปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์นี่สิ้นกิเลสไปเลย แล้วเราก็เอาคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนปัญจวัคคีย์นี่ท่องทุกวันเลย แล้วได้อะไรล่ะ? ได้ลืม ท่องเสร็จแล้วก็ลืม ลืมแล้วก็ท่องใหม่ แต่พระพุทธเจ้าเวลาสอนปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์หมดนะ นี่บทสวดมนต์

ทีนี้ข้อที่ ๓. นี่นะเพราะคิดแบบโกงๆ มันก็เลยมาข้อที่ ๓. นี่ไง ข้อที่ ๓. นะ

ถาม : ๓. เวลาพุทโธ พุทโธไปแล้ว ผมพุทโธ พุทโธไปทีแรก พุทโธเพราะหลับสบายดี

หลวงพ่อ : อันนี้เห็นด้วยนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน เห็นไหม บอกว่าปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ท่านบอกว่าให้นึกพุทโธ ให้ลมหายใจเข้านึก พุท ลมหายใจออกนึก โธ จะอยู่ไหนก็แล้วแต่ นั่งรถเมล์ จะทำงานให้นึกพุทโธ พุทโธไปเรื่อยๆ มันจะฝึกไป ฉะนั้น ท่านอยากให้ทำไง ฉะนั้น เวลานอนก็นอนพุทโธได้ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเวลาพระปฏิบัตินะท่านเอ็ดมากเลย ท่านบอกว่าการนอน การทำโดยความไม่เคารพ เขาเรียกว่า “ไม่เคารพในธรรม” ถ้าไม่เคารพในธรรม นี่ทำไปๆ มันจะเคยตัว

ถ้าเคารพในธรรม เห็นไหม เคารพในธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เคารพมาก ถ้าเคารพมากเราจะเคารพบูชามาก เราทำอะไรเราตั้งใจทำ จริงจังทำเพื่อประโยชน์ไง เขาเรียกเคารพในธรรม พอเคารพในธรรมมันก็เหมือนกับระยะห่าง ถ้าเราเคารพ เราคุ้นเคย คุ้นเคยจนไม่มีระยะห่างเลย คุ้นเคยจนไม่มีสูง ไม่มีต่ำ มันก็เลยกลายเป็นทัพพีขวางหม้อไปเลย

นี่เวลาทำอาหารเสร็จก็เอาทัพพีตักไว้ จิ้มไว้ แล้วก็เอาตักให้คนอื่นกิน แต่ทัพพีไม่ได้กินนะ ไปคุ้นเคยกับธรรม คุ้นเคยจนตัวเองดื้อด้านไง จนด้านไปหมดเลย แต่ถ้าเรามีความเคารพนะ เห็นไหม มือนี่เวลาของร้อนเอามือไปจิ้มมันพองนะ

นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธ พระธรรมเราเคารพด้วยหัวใจของเรา พอเราเคารพ นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เราเคารพมาก เราจะทำอะไรเราเคารพธรรม เคารพธรรมคือเคารพบูชา เคารพบูชา ทำด้วยความเคารพบูชาไม่ใช่ทำด้วยความคุ้นเคย นี่เวลามันได้ผลมันจะได้ผลตามความเป็นจริง แต่ครูบาอาจารย์เวลาสอนเราเข้าใจได้ นี่อะไรก็ได้ นอนก็ได้ นอนไม่หลับ พุทโธ พุทโธเดี๋ยวก็หลับ

ไอ้นี่ก็นอนพุทโธทีแรกก็หลับ หลับไปหลับมาทีนี้นอนไม่หลับแล้ว นอนไม่หลับเพราะคิดขี้โกงไง ก็คิดแบบโกงมันก็เลยไม่หลับไง ถ้าไม่หลับก็นึกพุทโธให้ชัดๆ หลับไม่หลับนี่นะ นี่ในปัจจุบันนี้เขาบอกว่าตอนนี้เลยกลายเป็นนอนไม่หลับไปแล้ว ข่มตาให้หลับก็ไม่หลับ ถ้าหลับไปก็เหมือนฝันกึ่งๆ กึ่งๆ

ล้างให้จบนะ เราระลึกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราทำของเราใหม่ เราพุทโธ เรานั่งภาวนาพุทโธ เวลานอน ถ้านอนหลับก็หลับไปเลย ทำให้มันเป็นกิจจะลักษณะ ทำให้เป็นจริงเป็นจัง พอทำจริงของเราขึ้นมามันก็จะเป็นจริงขึ้นมา เราปฏิบัติก็ปฏิบัติ เพราะว่าทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ คือเราต้องมีหน้าที่การงานใช่ไหม?

หลวงตาบอกว่า “เหมือนวัว” นี่วัวผูกไว้ เราไปผูกไว้ เวลาจะใช้เราก็ไปดึงเชือกมาเลย วัวปล่อยไง โบราณเขาวัวปล่อยนะ เวลาเขาเลี้ยงที่ไหนเขาต้องปล่อย เวลาจะเอามาใช้งานต้องวิ่งไปหามัน นี่ก็เหมือนกัน วันๆ ปล่อยอารมณ์ตามสบายเลย เวลาตกกลางคืนมาก็จะพุทโธแล้ว จะไปหาวัวตัวเองไง หาไม่เจอ นี่ถ้าเราพุทโธไว้ เราตั้งสติของเราไว้ กลางวันมีโอกาสเราก็ระลึกของเราไว้ เวลาจะมานั่งมันก็ง่ายขึ้น มันเป็นง่าย เป็นยากสำหรับผู้นั้นเอง

แต่เวลาเราปฏิบัติไปแล้ว เวลาปฏิบัติมาเริ่มต้น นอนก็นอนพุทโธ ทีแรกก็ดี หลับสบายดี แล้วตอนนี้มันไม่ได้แล้ว มันไม่ได้เพราะว่ากิเลสมันรู้ทันแล้ว เราก็ต้องตั้งใจของเรา ทำของเรา แก้ไขของเราไป แล้วให้มันเป็นความจริงขึ้นมา แล้วพอถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ จะไม่สงสัยข้อที่ ๑ ข้อที่ ๒ ไง ว่าถ้าเกิดอีก ๗ ชาติจะได้เป็นพระอรหันต์

เพราะเรางงมาตั้งแต่นั่น ผลมันเลยงงตลอดไป ถ้าเราคิดโดยตามความเป็นจริง คิดโดยข้อเท็จจริง ให้มันตรงต่อธรรม คิดให้มันถูกต้องดีงามนะ แล้วมันก็จะไม่คิดแฉลบอย่างนี้ไง นี่คิดจะแฉลบตลอด จะเอาแบบคิดตอนนี้คิดแบบโลก คิดแบบกิเลส นี่โลกียปัญญา แต่ ถ้าเป็นทางวิชาการนะ ทางวิชาการเราจะทำวิจัย เราจะทำวิจัยทางวิชาการเขาบอกว่าเราคิดได้นอกกรอบ อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

ทีนี้พอมาเป็นการปฏิบัติเราจะคิดนอกกรอบ ถ้าคิดนอกกรอบไปแล้ว มันคิดนอกกรอบไปมันเป็นปัญญาของเรา มันเป็นความเห็นของเรา แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ? ความจริงก็อย่างที่เราพูด นี่ถ้าเป็นความจริงก็เป็นแบบนี้ เราจะคิดนอกกรอบไปขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะมันจะเข้าไปสู่กรอบนี้ เพราะอริยสัจมีหนึ่งเดียว

แต่ถ้าทางวิชาการ นี่เราคิดนอกกรอบไปแล้วเขาเกิดการวิจัยใหม่ พบสิ่งวัตถุใหม่ๆ พบทฤษฎีใหม่เพื่อเป็นประโยชน์กับเขา อันนั้นเป็นเรื่องของโลกไม่มีวันจบหรอก ไม่มีวันจบ ทางวิชาการไม่มีวันจบ แต่ถ้าทางธรรม ทางธรรมมันจบ ถ้าทางธรรมมันจบแล้ว ถ้าจบแล้วมันต้องเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งเดียว เห็นไหม

“นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ นิพพานเป็นมงคลอย่างยิ่ง”

ถ้ามงคล มงคลอย่างไร? มันจะรู้ของมันอย่างไร? แล้วถ้าเป็นมงคลขึ้นมา ถ้าเป็นนิพพานมันต้องผ่านโสดาบัน ผ่านสกิทาคามี ผ่านอนาคามี นี่อริยภูมิขั้นต่ำมันต้องผ่านมาแล้ว ถ้า นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ นิพพานเป็นมงคลอย่างยิ่ง แล้วสิ่งที่มันจะขึ้นไปถึงนิพพาน มันต้องผ่านอริยบุคคลมา มันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร? ถ้ามันรู้แล้วมันก็ถูกต้อง ถูกต้องก็จบไง จบมันก็ย้อนกลับมาที่ว่านอนไม่หลับ มันจะเข้าใจ มันจะเป็นธรรมหมด แต่ถ้ามันไม่เป็นธรรมมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

พูดถึงว่า “พระอริยบุคคลเสื่อมได้ไหม?”

เสื่อมไม่ได้ แล้วจะบอกว่าพระอริยบุคคลไม่ต้องไปคิดแทนท่านหรอก เราทำใจของเรา

ทีนี้เราปุถุชนไง เราไปคิดแทนพระโสดาบันไง เราก็เลยว่าจะให้มันสำเร็จได้ ก็ไปเกิดเป็นมด เป็นยุง ไปคิดแทนพระโสดาบัน โอ้โฮ ปัญญาอย่างเราไม่ต้องไปคิดแทนใครนะ คิดของเรานี่แหละ คิดเอาตัวเราให้รอด สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด เอวัง