เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ต.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

น้ำไหลลงต่ำ ความคิดของคน ถ้าไม่มีธรรมะมันไหลไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก น้ำนะ เวลาถึงที่สุดมันลงที่ต่ำ เห็นไหม เขาต้องสูบออก ต้องสูบขึ้นไปสูบออก ของเราก็เหมือนกัน ถ้ามีสติปัญญาเรายับยั้งไว้ เรามีสติยับยั้งสิ่งนี้ไว้ แล้วพิจารณาของเรา ความรู้สึกนึกคิดนี่แหละมันจะทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ความรู้สึกนึกคิดนี่แหละ ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะทำให้เราขวนขวาย

เราภูมิใจนะคนที่เขาทุ่มเท ความเกิดเป็นมนุษย์เขามีความทุ่มเทของเขา ทุกข์ทนเข็ญใจเขาบากบั่นของเขานะ เขาเอาชีวิตเขารอดได้สบายๆ เลย คำว่าสบายๆ คือว่าเขารอดได้ แต่เวลาทำมันก็ไม่สบาย เพราะการทุ่มเทมันก็ต้องทุ่มเททั้งชีวิต ทุ่มเทมีการกระทำทั้งนั้น นี่แม้แต่ชีวิตเขาก็ประสบความสำเร็จได้

ในการประพฤติปฏิบัติ นี่เราจะปฏิบัติธรรม เราจะพ้นจากกิเลส เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำฟากตายๆ คำว่าฟากตายนะ... คำว่าทุ่มเท ทุ่มเทในเหตุ นี่เวลาว่ากิเลสๆ ตัณหาความทะยานอยากคือเราหวังผลสิ่งที่มันยังไม่สมเหตุสมผล การหวังผลสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล นั่นแหละคือตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้ามันสมเหตุสมผลมันไม่ใช่ตัณหาหรอก

อย่างเช่นหน้าที่การงานเป็นตัณหาที่ไหน? เราไม่ทำงานของเรา เราจะมีปัจจัยเครื่องอาศัยหรือ? แล้วถ้าเราไม่มีปัญญา เราจะทำงานประสบความสำเร็จได้อย่างไร? งานทุกอย่างที่ทำมันต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้วทำนะ เห็นเขาทำก็ทำตามเขา เห็นเขาทำเพราะเขามีประสบการณ์ของเขา เขาชำนาญของเขา เขามีประสบการณ์อย่างนั้น เขาทำของเขาทุกวัน เหมือนหุ่นยนต์ เขาตั้งโปรแกรมไว้มันทำได้พอดีเปี๊ยะเลย ดีกว่าคนอีก แต่คนเรา เห็นไหม นี่วันนี้อารมณ์ดีก็ทำดี วันนี้อารมณ์ไม่ดี ทำงานสิ่งนั้นผิดๆ พลาดๆ เลย

นี่สิ่งที่เขาทำของเขา เขามีประสบการณ์ของเขา ทีนี้เขามีประสบการณ์ของเขา เราใช้นี่เราต้องใช้ปัญญาของเรา เราฝึกของเรา ถ้าเราฝึกของเรา เราทำแล้วทำเล่า มีสติ มีปัญญาของเรา เราฝึกของเราบ่อยๆ ครั้งเข้า มันก็มีความชำนาญอย่างนั้นขึ้นมา พอเราชำนาญอย่างนั้นขึ้นมาแล้วเราเห็น นี่ไงชำนาญในวสี มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ถ้าไม่มีเหตุมีผล ถ้ามันไม่มีเหตุมีผลแล้วเราหวังอย่างนั้น นั่นแหละคือตัณหาความทะยานอยาก

แต่! แต่ถ้าเวลาอธิษฐานบารมี บารมีสิบทัศ เห็นไหม ถ้ามีเป้าหมาย คำว่าเป้าหมายของเรา เรามีเป้าหมายแล้วเราวางไว้ ไม่ใช่มีเป้าหมายแล้วเอาเป้าหมายมากดทับเรา ทุกคนอยากพ้นทุกข์ทั้งนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็อยากพ้นจากกิเลสทั้งนั้น การอยากพ้นกิเลสคือเป้าหมายของเรา แต่ถ้ามันทำไม่ได้ ไม่ได้เราก็เข้มแข็ง เห็นไหม พอทำไม่ได้ พอมีเป้าหมาย เอาเป้าหมายมากดทับ กดดันตัวเอง พอกดดันตัวเองมันก็มีแต่ความทุกข์ กดดันตัวเองว่าเมื่อไหร่ๆ มันยิ่งเครียดนะ

ปล่อยวางให้หมด ปล่อยวางให้หมด สมเหตุสมผลไม่ใช่กิเลส ความสมเหตุสมผล เห็นไหม เรานั่งสมาธิของเรา เราเจริญสติของเรา เราใช้ปัญญาของเราสมเหตุสมผล แล้วถ้ามันยังไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ได้เราก็ได้ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เราก็ทำคุณงามความดีของเราแล้ว เราเป็นคนทำคุณงามความดี เราไม่ปล่อยตัวเราไหลไปเหมือนน้ำ

ดูน้ำสิมันไหลไป เห็นไหม มันขังไว้ที่ไหน? พอมันขังมันไปไม่ได้แล้ว ที่ต่ำแล้วมันไปเจอขอบเขตของมัน มันไปไม่ได้ แต่ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง มันไปได้ นี่จินตนาการตัณหาต่างๆ มันไปของมันได้ มันล้นฝั่งของมันไปได้ แต่ถ้าน้ำมันไปไม่ได้

ธรรมก็เหมือนกัน ดูสิสัจธรรมความจริง เห็นไหม ดูสิทางการช่างนะ เวลาเขาวัดระดับน้ำ ถ้าระดับมันไม่ได้ ต่างๆ ไม่ได้มันจะไปได้ไหม? นี่ความสูง ความต่ำ ความลาดเอียงของมัน เวลาเขาจะส่งน้ำไปเขาต้องมีความลาดเอียงของมัน ถ้าความลาดเอียงของมัน เห็นไหม มันเป็นของมันไปได้ แต่เวลาถึงขอบเขต มันมีขอบเขต มันอยู่ที่สูงมันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ แต่ปัญญาของคนก็ทำได้ นี่เขาชักน้ำขึ้นไปได้ เขาทดน้ำขึ้นไปที่สูงขึ้น เขายกน้ำให้สูงขึ้นมันก็ไหลของมันไปได้

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราทำของเราแล้วมันลงไป เห็นไหม นี่เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เวลามันเสื่อมไป มันเจริญแล้วมันเสื่อม พอมันเสื่อมมันเป็นธรรมดานะ คนเรามันต้องมีประสบการณ์อย่างนี้ ถ้าไม่มีประสบการณ์อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ดูสิดูการเกิด-การตายของเรา ชีวิตเรา นี่ถ้าคนมีปัญญา คนที่ทุ่มเทเขามีปัญญาของเขา เขาศึกษาของเขา การเกิดเป็นมนุษย์มีค่ามาก เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์เราทำสิ่งใดก็ได้ เรามีสมองเราทำสิ่งใดก็ได้

ถ้าเราทำสิ่งใด เราเกิดมานี่มนุษย์มีสมอง มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์มีการช่วยเหลือเจือจานกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์มีคุณค่า แล้วเวลาเราทำหน้าที่การงานล่ะ? เวลาทำหน้าที่การงานนะ ถ้าใจมันรัก ดูสิ คนบ้าห้าร้อยจำพวกนะ เขารักนกเขานะ เขานั่งฟังทั้งวัน กรุกกรู๊ กรุกกรู๊ เขามีความสุข ไอ้คนทำงานเขามีความสุขของเขา นี่ไงถ้าเขาทุ่มเทของเขา เขารักของเขา เขาทำแล้วเขามีความสุข

เราก็เหมือนกัน ถ้าเราทำงานของเรา เห็นไหม เราเกิดมา หน้าที่การงานเราทำของเรา คนแก่ คนเฒ่า คนทำงานมาแล้ว คนแก่คนเฒ่าต้องให้เขาเคลื่อนไหว ถ้าไม่เคลื่อนไหวร่างกายมันจะทรุดโทรม การทำงานของเรา การบริหารร่างกายก็ทำงาน ดูคนออกกำลังกายตอนเช้าสิ เขาไปเดิน เขาไปวิ่งกันนั่นน่ะ เขาวิ่งเพื่ออะไร? เขาวิ่งเพื่อความแข็งแรง

เวลาทำงานขึ้นมาก็อย่างนั้นแหละ เวลาทำงาน เราทำงานแล้วเหนื่อยยาก แต่เวลาคนเขาออกกำลังกาย เขาได้เหงื่อมาทุกวันนะ แต่ร่างกายเขาแข็งแรง เพราะอะไร? เพราะเขาเห็นประโยชน์ เขาเห็นประโยชน์ เห็นคุณงามความดีเขาถึงได้ทำ ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีหน้าที่การงานของเรา

ดูสิพระนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์นะ นี่หลวงตาท่านเดินจงกรมทุกวัน เช้าก็เดินจงกรมแล้ว หลวงปู่มั่นนะ ถึงเวลาแล้วเดินจงกรมตลอด พอเดินจงกรมแล้วร่างกายท่านก็แข็งแรง เห็นไหม เรามีแต่นั่งไม่ทำสิ่งใดเลย มีแต่ไปหาหมอ ไปหาหมอ นี่คลายเครียดๆ กินยาคลายเครียด แต่เราเดินจงกรมคลายเครียด เราไม่ใช่เดินจงกรมให้มันเครียด

นี่เดินจงกรมไม่ได้ก็เครียดนะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แต่วิหารธรรม เห็นไหม รถถ้าจอดไว้เขาจะต้องอุ่นเครื่อง เขาต้องติดเครื่องบ่อยๆ เขาจะต้องรักษา รถจอดไว้ทั้งปีไม่ได้อุ่นเครื่องเลย เครื่องมันเสียเลย จิตใจของคนมีวิหารธรรม คือเดินออกกำลังกาย คือเดินจงกรมเพื่อเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ของใจ ถ้าเดินจงกรมเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องของใจ เห็นไหม นี่ไงทำงานมีความสุข นี่มีการเคลื่อนไหว มีการต่างๆ เคลื่อนไหวเพื่อความสงบ ความร่มเย็น

ฉะนั้น มีการเคลื่อนไหว มีความร่มเย็น ทีนี้หน้าที่การงานก็เหมือนกัน ถ้ามีหน้าที่การงาน เราทำงานด้วยความสุขของเรา คำว่าสุขของเราคือเราเห็นผลประโยชน์ไง

๑.สมองไม่ฝ่อ

๒.ร่างกายได้เคลื่อนไหว อวัยวะของเราได้บริหารทั้งหมด

นี่เวลาเราแก่เฒ่ามันธรรมดา มันจะเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา แต่เราก็เสื่อมสภาพไปโดยกาลเวลาของมัน โดยเราบริหารจัดการของเรา ถ้าเราบริหารจัดการของเรา เราขยับ เราเคลื่อนไหวของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา การภาวนาต้องทำมากกว่านั้นนะ ถ้าการภาวนาเราไม่ทำมากกว่านั้น เราจะมีสติปัญญาได้อย่างใด?

ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม ฉะนั้น เรามีสติปัญญามันต้องมีอุบาย เวลาเดินจงกรม เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงนะ เวลาสัตว์มันเดินดีกว่าเรา ถ้าเวลาคนเราเดิน ท่านบอกเลยไม่มีสติปัญญา เหมือนกับเอาศีรษะเดินต่างเท้า เอาศีรษะไถดินไป คำว่าไถดินไป เพราะเราขาดสติไง แต่พอเวลาเราขาดสติ แต่เวลาเป็นตัวเราเราว่าเราพร้อมนะ เหมือนคนนั่งหลับ เวลาคนนั่งสมาธินะ นั่งไปมันหายไปหมดเลย แล้วเข้าใจว่าตัวเองเป็นสมาธิ ทั้งๆ ที่นั่นน่ะมันเป็นมิจฉา

คำว่ามิจฉานะ เวลาจิตมันตกภวังค์ไปแล้วมันจะลึกไปเรื่อยๆ มันจะตกภวังค์ไปแล้วมันจะตกลึกไปเรื่อยๆ แล้วมันจะขยายกว้างไปเรื่อยๆ ถ้าตกภวังค์เล็กน้อย เริ่มรู้ตัวเองว่าตกภวังค์เราก็แก้ไข ขนาดแก้ไขนี้มันยังต้องฝืนกันเต็มที่ แล้วถ้ามันตกภวังค์ไปเป็นปีนะ บางคนตกภวังค์เป็นปีๆ นะ ไม่เข้าใจว่าเป็นภวังค์ คิดว่าเป็นสมาธิไง เวลาเราจะแก้ขึ้นมานี่ โอ้โฮ ต้องต่อสู้เต็มที่ ต้องฝืนเต็มที่ ฝืนกลับมาให้มันเป็นปกติ

ถ้าเป็นปกติแล้วนะเรากำหนดพุทโธของเรา เราทำสมาธิของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าทำตอนนี้ขึ้นมามันก็จะดีขึ้น เห็นไหม ถ้ามันเป็นความผิดพลาด มันจะถลำไปเรื่อยๆ ถ้าถลำไปเรื่อยๆ เราต้องตรวจสอบของเรา ในการปฏิบัติ การตรวจสอบนี้สำคัญมาก แล้วการตรวจสอบก็ตรวจสอบจากเรานี่แหละ ถ้ามันปลอดโปร่ง มันมีสติปัญญาชัดเจนอันนั้นใช่ ถ้าอันนั้นใช่นะ แล้วเราทำต่อไปมันจะมีกิเลสเข้ามาแทรกแล้ว ถ้าเข้ามาแทรกมันจะทำให้เราผิดพลาด ทำให้เราตอกย้ำ

ฉะนั้น ถ้าเราตั้งสติขึ้นไป เราทำของเรามากขึ้นๆ พอมีความชำนาญแล้วนะ พอมีความชำนาญ ความเข้าใจ เหมือนที่เราเห็นเขาทำกันจนชำนาญ พอเรามีความชำนาญในวสีแล้วนี่ สมาธิจะเสื่อมมาจากไหน? คนถ้าพอมันมีความชำนาญแล้วรู้จัก สมาธิไม่มีวันเสื่อม ถ้าสมาธิไม่มีวันเสื่อมแล้วเราจะเห็นค่า เพราะสมาธิเวลามันเสื่อมก็แค่นี้ แล้วถ้าเราใช้ปัญญาขึ้นไปนะ พอปัญญามันเกิดจากสัมมาสมาธิ นี่มันขนพองสยองเกล้า

นี่คิดเหมือนกัน ความรู้สึกตรึกเหมือนที่เราคิดนี่แหละ แต่พอมีฐานสมาธิขึ้นมามันจะดูดดื่มมากกว่านี้ แล้วมันจะเข้าไปถึงชำระจิตใจ นี่การพิจารณากายๆ การพิจารณากายด้วยทางการแพทย์ ทางการแพทย์เขาอธิบายเรื่องการทำงานของอวัยวะดีกว่าพระอีก เขาอธิบายได้หมดเลย ทำไมสมองเป็นอย่างนี้? ทำไมหัวใจเป็นอย่างนี้? หัวใจมันผิดไปอย่างไรเขารู้หมดเลย แต่เพราะเขาไม่มีความสงบของใจ เขาไม่มีหลักฐาน รู้แล้วได้อะไรล่ะ? รู้แล้วก็ไปรักษาคน

แต่ถ้าเรามีสัมมาสมาธิ แค่เห็นผิวหนัง เห็นรูขุมขนนั่นน่ะ ไม่ต้องไปเห็นสมองหรอก ไม่ต้องเห็นว่าหัวใจทำงานอย่างไร เห็นรูขุมขน แล้วมันขยายตัว มันขยายเข้าไปเป็นไตรลักษณ์ เห็นไหม เป็นวิภาคะ เป็นอุคคหนิมิต เป็นวิภาคะนิมิต มันขยายส่วน มันแยกส่วน มันเห็นแล้วมันขย้อนเลย คำว่าขย้อนนั่นน่ะธรรมสังเวชไง มันขย้อนนะ มันเอ๊อะ! โอ้โฮ ทำไมเป็นอย่างนี้? ทำไมเป็นอย่างนี้?

นี่ไงสัจธรรมมันมีอยู่ ของความจริงมันมีอยู่ แต่มันต้องอาศัยสัมมาสมาธิ อาศัยฐีติจิต อาศัยจิตเป็นผู้เห็น ถ้าเป็นผู้เห็นเราก็ทำของเราไป เห็นไหม ฉะนั้น อย่าไปกดดัน อย่ากดดันว่าต้องนิพพาน ต้องนิพพาน ใช่! ทุกคนก็ปรารถนาสิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่คำว่าปรารถนานิพพาน เห็นไหม ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เราปฏิบัติมาถึงสมเหตุสมผล เมื่อก่อนคนไม่กล้าคิดถึงนิพพานนะ พอคิดถึงนิพพานเขาบอกว่าคนๆ นี้ผิดปกติแล้วล่ะ

สมัยก่อนไม่มีใครกล้าคิดหรอก แต่เพราะมีครูบาอาจารย์เราท่านปฏิบัติมาจนท่านเป็นพยานหลักฐาน ท่านเป็นพยานยืนยันกันได้ว่าทำได้จริง พอทำได้จริงพวกเราก็เอาแล้ว กิเลสมันก็สวมรอยมาเลย นี่ดาบสองคมไง เวลาทำความดีทุกอย่างก็ต้องตั้งใจ พอมันคิดอีกอย่างหนึ่งว่าจะนิพพานๆ นิพพานก็จะไปจ่ายตลาดเอานิพพานไง จะเข้าห้างสรรพสินค้าหยิบเอาไง แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าล่ะ?

ถ้ามันไม่จริง เห็นไหม นี่เราปรารถนานิพพานใช่ไหม? ใช่! แต่เวลาทำเราก็ต้องเตาะแตะไป เรายังไม่มีบริษัทห้างร้านสิ่งใดเลย แล้วเราบอกเราจะทำธุรกิจ เราจะประกอบธุรกิจ ทุกคนอยากมีธุรกิจเป็นของส่วนตัว แล้วยังไม่มีอะไรเลย ใช่ เรามีสมอง เรามีการวิจัย เรามีต่างๆ เราก็อยากจะมีธุรกิจของเรา ถ้ามีธุรกิจของเรา เราก็ต้องวิจัย วิจัยคือการศึกษา คือปริยัติ

เวลาเราทำขึ้นมาเราก็ตั้งสติของเราขึ้นมา ตั้งสติมา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่ต้องเดินจงกรม เดินจงกรมเพราะอะไร? ดูสินั่ง ๕ นาทีก็จะหลับแล้ว พอเดินขึ้นมามีการเคลื่อนไหว เห็นไหม เคลื่อนไหวก็สงบ นี่เดินจงกรมอยู่ จิตมันสงบสงบอย่างไร? ถ้ามันไม่สงบจะรู้ได้อย่างไร? ขณะรวมท่ามกลางทางจงกรมมันเป็นอย่างใด? แล้วเวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา

นี่ถ้าเดินจงกรมเอาเวลากันนะ ไอ้หุ่นยนต์หน้าปั๊มน้ำมัน มันโบกรถเข้าปั๊ม มันโบกทั้งวันทั้งคืน ๒๔ ชั่วโมง มันต้องเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ถ้าเอาเดินจงกรมแล้วจะเป็นพระอรหันต์มันไม่ใช่หรอก เดินจงกรมมันเป็นกิริยา เป็นวิธีการ แต่เวลาจริงๆ เกิดขึ้นมามันเกิดจากจิต จิตมันมีสมาธิของมัน มันมีปัญญาของมันขึ้นมา นี่มันจะย้อนกลับมา มันภาวนาขึ้นมามันต้องรู้ ต้องเห็น

คนเป็นหมอ ถ้าไม่มีทางวิชาการขึ้นมา มันจะเป็นหมอไปรักษาคนไข้ได้อย่างไร? เป็นครูบาอาจารย์ของคน ถ้าจิตมันไม่เป็น ไม่มีมรรคญาณ ไม่มีมรรค ไม่มีผล จะไปสอนเขาได้อย่างไร? เวลาเขาติดขัดขึ้นมา จิตใจเขาปฏิบัติขึ้นมา เขามีความติดขัดขึ้นมา เราจะเอาอะไรไปสอนเขา เราจะเอาอะไรไปบอกเขา ไม่ใช่หมอจะไปรักษาคนไข้ได้อย่างไร? ไม่ใช่ผู้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไม่มีมรรค ไม่มีผล จะไปสอนคนได้อย่างไร? ถ้ามันจะสอนคน มันก็ต้องรู้ผลของมันสิ ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราหวังมรรค ผล นิพพาน เราก็ต้องรู้จริงสิ

ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา นี่ไงมันถึงเป็นสันทิฏฐิโก ยืนยันอยู่กลางหัวอก ยืนยันอยู่บนหัวใจของเรานี่แหละ แล้วมันจะไปหวั่นไหวกับสิ่งใด? มันจะไปหวั่นไหวกับอะไร? ทีนี้พอเวลาเราปฏิบัติใช่ไหม? เราหวังมรรค หวังผล แล้วเอามรรคเอาผลมากดทับตัวเอง มากดดันตัวเอง แล้วปฏิบัติไป นี่มันเป็นตัณหาซ้อนตัณหาไง วางให้หมดนะ

เราหวังมรรคหวังผลจริง ทุกคนทางโลกเขาอยากมีธุรกิจทั้งนั้นแหละ อยากจะมีเงิน มีทอง อยากจะมีความมั่นคงของชีวิต ทุกคนปรารถนาทั้งนั้นแหละ แต่เวลาทำไปแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ นี่เพราะว่าคนสร้างมาแตกต่างหลากหลายกัน แม้แต่ลูกหลานเกิดในพ่อแม่เดียวกัน ก็นิสัยใจคอไม่เหมือนกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน จิตใจมันก็ไม่เหมือนกัน

ฉะนั้น จิตใจไม่เหมือนกัน แต่เราก็มีแรงปรารถนา เราก็มีความตั้งใจของเรา เราก็จะปฏิบัติของเรา เราก็ทำคุณงามความดีของเรา เราทำของเราไป ไม่มีสิ่งใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์

“อานนท์เธอบอกเขาเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราดีกว่าการปฏิบัติบูชาเราด้วยอามิส”

แล้วเราประพฤติปฏิบัติกัน เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยอะไร? เรามีโอกาสมากกว่าญาติโยมเขาเยอะแยะ ญาติโยมเขามา เห็นไหม เขาถวายทานของเขา เขามาทำบุญกุศลของเขา นี่อามิส แต่เขาก็อยากได้ของเขา เรานี่ปฏิบัติล้วนๆ นะ เรานั่งสมาธิภาวนากันทั้งวันทั้งคืน นี่เราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า เรามีโอกาสอยู่แล้วนะ โอกาสเราเปิดกว้างมาก

โอกาสของพระ โอกาสของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเปิดกว้างมาก พอเปิดกว้างขึ้นมา ทำไมเราไม่ฉวยโอกาสอันนี้เอาไว้ แล้วทำไมเราไม่รีบปฏิบัติของเราขึ้นมา เรามีโอกาสแล้วเราต้องทำให้สมกับที่เรามีโอกาสสิ เรามีโอกาสแล้วทำไมเราอ่อนแอล่ะ? เรามีโอกาสแล้ว ทำไมเราทำให้โอกาสเราหลุดพลัดพรากไปล่ะ? ทำไมเราทำให้โอกาสหลุดจากมือเราไป เรามีโอกาสแล้วเราต้องฉกฉวยโอกาสนั้น แล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติของเรา

ใช่ เราปรารถนาแน่นอน แต่ถ้าเอามากดทับ มันเป็นการกดดันตัวเองทำให้เราปฏิบัติยากขึ้น วางให้หมดแล้วทำของเราตามความเป็นจริง สมกับการที่เราประพฤติปฏิบัติ นี้คือธรรม เอวัง