เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ต.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในการทำงาน เขาบอกว่าต้องทำงานเป็นทีม ถ้าใครมีทีมงาน งานนั้นจะสำเร็จลุล่วงได้ คนที่ไม่มีทีมงาน ไปทำงานด้วยความกระเสือกกระสน นี้เขาว่าทีมงานนะ พระ! พระมีข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม กฎกติกา ธรรมวินัยเหมือนกับกรอบ ให้ดอกไม้อยู่ในแจกันที่สวยงาม ดอกไม้หลากหลายจะอยู่ในแจกันนั้น นี่สิ่งนั้นเป็นกรอบ

สภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมฝึกฝนให้คนนั้นอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี ถ้าสภาวะแวดล้อมที่ดี จะฝึกฝนให้คนเป็นคนดี แต่สภาวะแวดล้อมที่ดี คนจะดีทั้งหมดจริงหรือเปล่า? สภาวะแวดล้อมที่ดี ทีมงาน การทำงานต้องมีทีมงาน แต่ทีมงานนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ นะ เพราะเราอาศัยจุนเจือกัน เพราะมีความสัมพันธ์ถึงมีสังคม มีทีมงาน มีที่ปรึกษา นี่การทำงานแล้วทำงานจะประสบความสำเร็จ

นี้เรื่องของโลก แต่ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ทีมงานของเรา ตั้งแต่ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ถ้าทีมงานนะมรรค ๘ มรรคสามัคคี ความสามัคคีของมรรคญาณในหัวใจ มันจะเข้าไปให้บุคคลคนนั้นเป็นคนที่ฉลาด บุคคลคนนั้นเป็นคนที่ทันคนอื่นด้วย แล้วทันความรู้สึกนึกคิดของตัวด้วย

“อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า”

เพราะพระอริยเจ้า ความคิด เห็นไหม ความคิดไม่ใช่จิต บอกความคิดไม่ใช่จิต มีแต่คนโต้แย้งมากว่าความคิดไม่ใช่จิต ความคิดไม่ใช่จิตเพราะความคิดเกิดดับ แต่ตัวพลังงานคือตัวจิตมันมีของมันอยู่ตลอดเวลา

ฉะนั้น เวลามันเสวยอารมณ์ ดูสิเวลาความคิดไม่ใช่จิต นี่มรรคญาณถ้ามันเกิดเข้ามาแล้ว อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้านี่ความคิดไม่ใช่จิต ทีนี้ความคิดเกิดขึ้น รู้ทันความคิดของตัว ความคิดนี้พูดออกไปแล้วมันกระทบกระเทือนใครไหม? ความคิดนี้พูดออกไปโลกเขาจะเข้าใจกับเราได้ไหม? เขาเข้าใจกับเราไม่ได้หรอก พูดอย่างไรก็แล้วแต่ เขาปีนบันไดสูงขนาดไหนเขาก็ฟังไม่เข้าใจหรอก เข้าใจไม่ได้

นี้ความเข้าใจไม่ได้ของเขา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา ให้เขามีเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของเนกขัมมะ เรื่องของต่างๆ เพราะมันเรื่องของทานจิตใจมันจะเป็นสาธารณะ คนที่จิตใจเป็นสาธารณะ คนที่จิตใจฟังเหตุฟังผลมันคุยกันรู้เรื่อง ถ้าคนที่จิตใจไม่เป็นสาธารณะ เอาแต่ทิฐิมานะของตัว พูดไปไม่มีประโยชน์หรอก ยิ่งพูดไปยิ่งเกิดปัญหา แล้วนี่ความนิ่งอยู่ พูดไปมีแต่กระทบกระเทือนพูดทำไม?

แต่เวลาพูดไปเป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่สิ่งที่เป็นความคิด คำว่าทีมงานๆ ทีมงานเราต้องมีกึ๋นด้วย ถ้าเราไม่มีกึ๋นทีมงานมันก็หลอกหมดแหละ อำนาจเป็นของร้อน เวลาคนวิ่งเข้าไปหาอำนาจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อำนาจเหมือนแท่งเหล็กร้อนๆ เลย”

แท่งเหล็กแดงๆ แล้ววิ่งเข้าไปกอดกัน ทุกคนวิ่งเข้าไปกอดอำนาจ มีอำนาจแล้ว อำนาจมันให้คุณให้โทษคนได้ ในเมื่ออำนาจมันให้คุณให้โทษคนได้ ทุกคนก็ต้องเข้ามาหวังผลจากอันนั้น แล้วคนที่ไม่มีกึ๋นไปอยู่บนอำนาจนั้น ไปอยู่ที่ผู้ใช้อำนาจนั้น แล้วไม่มีความรู้ของตัว มันใช้อำนาจนั้นด้วยสิ่งใด? การใช้อำนาจนั้นมันต้องมีปัญญาสิ มีปัญญา เห็นไหม นี้พูดถึงว่าการมีที่ปรึกษา มีทีมงาน ทีมงานถ้าเราไม่มีปัญญาของเรา ทีมงานนั้นจะเป็นประโยชน์กับเราไหมล่ะ?

นี่พูดถึงโลกนะ อย่างน้อยทางโลกเขาบอกว่าให้ดูผลงานที่เราทำมา อย่าดูเรื่องส่วนตัว ความหวงแหนคือความเป็นส่วนตัว นี้เรื่องของโลกนะ ถ้าเป็นความส่วนตัว เห็นไหม ส่วนตัวนี้มีแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าส่วนตัวนี้มีแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย มีแต่ความอ่อนแอ ความเป็นส่วนตัวเราจะไปมีผลงานได้ไหม? นี่ถ้าจิตใจมันป่วยไข้แล้วบอกว่าเรื่องส่วนตัว แล้วเรื่องของผลงานนั้นเป็นเรื่องของผลงาน อันนี้เป็นเรื่องของโลกหมดแหละ แต่ถ้าเป็นศาสนานะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องเข้มแข็งก่อน

นี่หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าการเป็นหมอนะ หมอนี่เขารักษาคนไข้ได้ด้วยภูมิปัญญาของเขา แต่หมอครูพักลักจำ หมอเถื่อน หมอเถื่อนมันทาแต่ยาแดง โรคอะไรก็ทายาแดง โรคอะไรก็ทายาแดง นี่มันหายหมดแหละ เพราะอะไร? เพราะว่าไม่มีทางวิชาการรองรับ ถ้าหมอเขามีของเขา ถ้าจิตใจเข้มแข็ง จิตใจมันจะไม่ป่วย มันก็เหมือนหมอ มันวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ได้ตามแต่ปัญญาของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ในพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ แต่! แต่เวลาเกิดขึ้นมานี่ สังคม เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ นี่ดูสิแก้คฤหัสถ์ก่อน กว่าคฤหัสถ์เขาจะเห็นดีเห็นงามด้วย คำว่าเห็นดีเห็นงามของเขานะ เขาจะถือพรหมจรรย์ ถ้าเขาถือพรหมจรรย์นะ ดูสิทางโลกเขา เรากิน ๓ มื้อ ๔ มื้อ เรามีความสุข สนุกสนานของเรา เราก็มีความสุขของเราแล้วทำไมต้องไปถือศีล?

ถือศีลก็เริ่มจำกัดตัวเองแล้ว เห็นไหม พอศีล ๘ นี่กินข้าวเย็นไม่ได้ เพราะกินข้าวเย็นไปแล้ว เวลาเรากินข้าวเย็น ศีล ๘ เขาให้กินถึงเที่ยง พอกินข้าวเย็นไปแล้วเราก็จะนั่งภาวนา เพราะทาน ศีล ภาวนา เราอยากได้ภาวนา กินข้าวเย็นไปแล้วในกระเพาะก็มีอาหาร นี่กระเพาะอาหารก็ต้องทำงานของมัน แล้วก็ไปพุทโธ พุทโธนะ หัวก็ทิ่มหมอนเพราะมันสัปหงกโงกง่วง

นี่ความสุขอย่างหยาบๆ มันก็เป็นความสุขของโลก ความสุขสิ่งใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราต้องการความสุขที่แท้จริง เราแสวงหากันอยู่ความจริง เราอยากได้ความสุข เห็นไหม วิมุตติสุข วิมุตติสุข สุขที่ว่าไม่มีในโลกมันเป็นอย่างใด? เราก็แสวงหากัน แต่การแสวงหาเราเอาอะไรไปแสวงหา ถ้าเราเอาจิตใจที่เป็นโลกไปแสวงหา เราก็คิดนิพพานเป็นความว่าง ก็นึกว่าว่างกันนะ ทุกคนก็ว่าว่าง แล้วว่างอย่างไร? ไม่รู้ แล้วว่างอย่างไร? ไม่รู้ แต่ว่างนะ ว่างแบบไม่รู้

แล้วมันไม่รู้มันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร? คนซื่อบื้อมันจะมีอริยภูมิขึ้นมาในหัวใจไหม? คนฉลาดเท่านั้นนะ การแก้ไขมันต้องแก้ไขด้วยปัญญา แต่ปัญญานี้ต้องมีสัมมาสมาธิ ถ้าปัญญาไม่มีสัมมาสมาธิเป็นปัญญาขี้โกง ปัญญาขี้โกงตัวเองไง ตัวเองเป็นคนดี เราเป็นคนดีนะ ทุกคนจะบอกเราเป็นคนดี เราทำคุณงามความดี แล้วทำไมเราทุกข์ยากขนาดนี้? ดูสิคนอื่นเขาไม่เห็นทำเหมือนเราเลย ทำไมเขาอยู่ของเขาได้

เวลาเฟอร์นิเจอร์อยู่กับเรานี่นะ ใช้นานๆ มันเบื่อ มันอยากได้ของใหม่ เวลามันหลุดจากตัวเราไปนะมันสวยงามหมดเลย เราก็ว่าคนอื่นนี่ดีทั้งนั้นแหละ คนอื่นมีความสุข ทุกคนก็เหมือนเรานี่แหละ ใจเหมือนใจ นี่ใจเหมือนใจ มองแต่คนอื่น มองแต่ส่งออก มองแต่ว่าทุกอย่างจะเป็นคุณประโยชน์ เห็นไหม นี่สภาวะแวดล้อม ว่าสภาวะแวดล้อมดีแล้วคนจะดีด้วยไง

นี่เวลามันส่งออกไป สิ่งที่ว่าทำไมคนเขามีความสุขๆ เราทำคุณงามความดีขนาดนี้ทำไมไม่มีความสุข เห็นไหม นี่เราต้องการปัญญาที่ควบคุมตัวของเรา ความสุขที่ว่าวิมุตติสุข ที่ว่าสุขในตัวมันเองนี่สุขอย่างไร? แล้วสุขอย่างไร? สิ่งที่แสวงหามันก็ต้องเริ่มจากศีล ภาวนา ถ้าไม่มีศีล ไม่มีความสะอาดก่อน ถ้าไม่มีศีล ๕ ศีล ๕ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา เห็นไหม ปาณาติปาตา

ปาณาติปาตานะ แม้แต่แค่คิดเขาก็ไม่ทำแล้ว เพราะมันเป็นมโนกรรม แต่ถ้ามันเป็นปกติ นี้มันเป็นสิทธิเสรีภาพ มันทำสิ่งใดก็ทำได้ แต่เรามีศีลขึ้นมาแล้วจำกัดเราขึ้นมา เราต้องมีความจำกัดของเรา ภาชนะ เห็นไหม สิ่งที่เป็นภาชนะ หัวใจที่เป็นภาชนะสะอาด มันจะตักตวงอาหารที่สะอาดบริสุทธิ์ได้ นี่ภาชนะของเรามีแต่สารพิษ อาหารจะมีคุณค่าขนาดไหนเข้ามาในสารพิษนั้น อาหารนั้นก็มีพิษไปด้วย

จิตใจ! จิตใจถ้าเรายังมีอกุศล ยังคิดเห็นแก่ตัว แล้วบอกมันจะเป็นสมาธิๆ เป็นสมาธิมันไม่มีศีลรักษา มันก็ไปตามแต่อวิชชาของมันที่มันจะตามของมันไป แต่ถ้ามีศีลขึ้นมา เห็นไหม มันจะเป็นสัมมา สัมมาคือความสะอาดบริสุทธิ์ของมัน ถ้าสะอาดบริสุทธิ์ของมัน นี่น้อมไป ถ้ามีสมาธิเราน้อมไปสู่การพิจารณา

เวลาหมอนะ หมอนี่เขาดูคนไข้เข้ามา เขารู้เลยว่าคนไข้เป็นโรคอะไร หมอเขาผ่าตัดสมองนะ เขาเปลี่ยนหัวใจ เขาเปลี่ยนได้ทุกๆ อย่างเลย แล้วได้อะไรล่ะ? ก็ดำรงชีวิตนี้ไว้เท่านั้นเอง แต่ถ้าพูดถึงเวลาเราพิจารณากายของเรานะ เราพิจารณากายของเรา เราเห็นกายของเรา เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมัน เห็นไหม เห็นความเป็นไตรลักษณ์นะ ของอยู่กับมือเรา แล้วมันสลายไปต่อหน้าต่อมือเรา นี่มันไม่มีสิ่งใดที่มันยึดเหนี่ยวไว้เลย จิตใจมันเห็นคุณค่าของมันนะ พอจิตใจมันเห็นคุณค่าของมัน นี่เป็นไตรลักษณ์ จิตใจมันปล่อยวาง

นี่พูดถึงถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ พิจารณากายโดยที่ไม่มีสมาธิ ดูอย่างหมอเขาผ่าตัดหมด ร่างกายนี้เขาเปลี่ยนได้หมด อะไรทุกอย่างเขาเปลี่ยนได้หมดเลย มันเป็นวิชาชีพ แต่ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมานะมันไม่เห็นแบบหมอเขาเห็นไง พอมันเห็นขึ้นมา มันเป็นไตรลักษณ์ขึ้นมา ดูสิเวลาปกติทุกคนว่ากลัวผี เวลาเราไปเจอผีเราตกใจไหม? เวลากลัวผีเราจะสั่นจนขั้วหัวใจเลย

นี่เวลาจิตมันไปเห็นกายของมันนะ เวลามันเป็นไตรลักษณ์ ลักษณะญาณให้ใจมันเห็น ใจนี้มันหวั่นไหว ใจนี้มันสำรอก ใจนี้มันคลาย มันจะเห็นประโยชน์มันแค่ไหน? ถ้ามันมีสมาธินะ! ถ้าไม่มีสมาธิ ความคิดแบบโลก ความคิดแบบขี้โกงมันคิดแบบหมอนั่นแหละ หมอก็ผ่าตัดได้เก่งมาก ไปไหนนี่ศาสตราจารย์นะมีความชำนาญทุกอย่าง โอ้โฮ สมองนี่ผ่าวันหนึ่ง ๒๐-๓๐ สมองเลย แต่หัวใจมันทุกข์ เครียด มีแต่ความเร่าร้อนในใจ

แต่เวลาจิตมันเป็นไตรลักษณ์ขึ้นมา พอเราเห็นของเรา เห็นไหม เพราะมีสัมมาสมาธิ ถ้ามีสัมมาสมาธิขึ้นมา พอมันเห็นตามความเป็นจริง เพราะอะไร? นี่สภาวะแวดล้อมไง นี่ทีมงานไง มรรค ๘ ไง งานชอบ เพียรชอบ งานชอบ เห็นไหม งานในสมถกรรมฐาน งานทำความสงบของใจก็เป็นงานอันหนึ่ง งานวิปัสสนาญาณมันก็เป็นงานอีกอันหนึ่ง งานนี่ดูสิ ดูศีล สมาธิ ปัญญาสิมันต้องมีฐานของมัน

ฉะนั้น เราเห็นว่าเรามีเป้าหมายของเรา เห็นไหม พอเวลาฟังธรรมแล้วเราถึงจะจำกัดตัวเองไง อย่างเช่นมีศีล มีศีลเราก็พอใจที่จะรักษา เรื่องส่วนตัวกับเรื่องผลงาน ผลงานนี้ใครทำก็ได้ แต่เรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องของเรา เรื่องส่วนตัวนั่นแหละมันป่วยไข้

ฉะนั้น เวลาสุขกับทุกข์ นี่ส่วนตัวมันสุข มันทุกข์ เวลามันสุข มันทุกข์ ก็หัวใจนี่แหละมันสุข มันทุกข์ ตัวหัวใจนั่นแหละมันสุข มันทุกข์ แล้วมันสุข มันทุกข์นี่ สุข ทุกข์ก็ไม่เข้าใจตัวเอง พอไม่เข้าใจตัวเองก็แสวงหาเพื่อความมั่นคงของใจ แสวงหาก็ต้องมีความอบอุ่น ต้องมีคนรอบข้าง ต้องมีอะไร แต่พอถือศีลขึ้นมานี่ถือพรหมจรรย์ ไปอยู่คนเดียว ไปอยู่โคนไม้ อยู่คนเดียวทำไมมันรักษาได้ล่ะ? เห็นไหม

จะไม่มีใครอยู่กับเราหรอก คนเรานะไปส่งกันที่เชิงตะกอนเท่านั้นแหละ เวลาไปส่งเชิงตะกอนนะมันก็ไปส่งแต่ซากศพเท่านั้นแหละ แต่จิตใจเวลาออกจากร่างไปนี่ต่างคนต่างไปนะ มันจะอบอุ่นจากไหน มันจะเอาใครมาอยู่รอบข้างล่ะ? เห็นไหม นี่เรื่องส่วนตัวๆ นี่แหละ แล้วเราจะไปอยู่กับใครล่ะ?

แต่ถ้าเรารักษาของเรา เราดูแลของเรา นี่ไงมันดูแลที่นี่ มันรักษากันที่นี่ จิตใจจะย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าย้อนกลับมาที่นี่ นี่ไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งของตน เห็นไหม อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าใจเขาเสวย เขารู้ด้วยว่าควรหรือไม่ควร พูดหรือไม่พูด เป็นหรือไม่เป็น ทำหรือไม่ทำ แต่ถ้าของเรานะเราก็แย่งชิงกัน ทางโลกนี่ แม้แต่ทีมงานแล้วนะ ยังจะต้องเชิดหุ่นเชิดไว้คนหนึ่งให้คอยออกรับผลงานอันนั้น

นี่เรื่องของโลก เห็นไหม โลกเป็นแบบนี้ ปฏิเสธโลกไม่ได้นะ เพราะเราเกิดมากับโลก ทุกคนเกิดมากับพ่อกับแม่ เกิดมากับตระกูล เกิดมากับชาติ เกิดมากับสิ่งต่างๆ เราต้องอยู่กับเขา แต่ธรรมะนี่สอนให้หัวใจเราเข้มแข็ง สอนให้เราเข้มแข็ง เราอยู่กับเขา อยู่กับโลก เห็นไหม เวลาคนเขาตื่นตระหนก เขาทำอะไรไม่ถูกเลย เราเจอเหตุการณ์อย่างนั้นเราไม่ตื่นตระหนกไง เราอยู่ในเหตุการณ์นั้นเราไม่ตื่นตระหนก

ทุกข์ไหม? ทุกข์ ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง ถ้ามีสติปัญญาแล้วเราจะไม่ตื่นตระหนกไปกับเขา แล้วเราจะรักษา ดูแลเพื่อความเป็นอยู่ของเรา นี่คือธรรมนะ ถ้าธรรม เห็นไหม สัจธรรมมันอยู่ในหัวใจของใคร? หัวใจของใจดวงนั้นจะรักษาใจดวงนั้นได้

เหนื่อยไหม? หอบไหม? ทุกข์ไหม? เป็นธรรมชาติ ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของมันอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา พอหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้ เรามีสติยับยั้งไว้ แล้วตั้งใจของเราไว้ ฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปให้ได้ ถ้าฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไป คราวเคราะห์คราวกรรมของตัว กรรมเก่า กรรมใหม่

กรรมเก่าของเรา เห็นไหม คนเกิดมากรรมดี เกิดมามีปฏิภาณไหวพริบ เพราะเขาทำของเขามาดี เราเกิดมาแล้วปฏิภาณไหวพริบของเราอ่อนด้อย แต่เราก็มีปัญญาของเราระดับหนึ่งแหละ เห็นไหม กรรมเก่า กรรมใหม่ในปัจจุบันนี้เรามีปฏิภาณที่ดี เรามีไหวพริบที่ดี แล้วเกิดวิกฤติอย่างนี้ เราจะแก้ไข เราจะจัดการอย่างใด?

ถ้าจัดการ เห็นไหม เพราะ! เพราะเรามีกรรมเก่า กรรมเก่าทำให้เรามีสติปัญญาดี กรรมใหม่ กรรมปัจจุบันนี้มันมีเหตุการณ์ทดสอบเรา ทดสอบว่าเรามีจุดยืนจริงไหม? นี่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามีจุดยืนไหม? นี่ว่ามีคุณธรรมๆ เจอวิกฤติแล้วจิตใจจะอ่อนแอไหม? นี่มันทดสอบเรา ถ้าทดสอบเรา เราใช้ปัญญาแก้ไขของเรา

นี่สิ่งนี้เป็นที่พึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นๆ เป็นที่พึ่งเลย”

ธรรมและวินัย ธรรมคือสัจธรรม คือความเป็นจริง เรามีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เห็นไหม นี้เวลาเราไปหาครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านคอยเตือนเรา เพราะท่านมีสติปัญญาของท่าน ถ้าอย่างนี้แล้วกรรมฐานเราติดครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์เรานี่ “จิตใจที่สูงกว่า จะดึงจิตใจที่ต่ำกว่า”

แต่โดยข้อเท็จจริงนี่เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด จริง! แต่ถ้าเรายังไม่มี เรายังแสวงหาอยู่เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เราก็พยายามมีธรรมเป็นที่พึ่งนี่แหละ แต่ยังฝึกฝนตัวเองไม่ได้ เราก็มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ที่เป็นธรรมมันใสสะอาดบริสุทธิ์ มันสัมผัสได้ แต่ถ้าเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมีกลลวงของมัน มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน กิเลสเป็นอย่างนั้น แล้วทุกคนมีกิเลส

ฉะนั้น เราทำสิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า

“ถ้ามีศรัทธา มีความเชื่อ มีความมั่นคงแล้ว ให้มีกาลามสูตร”

อย่าเชื่อ! อย่าเชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ แต่ถ้าเราสัมผัสแล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อจิตใจมันสัมผัสได้ สิ่งนี้สัมผัสได้นะ เรามีจิตใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อรักษาใจดวงนี้ให้ฝ่าวิกฤตินี้ไป เอวัง