เทศน์เช้า วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันพระ วันพระ เห็นไหม เราทำบุญกุศลกันเพื่อให้ระลึกถึงตัวเองนะ ถ้าระลึกถึงตัวเองเราเสียสละ เสียสละใครเป็นคนเสียสละ? เราเป็นคนเสียสละ ถ้าเสียสละแล้วนี่หัวใจมันได้ หัวใจมันรับรู้ เวลาบอกว่าเทวดาเขากินวิญญาณาหาร วิญญาณคือความรับรู้ ความรู้สึกใช่ไหม?
ความรู้สึกเขาบอกเขาคิดเอาก็ได้ คิดเอาก็ได้ เห็นไหม ถ้าเราคิดเอาก็ได้ เราคิดสิ่งที่เราไม่รู้ได้ไหม? เราคิดได้สิ่งที่เรารู้ แต่เราคิดสิ่งที่เราไม่รู้ไม่ได้เลย เราไม่เคยรู้ไม่ได้เลย แต่เราทำบุญกุศลใครเป็นคนรู้ สิ่งที่ทำบุญกุศลนี่นะ สิ่งนี้มันไม่มีชีวิต มันไม่รู้เรื่องหรอก อาหารการกินนี่มันไม่รู้เรื่องหรอก แต่คนเสียสละมาสิรู้ คนที่ยื่นให้นั่นน่ะรู้
ถ้าหัวใจผู้รู้ เห็นไหม เราทำบุญกุศลเพื่อตรงนี้ไง เพื่อหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา เราทำบุญกุศลเพื่อเรา ถ้าทำเพื่อเราแล้ว เราทำแล้วเราจะรู้หรือไม่รู้ เวลาเราเติมน้ำใส่ภาชนะ เราเติมบ่อยเข้าๆ ภาชนะมันเต็มขึ้นมา ภาชนะมันรู้ตัวมันไหม? มันไม่รู้หรอกแต่มันเต็ม จิตใจนี่ความดีที่มันละเอียดไง
ความดี เห็นไหม เราบอกเราทำคุณงามความดีกัน เราสร้างคุณงามความดีทำไมเราทุกข์ยากขนาดนี้ เราทุกข์ยากขนาดนี้ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราก็ทำดีๆ นี่มันดีของใครล่ะ? มันดีที่อารมณ์ความรู้สึก แต่ถ้าเราทำ ผู้รู้มันเสียสละของมัน มันเสียสละของมัน ทำเพื่อมันไง คนนอนหลับอยู่เราป้อนอาหารเขาไม่ได้หรอก เขาไม่รับรู้สิ่งใดเลย แต่ถ้าคนตื่นอยู่นะ ถ้าคนตื่นอยู่มันจะรู้ของมัน
เรานี่ทุกข์ยากกัน เราทุกข์ยากกัน เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยเราแสวงหากัน แต่เวลาทำบุญกุศล นี่เวลาพระเคนของ พระรับขึ้นมา พระเขาต้องมีสติ เขาต้องระวังตัวตลอดเวลา แต่ถ้าไม่มีสตินะ สิ่งใดมามันก็ดีหมด ใช่ คนเรานะจะทำบุญกุศลเราก็ทำบุญกุศล บุญของเราต้องที่ประณีต คำว่าประณีตเราก็จะหาสิ่งที่ดีเพื่อถวายพระ แต่ถ้าพระไม่มีสติ สิ่งที่ดีๆ นะพอฉันเสร็จแล้วก็ไปนั่งหลับสัปหงกโงกง่วง
สิ่งที่เป็นอาหารนี่มันดำรงชีวิตนะ แต่ถ้ากิเลสมันกินมันทุกข์นะ พระในสมัยพุทธกาลจะออกบิณฑบาต พอบิณฑบาตคิดเลยว่าวันนี้บิณฑบาตเขาจะเอาอะไรใส่บาตรเราเนาะ คืออยากได้ ปลดนะ ปลดเอาบาตรวางลง แล้วถอดจีวรออกเลย ไม่ไป ถ้ากิเลสมันกินก่อนไม่ไป คือยังไม่ได้อาหารเลย กิเลสมันกินก่อนแล้ว อยากได้อะไรเนาะ วันนี้เขาจะใส่อะไรเราเนาะ นี่มันอยากไปก่อนแล้ว อาหารยังไม่ได้กิเลสมันกินก่อน แต่ถ้าขณะเราปฏิบัติ เห็นไหม สิ่งที่เราประเคนกันอยู่ เวลาพระเขารับ สิ่งนี้ต้องมีสติ
เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ หลวงตานะ ถ้าเวลาของมากท่านจะเตือนสติประจำ ท่านจะเตือนสติ เวลาท่านพูดท่านพูดขึ้นมาให้พระได้สติ แต่คนฟังทั่วศาลานะ ว่าสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาพระมากขึ้นมา บิณฑบาตมาจะไม่ได้สิ่งใดเลย จะได้น้ำพริกมาถ้วยหนึ่ง แล้วน้ำพริกนั้นจะไม่พอแจกกัน ท่านจะเอาใส่กะลา นี่อยู่อีสานเขาใช้กะลา ใส่กะลา แล้วเอาน้ำใส่เข้าไปแล้วคนๆๆ ให้มันมาก ให้มันมีจำนวนมากขึ้นให้พอแจกกัน ให้พอแจกกัน เห็นไหม
คำพูดนี้เป็นคำพูดของครูบาอาจารย์ที่คอยเตือนสติ แล้วถ้าคนมีสติ สิ่งใดที่เราจะจับต้องเรามีสติ พอเรามีสติขึ้นมาเราจะไม่พลั้งเผลอ ถ้าเราพลั้งเผลอไปนะ เริ่มต้นตั้งแต่ขาดสติพลั้งเผลอไป แล้วสิ่งใดก็แล้วแต่เอาแต่ความสะดวกของตัวเอง มันจะทำให้การภาวนาของคนนั้นเสียหายไป นี่พูดถึงความดีที่ละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ
ฉะนั้น เวลาเราถวายพระ ใช่ พระท่านรับแล้ว ฉะนั้น รับแล้วท่านก็มีสติของท่าน เห็นไหม มักน้อย มักน้อยสิ่งที่ได้มา นี่สันโดษคือสิ่งที่มีที่เป็นไป แต่มักน้อยนะ มักน้อยสิ่งที่เขาเอาไปเพื่อดำรงชีวิต แต่เราจะเปิดกว้างในการที่มีสติ ในการที่จะใช้ปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรานะ เวลาความสงบสงัดในหัวใจมันจะเกิดขึ้นมาจากนั่น
นี่แล้วเราทำบุญกุศลใช่ไหม? เราจะบอกว่าเวลาเราทำบุญด้วยความประณีตของเรา พระควรจะสนองศรัทธาของเรา ถ้าจะสนองศรัทธาของเรา ใช่ เราก็สนองศรัทธาแล้ว แต่ แต่ความดีที่มีกว่านี้ เห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติ เราได้ทำบุญแล้ว เราได้เสียสละแล้ว เราได้สละทานไปแล้ว นั้นเป็นสติปัญญาของท่าน ท่านจะแยกแยะของท่านเพื่อประโยชน์ ท่านยังต้องการประโยชน์ของท่านอีกต่อไปข้างหน้า ไม่ใช่ว่าสนองศรัทธาแล้ว สนองศรัทธาเราให้สมกับความปรารถนาเรา แต่ท่านต้องไปพิจารณาของท่าน
เพราะเวลานะ สิ่งที่เวลาพระมาฉันอาหารไม่ครบเพราะพระอดอาหารก็มี พระอดอาหารเพราะอะไร? เพราะเห็นว่าสิ่งนี้ เห็นไหม สิ่งนี้พอธาตุขันธ์มันทับจิต เวลาร่างกายแข็งแรง เวลาสิ่งใดที่มันได้สมความปรารถนามันก็พอใจของมัน แล้วมันก็เหยียบย่ำ เหยียบย่ำสติปัญญาของเรา ถ้าเหยียบย่ำสติปัญญาของเรา สติปัญญาของเราจะเกิดไม่ได้ แล้วถ้าสติปัญญาเราเกิดนะ นี่ความที่เราตักน้ำใส่ภาชนะ ภาชนะไม่รู้หรอก มันไม่รู้สึกตัวของมัน แต่ภาชนะเต็มได้
จิต จิตที่สักแต่ว่ารู้ ความรู้ที่เป็นพลังงาน กับความรู้ที่เรานึกคิด ความรู้ที่เรานึกคิดมันหยาบเพราะมันเป็นขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง เรารู้แต่ความคิดของเรา เรารู้แต่ความรู้สึกของเรา แต่ถ้ามันละเอียดเข้าไปนี่มันปล่อยวาง ปล่อยวางความรู้สึกนึกคิดเข้ามาหมดเลย แต่ตัวมันมันรู้อยู่เด่นชัด ตัวความรู้เด่นชัดนี่ฐีติจิต คือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้คือตัวพลังงานนั้น ทีนี้ตัวพลังงานมันเสวยอารมณ์ ถ้าตัวพลังงานนั้นมันไม่เสวยอารมณ์เราจะสื่อสารกันไม่ได้
นี่สีเขียว เหลือง แดงต่างๆ เราศึกษามาว่าสีนี้เป็นสีเขียว สีนี้สีเหลือง สีนี้สีแดง สีนี้เราสื่อสารกันได้ด้วยสัญญาความจำ ถ้าด้วยสัญญาความจำ จิตมันเสวยอารมณ์ไปแล้วเราก็สื่อสารกันออกมาเป็นสัญญาอารมณ์ ถ้าสัญญาอารมณ์มันก็เป็นสัญญาอารมณ์นั้น แล้วกิเลสมันนอนเนื่องมา เห็นไหม พอใจสิ่งนั้น ไม่พอใจสิ่งนั้น มันก็ให้โทษไง ไม่พอใจก็ขัดใจ พอใจก็ปรารถนาจะได้สิ่งนั้นๆ กิเลสมันนอนเนื่องมา กิเลสมันตามความรู้สึกนึกคิดเข้ามา เราก็รู้สึกนึกคิดได้แต่ความคิดของเรา ความรู้สึกของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเราเราก็รู้สึกตามนั้น กิเลสมันก็ตามสิ่งนั้นมา เห็นไหม
ฉะนั้น เวลาเราทำบุญกุศลของเรา เราทำบุญกุศลเพื่อจะให้เรามีสติ มีปัญญา แยกแยะว่าความดีของโลก เห็นไหม ทำคุณงามความดีนี่ความดีของโลก แต่ความดีของโลกนะมันจบสิ้นกับวัฏฏะนี้ นี่เพราะเวลาทำดี ทำบุญกุศลใช่ไหม? ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีมันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นผลของวัฏฏะไง แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์นะ พ้นจากทุกข์คือไม่ต้องซ้ำรอย
เราเกิดชาตินี้เป็นมนุษย์ แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์อีกมันก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เราสร้างคุณงามความดีนี่มนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ดีมันจะมีสติปัญญา สิ่งใดเบียดเบียนคนอื่นจะไม่ทำ เพราะ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นะเกลียดทุกข์ รักสุขทุกคน เกลียดความทุกข์ ไม่พอใจ รักความสุขทุกคน แล้วเขาก็เกลียดความทุกข์เหมือนกัน เราก็จะไม่ทำลายเขา ถ้าจิตใจมันพัฒนาขึ้นนะมันจะไม่เบียดเบียนใคร มันจะมีความเมตตากับเขา แต่เขาจะเบียดเบียนเรา กระทบกระเทือนเรานะเราก็หลบหลีกๆ เราเป็นผู้ที่มีปัญญา เราเป็นผู้ที่มีความฉลาด เราหลบหลีกของเรา
นี้ถ้ามันเกิดตายๆ ถ้ามันสร้างบุญกุศลขึ้นมา แต่เวลาเกิด เห็นไหม เกิดขึ้นมาแล้วเกิดทุกข์ เกิดยาก เกิดทุกข์เกิดยาก เกิดนรกอเวจีต่างๆ พอเกิดขึ้นมาแล้วมันก็แสวงหา มันก็เรียกร้องของมัน มันเรียกร้องของมันนะ ตามความพอใจของมัน ความพอใจของมันนี่ว่าสังคมรังแกเรา สังคมเอาเปรียบเรา มันก็คิดของมันไป
นี่จิตใจ เห็นไหม การเกิดการตายที่มันเกิดในวัฏฏะการทำดีทำชั่วของเรา แต่เวลาเราเกิดมาพบพุทธศาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์นะ เจ้าชายสิทธัตถะเป็นมนุษย์ นี่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ใช่ไหม? เราก็ปรารถนาความสุข แต่ความสุขที่เราได้สิ่งใดมามันมีความสุขจริงไหมล่ะ? มันสมความปรารถนาไหม? พอได้สิ่งใดมาก็อยากได้มากขึ้น อยากได้มากขึ้น เพราะ เพราะตัณหาความทะยานอยากไม่มีวันอิ่มเต็ม นี่เราถมทะเลไม่เต็มหรอก
ฉะนั้น จิตใจของเรา นี่เวลาทำบุญกุศล เห็นไหม เราปรารถนาเพื่อเป็นอามิส แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมาเราต้องสละ เรามีสติยับยั้ง สละมัน สิ่งที่จะอิ่มเต็มได้ ถ้าจิตใจ นี่จิตใจโลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ความรู้สึกนึกคิดมันพร่องอยู่เป็นนิจ เราจะเติมเข้าไป เราจะเติมเข้าไปเพื่อจะให้มันอิ่มเต็ม แต่ถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธนี่เราเสียสละ เราไม่คิดเรื่องอื่น พุทโธ พุทโธนี่บริกรรมของเรา พุทโธ พุทโธ พุทโธ สิ่งนี้อิ่มเต็มได้ พออิ่มเต็มได้มันจะเป็นความรู้สึกเฉยๆ ฐีติจิตมันไม่ใช่ความคิด
ถ้าความคิด เห็นไหม พอมันอิ่มเต็มของมัน มันไม่หิวไม่ขาดมันก็ไม่เสวยอารมณ์ มันก็ไม่เสวยความคิด ความคิด เห็นไหม ความคิดมันเกิดดับ ทุกอย่างมันเกิดดับ แต่มันเกิดดับบนอะไรล่ะ? มันเกิดดับบนอะไร? มันเกิดดับบนฐีติจิต มันเกิดดับบนภวาสวะ มันเกิดดับบนตัวพลังงานนี้ นี่พลังงานปฏิสนธิวิญญาณ ตัวนี้เป็นปฏิสนธิตัวเกิดตัวตาย นี่ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดบนนี้ ทีนี้เราไม่เห็นตัวนี้ไง เราเห็นแต่ความคิด ความคิดคือเงา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าตะครุบเงา
พวกเราตะครุบเงานะ ตะครุบเงากัน ตะครุบจะหาความสุขความทุกข์ ตะครุบเงากัน มันก็ตะครุบเงา ตะครุบเงา สิ่งที่เงานี่สัญชาตญาณของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ถ้าไม่มีเงาตัวนี้เราก็สื่อสารกันไม่ได้ เราคุยกันไม่ได้ นี่สมมุติของโลก ทีนี้เราก็ใช้สมมุติโลก เห็นไหม สมมุติโลกกลายเป็นความดี วันนี้วันพระเราก็มาสร้างคุณงามความดีกัน เราเสียสละของเราแล้วก็ฟังธรรม ฟังธรรมนี่เตือนเราว่ามนุษย์คืออะไร? มนุษย์คืออะไร? นี่มนุษย์มันเกิดมาจากไหน? ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดมาจากไหน? แล้วมันทุกข์ มันทุกข์ที่ไหน?
นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาแยกแยะตรงนี้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัญญา ปัญญาเราแยกแยะของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมานะ นี่หน้าที่การงานก็เป็นแบบนี้ ในเมื่อเราอาบเหงื่อต่างน้ำก็คือการทำงาน ทำงานมันก็เหนื่อยยากเป็นธรรมดา การทำงานมันก็เรื่องอย่างนี้ นี่การทำงาน นี้คืองานของสังคม งานของโลก แล้วเวลาเราจะหางานของเรานะ เราจะพัฒนาของเรา เห็นไหม งานของใจ
นี่ความรู้สึกนึกคิด บริหารจัดการเขาใช้ความรู้สึกนึกคิดทั้งนั้นแหละ ทีนี้เราก็แปรสิ่งนี้ นี่เราทำงานเสร็จแล้วเรามีสติปัญญาไปด้วย เรากำหนดพุทโธไปด้วย นี่รักษาใจเราไว้ คือว่างานก็คืองาน ขีดเส้นแค่งาน ไม่ใช่งานแค่นี้ แล้วก็เอาความทุกข์แบกมาด้วยเลยเส้นออกไป นี่วิตกกังวล เป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น นี่มันเลยเส้นออกไป นี้คือตัณหาความทะยานอยาก งานก็ขีดเส้นไว้ งาน! แล้วตั้งสติไว้ งานก็คืองาน ทำงานเสร็จแล้วจบ ทำงานเสร็จแล้วเราก็ดูแล ดูใจของเรา งานนี้ไม่มีวันจบสิ้น
คนสร้างงานทำงานจนตายไป ก็ให้ลูกให้หลานทำต่อๆ กันไป งานนี้ไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น แต่เราทำมาเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เพื่อหน้าที่การงาน เพื่อหาปัจจัยดำรงชีวิต เราทำจบแล้วก็จบ นี่จบแล้วก็จบ แล้วเรารักษาใจของเรา แต่เราพุทโธ พุทโธนี่เรามาพยายามพุทโธของเรา ทำความสงบของใจของเรา เห็นไหม กลับมาสู่ตัวพลังงานนั้น ถ้าสู่พลังงาน ตัวพลังงานนั้นคือสัมมาสมาธิ คือจิตเดิมแท้ คือฐีติจิต ตัวที่จะเกิด เกิดในความคิด เกิดในความทุกข์ เกิดในความยาก แล้วเราก็ใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญของมัน ใคร่ครวญให้มันมีความรู้ตัวของมันเป็นวิชา
พอตัววิชาขึ้นมา นี่อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง เพราะมันมีอวิชชามันถึงมีสังขาร เพราะมีสังขารมันถึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณมันถึงมีอายตนะ มันมีความกระทบ มีความยึดความถือ อวิชชาพอมันลงปั๊บมันก็ไปหมดเลย เรามีวิชาขึ้นมานะ พอมีวิชามันก็ปล่อยเข้ามา เห็นไหม จากภพ จากชาติ ปล่อยจากอายตนะ ปล่อยเข้ามาๆ จนตัวของมัน พอปล่อยเข้ามานี่มันมีปัญญาของมัน มันใคร่ครวญของมัน
นี่งานอย่างนี้นะเป็นภาวนามยปัญญา งานอย่างนี้ ที่พระบวชนี่เขาพยายามจะทำงานอย่างนี้ เวลาเขาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี่เราบอก เออ พระบวชแล้วก็ไม่ทำงาน เดินไปก็เดินมา เดินนี่มันเป็นสัญชาตญาณ เดินนี่คืออิริยาบถ ๔ แต่จิตใจมันจะย้อนกลับมาที่ตัวของมัน นี่จิตใจย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับมาความคิดเรา ปล่อยวางความคิดเราเข้าไปสู่ฐีติจิตของเรา แล้วใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญของเราเข้าไป มันจะเกิดภาวนามยปัญญา
ปัญญาอย่างนี้เกิดจากการภาวนา ปัญญาอย่างนี้เกิดจากการสั่งสอนไม่ได้ การสั่งสอนเป็นการบอกแนวทาง แล้วคนที่ปฏิบัติต้องปฏิบัติเอง คนที่จะกินข้าวต้องตักข้าวนั้นใส่ปาก แล้วเคี้ยวกลืนเข้าไปมันจะสู่กระเพาะอาหารนั้น จิตใจ ถ้าจิตใจนั้นมันไม่ได้เคี้ยวกลืนสัจธรรม มันไม่ได้มีการกระทำของมัน มันจะสำรอก มันจะคายกิเลสของมันไม่ได้ มันจะคายกิเลส มันจะสำรอกคายกิเลสของมันด้วยมรรคญาณ ด้วยอริยสัจ ด้วยสัจจะ ด้วยความจริงของมรรคที่มันทำของมันขึ้นมา
แล้วเราทำอะไรกันอยู่นี่? เห็นไหม เราทำบุญกุศลเป็นเงา เงาคือเป็นอามิส เป็นต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมาให้จิตใจนี้เข้มแข็ง พอจิตใจเข้มแข็ง นี่เวลาฟังเทศน์ จิตใจคนที่มีวุฒิภาวะฟังเทศน์ เออ นี่เป็นเทศน์ แต่จิตใจคนที่ไม่มีวุฒิภาวะนะ หลวงพ่อบ่นอะไร นี่บ่นทุกวันเลย น่าเบื่อ มาทีไรหลวงพ่อบ่นแล้วบ่นอีก บ่นทุกวันเลย
ของบ่นอย่างนี้มันต้องมาจากผู้รู้ มันต้องมาจากจิตที่ได้สำรอก ได้คายออก มันถึงรู้จักวิธีคายออกคายอย่างใด? คายกิเลสออก ความสำรอกคายมันออก ถ้าไม่มีการสำรอกคายออก ไม่มีการชำระกิเลส! ไอ้จำมา ศึกษามา เที่ยวโม้ เที่ยวคุยมาไม่มีประโยชน์หรอก ทุกคนก็โม้ได้ นี่ความจำทุกคนก็มีทั้งนั้นแหละ แต่จำแล้วความจริงมันเป็นอย่างใด? ถ้ามีความจริงอยู่นะ พูดกี่ครั้งๆ มันก็เหมือนเดิม เพราะความจริงคือความจริง
ความจริงนี้เกิดจากการกระทำของเรา ฉะนั้น นี่เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ความจริงนี้เป็นสัจจะที่จะเกิดขึ้นมาจากในหัวใจของเรา ฉะนั้น ในการปฏิบัตินี้มันถึงอยู่ที่สัจจะ อยู่ที่ความจริง สัจจะ อริยสัจจะ ของมันจริงอยู่โดยดั้งเดิม เราอยากได้ของจริง แต่เราสัมผัสความจริงได้ด้วยแค่ความคิด เราสัมผัสความจริงด้วยการศึกษา แต่ถ้าเราสัมผัสความจริงด้วยเป็นความจริงของเรานะ ฉะนั้น ความจริงอย่างนี้จะเกิดขึ้นมา
ดูสิเราจับไก่ป่า ไก่ป่าตัวหนึ่งมันอยู่ในป่า เราจะจับมันยากไหม? เราจะค้นหาใจของเรา หาใจของเราไม่เจอ พุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิให้จิตสงบนี่หากันไม่ได้ ไก่ป่าตัวหนึ่ง กว่าจะจับมันได้นะจับแสนยาก ใจของเรา เราจะดูแลใจของเรา เราจะรู้จักใจของเราแสนยาก พ่อแม่รู้จักลูก เราก็รู้จักตัวเราเอง เราอยากได้สมบัติทั้งหมดเลย แต่เราไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของสมบัติ เวลาเราตายไปสมบัตินี้เป็นของคนอื่นนะ เป็นมรดกตกทอดไป แล้วใจเราได้อะไร? ใจเราได้สิ่งใดไป?
แต่ถ้าเราทำความสงบของใจ เรามีสติปัญญาของเรา นี่เราจะได้ปัญญาของเรา เราจะรู้ของเรา นี่ปัญญาไม่ต้องแบกหาม มันจะไปกับเรา นี่วันนี้วันพระ ถ้าได้อย่างนี้ เห็นไหม ตักน้ำใส่ภาชนะ ภาชนะจะไม่รู้ตัวมันเองเลย จนกว่ามันจะเต็ม นี่มันก็ล้นของมันไป แต่จิตใจของเรา เราสะสมของเรา เราดูแลของเรานะ มันจะเต็มของมัน มันจะรู้ได้
นี่สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง มันรู้ เวลาทุกข์เร่าร้อนนี่รู้ แต่เวลาสุข สุขแป๊บเดียวไปแล้ว แต่ถ้ามันเป็นของมันนะ เวลาเราเอ๊อะ เอ๊อะ ไปเจอสมาธิ ไปเจอปัญญาที่มันเกิดขึ้น เอ๊อะ เอ๊อะ เอ่อ มีแต่ชื่อ ศึกษามาตำรามีแต่ชื่อ มีแต่ชื่อ วันนี้เจอตัวจริงมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง เวลาถึงหนองอ้อ อ๋อแล้วนะจบเลยนะ อ้อแล้วรู้หมด ถ้ายังไม่ถึงอ้อ เรายังไม่รู้ตัวเราเอง เรายังหาตัวเราเองไม่เจอนะ เรายังจะต้องตะครุบเงากันไป เอวัง