เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ มี.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม เราทำทุกวัน ทำทุกวันจนเคยชินไง นี่ความคุ้นเคย ความเคยชิน อยู่กับหลวงตานะท่านจะคอยกระหนาบ ท่านบอกเลยว่าไม่ให้คุ้นเคย ไม่ให้คุ้นชิน ถ้าคุ้นชินแล้วกิเลสรากมันจะงอก ฉะนั้น ท่านจะให้กระฉับกระเฉง กระฉับกระเฉง มีสติเพื่อจะทันตัวเองไง ฉะนั้น ถ้ามีสติทันตัวเอง นั้นหมายถึงผู้ที่ปฏิบัติ แต่เราเป็นชาวพุทธนะ เวลาเราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมา นี่เราเกิดมาเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนาเป็นของที่ประเสริฐมาก แต่เวลาเกิดมาแล้วเราโดนกรงขังไว้ เราโดนขังไว้ด้วยความคิด เราโดนขังไว้ด้วยอวิชชา เราโดนขังด้วยความไม่รู้ของเรา มันคุมขังเราไง

เวลาเรามอง เห็นไหม เวลาความรู้สึกนึกคิดเรา เราอยากเป็นนก เราอยากบินได้ อยากเป็นสัตว์ที่มันมีกำลัง ดูช้างสิ คนมีปัญญาเอามันมาใช้งาน คนมีปัญญาเอามาใช้งาน ถ้าช้างที่มันเจอเจ้านายดี ช้างนั้นจะมีความสุข แต่ช้างที่มันเจอเจ้านายที่ไม่ดีล่ะ? มันจะโดนเบียดเบียน เห็นไหม นี่มันจะโดนเบียดเบียน มันจะโดนรังแกของมัน นี่มันมีกำลังของมัน แต่ความรู้สึกนึกคิดของมันเป็นแบบนั้น

มนุษย์ศึกษาธรรมชาติของมัน เวลาเราจะล่าสัตว์เราศึกษาธรรมชาติของสัตว์ แล้วเราไปดักสัตว์ เอาสัตว์นั้นมาเป็นอาหาร แต่เวลาเราเกิดมาเป็นชาวพุทธพบพุทธศาสนา นี่เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐเพราะอะไร? เพราะมันมีสมอง แต่มีสมองของมัน มันก็โดนอวิชชาครอบงำมันไว้ เรามาอยู่วัดอยู่วากัน เราอยากประพฤติปฏิบัติกัน เราอยากจะเป็นอิสรภาพ เราอยากพ้นจากการครอบงำของกิเลส ถ้าอยากพ้นจากการครอบงำของกิเลสเราทำอย่างไร?

ดูเวลาสัตว์สิมันโดนครอบงำโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ เราเกิดเป็นผลของวัฏฏะ นี่ตอนนี้เราโดนครอบงำด้วยชาติของมนุษย์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติมันครอบงำเราอยู่ เวลาเราเกิดมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นผู้มีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถเอาตัวเองรอดออกไปได้ เราเป็นสาวก สาวกะ มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วเราพยายามจะเอาตัวเองเอาเรารอดออกไป แล้วมันรอดได้ไหมล่ะ?

นี่ความรู้สึกนึกคิดมันขังเราไว้ ถ้าความรู้สึกนึกคิดมันขังเราไว้ เห็นไหม เราจะต้องมาทำลายกรงขังอันนี้ ถ้าทำลายกรงขังอันนี้ ดูสิกรงขังของโลกเขา การครองเรือนเป็นกรงขังอันหนึ่ง คนทำความผิด ติดคุก ติดตะรางก็เป็นกรงขังอันหนึ่ง นี่กรงขังอย่างนั้นมันยังแหกออกมาได้ แต่กรงขังของอวิชชาที่มันขังหัวใจนี่ใครจะแหกมันออกไป? แล้ววิธีการจะแหกกรงขังนี้ออกไปจะแหกอย่างไร?

นี่ไงศึกษาธรรมะๆ ศึกษาธรรมะเพื่อเหตุนี้ไง ถ้าความคิดของมนุษย์ ทุกคนก็ว่าตัวเองดี ตัวเองประเสริฐทั้งนั้นแหละ ความคิดของเราประเสริฐ ความคิดมันรังแกเรา ความคิดมันบีบคั้นเรา ความคิดมันทำให้เราทุกข์ แต่เวลาทางโลก เห็นไหม ความรู้สึกนึกคิด ดูสิเวลาเราศึกษา คนศึกษามาศึกษาเพื่อวิชาชีพ เขาศึกษามา ถ้าเขามีปัญญาของเขา ปัญญาของเขาไบร์ทของเขา เขาศึกษาเขาเป็นศาสตราจารย์ เขาทำวิชาการของเขา นี่เพื่อประโยชน์กับโลก ประโยชน์กับโลก!

แต่ประโยชน์กับตัวเขาล่ะ? ประโยชน์กับตัวเขา เขารู้ตัวอะไร? เขาทำวิชาการเพื่อให้ทางความเป็นอยู่ของโลกเขา เขาได้สะดวกสบาย ดูสิทางเทคโนโลยีขึ้นมา ให้เรามีความสะดวกสบายขึ้นมา แล้วเวลาเขาทำขึ้นมาเขาได้ผลตอบแทนของเขาไป แต่เวลาเราจะใช้ปัญญาของเรานะ เราจะเอาตัวเราให้รอดได้ นี่ต้องค้นหาตัวเองให้เจอก่อน คนเรานะ ค้นหาตัวเองไม่เจอเราจะไปทำความสะอาดกันที่ไหน?

เราว่าความคิดๆ ที่มันบีบคั้นเรา มันบีบคั้นใคร? นี่มันบีบคั้นใคร? ความรู้สึกนึกคิดใช่ไหม? เราเห็นได้แค่ความรู้สึกนึกคิดนะ นี่ดูจิตๆ ก็ดูอาการไง ดูเงาของมันไง ดูเงาความคิดไง ความคิดเกิดขึ้น ความคิดตั้งอยู่ ความคิดดับไป เราเหลืออะไรล่ะ? ไม่รู้ ว่างๆ ว่างๆ มันว่างๆ อะไร? มิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิทำอย่างไร? สัมมาทิฏฐิ เห็นไหม ดูสิ เรามีคำบริกรรมของเรา ทำไปทำไม?

นี่เกลือจิ้มเกลือนะ หนามยอกเอาหนามบ่ง จิตนี้มันพาเราเวียนเกิดเวียนตาย จิตนี้ปฏิสนธิจิตมันพาเราเวียนเกิดเวียนตาย แต่เราไม่เคยรู้เห็นมัน ไม่เคยสัมผัสมัน ไม่เคยเข้าใจมัน รู้ได้แต่อาการของมัน รู้ได้แต่ความรู้สึกนึกคิด ความนึกคิด ความคิดนี่เรารู้ได้แค่นี้ แต่ความรู้สึกอันลึกๆ เรารู้ได้อย่างไร? เรารู้ไม่ได้ เราอยากมีสมาธิ เราต้องทำสมาธิไปทำไม? ถ้าทำสมาธินะ หาตัวเองให้เจอก่อน ถ้าหาตัวเองไม่เจอ ตัวเองจะทำอะไร?

ดูสิเวลาเราเข้าป่า เห็นไหม ดูสิคนที่เขาจะหาผลประโยชน์กับสัตว์ เขาเข้าป่า เขาเป็นพราน เขาล่าสัตว์ของเขา ล่าสัตว์มาเป็นอาหาร ล่าสัตว์มาใช้งาน ล่าสัตว์มาเพื่อความสวยงาม ล่าสัตว์มาเป็นสินค้า เขาหาผลประโยชน์มาจากป่าจากเขา เขาหาประโยชน์ของเขา เขาต้องล่าสัตว์ของเขา ไอ้นี่บอกว่าจะทำความรู้สึก จะประพฤติปฏิบัติ หาตัวเองไม่เจอ นี่เขายังมีสถานที่ทำงานของเขา นายพรานเขาก็ยังเข้าป่าของเขา เพราะเป็นสถานที่อยู่ของสัตว์ร้าย สัตว์ต่างๆ มันอาศัยอยู่ในป่า

แล้วนี่ความคิดมันอาศัยอยู่บนอะไร? ความรู้สึกนึกคิดมันอาศัยอยู่บนอะไร? เห็นแต่ความคิดๆ แต่ไม่เคยเห็นตัวเอง ถ้าเห็นตัวเองนะ เวลาทำพุทโธ พุทโธ ทำทำไมไม่มีปัญญา เพราะคนภาวนาไม่เป็น คนทำไม่เป็นมันก็ไม่รู้สิ่งใดไม่เป็น แต่คนเป็นนะ พูดคำเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็น อะไรไม่เป็น

ถ้าอะไรไม่เป็นนะ เวลาคนตาบอด เวลาคนตาบอดนะมันไม่เห็นสิ่งใดเลย แต่นี้เราคนตาดีนะ เวลาครูบาอาจารย์สอนนะ หลับตาๆ หลับตาแล้วดูให้เห็น แล้วมันเห็นอะไรล่ะ? มันต้องลืมตาใช่ไหม? คนลืมตาเอาอะไรมาลืม มันจะลืมตาของมันอย่างไร? ถ้ามันลืมตาของมันใช่ไหม? ตามันอยู่ไหน? นี่ไงตาของใจ นี่เวลาความรู้สึกนึกคิดเกิดจากใจ แต่เวลาปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันจะเข้าไปชำระล้างมันก็เกิดจากใจ

ถ้าเกิดจากใจ เห็นไหม กิเลสมันอยู่ที่ไหน? กิเลสมันอยู่ที่ร่างกายนี้หรือ? กิเลสอยู่ที่สมองหรือ? กิเลสอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดหรือ? กิเลสมันอยู่ที่ไหน? กิเลสมันอยู่ที่ใจ มันเป็นอวิชชา อวิชชามันครอบงำพลังงานนี้ไว้ พลังงาน ความคิดเกิดจากพลังงานนั้น ภวาสวะ ตัวภพ เราว่าอวิชชาสวะ แต่ไม่มีใครเห็นโทษของภวาสวะ สถานที่ ตัวตนอันนั้นแหละเป็นภวาสวะ เป็นสถานที่ตั้ง ความรู้สึกนึกคิดเกิดที่นั่น เวรกรรม กรรมดีก็เกิดที่นั่น กรรมชั่วก็เกิดที่นั่น

กรรมดี ใครทำคุณงามความดีขนาดไหน ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็เกิดจากที่นั่น ปฏิสนธิจิตพาไปเกิด เวลากรรมชั่ว กรรมชั่วมันเกิดที่นั่น ความคิด เห็นไหม ดูสิความคิดมันทำลายเรา ความคิดมันทำให้เราทำแต่โทษ ทำแต่ภัย มันมาจากไหนล่ะ? มันเกิดที่นั่น ถ้ามันเกิดที่นั่น นี่พอเรามีคำบริกรรมของเรา พุทโธ พุทโธ นี่เขาบอกไม่ต้องทำๆ ถ้าไม่ต้องทำนะมันเป็นอวิชชาความไม่รู้ พลังงาน ภวาสวะ ตัวภพนั่นน่ะ มันขับไสออกมา

ขับไสออกมา มันขับดันออกมา ขับมาโดยอวิชชา ปากนี่ท่องนะ ปากนี่พูดธรรมะแจ้วๆ แจ้วๆ เลยล่ะ ธรรมะมันอยู่ฟากทะเล แต่ไอ้ความรู้สึก ไอ้อวิชชามันอยู่กับเรา นี่เวลามีสติพูดธรรมะ อืม มันก็ยับยั้งได้ แต่พอเวลามันเผลอมันก็ทุกข์นะ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ถ้าผู้ใดอยู่ถึงฟากตะวันตกของชมพูทวีป ถ้าปฏิบัติเหมือนเรา ปฏิบัติตามเรานะ เหมือนอยู่ใกล้เรา ผู้ใดกอดเราไว้ จับชายจีวรเราไว้ ไม่ได้ปฏิบัติตามเรา เหมือนอยู่ห่างไกล”

ความคิด ความคิดเกิดจากจิต ถ้าใครเห็นมัน? ใครจับต้องมัน? ใครดูแลมัน? มันห่างไกลขนาดไหน เห็นไหม มันห่างไกลเพราะมันไม่ถึงตัวมันไง ถ้ามันจะถึงตัวมันทำอย่างไร? นี่ถ้าบอกพุทโธ พุทโธ มันก็คือความคิดอันหนึ่ง ใช่ พุทโธเป็นความคิดอันหนึ่ง เพราะเราไม่วิตก วิจารก็ไม่มี นี่องค์ของฌานใช่ไหม? วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์

วิตก มันจะวิตกจากไหนล่ะ? ...วิตกจากภพ

ความคิดมาจากไหนล่ะ? ...ความคิดมาจากภพ มาจากจิต มาจากฐานที่ตั้ง นี่ฐานที่ตั้ง แต่มันคิด อวิชชามันคิดส่งออกไป

แต่เวลาเราคิดพุทโธล่ะ พุทโธเกิดจากภพไหม? ...เกิด

แล้วเกิดจากภพเพื่ออะไรล่ะ? ...เกิดจากภพเพื่อจะเข้าไปหาภพไง เพราะพุทโธเป็นพุทธานุสติ พุทธานุสติมันจะย้อนกลับตัวมันเอง พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้าใครมีสติปัญญา พุทโธละเอียดลงๆ นี่พุทโธ

นี่ไงมันเข้าไปสู่ตัวมัน เห็นไหม เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เราโดนความคิด เราอยู่ในกรงขังของความคิด อยู่ในกรงขังของอวิชชา ดูสิเวลาสัตว์ สัตว์มันโดนกรงขังอยู่ มันดิ้นรน มันประจบเจ้านายมันนะ ประจบสอพลอเพื่อจะออกจากกรงนั้น ให้ปล่อยมันไปวิ่งเล่น แล้วคิดดูสิว่าหัวใจเรามันโดนอวิชชา โดนกรงขังของความคิดนี้ครอบงำมันไว้ ทำไมมันไม่อยากออกไปมีอิสรภาพ ถ้าความอิสรภาพของมัน ความที่มันจะพ้นออกไป มันจะทำของมันอย่างไร? ถ้าทำกันไม่ได้ ทำกันไม่เป็นก็ลูบๆ คลำๆ กันอยู่นี่ไง

นี่ลูบๆ คลำๆ อยู่ เห็นไหม ถ้าเราไม่ลูบๆ คลำๆ เราต้องมีความตั้งใจจริงจังของเรา ถ้าจริงจังของเรานะ แม้แต่จิตสงบมันก็ตื่นเต้นมหาศาลแล้ว แม้แต่เข้าไปสู่ตัวตนของเราได้ ถ้าตัวตนของเราได้มันก็เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” สัมมาสมาธิคือสงบระงับจากความรู้สึกนึกคิดนั้น ถ้ามันสงบระงับจากความรู้สึกนึกคิดนั้น เพราะความรู้สึกนึกคิดนั้นมันเป็นอวิชชาเจือออกมา เพราะอวิชชามันอาศัยขันธ์ ๕ มันอาศัยความรู้สึกนึกคิดนี้ออกไป นี่โกรธ โลภ หลง มันมาจากไหน? มันแสดงตัวได้อย่างไร? มันก็แสดงตัวด้วยความคิดไง

นี่หลงในอะไร? โกรธในอะไร? โลภในอะไร? มันก็อาศัยความรู้สึกนึกคิดนี้ออกไปหาเหยื่อ เพราะความรู้สึกนึกคิดมันเป็นอวิชชาไง เราก็พุทโธ พุทโธให้มันสงบระงับเข้ามาก่อน ถ้าสงบระงับเข้ามาก่อนนะ สงบระงับอะไร? สงบระงับอวิชชา สงบระงับสิ่งที่ไม่รู้นั้น พอสงบระงับ เวลาความคิดมันก็เป็นสัจจะ เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่กิเลส ความคิดไม่ใช่กิเลส ความคิดไม่ใช่กิเลส เพราะเราพุทโธจนมันสงบ กิเลสมันสงบตัวลง ความคิดมันก็มีอยู่ ถ้ามีสัมมาสมาธิ ความคิดนั้นจะเป็นปัญญา ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ความคิดนั้นจะเป็นสัญญา ความคิดนั้นมันโดยอวิชชามันขับดันออกไป

แต่ถ้ามันมีความสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม ความคิดนั้นมันไม่มีอวิชชา ไม่มีอวิชชาเพราะอะไร? เพราะว่าจิตมันเป็นสัมมาสมาธิ จิตมันระงับลง ระงับลง ความคิดเกิดขึ้นนั้น ความคิดนั้นเราฝึกหัดใช้ปัญญาอย่างนั้น ฝึกหัดใช้ ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้

นี่เวลาเขาบอก ปัญญาจะเกิดเอง

ปัญญาเกิดเองไม่มี ถ้าปัญญาเกิดเองเป็นปัญญากิเลสหมด ปัญญาเกิดเองเป็นปัญญากิเลส แต่ปัญญาที่จะเกิดขึ้นปัญญาต้องฝึกหัด ฝึกหัดในอะไร? ฝึกหัดโดยมีสติ มีสติ มีสัมมาสมาธิ มันจะฝึกหัดในอะไร? ของใกล้ๆ ตัวนี่แหละ ของอยู่กับเรานี่แหละ

“กาย เวทนา จิต ธรรม”

กาย กายก็คือกายเรา

เวทนาคือความรู้สึกนึกคิด ดีหรือชั่ว เวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา

จิต จิตก็คือจิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส

ธรรมก็คือธรรมารมณ์

ก็อาศัยความรู้สึกนึกคิดนี่แหละ ความรู้สึกนึกคิดนี่แหละ แต่ แต่เวลาพิจารณาไปนี่มันออกไปตามจริตนิสัย กาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม แต่เวลาเราคิด เราคิดออกไปด้วยกิเลสอวิชชา เวลาบอกว่าเห็นกายๆ เขาว่าเห็นกายกัน นี่ไงเวลาอสุภะก็ไปถ่ายรูปอสุภะกันมา แต่มันไม่เห็นตามความเป็นจริง เพราะจิตมันไม่สงบระงับ ถ้าเห็นตามความเป็นจริง จิตมันสงบระงับนะมันเห็นที่จิต นี่เปิดตาใจ ถ้าใจมันเห็นขึ้นมา มันเห็นอสุภะ เห็นกายขึ้นมามันสะเทือนหัวใจนะ มันสะเทือนหัวใจมาก แต่เวลาเราเห็น ดูสิขณะที่ว่ามันกึ่งๆ

กึ่งๆ หมายความว่า เราไปเจออุบัติเหตุ เจอคนเขาทำร้ายกัน เราไปเห็นภาพ ภาพที่น่าขยะแขยง เรากระอักกระอ่วนเลย นั่นแหละกึ่งๆ มันเห็นเหมือนกัน แต่จิตมันไม่สงบระงับของมัน แต่ถ้ามันจิตสงบระงับนะ เวลามันเห็นมันเห็นที่จิตนี้ มันไม่ได้เห็นที่วัตถุนั้น วัตถุนั้นเป็นตัวจุดกระแส เป็นประเด็น เห็นไหม อย่างเช่นไปเที่ยวป่าช้า ไปดูซากศพ ไปดูไปดูกันข้างนอก แต่ถ้ามันจะเป็นมันจะเป็นจากภายใน ถ้าจิตสงบระงับมันจะเป็นของมัน ถ้าเป็นของมัน เราจับกายได้แล้วแยกแยะไปเป็นวิภาคะ มันจะขยายส่วน แยกส่วนของมัน นี่มันจะทำลายกรงขังตัวเองไง

ทำไมต้องทำ? ทำไมต้องทำ? เราอยากเป็นอิสรภาพ เราก็แสวงหาเอาจากโลกนอก จะไปหาเอาจากจักรวาลสิ ไปแสวงหาที่ไหนก็หลุดจากกรงขังนั้นไปไม่ได้ ใครจะหลุดจากกรงขังนั้น ต้องหลุดจากกรงขังจากภวาสวะ จากภพ จากตัวตนของใจ ถ้าจะหลุดจากกรงขังนี้ มันต้องเข้ามาสู่กรงขังนี้ ต้องมาสู่ตัวตนอันนี้ แล้วเอาสติปัญญานี้แยกแยะ ทำลายกรงขังอันนี้ออกไป ถ้าทำลายกรงขัง กรงขังคือความรู้สึกนึกคิด คือขันธ์ ๕ ไง ทำลายมันออกไป ถ้ามันทำลายออกไป ทำลายโดยมรรคญาณ มันจะทำลายตัวมันเอง ทำลายความรู้สึกนึกคิดที่ขังมันไว้ไง ถ้าทำลายแล้วมันจะหลุดออกไป

นี่เราอยากเป็นอิสรภาพ ความเป็นมนุษย์ ว่าเป็นมนุษย์อยู่ในกรงขังของความรู้สึกนึกคิด อยากบิน อยากเหาะ อยากรู้ อยากมีปัญญา อยากมีความสุข อยากไปหมดเลย เหมือนสัตว์ สัตว์มันก็อยากเป็นอิสรภาพของมัน แต่สัตว์มันก็โดนธรรมชาติของมันขังมันไว้ มันเกิดเป็นสัตว์ชนิดใด? ธรรมชาติของมันจะขังมันไว้ ขังจิตดวงนั้นไว้อยู่ในสถานะนั้น เป็นผลของวัฏฏะ

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ก็ขังเราไว้ เราก็อยากจะเหาะเหินเดินฟ้า แต่เรามาศึกษานะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะแหกกรงขังของเรา ถ้าแหกกรงขังของเราได้ ทำลายกรงขังของเราได้เราจะเป็นอิสรภาพ แล้วเราจะรู้สึก เราจะเข้าใจ เข้าใจเรื่องชีวิตของเรา รู้เห็นหมดนะ ทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งละ ทั้งวาง ยถาภูตัง ญาณทัศนะ เห็นไหม ยถาภูตังคือมันปล่อย มันวาง เกิดญาณหยั่งรู้ว่าปล่อยวางแล้ว เกิดญาณหยั่งรู้ว่าสิ้นสุดกระบวนการแล้ว นี่ความเป็นอิสรภาพมันเกิดแบบนี้

ฉะนั้น เรามาทำบุญกุศลกัน นี่ฟังธรรมเพื่อเตือนสติ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว นับเงิน เงินร้อย เงินพันเราก็นับ เงินหมื่น เงินแสนเราก็นับ เงินล้าน เงินสิบล้านเราก็นับ นี่ก็เหมือนกัน เรานับเงินร้อย เงินพันแล้วอย่าเพิ่งชะล่าใจว่าเรามีเงิน เราทำความสงบระงับ จิตสงบระงับเล็กน้อยแล้วมันจะมีมากไปกว่านี้ไง ความดีที่มีกว่านี้ยังมีอยู่ จิตที่มันวิวัฒนาการของมัน พัฒนาการของมันไปมันยังมีอยู่ แต่เราด่วนได้กันไง นับ ๕ นับ ๑๐ ก็บอกว่านิพพานๆ ยัง ยังไม่เป็นร้อย เป็นพัน ยังไม่เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านอยู่ข้างหน้า

ฉะนั้น อย่าเพิ่งชะล่าใจ ทำความสงบระงับแล้วตรวจสอบ ทำความสงบบ่อยๆ ใช้ปัญญาฝึกหัดแยกแยะซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามฝึกหัดตัวตน ฝึกหัดเราให้มีสติปัญญาขึ้นมา เพื่อแยกแยะของเราขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ข้างหน้ายังมีอยู่นะ ธรรมที่ละเอียดกว่านี้ยังมีอยู่ เรายังต้องก้าวเดินต่อไปด้วยความสามารถของเรา อย่าเพิ่งใจด่วน ด่วนได้ พยายามทำของเรา ตั้งสติของเรา ผลมันต้องมีแน่นอน

น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา ทำไมมันจะทำไม่ได้? ถ้ามันทำของมันขึ้นมาเสร็จแล้วมันจะเป็นประโยชน์ของมัน เราตั้งใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง