เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ มี.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลนะ สัมภเวสี วิญญาณที่ตายไปนี่แสวงหาที่เกิด นี้ในพระไตรปิฎกบอกว่า ปรทัตตูปชีวเปรตเท่านั้นที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศล นั้นเป็นตามหลัก แต่เวลาอุทิศส่วนกุศล เห็นไหม เราอุทิศส่วนกุศล สัมภเวสีแสวงหาที่เกิด แสวงหาที่เกิด เวลาตายไปแล้วมันทุกข์ๆ ยากๆ ลำบากลำบน นี่เราอุทิศส่วนกุศลไปด้วยน้ำจิตน้ำใจ ถ้าด้วยน้ำจิตน้ำใจ เห็นไหม สิ่งที่ทุกข์ที่ยาก สัมภเวสีแสวงหาที่เกิด นี่คือในเรื่องของวัฏฏะ

แต่เรื่องชีวิตจิตใจของเราล่ะ? ความรู้นึกคิดของเรา ชีวิตของเรานี่สัมภเวสีไหม? เราเกิดเป็นมนุษย์นี่นะไม่ใช่สัมภเวสี นี้เป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติ แต่มนุษย์ก็จำแนกแจกแจงออกไปอีก มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา มนุษย์เปรต มนุษย์เดรัจฉาน คำว่าเดรัจฉาน เราก็บอกสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นเดรัจฉาน เราเป็นคน เราเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ

ความรู้สึกนึกคิดไง เวลาสัตว์เดรัจฉานนะ แต่มันมีความรู้สึกนึกคิดที่ประเสริฐนะ มันช่วยเหลือเจือจาน มันทำแต่คุณงามความดีของมัน เห็นไหม เราวัดกันด้วยคุณธรรม คือความรู้สึกนึกคิดที่เป็นบุญกุศล แต่ถ้าเรามองด้วยสถานะ ใช่ เขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่สัตว์เดรัจฉาน แต่หัวใจของเขาไง เขาคิดแต่เป้าหมายที่ดีๆ ฉะนั้น เวลาแยกมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแยกมนุษย์เป็นมนุสสเทโว เห็นไหม เป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นเทวดา มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีต่างๆ นี่หัวใจ ความรู้สึกนึกคิด

ฉะนั้น เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์นี่สถานะของมนุษย์ พอสถานะเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วนี่เราแสวงหากัน การแสวงหาสัมมาอาชีวะ การดำรงชีพของเราเพื่อความมั่นคงของเรา ถ้าชีวิตของเราเราแสวงหาสิ่งนี้ แสวงหาสิ่งที่ดำรงชีวิต ฉะนั้น ดำรงชีวิตนี่แสวงหา

การแสวงหาในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราจะแสวงหาเรื่องความเป็นธรรม เรื่องความเป็นจริงของเรานี่เราแสวงหา แสวงหานะ การแสวงหา เราศึกษาไป เห็นไหม นั่นน่าจะใช่ ความเป็นไปน่าจะใช่ หรือมีความสงสัยต่างๆ เราแสวงหา เราแสวงหาถึง ถ้าเรามั่นใจของเรานี่เราจะศึกษา เราจะค้นคว้าของเรา ถ้าเราศึกษาค้นคว้าของเรา เห็นไหม สัมภเวสีมันก็แสวงหา นี่พยายามเที่ยวแสวงหาความมั่นคงของใจ ถ้าความมั่นคงของใจ ดูช่วงที่แสวงหามีความลังเลสงสัย มีความวิตกกังวล มีความไม่เข้าใจต่างๆ สิ่งนี้มันทำให้เราโลเล ทำให้มีความสงสัย ให้เราไม่มั่นคงของเรา แต่ถ้าเราเชื่อมั่นของเรา เราศึกษาของเรา เราค้นคว้าของเราจนปักลง

นี่การเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม ถ้าเกิดเป็นมนุษย์นี่สถานะของมนุษย์ แต่จิตใจของเรามันยังเป็นปุถุชน ปุถุชนคนหนา ถ้าปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส จับต้องสิ่งใดมันไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงของเราซักอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเรามั่นใจของเรา เวลาเรามั่นใจของเรา ถ้ามั่นใจแล้วเราต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้มันต้องบังคับ ในพุทธศาสนาไม่บังคับใคร ไม่บังคับใครให้นับถือพุทธศาสนา แต่ถ้าใครนับถือพุทธศาสนาแล้ว นี่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗

คำว่าถือศีลเพราะอะไรล่ะ? เพราะถ้าเราปักลงแล้ว เราเชื่อมั่นของเราแล้ว เห็นไหม สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่ถ้ามีศีล มีสมาธินี่เป็นฐาน เป็นฐานให้จิตใจมันมั่นคงขึ้นมา ถ้าจิตใจมั่นคงขึ้นมา ทำสิ่งใดมันก็จะประสบความสำเร็จของมันใช่ไหม? ฉะนั้น ถ้าเรามีความมั่นใจของเรา เรามีคำบริกรรมของเรา เรากำหนดของเรา นี่เราศึกษาของเราแล้วเราปฏิบัติของเรา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงกับเรา นี่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เราจะเห็นคุณค่าของมัน ถ้าเราเห็นคุณค่าของมันนะ คุณค่าของทรัพย์สมบัติ เห็นไหม นี่เราแสวงหา

คนทุกข์คนจนนะ เวลาคนทุกข์คนยาก ถ้าได้สิ่งใดมาบรรเทาทุกข์จะซึ้งบุญซึ้งคุณอันนั้นมาก เวลาทุกข์เวลายาก เวลาหิวเวลากระหาย น้ำแก้วเดียวก็ให้ความชุ่มชื่นกับเราได้นะ ฉะนั้น เราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับการดำรงชีวิต เราก็แสวงหาสิ่งนั้นอยู่ ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตจริงๆ นะ แต่ชีวิตนี้มันต้องสิ้นไป ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วสมบัติที่มันจะไปกับใจล่ะ? ถ้าสมบัติที่ไปกับใจ นี่ธรรม ถ้าธรรมมันเกิดขึ้นมา นี่เราแสวงหา เราค้นคว้ากันที่นี่ ถ้าเราค้นคว้ากันที่นี่เราจะเห็นคุณค่าของมัน

คุณค่าสมบัติทางโลก เราแสวงหามาแล้วเราพอดำรงชีวิตได้ ดูสิเวลาพระเราบวชมาเราเสียสละทั้งหมดนะ พระนี่เวลาอุปัชฌาย์จะบวชขึ้นมา เห็นไหม ถามว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า? เป็นผู้มีศีลหรือเปล่า? หนีคดีมาหรือเปล่า? นี่ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์นะ เราต้องเสียสละไง คือเราจะไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของเรามา พอไม่มีสมบัติของเรามา พอเราบวชเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสแล้ว เป็นพระแล้วภิกขาจาร ดำรงชีวิตด้วยปลีแข้งนะ ถ้าเราดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง ดำรงชีวิตไว้เพื่อสิ่งใดล่ะ? เพราะเรามั่นใจของเรา

นี่สมบัติทางโลกเราเสียสละแล้ว ดูสิเวลาพระกัสสปะ ครูบาอาจารย์ต่างๆ ท่านเสียสละของท่านมา สมบัติของโลกก็เป็นสมบัติของโลก เราอยู่กับโลกเราก็แสวงหามา เรารักษาอยู่มันก็เป็นวิตกกังวลมาตลอดแหละ แต่ถ้าเราเสียสละทางโลกแล้ว เสียสละทรัพย์ทั้งหมดแล้ว เราบวชมาเป็นพระ แล้วเราปฏิบัติขึ้นมา เวลาเราจะจริงจังขึ้นมา แล้วพระไม่มีชีวิตหรือ? นี่พระก็มาจากคน เวลาพระมาจากคนพระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้นแหละ

นี้ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นด้วยศรัทธาความเชื่อของเขา ถ้ามันเกิดขึ้นด้วยศรัทธาความเชื่อของเขา เรารักษาธรรมวินัยของเรา นี่เราไม่มีสมบัติสิ่งใดเลย ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจนั่นเรื่องของเขานะ ถ้าคนไม่เข้าใจ เห็นไหม เขาบอกว่าพระก็สมบูรณ์ของท่านแล้ว นี่คนไม่เข้าใจ แต่ถ้าเขาเข้าใจนะ ดูสิผ้าบังสุกุล เวลาเราจะทำบุญของเรา คหบดีจีวรเราเจาะจง เพราะเรามีความผูกพันต่อกัน แต่ถ้าเป็นบุญกุศล ผ้าบังสุกุล เห็นไหม พาดไว้ตามต้นไม้ ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว นี่พระเขาเก็บมา เพราะอะไร? เพราะไม่เจาะจงไง นี่สังฆทานๆ สังฆทานไม่ใช่เจาะจงบุคคล

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเราเข้าใจ เรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราไม่ใช่สัมภเวสี นี่ผ้าบังสุกุล ทำบุญแบบทิ้งเหว มันจะเป็นประโยชน์มากนะ ประโยชน์เพราะอะไร? เพราะมันไม่เป็นภาระกังวลตลอดไป สมบัติพัสถาน วัตถุสิ่งของ นี่มันต้องมีโกดังเก็บรักษานะ ความรู้สึกนึกคิด ปัญญาของคน นามธรรมนี่ไม่มีที่ต้องเก็บรักษาเลย แต่มันเก็บของมันไว้ได้ เก็บไว้ในหัวใจนะ บุญกุศลนี้เป็นนามธรรม ถ้าสิ่งนี้เราเห็นบุญกุศลของเรา เราเข้าใจของเราแล้ว เราจะไม่ต้องไปแย่งชิงกับใคร ถ้าไม่แย่งชิงกับใคร สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเรา

นี้พูดถึงสิ่งที่เป็นวัตถุมา แต่เวลาเราปฏิบัติของเราแล้ว นี่คำบริกรรม คำบริกรรมของเรานี่ปัญญาอบรมสมาธิ ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม นี่ภวาสวะ ภพ ตอของจิต นี่ว่าจิตเป็นนามธรรมๆ จิตมันเกิดมาจากไหน? ความรู้สึกเกิดมาจากไหน? ถ้าจิตเป็นนามธรรม ดูสิอากาศแต่ละที่ ในอากาศมันเป็นเนื้อเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่มีค่าเท่ากัน แม้แต่อุณหภูมิสูงหรือต่ำมันถึงเกิดลม แต่ความรู้สึกของคนล่ะ? ความรู้สึก ความดี ความชั่ว มันเหมือนกันไหม?

ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นความทุกข์ ความรู้สึกนึกคิดที่มันกดถ่วงหัวใจ ความรู้สึกนึกคิดที่มันโล่ง มันโถงขึ้นมา แล้วมันเกิดบนที่ไหนล่ะ? มันเกิดบนใจ แล้วใจของคนมันคิดเท่ากันไหม? ใจของคนมีความรู้สึกนึกคิดเท่ากันไหม? ถ้าใจของคนมีความรู้สึกนึกคิดเท่ากัน ความรู้สึกมันใฝ่ดีเหมือนกัน โลกนี้จะไม่มีการขัดแย้งกันเลย แต่มันไม่มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกันเพราะอะไรล่ะ? เพราะคุณค่าของมันไง เพราะคุณค่าของการทำบุญกุศล

วันนี้วันพระมาทำบุญกุศล ถ้าใครทำบุญกุศล การเสียสละ เห็นไหม จิตใจเป็นสาธารณะ เห็นสิ่งใดที่มันขัดแย้งเป็นของเล็กน้อยหมดเลย แต่จิตใจที่มันเห็นแก่ตัวนะ เล็กน้อยก็ไม่ได้ อะไรสะเทือนใจมันจะทำร้ายเขา มันจะเล่นเขา นี่มันมาจากไหนล่ะ? จิตใจอย่างนี้มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากไหน? นี่พันธุกรรมของจิต ถ้าพันธุกรรมของจิตใช่ไหม? ใครสร้างคุณงามความดีมา เห็นไหม นี่ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตจนเป็นนิสัย ความย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัยไป นี่นิสัยไป เห็นแก่ตัวก็เห็นแก่ตัวไปเรื่อยๆ

ถ้าเห็นแก่ตัวอุทิศอย่างไร? ก็ต้องเสียสละ เห็นไหม นี่คนโทสจริตต้องแผ่เมตตาไว้ บอกคนขี้โกรธมากๆ จะแก้อย่างไร? เราแผ่เมตตาไว้ สรรพสัตว์ในโลกเขาก็เกลียดทุกข์ ต้องการความสุขทั้งนั้นแหละ การกระทำสิ่งใด นี่เราเป็นญาติกันเป็นต่างๆ เวลาเกิดสิ่งใดขึ้นมาเขาไม่เข้าใจ เขาต่างๆ นี่มันผ่อนได้ มันผ่อนให้หนักเป็นเบาได้ ถ้ามันหนักเป็นเบา เห็นไหม ถ้าเรารักษาใจเราอย่างนี้ขึ้นมา นี่มันจะย้อนกลับเข้ามาแล้ว

เพราะทุกจริต ทุกนิสัย ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องมีสถานที่ นี่กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราทำงานๆ กัน เราทำงานกันเราทำงานที่ไหน? เวลาเราได้เงินได้ทองมา ทุกคนเข้าธนาคารหมดแหละ ได้เงินมาจะไปโปรยทิ้งไหม? ใครได้เงินมาไม่มีใครไปโปรยทิ้งหรอก มันเอาเข้าธนาคารหมดแหละ ทีนี้ความดีของใจมันอยู่ที่ไหนล่ะ? แล้วใครเป็นเจ้าของความดีอันนี้ล่ะ? แล้วความดีอันนี้จะไปเก็บไว้ที่ไหนล่ะ?

นี่ไงถ้าจิตไม่เป็นสัมมาสมาธิ จิตไม่มีหลักตั้งมั่น มันทำงานกันที่ไหน? นี่มันก็เหมือนเราเปิดบัญชีธนาคารของเราใช่ไหม? แต่จิตไม่ต้องเปิดหรอก นี่ปฏิสนธิจิตมันเกิดที่ไหนมันทุกข์ที่นั่นแหละ ปฏิสนธิจิตเกิดที่ไหน? เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดที่ไหนมันมีจิตของมันไป แล้วถ้ามันทำคุณงามความดีของมันก็เข้ามาสู่จิตนั้น แล้วพอเข้ามาสู่จิตนั้น โดยมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม นี่ว่าว่างๆ ว่างๆ... ว่างๆ ก็ปล่อยทิ้งไง ได้เงินมาก็โยนทิ้ง มีเพชรนิลจินดาขึ้นมาก็ฝากคนอื่นไว้ บอกไม่ใช่ของเราๆ เป็นอย่างนั้นไหม? เป็นอย่างนั้นไหม? มีเพชรนิลจินดานี่โอ๋ย เก็บซ่อน อู๋ย กลัวเขาเห็น กลัวเขารู้ แต่เวลาใจของตัวทำไมไม่หา? ใจของตัว ฐานที่ตั้งแห่งการงาน สมถกรรมฐาน

ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เห็นไหม นี่มันเป็นสากล สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ นี่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คนมีความสงบระงับ ถ้ามีความสงบระงับนะ คนฟุ้งซ่าน ดูเวลาเราฟุ้งซ่าน เวลาจิตมันฟุ้งซ่าน มันคิดทับถมตัวเองมีความทุกข์อย่างใด? เวลามันคิดโล่ง คิดโถงขึ้นมานี่ มันมีความรู้สึกอย่างใด?

นี่ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้าฐานที่ตั้งแห่งการงานนะ เราสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมา บ้านร้างนะ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ใช้ไม่เป็น โง่ แต่คนที่เขามีบ้านมีเรือนของเขานะ เขาหาผลประโยชน์ของเขาได้ โกดังสินค้าก็ให้คนอื่นเช่าเพื่อประโยชน์ของเขาได้ ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมา เห็นไหม นี่เรามีฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราทำงานเป็นไหม? ถ้าเราทำงานเป็น งานก็จะเป็นประโยชน์ขึ้นมาไง ถ้าเราทำงานไม่เป็น นี่บ้านร้าง บ้านร้างนะไม่มีใครอยู่เลย อู้ฮู สิ่งนี้มันเป็นนิพพานๆ

นี่บ้านร้าง เห็นไหม เดี๋ยวหยากไย่มันจะขึ้น เดี๋ยวมันจะพังทลาย นี่ไงพอจิตมันว่างขนาดไหนนะมันอยู่ไม่ได้หรอก สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดของคน เวลาทุกข์ขึ้นมานี่ทุกข์เกือบเป็นเกือบตายนะ ถ้ามีสติยับยั้งไว้นะ เดี๋ยวความทุกข์มันจะคลายตัวของมันไปเอง ถ้าคลายตัว แต่คลายตัวแล้วไม่จบหรอก เดี๋ยวทุกข์ซ้ำทุกข์ซาก เพราะอะไร? เพราะมันมีตัณหา มันมีความทะยานอยาก ที่ไหนเหม็นมันชอบ อยากดม พอจิตมันทุกข์ขึ้นมา นี่พอมันจางไป เอ๊ะ ทุกข์มันหายไปไหน? ทุกข์อีกแล้ว พอมันจะหายคิดถึงมันอีกแล้ว คิดถึงมันก็ทุกข์ คิดถึงมันก็ทุกข์ เพราะมันแก้ไม่เป็น

แต่ถ้าจิตมันมีสมถกรรมฐาน แล้วมันใคร่ครวญของมัน ทุกข์นี้เกิดจากอะไร? ใครไปหยิบฉวยทุกข์นี้มา? ทุกข์นี้มันมาจากไหน? เห็นไหม

“ทุกข์นี้ควรกำหนด สมุทัยควรละ”

ทุกข์นี่ละไม่ได้หรอก เพราะทุกข์มันคือทุกข์ไง พอทุกข์ละไปแล้วเดี๋ยวก็มาอีก ทุกข์ละไปแล้วเดี๋ยวก็มาอีก แต่สมุทัย ตัณหาความทะยานอยากที่ไปคุ้ยเขี่ยมัน

ตัณหา เห็นไหม ตัณหาความแสวงหา วิภวตัณหาผลักไสมัน นี่ตัณหาสิ่งที่มัน ที่ไหนมีความทุกข์ก็ไปคิดถึงมัน ที่ไหนทุกข์ก็ย้ำคิดย้ำทำ นี่พอจิตมันมีสติปัญญาขึ้นมา พอมันสงบขึ้นมามันเกิดจากไหนล่ะ? มันต้องมีที่ตั้งสิ มันต้องมีที่มาที่ไป สิ่งใดในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดลอยฟ้ามา ไม่มีเหตุมีผล ไม่มี นี่การเกิดการตายก็มีเหตุมีผล จริตนิสัยของคนที่มันเป็นอย่างนี้ ก็มีเหตุมีผลของมันมา ทำดีทำชั่วมามันก็สะสมมา เป็นจริตเป็นนิสัยขึ้นมา แล้วเวลาความรู้สึกนึกคิดมันเกิด มันต้องมีที่เกิดที่ดีทั้งนั้นแหละ ถ้ามีสติปัญญานะมันออกใช้ เห็นไหม พอเกิดสมถกรรมฐาน มันค้นคว้าของมัน ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม

ในธรรม ในธรรมารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกความนึกคิด ความสูง ความต่ำ เห็นไหม นี่ธรรม ธรรมมันจะแยกแยะเลยว่า ทำไมคนนั้นดีกว่าเรา? ทำไมเราต่ำต้อยนัก? ทำไมเราสูงกว่าคนนู้น อู๋ย มันให้ค่ามันจนเลอเลิศไง ทั้งๆ ที่มีค่าเท่ากันหมด จิตก็คือจิต นี่จิตมันเป็นสากล เห็นไหม แล้วมันออกพิจารณาของมัน ดูสิบัว ๔ เหล่า พิจารณาง่ายรู้ง่าย พิจารณาง่ายรู้ยากต่างๆ มันมีบุญกุศลของจิตที่มันสร้างของมันมา แล้วถ้าพิจารณาของเรา แก้ไขของเรา แยกแยะของเรา ไอ้ที่ว่าทุกข์ๆ นี่อะไรเป็นทุกข์? ก็ไอ้โง่นี่แหละมันทุกข์

นี่สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สัจจะของมันเป็นอย่างนี้ สัจจะเป็นอย่างนี้ สัจจะ เห็นไหม อริยสัจจะ ทีนี้สัจจะเข้าไปรื้อค้น เข้าไปพิจารณา มันเป็นความจริงของมันอย่างนั้น นี่ความจริงก็คือความจริง ดูสิมืดสว่างมันเป็นความจริง เวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ใครไปใครทุกข์ร้อนไปกับมันไหม?

นี่เวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ฤดูกาลแตกต่างกันมันก็แตกต่างกัน แต่พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกเป็นธรรมชาติของมัน ต้องขึ้นตกอย่างนั้นแหละ ถ้าเราเข้าใจหมด เข้าใจการขึ้น การตกของพระอาทิตย์แล้วมันก็เข้าใจ แล้วเราจะดำรงชีวิตอย่างไรกับพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกล่ะ? นี่ก็เหมือนกัน พอเราเข้าใจสิ่งใดแล้ว สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นความจริงของมัน นี่อาการของใจเป็นแบบนี้ ใจเป็นแบบนี้ พลังงานเป็นแบบนี้ เพราะมีตัณหาความทะยานอยาก ความไม่เข้าใจของมัน มันถึงรวบเป็นชิ้นเดียวกัน

นี่สรรพสิ่งเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา พอเป็นเรามันก็คลุกเคล้ากัน ทั้งอารมณ์ที่ไม่รู้ อารมณ์ที่ความพอใจ อารมณ์ต่างๆ ที่ต้องการ มันคลุกเคล้าเป็นอันเดียวกันหมดเลย แล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เก่งธรรมมะนะ ธรรมะว่าอย่างนั้น อันนี้เป็นขันธ์ ๕ อันนี้เป็นธาตุ นี่ว่าไป อันนั้นมันเป็นสมบัติของคนอื่นไง เราไปตีความสมบัติของคนอื่น แต่สมบัติของตัวนี่ทุกข์ร้อนมาก ทุกข์ร้อนมาก ไม่เข้าใจสักอย่างเลย แต่ถ้ามันย้อนกลับมานี่มันเข้าใจสมบัติของเราหมดแล้วนะ นี่มันแยกแยะได้หมดเลย มันเข้ากันได้หมด ถูกต้องหมดเลย พอถูกต้องหมดแล้วก็จบ

ความจริงมันเป็นแบบนี้ สัจธรรมมันเป็นแบบนี้ เห็นไหม เราปฏิบัติเราไม่ใช่สัมภเวสี ชีวิตนี้จิตเหมือนสัมภเวสีนะ แสวงหา เราพยายามแสวงหากัน นี่เหมือนสัมภเวสี แต่ถ้าเราได้กำเนิด เราได้มีความมั่นคงของเรา มีสมถกรรมฐาน เราพยายามค้นคว้า พยายามศึกษา มีการกระทำขึ้นมา เราไม่ใช่สัมภเวสีนะ เราเป็นปัญญาชน เรามีเหตุ เรามีผล เหตุผลมันเป็นแบบนี้ ทุกคนเอามือปิดกั้นฟ้าไม่ได้ จะเอาฝ่ามือเราปิดกั้นฟ้าเป็นไปไม่ได้ นี่ฟ้ามันก็เป็นแบบนั้น ฝ่ามือเราก็เป็นฝ่ามือ

ความรู้สึกนึกคิดของเรามันเกิดเพราะว่าจริตนิสัยเป็นแบบนั้น แล้วเราหาวิธีการของเรา ใช้ปัญญาของเราแยกแยะของเรา เราศึกษา เราค้นคว้า เรามีการกระทำของเรา เราจะเข้าใจ เข้าใจไปเรื่อยๆ เหมือนเด็ก เด็กไม่เข้าใจสิ่งใดมันก็มีแรงต้านของมัน เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเข้าใจแล้ว สิ่งใดเกิดขึ้นนี่เข้าใจได้ เราจะมีความเข้าใจ มีความปล่อยวาง แล้วเราจะไม่ไปรื้อค้นจนให้มันเป็นทุกข์ไปกับเขา เด็กไม่เข้าใจนะมันก็ต่อต้าน แต่ผู้ใหญ่เข้าใจแล้วนะมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันต้องมีความเข้าใจ มีการกระทำ แล้วการกระทำนั้นมันจะปล่อยวางตามความเป็นจริง เราจะศึกษาของเรา

นี่วันพระ วันพระเราทำบุญกุศล เห็นไหม อุทิศส่วนกุศล นี่จิตในโลกธาตุนี้ ผู้ใดมีความทุกข์ ขอให้มีความสุขเถิด ผู้ใดมีความสุข ขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วเราถ้าทุกข์อยู่นี้ เราถ้ามีความอัดอั้นตันใจอยู่นี้ ขอให้มีความสุขเถิด แล้วความสุขอันแท้จริงของเรา ถ้าไม่มีใครควบคุม ไม่มีใครดูแล ใครจะช่วยเหลือหัวใจเรานี้ได้ล่ะ? ฉะนั้น เราถึงต้องมีสติ มีปัญญา มีศีล มีสมาธิของเรา เพื่อดูแลรักษาใจของเรา เพื่อปลดเปลื้องใจของเราให้เป็นอิสระ เอวัง