เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ มี.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เด็ก ความไร้เดียงสาของเขา โตขึ้นมาเขาต้องเผชิญโลกแบบเรา สัตว์ เวลามันโตขึ้นมานะมันใช้กำลัง มันจะอยู่รอดด้วยกำลังของมัน เวลามันแข่งขันกัน เห็นไหม มันแย่งชิงกันด้วยกำลังของสัตว์ มนุษย์มีปัญญา แต่ปัญญานะ ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี้เราพยายามศึกษากัน

“ความรู้คู่คุณธรรม”

อยากให้ฉลาดด้วย อยากให้มีคุณธรรมในหัวใจด้วย เพื่อจะได้ไม่เบียดเบียนกัน เวลาสัตว์มันเบียดเบียนกันด้วยกำลังนะ แต่เวลามนุษย์มันหลอกลวงกัน หมดเนื้อหมดตัวนะ แล้วเสียใจ เวลาเสียใจนะ ถ้าเราเสียสละ เห็นไหม เราพอใจเราเสียสละอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเราโดนใครหลอก มันจะฝังใจเราไปตลอด

ฉะนั้น สิ่งที่เวลาสัตว์มันใช้กำลัง เอาชนะคะคานกัน เราจะใช้กำลัง ใช้ปัญญาเพื่อเอาชนะในหัวใจของเรานะ ในการบริหารปกครองเขาใช้ปัญญาของเขาเพื่อบริหารจัดการ เพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ สมณะ ชี พราหมณ์มีโอกาสได้ภาวนา ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข มนุษย์เราจะได้บำเพ็ญธรรมกัน แต่ถ้าสังคมไม่ร่มเย็นเป็นสุข เราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร?

นี่ละล้าละลังนะ โลกเขาเดือดร้อนขนาดนั้น จิตใจของเราจะต้องมีให้ความสงบร่มเย็น เห็นไหม เวลาเราปฏิบัติกัน สัปปายะ ๔ นี่อาหารเป็นสัปปายะ การดำรงอยู่ ชีวิตนี้อาหารเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ เราก็พอมีพอกินเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ แต่ในการปฏิบัติแล้วอาหารเป็นสัปปายะนะ อาหารเป็นอาหาร ๓ คือเนื้อสัตว์อาหารหนัก อาหารอย่างกลาง นี่เวลาผัดผักปนกัน อาหารอย่างเบา พวกผัก พวกหญ้านี่อาหารอย่างเบา

แม้แต่อาหารยังมีอย่างหนัก อย่างกลาง อย่างเบานะ ถ้าอย่างเบานะ เวลาฉันไปแล้ว เวลาใครกินไปแล้ว นี่เวลาภาวนาไม่สัปหงกโงกง่วง แต่ถ้าอาหารหนักนะ เวลาฉันไปแล้ว นี่เวลาไปนั่งตาปรือนะ ตาปรือตั้งแต่ยังไม่ทันนั่ง เห็นไหม แต่ถ้าเป็นสัปปายะ สัปปายะมันเป็นที่ไหนล่ะ? มันเป็นที่ว่าธาตุขันธ์ของเราจะเลือกเอง อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะเราแสวงหากัน ถ้าใครประพฤติปฏิบัติด้วยส่งเสริมกัน ช่วยเหลือกัน เจือจุนกัน คอยระแวดระวังภัยให้กัน นี่หมู่คณะเป็นสัปปายะ

สถานที่เป็นสัปปายะ นี่ความสงบร่มเย็น ความสงบระงับ ความวิเวก ผู้นำเป็นสัปปายะ คืออาจารย์เป็นสัปปายะ ถ้าเป็นสัปปายะนะจะพาเรา เห็นไหม โคนำฝูง จะนำฝูงโคนั้นให้พ้นจากวังน้ำวน ถ้าโคมันไม่ฉลาดนะ มันพาฝูงมันทั้งฝูงไปวังน้ำวน วังน้ำวนคืออะไร? วังน้ำวนคือสังคมโลกไง กระแสสังคม ดูสิถ้าคนไม่ฉลาด เห็นแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า เห็นแต่ประโยชน์ปัจจุบัน เห็นประโยชน์ในปัจจุบันนี้ไง แต่ไม่เห็นประโยชน์ในการสงบระงับ

เราเสียสละ เห็นไหม เราเสียให้เขา สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขเพราะอะไร? เพราะสังคมไม่เอาเปรียบกัน สังคมเสียสละต่อกัน สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราเสียสละของเรา นี่ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ เวลาเขาคิดขึ้นมาได้นะ เวลาสัตว์ เขาให้อาหารมัน มันยังสำนึกบุญคุณของเราเลย คนเรามันทุกข์มันยากนะ เราดูแลรักษาเขานะ เวลาเขาผ่านพ้นไปนะเขาจะนึกถึงเรา เขาจะนึกถึงเรา จะพูดหรือไม่พูดนั่นอีกเรื่องหนึ่ง

เราเสียสละไป คนที่เขาได้รับจากเราเขารู้ตัวของเขา แต่เขาพูดหรือไม่พูด นี่ทำดีเพื่อดี แต่ถ้าทำดีเพื่อต้องการให้เขาเยินยอนะ นี่ความดีอย่างนั้นคนทำทุกข์มาก ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบุญขนาดนี้แล้วไม่ได้บุญ ทุกคนบ่นหมดเลย ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบุญไม่ได้บุญตรงไหน? ความลับมีในโลกไหม? ความลับนะ จะทำที่แจ้งที่ลับนะเรารู้หมดแหละ เราเสียสละออกไปเราก็รู้ นี้ปฏิคาหก สิ่งที่มาด้วยความบริสุทธิ์ เวลาเราเสียสละออกไปด้วยความพอใจ เสียสละไปแล้วปลื้มใจ เห็นไหม ปฏิคาหก

นี่ผู้รับ รับด้วยความบริสุทธิ์ ใช้ด้วยความบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่ได้มาไม่สะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม นี่ปฏิคาหก แต่เราก็ทำของเรา เราก็ทำของเรา ถ้าเราทำของเรานะ สิ่งที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ของเรา ด้วยกำลังของเรา เราเสียสละด้วยความพอใจของเรา เสียสละออกไปนี่พอใจของเรา นี่ปฏิคาหก บุญมหาศาลเลย โลกจะรู้หรือไม่รู้เรื่องของเขา แต่ถ้าโลกรู้นะ ดูสิเวลาทำบุญกุศลขึ้นมานี่แบ่งไปครึ่งหนึ่ง นี่กลัวเขาจะไม่รู้นะ โฆษณากันไป โฆษณาไปนี่ได้หน้าไปครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่ได้สิ่งใดเลย ทำทิ้งเหว

นี่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ปิดทองก้นพระ รู้หรือไม่รู้เราเสียสละ รู้หรือไม่รู้นะ นี่แล้วคนที่ฉลาด การเสียสละ ถ้าคนใดเสียสละเขาหาว่าคนนั้นเป็นคนเซ่อ พอคนเซ่อ ใครมาก็จะมาเบียดเบียนคนนั้นแหละ แต่ถ้าเราเสียสละโดยไม่ให้ใครรู้ ไม่มีใครเบียดเบียนเราได้เลย เรารู้ของเรา นี่บุญ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เต็มๆ ของเราทั้งนั้น ใครจะรู้หรือไม่รู้ ความลับไม่มีในโลก นี้พูดถึงการเสียสละจากกำลังนะ แล้วถ้าปัญญาล่ะ? ปัญญา เห็นไหม เราเกื้อกูลกัน เราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ นี่ปัญญาของเรา

สมัยโบราณนะเขาจะมีโถน้ำ จะมีโอ่งน้ำไว้หน้าบ้าน เขาให้คนเดินทางได้ดื่ม ได้กิน เพื่อความร่มเย็นของเขา นี่โบราณเขาแสวงหากัน ในสมัยพุทธกาลนะ ถ้าบ้านใครเป็นเศรษฐี หน้าบ้านเขาจะมีโรงทานเพื่อคนทุกข์จนเข็ญใจจะได้มาพึ่งพาอาศัย นี่เขาดูกันตรงนั้นไง ดูการเสียสละ ดูคุณงามความดีที่นั่นไง เขาไม่ได้ดูที่การโฆษณาชวนเชื่อไง เห็นไหม สิ่งที่เราทำ โบราณเขาทำกันแบบนั้น แต่พอมันเป็นทุนนิยมขึ้นมา ใครทำขึ้นมาเขาหาว่าคนนั้นเป็นคนเซ่อๆ ถ้าคนเซ่อ เขาเสียสละ เขาเสียสละเป็นครั้งเป็นคราว แต่โบราณของเราทำกันอย่างนั้น

เราเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาที่จะเอาชนะตนเอง ตนเองรู้จักเสียสละ รู้จักดูแลรักษาใจของเรา นี่ถ้าเสียสละแล้วนะ คนเรานะมีทรัพย์ นี่มีเสบียงกรังพร้อม มันจะเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ เวลามันจะไปไหนนะมันพอใจของมัน เราทำมาขนาดนี้ เราเผชิญโชคไปข้างหน้ามันต้องมีสิ่งใด ทำบุญ ถึงเวลาที่สุดมีเภทภัยขึ้นมา สิ่งนั้นจะมาช่วยเหลือเจือจานเรา

ช่วยเหลือเจือจานนะ แต่ถ้ามันเป็นสมบัติของเรา เราภาวนานี่ใครจะมาช่วยเหลือเจือจานเรา เวลาเรานั่งปฏิบัติของเรา เราหาสถานที่สงบวิเวกของเรา เราจะใช้ปัญญาเพื่อควบคุมหัวใจของเรา ถ้าเราเอาชนะหัวใจเราได้ นี่เราชนะได้ทุกๆ คน ถ้าเราชนะหัวใจเราได้นะ เวลานั่งสมาธิไปมันวิตกกังวลไปทุกๆ เรื่องเลย นั่นก็ยังไม่ได้ทำ นี่ก็ยังไม่ได้ ห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ ห่วงไปหมดเลยกลัวเขาจะไม่ได้บรรลุธรรม ตัวเองยังไม่บรรลุนะ ห่วงแต่คนนู้น ห่วงแต่คนนี้ กลัวเขาจะไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไอ้ตัวเองนั่งอยู่นี่ร้อนเป็นไฟ

นี่ไงเพราะว่ามันแพ้ใจตัวเอง เห็นไหม แต่ถ้าเรามีปัญญา ความคิดแบบนี้ นี่เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ความคิดก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง พลังงานก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ภวาสวะ นี่ปฏิสนธิจิต แล้วความคิดมันคิดอยู่บนดวงใจใด? บนภวาสวะใดก็เป็นความคิดของคนๆ นั้น คิดบ่อย ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริต เป็นนิสัย คนจะทำสิ่งใดนี่ แต่ถ้ามีปัญญามันควบคุม คิดสิ่งนี้ไม่ดีแยกออก คิดสิ่งที่ไม่ดีคัดออก แล้วคิดแต่สิ่งที่ดีๆ เห็นไหม ถ้าคิดสิ่งที่ดี จิตใจมันก็ร่มเย็นเป็นสุข

ไปห่วงเขาทำไม? ตัวของเขาเขายังไม่ห่วงเขาเลย เราจะไปห่วงเขาที่ไหน? นี่เราไปบอกเขา เขาหาว่าเราเซ่ออีกต่างหาก นี่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าจิตใจเราสงบระงับใช่ไหม เรานั่งอยู่โคนไม้ ๗ วัน ๗ คืน เขาจะเดินผ่านเราแล้วเขาจะถามเอ็งนั่งได้อย่างไร? เขาสงสัย เขาอยากได้ เขาถามเอง แต่ถ้าเราไปห่วงเขา ไปยัดเยียดให้เขา เขาไม่หรอก แต่ถ้าเรานั่งอยู่โคนไม้ ๕ วัน ๗ วันนะ เขาเริ่มแปลกใจแล้วนะ โอ้โฮ ทำไมนั่งได้? เอ๊ะ ทำไมทำได้? เดี๋ยวเขามาหาเราเองนะ เขาอยากได้เอง เขายื่นมือมาเอง เขาขอเอง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำใจเราได้นะ ทุกคนเขาก็อยากได้อยากดีกับเรา เห็นไหม นี่เราใช้ปัญญา ถ้าปัญญามันควบคุมใจของเราได้ นี่ปัญญาแม้แต่ปัญญาในทางวิชาชีพเราก็ต้องใช้ปัญญา เราต้องมีกาลเทศะ เราจะทำดีกับใคร? ทำดีกับคนที่เป็นคนดีเขาจะซาบซึ้งบุญคุณกับเรา ทำดีกับคนที่เขาไม่ชอบความดี เขาชอบการเอารัดเอาเปรียบ เราไปทำดีกับเขา เขาโกรธนะ เขาหาว่าประชดประชัน เขาหาว่าไปเสียดสีเขา ทั้งๆ ที่ทำดีนะ

ทำดีไม่เป็นกาลเทศะ นี่คนทำดีมันก็จะตาย คนทำดีก็ต้องมีกาลเทศะ ควรหรือไม่ควร ที่ควรทำเราก็ทำ ที่ไม่ควรทำเราก็หลบหลีกซะ เราทำไม่ได้ สิ่งนั้นทำไม่ได้ ทำดีก็ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ทำดีของเรานะ พอทำดีแล้ว ทำดีจากข้างนอก ทำดีภายใน มีปัญญารักษาใจเราได้ ถ้ามีปัญญารักษาใจเราได้ ใจเราสงบระงับได้ เห็นไหม ดูสิปัญญามันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ เวลาจิตสงบแล้ว สงบแล้วทำอย่างไรต่อไป? สงบก็มีความสุขมากไง สงบก็ว่างหมดเลย ก็นิพพานหรือ? นิพพานมันก็ติดไง นี่นิพพานตรงไหน? อะไรเป็นนิพพาน?

ถ้ามันเป็นนิพพานนะ เวลาเขาใช้ฌานโลกีย์กัน เห็นไหม ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำของเขาได้ เวลาสัตว์มันจำศีลนะ ไปดูหมีขั้วโลกสิ มันกิน ๖ เดือนนะ แล้วมันก็จำศีล ๖ เดือน นี่มันสงบระงับอยู่ ๖ เดือน มันนิพพานไหมล่ะ? ถ้านิพพาน หมีขั้วโลกมันก็นิพพาน มันนอนอยู่ในโพรงนั่นน่ะ นี่มันจำศีลของมัน สัตว์มันจำศีลนะ เวลาสัตว์จำศีล คางคกจำศีล ทุกอย่างจำศีล มันก็จำศีลของมันได้ มนุษย์ยังทำไม่ได้อย่างมันเลย นี่แล้วนิพพานไหม? มันไม่นิพพานหรอก

ฉะนั้น ถ้าจิตมันสงบระงับแล้ว เห็นไหม กลับมานี่ถ้ามิจฉาสมาธิมันคิดแบบนั้น ถ้าสัมมาสมาธินะ จิตสงบระงับแล้วเดี๋ยวมันก็ฟุ้งซ่าน เดี๋ยวมันก็คลายตัวออกมา สัจธรรมมันเป็นแบบนี้ มันไม่มีที่สิ้นสุด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยมรรคญาณ มันมีมรรค งานชอบ งานชอบของที่จิตสงบระงับแล้ว นี่ออกใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา

การภาวนาคือการชำนาญการของจิต จิตมันทำความสงบระงับเข้ามาแล้ว มันฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน มันจะเกิดปัญญาของมัน ในปัจจุบันนี้เรามีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม เขาคิดค้นขึ้นมา เขาเรียกว่า “จินตมยปัญญา”

“สุตมยปัญญา” คือการศึกษาของนักวิชาการ สุตมยปัญญา ศึกษาต่อยอดกันมา สุตมยปัญญาคือมีตำรา มีวิชาการ มีทฤษฎีที่ต่อยอดกัน เวลานักวิทยาศาสตร์ไม่มีทฤษฎีต่อยอด ทฤษฎีเขาคิดไว้แล้วมันต่อยอดขึ้นไป พัฒนาการขึ้นไป นี่สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์พัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เขาใช้ทางการวิจัยของเขา เพื่อต่อยอดทางวิทยาศาสตร์ของเขา นี่เป็นจินตมยปัญญา

จินตมยปัญญา แล้วผลสำเร็จมันคืออะไร? ผลสำเร็จมันคือทางวิชาการที่เขาเอามาเป็นประโยชน์ทางเทคโนโลยีนี้ ทางเทคโนโลยีนี้ก็เพื่อประโยชน์กับโลก ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเขา เขาไม่ได้ทำลายความสงสัยของเขา เขาไม่ได้ทำลายสิ่งที่เป็นภวาสวะในหัวใจของเขา แต่เราภาวนาของเรา คือจิตสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม นี่ที่ว่าจิตสงบเป็นสัมมาสมาธิ ว่างๆ นิพพาน คนติดว่านิพพาน แต่เวลามันออกใช้ปัญญามันเป็นภาวนามยปัญญา มันเกิดจากจิต

นี่เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เห็นไหม ปริยัติคือสุตมยปัญญา เวลาภาวนาไปมันเกิดจินตนาการก็คือจินตมยปัญญา เวลาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา โอ๋ย มันเกิดมรรคญาณ มรรคญาณนี่ธรรมจักร จักรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ เห็นไหม จักรมันเคลื่อนไปแล้ว เวลาจักรมันเคลื่อนไปแล้ว นี่เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป จักรนี้คืนไม่ได้ ไม่มีใครย้อนกลับได้ จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธัมมจักฯ แล้ว จักรนี้เคลื่อนไปแล้วจะย้อนกลับไม่ได้

นี่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราภาวนาจิตมันสงบเข้ามาแล้ว ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา นี่ธรรมจักร ภาวนามยปัญญาคือจักร ธรรมจักร เห็นไหม ถ้าธรรมจักรมันเกิด ภาวนามันเกิด ภาวนามยปัญญาเกิด นี่มรรค ๘ มันเกิด เวลามันหมุนของมัน มันใช้ปัญญาเทียบเคียงของมัน

นี่ไงถ้าภาวนามยปัญญาอย่างนี้ ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น นี่เวลาคนไม่เคยเห็นอย่างนี้ ถ้าคนเคยเห็นอย่างนี้ ถ้ามันสมบูรณ์ของมัน อย่างน้อยคนๆ นั้นต้องเป็นโสดาบัน คำว่าโสดาบันคือเกิดมรรค นี่ธรรมจักรที่มันได้เคลื่อนออกไปแล้วนี่มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เขาประสบความสำเร็จ นี่ไอน์สไตน์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา เขาคิดทฤษฎีไว้แล้ว ทำไมคนพิสูจน์ตรวจสอบล่ะ?

นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดธรรมจักรขึ้นมา มรรคญาณเกิดขึ้นมาให้หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางอริยสัจอันนี้ไว้ เห็นไหม ภาวนามยปัญญาที่วางไว้ นี่พิสูจน์สิ พิสูจน์สิ พิสูจน์กันขึ้นมา ถ้าพิสูจน์ขึ้นมา ตรวจสอบขึ้นมา มันจะเป็นใจดวงนั้นขึ้นมา ถ้าใจดวงนั้นมันพิจารณาขึ้นมา มันภาวนาขึ้นมา มันทำลายของมัน มันเป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นมา นี่มันเป็นความจริงขึ้นมา

ภาวนามยปัญญา เห็นไหม ดูสิสัตว์มันต่อสู้กันด้วยกำลัง มนุษย์เราต่อสู้กันด้วยปัญญา ใครมีปัญญา เขาต้องมีทีมงานของเขาเลยนะ ทีมงานของเขา ที่ปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาด้วยปัญญา เพื่อให้องค์กรนั้นเจริญรุ่งเรืองไป แต่เวลาภาวนาต้องเป็นบุคคลคนนั้น เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เวลาเกิดนะ เราเกิดเอง จิตนี้เกิดในโอปปาติกะ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี เวลาเกิดในครรภ์เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดคนเดียว เวลาตายตายคนเดียว เวลาทุกข์ กิเลสมันเผาหัวใจอยู่คนเดียว

เวลาเกิดมามีพี่ มีน้อง มีพ่อ มีแม่ มีปู่ มีย่า มีตา มียาย เห็นไหม เป็นสังคม แต่มันเกิดของมันมาคนเดียว แล้วกิเลสมันก็เผาลนหัวใจของมันอยู่คนเดียว เวลามันชำระกิเลสนะ เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมา มันก็เป็นปัจจัตตัง มันก็ทำลายกิเลสในหัวใจของเขาคนเดียว นี่ไม่มีใครทำแทนให้ใครได้ แต่ถ้าใครทำอย่างนี้ขึ้นมาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา นี่เป็นครูของเทวดา อินทร์ พรหมนะ เป็นอาจารย์สอนทุกๆ คนนะ

จิตใจของเรา ถ้าเราเป็นของเราขึ้นมา เพราะทุกข์นี่เป็นอริยสัจ ไม่ต้องถามเลย มองหน้าชี้ได้หมดเลย ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ทั้งนั้น ฝังหัวใจทั้งนั้น แล้วสิ่งนี้มันมีอยู่ในหัวใจทุกๆ คน นี่ใจของเราก็มีอย่างนี้ ใครจะโกหกๆ ใครจะพูดอย่างไรพูดไปเถอะ ให้พูดไป ให้อมพระมาพูด ไม่เชื่อ เพราะใจเราเป็นแบบนี้ แล้วเราได้พลิกฟ้าคว่ำดินในใจของเราแล้ว ให้ถามมา ใครมาถามมา นี่สิ่งที่เราถามมา เห็นไหม ทำไมมันร้อนขนาดนี้ล่ะ? ทำไมมันวิตกกังวลขนาดนี้ล่ะ?

ถ้าวิตกจริตมันไปใหญ่นะ วิตกจริตเรื่องเล็กน้อย มันคิดจนเครียด มันคิดจนไม่สบายนะ มันคิดจนมันต้องไปหาหมอ แต่ถ้าคนเขาเบาลงเขาก็ไม่วิตกจริต เขาก็พอเผาลนเล็กน้อย มันเผาลนทั้งนั้น มากหรือน้อย แล้วถ้าพิจารณาไป เห็นไหม นี่เวลาใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้ สัตว์มันใช้กำลังนะ เราก็ต้องมีกำลังของเรา นี่ร่างกายสมบูรณ์ จิตใจสมบูรณ์ นี่คือกำลัง แล้วถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ สมาธินั้นน่ะคือตัวพลังงาน คือตัวพลังงานที่บริสุทธิ์ แต่ปัจจุบันนี้พลังงานที่เจือไปด้วยอวิชชาคือความไม่รู้

นี่เราก็มีพลังงาน มนุษย์ปุถุชนก็มีสมาธิ แต่เป็นสมาธิของปุถุชน ของมนุษย์ แต่เวลาสมาธิมันเข้มแข็งขึ้นไปนะ นี่สมาธินี้เป็นอริยมรรค เป็นโสดาปัตติมรรค เพราะมันมีฐานของสมาธิ เวลาปัญญาเกิดจากสมาธิ เขาเรียกว่าโสดาปัตติมรรค คือละเอียดลึกซึ้งกว่าปุถุชน แล้วเวลาเป็นผลก็โสดาปัตติผล ถ้าขึ้นเป็นสกิทาคามิมรรค นี่ละเอียดขึ้นไปกว่าโสดาบัน เพราะมันละเอียดกว่ามันถึงเป็นสกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค แล้วมันเป็นแบบใด?

นี่ไงถ้ามันสงบระงับในหัวใจ หัวใจที่มันสิ้นสุดแล้วนี่ถามมาสิ ถามมา ถ้าเป็นอาจารย์จะสอนคน แก้กิเลสไม่ได้ แก้คนไม่ได้ จะเป็นอาจารย์สอนใคร? นี่ครูฝึกสัตว์ ช้างเขาเอามาฝึก เอาช้างนั้นมาใช้งาน เขาฝึกมันอย่างไร? เขาเอาช้างมาลากซุงอย่างไร? ทำไมเขาเอาช้างมาลากซุงได้ ทำไมปัญญาที่มันจะบังคับให้ใจนี้มันพ้นจากกิเลสไป มันจะบังคับอย่างไร? มันต้องรู้ของมันสิ

นี่ไงปัญญา มนุษย์เราเกิดมา เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ถือตัวถือตนว่าประเสริฐที่สุด ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ทีนี้มันก็เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมก็แข่งขันกันด้วยปัญญาทางโลก นี่เราหลีกเร้นหาที่สงบสงัด เราจะแข่งขันกับตัวเอง เราจะแข่งขันกับกิเลสของเรา ถ้ามีสติปัญญานะเราจะแข่งขัน ธรรมกับกิเลสมันแข่งขันในหัวใจของเรา

หลวงตาบอกว่า “ธรรมะคู่แข่งขัน” มันจะแข่งกันนะ กิเลสมันจะแข่งไปทางโลก มันจะให้เราระหกระเหินไปกับโลก ธรรมะมันจะแข่งขันดึงเราออกวิเวก ออกไปสงบสงัด ออกไปเพื่อตัวมัน เพื่อทำลายกิเลสในหัวใจของเรา ธรรมะคู่แข่งขันอยู่ในหัวใจของเรา เรามีสติปัญญาไหม? เราจะเลือกไหม? อยู่ที่คนนั้นเลือกนะ

นี่เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเกิดมา นี่เกิดมาพบพุทธศาสนา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์กับเรา เราจะเลือกใช้ไหม? เหมือนสมบัติสาธารณะที่วางไว้ ใครมีสติปัญญาจะหยิบฉวยสมบัตินั้นได้มาก ได้น้อย อยู่ที่คนฉลาด คนโง่ มันจะได้สมบัติมันไปมากหรือน้อย แล้วแต่วุฒิภาวะ แล้วแต่ปัญญาของคนๆ นั้น เอวัง