เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o พ.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ พระเป็นผู้ที่ประเสริฐ พุทธะ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วถึงวางธรรมและวินัยไว้ วางธรรมวินัยไว้เพื่อจะให้เราขวนขวาย ดูสิปลาที่มันจะขึ้นไปวางไข่ที่ต้นน้ำ มันกระเสือกกระสนทั้งชีวิตนะ เวลาเกิดมาแล้วมันลงสู่ทะเล ดำรงชีวิตของมัน เวลามันจะวางไข่มันต้องขึ้นไปถึงต้นน้ำ มันจะไปวางไข่ของมัน

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปสู่ในหัวใจของทุกๆ คน เห็นไหม ทุกคนมีพุทธะ คือมีหัวใจ มีผู้รู้อยู่ แต่ผู้รู้นี้มันปกคลุมไปด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ไม่เห็นของเรา เวลาความไม่รู้ไม่เห็นของคนๆ นั้นนะ เวลาปฏิบัติไปนี่ปฏิบัติเพื่ออะไร? ปฏิบัติเพื่อบูชาใคร? นี่เวลาเราศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมมาเพื่ออะไร? ศึกษาธรรมเพื่อบูชากิเลส หรือศึกษามาเพื่อบูชาธรรม

ถ้าศึกษามาเพื่อบูชากิเลสนะ มันเอาทิฐิมานะ เอาความรู้ความเห็นอันนั้นว่าข้ารู้ ข้ารู้แล้วข้ารู้อะไร? รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแต่ตัวเองไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่รู้อะไรเลย เห็นไหม นี่ว่า ๒ มาตรฐาน ๒ มาตรฐาน ใช่ มันมีอยู่ ๒ มาตรฐาน หนึ่งคือรู้กับไม่รู้ มาตรฐานที่รู้ ถ้ารู้ขึ้นมามันทำสิ่งใด แสดงสิ่งใดจะถูกต้องดีงามไปหมด ถ้าไม่รู้ ถ้าไม่รู้แสดงออกไป ดูสิเวลาไม่รู้แสดงออกไป สิ่งที่ไม่รู้แสดงออกไปนี่แสดงอะไร? แสดงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่ทุกคนว่าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ? มันจริงหรือเปล่า? ถ้ามันจริงขึ้นมา เห็นไหม มันจริงมันต้องมีเหตุมีผลของมัน ดูสิเวลาเราอยากได้เงินอยากได้ทองขึ้นมา เงินทองมันมาจากไหน? เงินทองนี่ถ้าคนไม่เข้าใจ เงินทองก็ขอเอามาไง นี่แบมือขอมาก็ได้เงินมา แต่ความจริงแล้วเงินได้มาเพราะหน้าที่การงานนะ เราต้องทำหน้าที่การงานเราถึงได้เงินมา เวลาทำงานขึ้นมา เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติ เราศึกษาธรรมมา เราว่าเรารู้ธรรมๆ รู้ธรรม เห็นไหม มันมี ๒ มาตรฐาน มาตรฐานหนึ่งคือรู้กับไม่รู้ ถ้าไม่รู้ ไม่รู้แสดงธรรมไปหลวงตาบอกเลย บอกว่ามันแสดงไปมันมีแต่เสียง ไม่มีเนื้อหาสาระ แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เสียงนั้นออกไปมันมีข้อเท็จจริงของมันนะ ถ้ามีข้อเท็จจริงของมันนะ รู้ๆ รู้เพราะอะไร? เหตุใดถึงรู้?

นี่ไงที่ว่าปลาที่มันขึ้นไปวางไข่ เวลาวางไข่บนต้นน้ำมันต้องกระเสือกกระสนของมัน มันผ่านวิกฤติของมันไปตลอดแหละ ถ้าจิตใจนะ ถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา ใจถ้ามันสงบเข้ามาแล้ว สงบมันคืออะไร? สงบคือกิเลสมันสงบตัวลง ถ้ากิเลสสงบตัวลง เห็นไหม ดูสิเวลาจิตใจเราฟุ้งซ่าน เราทุกข์เรายากอยู่นี่เพราะเหตุใด? เพราะมันฟุ้งซ่าน เห็นไหม กิเลสมันฟุ้งซ่าน มันทำให้หัวใจมันส่งออกหมด

นี่ถ้าเราพุทโธ พุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา อบรมสมาธิเข้ามาเพื่อเหตุใด? เพื่อความร่มเย็นของมัน ถ้าจิตมันปล่อยวางของมัน มันร่มเย็นของมัน เห็นไหม ถ้ามันร่มเย็นของมัน ถ้ามันออกใช้ปัญญาของมัน ออกใช้ปัญญานะ ถ้าออกใช้ปัญญา นี่ไงสิ่งที่ว่าถ้ารู้ รู้เพราะเหตุใด? มันต้องมีเหตุมีผลของมันสิ ถ้ามันรู้ขึ้นมา มันจะรู้เลยว่ารู้เพราะอะไร?

ดูสิเรามีเงินมา ถามมาสิเงินนี้เอามาจากไหน? หามาอย่างไร? ทำอย่างไรมันถึงได้เงินมา? ตรวจสอบได้หมดแหละ แต่ถ้ามันมีเงินมา เงินนี้มาจากไหน? ไม่รู้ มีเงินอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเงินนี้มาจากไหน? เห็นไหม ฉ้อโกงมา นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องมีสิ เราทำได้หมดแหละ เงินนี้มาจากไหน? เราทำสิ่งใดมา? เราได้มาเพราะเหตุใด? ถ้าเหตุที่ได้มาแล้วมันถูกต้องดีงามหรือเปล่า? ถ้ามันฉ้อฉลมา มันไม่ถูกต้องดีงามมันก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง

นี่ถ้าไม่รู้แสดงออกไป สิ่งใดที่แสดงไปมันก็ผิดไปหมดแหละ เห็นไหม ว่า ๒ มาตรฐาน ๒ มาตรฐาน มัน ๒ มาตรฐานเพราะรู้กับไม่รู้ ถ้ารู้นะ ถ้ารู้ขึ้นมา คนรู้ขึ้นมา พออ๋อขึ้นมานี่นะมันเศร้าใจนะ มันรันทดกับชีวิตนะ ชีวิตนี้รันทดมาก เวลาเราเกิดขึ้นมา ชีวิตนี้รันทดเพราะอะไร? รันทดเพราะว่านี่ไงมันเป็นผลของวัฏฏะ จิตนี้มันเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้ ถ้าเวียนตายเวียนเกิดขึ้นมา

นี่ตายขึ้นมา เห็นไหม ดูสิเดี๋ยวนี้ทางวิทยาศาสตร์เขาพยายามจะคิดเครื่องจักรกล เขาพยายามจะคิด ใช้สสาร ใช้แร่ธาตุที่มันมีความคงทน ดูสิความคงทนแล้วมีน้ำหนักเบา มันจะได้คงทนของมัน คงทนของมันเพื่ออายุการใช้งานของมัน แล้วชีวิตเรา นี่ดูสิหัวใจมันทำงานมาเท่าไหร่? คนเรานะหายใจวันละกี่หน?

เขาคำนวณหมดแหละ ชีวิตหนึ่งหายใจเข้า-หายใจออกกี่ล้านครั้ง นี่เขาคำนวณว่าอวัยวะเรามันใช้งานได้มากน้อยแค่ไหน? นี่ไงมันรันทดไหม? พอรันทด สิ่งที่ใช้งาน อวัยวะแต่ละชิ้นใช้งาน ถ้ามันพิการไป มันเสียหายไปเราจะแก้ไขอย่างใด? ดูสิเขาแก้ไข เขาพยายามจะคิดกัน พยายามจะแก้ไขกันเพื่ออะไร? เพื่อดำรงชีวิตนะ ดำรงชีวิตนั้นดำรงชีวิตนะ แล้วความรู้สึกล่ะ? ถ้าความรู้สึกนะมันมีความสุขของมัน มันเข้าใจชีวิตนะ มันเป็นผลของวัฏฏะไง

มันปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้ สิ่งที่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์มันมีสมอง มันมีความรู้สึกนึกคิด มันมีสังคม สังคมจะช่วยเหลือเจือจานกัน มันมีกฎ มันมีกติกา มันไม่มีการเบียดเบียนกันนะ สมัยโบราณนะคนเหมือนสัตว์ เห็นไหม หัวหน้าเวลาล่าสัตว์มา ยังไม่มีไฟนี่หัวหน้าต้องกินก่อน เหมือนฝูงสัตว์ ใครแข็งแรงก่อน หัวหน้าฝูงกินก่อน กินเสร็จแล้วนะหมู่คณะถึงจะได้กิน แต่มันพัฒนาขึ้นมา เห็นไหม ตั้งแต่ในยุคหิน น้ำแข็งต่างๆ มันพัฒนาของมันมา

นี่เกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์มันปฏิเสธไม่ได้ คำว่าปฏิเสธไม่ได้คือจิตมันต้องเกิด ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันก็เวียนตายเวียนเกิด มันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันหมุนไปอย่างนี้แหละ แต่พอหมุนขึ้นไปแต่ละคราว เห็นไหม วาระที่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา

พุทธศาสนานี่ปฏิสนธิจิตทำไมมันถึงเกิด? มันเกิดเพราะเหตุใด? เกิดเพราะพลังงาน นี่พลังงานมันมีอวิชชา มีความขับดัน พอมีความขับดันมันต้องเป็นไปอยู่แล้ว แต่ขับดันโดยบวกหรือโดยลบล่ะ? ถ้าโดยบวก เห็นไหม เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม โดยลบล่ะ? โดยลบมันก็เกิดนรกอเวจี แล้วถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ล่ะ?

มนุษย์มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะเทวดา อินทร์ พรหม ไม่มีร่างกาย ไม่มีสิ่งต่างๆ ต้องแสวงหา ในสวรรค์ ในพรหม ไม่มีตลาด ไม่มีธุรกิจ ไม่มีต่างๆ มันไปตามเวรตามกรรม สิ่งที่มันทำไปแล้วมีค่าตามนั้น นี่พอเกิดแล้วใครมีแสงมาก ใครมีอาหารมาก ใครศักดิ์ศรีมาก นี่เวลามันใช้ไปแล้วมันหมดไป มันก็หมดอายุขัยไป

เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ เห็นไหม เกิดมาคนเราไม่ได้ดีเพราะชาติตระกูล ดีเพราะมีการกระทำ เกิดมาแล้วมีปัญญาไหม? นี่เราเกิดมาทุกข์ทนเข็ญใจ แต่เราแสวงหา เราดิ้นรนของเรา คนเกิดมา นี่เกิดมามั่งมีศรีสุข แต่เกิดมาแล้วไม่ทำสิ่งใด เกิดมาแล้วไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่เราเกิดมาแล้วเป็นประโยชน์กับโลก เป็นประโยชน์กับตระกูล เป็นประโยชน์กับชาติตระกูลของเรา แต่ตัวเราล่ะ?

ตัวเรา เห็นไหม “ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด” มันต้องพลัดพรากไปแน่นอน ถ้าพลัดพรากไปแล้วสมบัติของเราล่ะ? เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ภาพหนึ่งภาพของโลก ภาพของโลก เห็นไหม โลกคือสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ สิ่งที่เป็นศีลธรรมจริยธรรมที่เรารู้เราเห็นกันได้ นี่ถ้าภาพหนึ่งภาพของโลก ภาพหนึ่งคือความจริงล่ะ? ความจริงนี่รู้หรือไม่รู้ไง

ถ้ารู้ขึ้นมา เห็นไหม ดูสิคนที่ทำ ครูบาอาจารย์เราปิดทองหลังพระนะ ปิดทองหลังพระ เดินจงกรมก็ไม่ให้ใครเห็น ทำสิ่งใดก็ไม่ให้ใครเห็น แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติก็ต้องให้เขานอนกันก่อน ต้องให้เขาหลับกันก่อนแล้วเราค่อยเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา เพราะมันสงบ มันสงัด นี่ทำอะไร? เราจะทำอะไร?

ถ้าไปทำกับโลก เห็นไหม เหมือนกับฝึกทหาร เวลาภาวนาเหมือนฝึกทหารเลย ทหารเวลาเขาฝึกทหาร เวลาซ้ายหัน ขวาหัน นี้ภาวนาก็เหมือนฝึกทหาร นี่แล้วมันเป็นไปได้จริงไหม? มันเป็นได้จริงไหม? แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ดูสิความละเอียดอ่อน งานที่ละเอียด เห็นไหม ดูสินักวิทยาศาสตร์เวลาเขาทดสอบในแล็ปของเขา เขาเพาะเชื้อโรคของเขา เขาอันตรายของเขา เขาใส่เครื่องป้องกันเขาหมดนะ ใส่ชุดที่ป้องกันพิษทั้งหมดเลย เพื่อทดสอบทางวิทยาศาสตร์

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันจะลง จิตมันจะเป็นไปมันละเอียดกว่านั้น มันไม่ใช่ฝึกทหาร ฝึกทหารเขาเอาไว้รบป้องกันชาติ แต่เวลาเราฝึกขึ้นมาเพื่อปฏิบัติของเรา มันจะฝึกขึ้นมาเพื่อหัวใจของเรา นี่มันต้องอาศัยความสงบสงัด เห็นไหม อาศัยความสงบสงัด ความวิเวก สถานที่ควรแก่การงาน ชัยภูมิของการประพฤติปฏิบัติ ถ้าคนที่เขาเป็นธรรมนะ เขาสงวน เขารักษาของเขา ชัยภูมินี่เขาปฏิบัติ ดูสิเวลาโลกเขาต้องการตลาดใช่ไหม? ตลาดไม่วายเราจะได้ผลประโยชน์ ถ้าตลาดวายเราจะไปค้าขายสิ่งใด ตลาดเขาเลิกกันแล้ว นี่มันไม่มีคุณค่าแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจมันมีประโยชน์ของมัน เห็นไหม มันจะประพฤติปฏิบัติของมัน มันทำของมัน ถ้ามันทำของมัน นี่ไงสิ่งที่ว่าถ้ารู้มันจะปกป้องมาตลอด ปกป้องสิ่งนี้เหมือนจงอางหวงไข่เลยล่ะ นี่สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์ต่ออนุชนรุ่นหลังนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระกัสสปะไง พระกัสสปะอายุเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“กัสสปะเอย เธอก็เป็นพระอรหันต์ ทำไมเธอต้องถือธุดงควัตร?”

“ข้าพเจ้าไม่ได้ถือเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เป็นคติ เป็นคติเครื่องเตือนใจของเขาให้มีแบบมีอย่าง”

นี่ถ้ามันรู้จริง มันเห็นอะไรเป็นประโยชน์เป็นโทษ มันรู้ไปหมดนะ ถ้ารู้ไม่จริงมันเป็นภาระรุงรังกันไปหมดเลย ถ้าเป็นภาระรุงรังมันก็น่าเห็นใจ เพราะคนที่มาประพฤติปฏิบัติก็มาจากไม่รู้ทั้งนั้นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาจากเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปแสวงหาเจ้าลัทธิต่างๆ มา ๖ ปี เพราะท่านก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา เวลามันรู้ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ถ้าเรารู้ขึ้นมาแล้ว นี่โมฆบุรุษๆ พวกโฆษบุรุษ นี่ทำสิ่งใดลามกจกเปรต ท่านบอกว่าพวกโมฆบุรุษทำสิ่งใดไม่ถูกต้อง ถ้าทำไม่ถูกต้องขึ้นมา เห็นไหม นี่มันต้องยอมรับความจริง ถ้าความจริงมันเป็นความจริงขึ้นมาเราจะทำของเรา

ฉะนั้น สิ่งที่เรายังไม่รู้ เราก็ว่า ๒ มาตรฐาน ๓ มาตรฐานไปอย่างนั้นแหละ แต่มันมีรู้กับไม่รู้เท่านั้นแหละ ถ้า ๒ มาตรฐานก็รู้กับไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็ทำไปอย่างหนึ่ง ทำด้วยความไม่รู้ของตัว ทำไปมันกีดขวางเขาไปหมด แต่ถ้ามันรู้ มันกีดขวางของมันไม่ลงนะ กีดขวางใครไม่ได้หรอก มันกีดขวางใครไม่ได้เพราะมันเห็นใจไง

มันรันทดนะ ชีวิตเรานี่รันทด ชีวิตเรานี่รันทดมาก แต่ผู้ปฏิบัติพ้นไปแล้วนะมันรันทดกับชีวิต เพราะชีวิตมันเป็นแบบนี้ รันทดกับชีวิตมันเป็นแบบนี้ มันก็จะต้องเป็นแบบนี้ แล้วแบบนี้มันเป็นแบบใด? แบบนี้ถ้ามีปัญญามันก็รู้ มันก็เห็น มันก็เป็นไป ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็นนะ มันก็ตีโพยตีพายไป ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย นี่ทำคุณงามความดีมหาศาล ทำไมคุณงามความดีไม่ให้ผลกับเรา?

ความดีก็คือความดี ความดีมันจบไปแล้ว ความดีคือความดี สิ่งที่กระทำใหม่นี่มันไม่ใช่ดีแล้ว มันไม่ดีเพราะอะไร? ไม่ดีเพราะมันไม่เป็นธรรมไง ถ้าเป็นธรรมมันก็ต้องดีสิ ดีมันก็ต้องต่อดีไปเรื่อยๆ สิ ดีมันไปขวางกับดีได้อย่างไร? นี่ถ้ามันขวางก็คือมันไม่ดีอยู่แล้ว ถ้ามันดีมันจะขวางไม่ดีได้อย่างไร? นี่ธรรมมันต้องไปร่องเดียวกันทั้งนั้นแหละ มันไม่มีอะไรกีดขวางได้หรอก ฉะนั้น เราก็จะคิดของเราไปเอง

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาท่านพูดกับพระ

“จำคำผมไว้ให้ดีนะ ถ้าใครปฏิบัติมาถึงแล้วนะจะมากราบศพ”

แต่ถ้าใครปฏิบัติยังไม่ถึงนะมันจะว่า ๒ มาตรฐาน ๓ มาตรฐาน อันนั้นมันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเรื่องของความไม่รู้มันปิดกั้นไม่ได้ มันปิดกั้นไม่ได้หรอก แต่ถ้าเมื่อใดรู้ จบ เอวัง