ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ฟังเขาว่า

๑๙ พ.ค. ๒๕๕๕

 

ฟังเขาว่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๘๙๓. เนาะ

ถาม : ๘๙๓. เรื่อง “ถูกล็อตเตอรี่ เอาเงินมาทำบุญ บาปไหมคะ?”

(คำถามนะ)

๑. หนูเคยถูกล็อตเตอรี่จากการเสี่ยงเซียมซีที่วัด ได้เลขมาบังเอิญว่าถูก ถ้านำเงินไปทำบุญ จะเป็นเงินที่บริสุทธิ์หรือไม่? ในเมื่อเจตนาเราบริสุทธิ์และไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดศีลธรรมหรือไม่คะ

๒. นั่งภาวนาไปจนเห็นจิตเป็นดวงสีเงินเล็กๆ พอดิ่งเข้าไปเรื่อยๆ สักพักตัวเราก็พองออก ใหญ่ออกไปนอกบ้าน ขยายออกไปถึงนอกโลก เห็นความมหัศจรรย์อย่างสุดซึ้งที่จะบรรยาย เชื่อในคำสอนของพุทธองค์ว่า “ทางนี้คือทางพ้นทุกข์” แน่นอนค่ะ

ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าพอนั่งอีก ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ จนจิตไม่มีลมหายใจ ตอนนั้นตกใจและคิดว่าเราจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว ถอนออกมาไม่เป็น รู้สึกว่ากระชากออกมา ตัวกองฟุบอยู่ที่พื้น เหนื่อยและเหงื่อตกเหมือนวิ่งผลัด ๔ คูณ ๑๐๐ หัวใจเต้นแรง อยากถามหลวงพ่อว่าปฏิบัติถูกหรือไม่ และควรทำอย่างไรต่อไป วิธีถอนออกจากสมาธิทำอย่างไร? ทุกวันนี้แค่นั่ง ๕ นาที ๑๐ นาที เพราะกลัวจิตรวมแล้วถอนออกไม่ได้เจ้าค่ะ สวดมนต์แล้วรีบๆ นั่งถอนออกมาจากสมาธิ เพราะไม่รู้จะเจออะไรอีก

ตอบ : นี่คำถามนะ ตอบข้อที่ ๑. ก่อน

ถาม : ๑. หนูถูกล็อตเตอรี่แล้วเอาเงินมาทำบุญจะบาปไหมคะ?

ตอบ : ความจริง เรื่องศีล ๕ เรื่องการพนันขันต่อท่านไม่ให้ทำอยู่แล้ว เพราะการพนันขันต่อนี่นะเรื่องการพนัน ทีนี้การเล่นการพนัน ถ้าพูดถึงมันผิดศีล ถ้ามันผิดศีล เราทำไม่ถูกต้องมันเศร้าหมอง ถ้าบอกว่าถ้ามันผิดศีล อย่างเช่นกรณีนี้ว่าผิดศีลนะ ประเทศไทยเป็นประเทศพุทธศาสนา ทำไมรัฐบาลทำโรงงานยาสูบ ทำไมกองสลากนี่ก็เป็นของรัฐบาล

นี่ถ้าพูดไปมันจะเกี่ยวพันกันไปหมด ถ้ามันเกี่ยวพันกันอย่างนี้ ไอ้อย่างนี้มันเป็นแบบว่ามนุษย์ คนเรามีหยาบ มีละเอียด ฉะนั้น พอคนหยาบ คนละเอียด ถ้าพูดถึงอย่างหยาบ เห็นไหม การถือศีล การทำต่างๆ มันก็เป็นเรื่องที่เป็นภาระ เป็นเรื่องที่หนักหน่วงมาก แต่ถ้าคนที่ละเอียดรอบคอบนะเรื่องนี้เขาเป็นเรื่องปกติ ศีลมีโดยปกติของใจ เรื่องนี้เขาไม่สนใจเลย

ฉะนั้น พอคนมันมีหลากหลาย พอหลากหลาย นี่ฝ่ายรัฐบาลปกครองประเทศ ถ้าอย่างนั้นปั๊บในโลกทั้งโลก เห็นไหม ดูการค้าระหว่างประเทศสิ มันก็มีผลประโยชน์ มีอะไรทั้งนั้นแหละ ทีนี้เขาก็จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นการ

พูดไปนี่มันจะออกไปนอกเรื่อง จบเอาว่าในเมื่อโลกมันเป็นแบบนี้ ถ้าโลกเป็นแบบนี้ใช่ไหม? การซื้อล็อตเตอรี่นี่คือการพนันขันต่อ ไอ้ตรงนี้มันเศร้าหมอง แต่พอเราถูกล็อตเตอรี่แล้ว นี่เราถูกล็อตเตอรี่เรามาทำบุญมันจะบาปตรงไหน? มันไม่บาปหรอก

ปฏิคาหกไง เวลาทำบุญด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่เราได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ขณะทำด้วยความพอใจ ทำแล้วเราชื่นใจ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ พระที่รับ รับด้วยความบริสุทธิ์ รับแล้วเป็นผลประโยชน์ของศาสนา นี่ปฏิคาหกบุญมหาศาลเลย มีบุญมาก แต่ถ้ามันเศร้าหมองสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ของที่ได้มา ได้มาด้วยความไม่สะอาดบริสุทธิ์ นี่เวลาขณะทำเราสะอาดบริสุทธิ์ เราพอใจ ทำแล้วเราพอใจก็จบ แล้วผู้รับรับที่ดี ปฏิคาหก ทีนี้สิ่งที่เราจะแสวงหาให้มันสมบูรณ์มันหาได้ยาก มันหาได้ยากไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราถูกล็อตเตอรี่แล้วมาทำบุญนี่บาปไหม? ไม่ เรามาทำบุญจะบาปได้อย่างไร? นี่เวลาสังคมเป็นอย่างนี้ เวลาจะทำดีนะ แหม นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เวลามันจะตีหัวกัน มันจะคดโกงกันนะ นี่มันทำได้ แต่เวลาจะทำความดีนะ นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด ยิ่งสังฆทานไม่ได้เลยนะ ถ้าสังฆทานอย่างนี้ไม่ได้บุญ อู๋ย ทะเลาะกันเรื่องพิธีกรรมทำสังฆทาน มันไม่ได้ทะเลาะเรื่องสังฆทานนะ ทะเลาะกันเรื่องวิธีทำสังฆทาน

นี่ต้องอย่างนั้นถึงจะเป็นสังฆทาน อย่างนี้มันไม่เป็นสังฆทาน สังฆทานนะ แม้แต่เราตักบาตร ขันๆ หนึ่งเราตักบาตรนั่นก็เป็นสังฆทานแล้ว ถ้าเราอธิษฐานของเราเป็นสังฆทานก็เป็นสังฆทาน เราถวายแก่สงฆ์ เราถวายแก่สงฆ์มันก็เป็นสังฆทานแล้ว แล้วสังฆทานต้องมีอย่างนู้น มันก็เลยเป็นเรื่องธุรกิจ เป็นเรื่องโลกกันไปไง นี่เขาเล่าว่า เชื่อตามๆ กันมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อตามๆ กันมานะ

ถ้าพูดถึงว่าล็อตเตอรี่นะ ซื้อหวยแล้วทำบุญ นี่มีบาปหรือไม่? ในสมัยพุทธกาล นางอะไรที่เป็นโสเภณี นางอะไรที่ว่าเขาเป็นนางกลางเมือง แล้วเขาสร้างวัด แล้วชื่อวัดก็ชื่อเขาเลย นางอัมพปาลี นี่อย่างนั้นบาปไหม? ไอ้นั่นมันอาชีพเขา แบบว่าคนของเรา เวลาคนที่มันทำ ตรงนี้โลกติเตียนกันมาก นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้

ที่มาของคน กรรมของคนมันไม่เหมือนกัน ที่มาไม่เหมือนกัน แต่ว่าถ้ามันทำแล้วนะ สิ่งที่เราได้มา นี่ก็เวรกรรมของเราเป็นอย่างนี้ แต่ขณะที่เราทำของเราไป นี่ทางโลกเขาบอกว่า โอ๋ย พระพูดอย่างนี้ก็เพราะอยากได้ ถ้าเราบอกพระไม่รับเขาจะได้ไม่ไปทำความผิด เขาจะทำอาชีพที่สะอาดบริสุทธิ์ กรรมของคนมันไม่เหมือนกันหรอก

นี่พูดถึงว่า

ถาม : ถูกล็อตเตอรี่แล้วไปทำบุญ บาปไหมคะ?”

ตอบ : นี่เขาบอกว่าเขาไปทำเพราะว่าเขาไปเสี่ยงเซียมซีที่วัดหนึ่ง พอได้มาแล้วเจตนาเราบริสุทธิ์ ไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดศีลธรรม เห็นไหม เราก็ยังรู้ว่าผิดศีลธรรม อันนี้จบ จบแล้วนะ พูดถึงเราทำบุญแล้วก็คือบุญ สิ่งที่ได้มา ไอ้อย่างที่ว่าซื้อล็อตเตอรี่ ชาวพุทธนะ หรือคนไทยชอบเสี่ยงดวง ถ้าเสี่ยงดวงแล้ว แต่มันก็ยังคิดไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราทำของเรา ที่โลกเขาติเตียนกัน เขาเล่าว่าก็ว่ากันไป

ถาม : ๒. นั่งภาวนาจนเห็นจิตเป็นดวงสีเงินเล็กๆ พอดิ่งเข้าไปเรื่อยๆ สักพักตัวเราก็พองออก ใหญ่ออกไปนอกบ้าน ขยายออกไปนอกโลก เห็นความมหัศจรรย์อย่างสุดที่จะบรรยาย และเชื่อในคำสอนของพุทธองค์ว่า “ทางนี้คือทางหลุดพ้น” เจ้าค่ะ

ตอบ : ฉะนั้น เวลานั่ง เวลาจิตสงบนี่นะ ถ้าจิตสงบแล้วมันเห็นเป็นดวงเล็กๆ จะดวงเล็ก ดวงใหญ่ อันนี้อย่าคาดหมาย จิตของคนมันไม่เหมือนกัน แต่ถ้าใครเห็นก็คือเห็น เห็นแล้วก็วางไว้ เพราะเราภาวนาเพื่อเอาความสงบของใจ เราไม่ภาวนาเพื่อเอาดวงเงินต่างๆ ถ้าเราภาวนาเพื่อเอาดวงเงินต่างๆ นะ กลางคืนเราก็นั่ง แล้วก็แหงนขึ้นท้องฟ้า ดาวเต็มระยิบระยับเลย มันก็เห็นทั้งนั้นแหละ ดาวเต็มท้องฟ้า ดาวเต็มท้องฟ้ามันเป็นอยู่แล้ว

ฉะนั้น ถ้ามันเห็นก็คือมันเห็น เห็นมันก็อยู่ที่คนมันจะเห็นแล้ววาง จิตมันก็สงบเข้ามา แล้วพอจิตมันสงบเข้าไป พอตัวมันเริ่มพองขึ้น ใหญ่ขึ้น นี่เวลาปีติมันจะเกิดมันเกิดแบบนี้ นี่ตัวขยายใหญ่ขึ้น พองขึ้น ขนาดที่ว่าใหญ่จนเหนือคำบรรยาย เวลาปีติมันเกิดก็ปีติมันเกิด เราก็ตั้งสติไว้ กำหนด ถ้าพุทโธเราก็พุทโธไว้ มันจะใหญ่โตขนาดไหนนะเดี๋ยวมันก็หดเล็กเข้ามา กลับมาเป็นปกติ แต่ถ้ามันจะใหญ่โตขนาดไหนแล้วไปตื่นเต้นนะ มันก็ขยายใหญ่ไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีที่สิ้นสุดมันก็อยู่อย่างนั้นแหละ

นี่ถ้าเวลาปีติมันเกิด ปีติมันเกิดได้อย่างไร? ปีติมันเกิดต่อเมื่อจิตมันเริ่มสงบเข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ จิตมันสงบเข้ามา อาการของจิตมันแสดงออกของมัน ฉะนั้น บอกว่าถ้าปีติมันเกิดเราก็คิดของเราเอง เวลานั่งเราก็คิดว่าตัวขยายใหญ่ ขยายใหญ่มันก็คือขยายใหญ่มันไม่มีผลลัพธ์ มันไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันไม่มีผลตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีผลตามความเป็นจริง ถ้ามันใหญ่ขนาดไหนนะเราก็ตั้งสติของเราไว้

นี่มันเป็นผลลัพธ์ คือมันบอกไง มันบอกว่าจิตของเรามันเริ่มพัฒนาขึ้น เริ่มดีขึ้น มันเป็นของมันไป แล้วผล อย่างเช่นเรามีความสุขเราก็มีความสุข เราก็มีความพอใจใช่ไหม? เวลาเรามีทุกข์มันก็บีบคั้นหัวใจเราใช่ไหม? ทีนี้พอมีความสุข พอจิตมันสงบ มันเป็นปีติมันก็มีผลตอบรับใช่ไหม? มันก็ขยายขึ้น พองขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้นแล้วเราไปติดอะไร เพราะนี่องค์ของสมาธิ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์

วิตก วิจารคือนึกพุท นึกโธนี่วิตก วิจาร เวลาเกิดปีติ เห็นไหม ปีติมันก็เกิดขึ้น พอเกิดขึ้นก็มีความสุข ไอ้นี่เกิดปีติ ไปค้างอยู่ที่ปีติไง พอไปค้างอยู่ที่ปีติ มันไม่เกิดความสุขเพราะมันสงสัยในปีติ แต่ถ้ามันปล่อยวาง พอปีติมันสงบลงมันก็มีความสงบร่มเย็นใช่ไหม? พอมีความร่มเย็นมันก็ปล่อยวาง มันก็เป็นหนึ่ง มันก็เป็นเอกัคคตารมณ์ มันก็ตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่น จิตเข้มแข็ง จิตมีแรง จิตมันก็ออกไปทำงานต่อไป

แต่นี้เวลาเราพุทโธ พุทโธไป พอจิตมันพองขึ้น ใหญ่ขึ้น โอ้โฮ มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ ค้างอยู่นั่นน่ะ แต่ถ้าจิตมันกลับมามีสติ เห็นไหม มีสติกลับไปพุทโธของเราไปเรื่อยๆ นี่จากปีติมันก็เกิดความสุข เกิดความระงับ เกิดความตั้งมั่น เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่น นี่ถ้ามันเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องกันไป สิ่งที่มันเป็นมันก็คือเป็น มันเหมือนกับถ้าใครกินส้มตำใส่พริก ๕๐ เม็ดมันก็ต้องเผ็ดหน่อยหนึ่ง ใครกินส้มตำใส่พริก ๒ เม็ด เออ มันก็มีรสชาติอย่างหนึ่ง จิตของคนมันไม่เหมือนกันไง ส้มตำใส่พริกมากหรือพริกน้อย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบเข้าไปแล้ว จิตของคนไม่เหมือนกัน ถ้ามันมีปีติ ทุกคนต้องมีปีติเหมือนกันเลยหรือ? นู่นก็ปีติ นี่ก็ปีติ ไม่ใช่ บางคนไม่มี สงบเรียบๆ ไป บางคนแรงกว่านี้ นี่ถ้าแรงกว่า มันเป็นชนิดของจิต คือเวรกรรมของจิตที่มันสร้างของมันมา แล้วพอมันมีครั้งนี้แล้ว ครั้งต่อไปมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างอื่น เพราะอะไร? เพราะเวลามันมานี่มันมาให้เราไม่รู้คืออวิชชา แต่ถ้ามันมาเรารู้นะ เรารู้ก่อน มันมาแล้วมันไม่มีรสชาติอย่างนี้เพราะเรารู้ก่อน ถ้าเรารู้โจทย์ทุกอย่าง เรารู้คำตอบหมดแล้ว แบบว่าชีวิตนี้มันจืดชืด แต่ถ้าไปเจอแล้วผงะเลยนี่ เออ รสชาติดีมากเลย นี่ปัจจุบันจะเป็นแบบนี้ เราจะรู้ก่อนไม่ได้

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าพอมันมีปีติอย่างใดเราก็ตั้งสติไว้ กำหนดพุทโธของเราไว้ มันจะละเอียดเข้าไปมากกว่านี้ไง คือสมบัติที่ดีกว่านี้ยังมีอีกมาก ฉะนั้น เพียงแต่เวลาเข้าไปสัมผัส

ถาม : พอสัมผัสแล้วเห็นความมหัศจรรย์อย่างที่สุดที่จะบรรยาย และเชื่อคำสอนของพุทธองค์ ทางนี้เป็นทางหลุดพ้นแน่ค่ะ

ตอบ : ใช่ ทางหลุดพ้นแน่ นี่คือสมถะ คือการทำความสงบของใจ พอใจสงบแล้ว เราค้นหากิเลส เวลาคนจิตใจสงบแล้ว สงบก็สงบอย่างนั้นแหละ สงบแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สงบแล้วจะทำอย่างไรต่อไป สงบแล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อม นี่เดินไม่ถูกไง พอจิตสงบแล้วนะเราออกค้นหา คือฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในชีวิตที่เกิดมา อย่างเช่นพอปัญญามันเกิดนะ ปีติที่พูดเมื่อกี้ที่มันตัวพองตัวใหญ่จะเข้าใจหมดเลย คนเรามีปัญญาที่เข้าใจรู้แจ้งแล้วมันจะสงสัยไหม? มันจะพะว้าพะวงไหม? ไม่ ที่เราพะว้าพะวงกันนี้เพราะเราไม่รู้แจ้ง เพราะเราสงสัย แต่ถ้ามันรู้แจ้งแล้วมันจะเดินไปข้างหน้า มันจะพัฒนาไปข้างหน้า มันจะดีไปข้างหน้ามากกว่านี้

นี่พูดถึงว่าเวลาตัวพองไง ฉะนั้น คนที่ไม่พองก็ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องมาพองกันทุกคน บางคนก็พอง บางคนก็ไม่พอง บางคนจะเจออย่างอื่น บางคนจะเจอโจทย์ของตัวเอง เจอเวร เจอกรรมที่ใจมันเคยสร้างมา ไม่มีสิ่งใดของฟรี และไม่มีสิ่งใดที่มันจะเกิดมาลอยๆ มันต้องมีเหตุมีผล มันต้องมีที่มาที่ไปของมัน เพราะจิตนี้มันได้สร้างของมันมา พอสร้างของมันมา เวลาเราจะไปคายออก เราจะไปทำความสะอาดออก มันก็จะไปเจอสิ่งที่มันทำมาแล้วเราจะไปคลี่คลายกัน

ฉะนั้น จิตใครจิตมัน แล้วเวลาเข้าไปเจอแล้วอย่านึกถึงพะว้าพะวง อย่าเสียใจ เพราะบอกว่านี้เราทำมาเอง สิ่งนี้เราทำมาเอง แล้วเราก็จะมาแก้ไขเอง เพราะชาตินี้เราเกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วเราเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีธรรมโอสถที่จะมาแก้ไขกัน แล้วเราเกิดมาเราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อจะมาแก้ไขกัน เราโชคดีมาก เราเกิดมาพบพุทธศาสนา มีธรรมโอสถที่จะมาแก้ไขโรคภัยไข้เจ็บในใจของเรา

ฉะนั้น ถ้าเจอสิ่งใดเราก็แก้ไขไปตามอาการนั้น ด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น เราอย่าเสียใจ ใครเจอสิ่งใด จะทุกข์ จะยาก จะสุข จะสบาย จะลำบากขนาดไหน นี้คือสิ่งที่เราสร้างมา แล้วเรากำลังจะมาแก้ไขกัน เราจะมาแก้ไขดัดแปลงใจของเรา เราต้องภูมิใจ เราต้องดีใจว่าเราเกิดมามีสติปัญญา เราไม่ได้เกิดมาเร่ร่อน เกิดมาใช้ชีวิตให้หมดไปชาติหนึ่งโดยไม่เป็นประโยชน์กับเราเอง

เป็นประโยชน์กับโลกนะ ใครทำประโยชน์กับโลก ใครทำต่างๆ เพื่อประโยชน์กับโลกเราไว้เป็นประโยชน์สาธารณะ เพื่อให้บุคคลคนอื่นได้ใช้สมบัติที่เราได้สร้างไว้ แต่สมบัติส่วนใจเรายังไม่มี แล้วเราจะทำของเรา ฉะนั้น ใครเจอสิ่งใดแล้วอย่าเสียใจ เพราะเราทำมา แล้วเราจะแก้ไขของเราไป

ถาม : ขอเรียนถามหลวงพ่อว่าพอนั่งไปแล้วภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ จนไม่มีลมหายใจ ตอนนั้นตกใจมาก และคิดว่าเราจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว

ตอบ : ถอนออกมาไม่เป็น รู้สึกว่ากระชากออก นี่คือกองฟุบอยู่นี่ เวลากระชากออกนะ ถ้ามันเป็นได้จริง นี่เวลามันตกใจเองไง พอเราตกใจแล้ว ความจริงพอตกใจแล้วจิตมันจะเสื่อม เพราะตกใจเหมือนกับมันออกมาแล้ว แต่นี้แปลก แปลกที่ว่ามันลมหายใจหายแล้ว แล้วเรากระชากออก กระชากออกมา แล้วตัวฟุบอยู่อย่างนั้น

ความจริงมันไม่ต้องกระชาก เวลาลมหายใจมันจะหาย ลมหายใจหายเพราะจิตมันละเอียด ความจริงลมหายใจวูบ จิตนี่นะอาการของใจใครสะกิดไม่ได้เลย สะกิดปั๊บมันจะถอยกลับมาเป็นปกติ แต่เราพยายามสร้างให้มันละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป พุทโธ พุทโธละเอียดเข้าไป ถ้าละเอียดเข้าไปจนลมหายใจไม่มี ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่มีก็คือไม่มี ถ้าตั้งสติได้ ไม่มีก็ไม่มี นี่ถ้าภาวนาไปนะ ถ้าจิตมันจะสงบมันจะเข้ามาเป็นอย่างนี้แหละ ลมหายใจมันจะหาย ลมหายใจหายโดยที่มีสติพร้อมนะ มีสติ มีความรู้สึกพร้อมเลย พอลมหายใจมันหายเข้าไปมันจะละเอียดเข้าไปจนสักแต่ว่ารู้ ไม่มีอะไรเลยแต่มี ไม่มีอะไรเลยนะแต่มีผู้รู้อยู่เด่นชัด

ฉะนั้น เพียงแต่ว่ามันเข้าไปแล้วมันตกใจ มันกระชากออก พอกระชากออกมา เห็นไหม เขาบอกอู้ฮู เหนื่อยมาก เหมือนคนวิ่ง ๔ คูณ ๑๐๐ เลยล่ะ เหนื่อยมาก ใจเต้นแรงมากเพราะมันตกใจ มันตกใจมันก็เหนื่อยของมัน แล้วเข็ดไง ฉะนั้น คำว่าเข็ดนี่วางไว้ คำว่าวางไว้ ถ้าเราไปเจออย่างนี้อีก เราพัฒนาไป เราจะบอกว่ามันเป็นเส้นทางที่เราต้องเดิน ถ้าจิตเราสงบเข้าไปเจอสภาวะแบบนี้นะ นี่เส้นทางที่ต้องเดิน อย่างเช่นเราจะเข้ากรุงเทพฯ ทีนี้พอเข้ากรุงเทพฯ ไป เขาบอกว่าตอนนี้น้ำท่วม เส้นทางขาด เราจะทำอย่างไร? เราก็ต้องหาทางจะเข้ากรุงเทพฯ ให้ได้ เพื่อเป้าหมายเราอยู่ที่กรุงเทพฯ

นี่ก็เหมือนกัน เราทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบแล้วมันก็เหมือนหาทุน ถ้าใจสงบแล้วมันปล่อยวางหมดนะ นี่จิตมันปล่อยขันธ์ ๕ ปล่อยสัญญาอารมณ์ทั้งหมดมันก็สงบระงับ แล้วจิตมันพิจารณามันก็เสวยอารมณ์ออกมา มันก็เสวยขันธ์ ๕ มันพิจารณาเห็นกาย นี่กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ มันเป็นต้นทางแห่งการวิปัสสนา การวิปัสสนาคือการพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เป็นวิปัสสนา วิปัสสนาปัญญา ปัญญาเกิดจากการวิปัสสนา การแยกแยะ เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม มันอาศัยกาย เวทนา จิต ธรรมออกไปหาผลประโยชน์ของมัน

ฉะนั้น พอจิตเราสงบแล้วเราก็จับกาย เวทนา จิต ธรรมที่กิเลสมันใช้ออกไปหาประโยชน์นี่ออกมาแยกแยะ เราจะจับตัวกิเลส จับเสือร้าย จับเสือร้ายในใจเรา นี่ให้เห็นโทษของมัน ฉะนั้นถ้าจิตเราสงบแล้ว จิตเราสงบระงับแล้ว เราจะออกไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมด้วยความเป็นจริง ด้วยสติปัฏฐาน ๔ ด้วยวิปัสสนาญาณที่มันจะเริ่มต้น แต่ถ้าจิตมันไม่สงบนะมันเป็นการนึกเอา สร้างภาพเอา มันไม่ใช่วิปัสสนาหรอก

มันไม่เกิดภาวนามยปัญญา มันเกิดรูปแบบ รูปแบบในการกระทำ เราก็สร้างรูปแบบขึ้นมา มันก็ได้แค่รูปแบบ พิจารณารูปแบบ ทำตามรูปแบบ แล้วมันก็ไม่มีรสชาติ พิจารณาแล้วมันก็ว่างๆ สบายๆ ว่างๆ สบายๆ อยู่อย่างนั้นแหละมันไม่ไปไหนหรอก แต่ถ้าจิตมันสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม เวลามันพิจารณาแล้ว โอ้โฮ มันสะเทือนหัวใจ มันเขย่าขั้วหัวใจ มันเขย่าความรู้สึก มันเขย่ากิเลส ถ้ามันเขย่ากิเลส นั่นแหละมันจะเป็นวิปัสสนา เพราะมันจะสำรอก มันจะคายสังโยชน์ มันจะคายความยึดมั่นถือมั่นของมัน

ฉะนั้น ถ้าเส้นทางที่เราต้องเดิน หมายถึงว่าเราจะเข้ากรุงเทพฯ เราจะต้องเข้ากรุงเทพฯ ทางมันจะขาด น้ำท่วมทางขาดอย่างไรเราก็ต้องซ่อมแซมถนนนั้นเพื่อจะเข้าสู่เป้าหมาย เพื่อเราจะไปเอาเงินเอาทองของเรา นี่จิตสงบมันคือทุน คือเงิน คือทอง แต่มีเงินทองใช้จ่ายไม่เป็น น้ำท่วมไม่มีสินค้าขายเลย เงินทองก็กินไม่ได้ เงินทองมันจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารได้อย่างไร? จิตสงบแล้วเราจะยกขึ้นวิปัสสนาให้เป็นปัญญาอย่างไร?

ฉะนั้น ถ้ามันฟุบนะ เวลากระชากออก เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นนะท่านบอกว่าเวลาจิตสงบแล้วนะอย่าไปคุ้ย อย่าไปถอนออกมาด้วยความเร่งด่วน ความรีบด้วย จิตสงบเข้าไป เราทำความสงบนี่เราทำได้ยากมาก เราก็ตั้งสติไว้ให้จิตมันคลายตัวออกมา แล้วคราวต่อไปมันจะเข้าได้ง่าย แต่ถ้าเราไปรีบด่วน เราไปดึงออก คราวต่อไปจะเข้าได้ยาก เพราะมันเหมือนเข้าได้ยากเพราะเหตุใด? เข้าได้ยากเพราะว่าพอเวลากระชากออกมานี่เหนื่อยมาก เวลาจิตมันลงไปแล้วตกใจมากเลยนึกว่าจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว มันตกใจ พอมันเสีย สิ่งนี้มันจะฝังใจ

อย่างเช่นเราไปเจอสิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่เราไม่ถูกใจมันจะฝังใจเรามาก อันนี้เราไปทำใจเราเอง มันจะฝังใจมากเราต้องใช้ปัญญา ใช้ปัญญาเข้าไป พยายามหาเหตุหาผลให้มันไม่กลัวไง นี่กลัวมาก เห็นไหม จิตมันไม่มีลมหายใจ ตกใจจนคิดว่าจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว ถอนออกมาด้วยการกระชากออก แล้วพอกระชากออกแล้วนี่มาตรงท้ายบอกว่า

ถาม : ต่อไปนี้ เพราะกลัวจิตรวมแล้วถอนไม่ได้เจ้าค่ะ เลยรีบๆ สวดมนต์ รีบๆ นั่งสมาธิ แล้วรีบๆ ถอน กลัวไปเจออย่างนั้นอีก

ตอบ : นี่ถ้าอย่างนั้นอีก อยากจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปเอาเงินเอาทอง แต่ก็ไม่กล้าเข้ากรุงเทพฯ แล้วมันจะเอาเงินเอาทองจากที่ไหนล่ะ? นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบนะมันก็จะมีความสุข มีความระงับ แล้วถ้าเกิดใช้ปัญญาขึ้นมามันก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าจิตเราไม่สงบ เราใช้ปัญญามันก็เป็นโลกียปัญญาไง คือปัญญาดิบๆ ปัญญาดิบๆ ก็ควบคุมความรู้สึก ก็เป็นมรรยาทสังคม ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่มันไม่สามารถเข้าไปชำระกิเลสได้ ถ้าจะชำระกิเลสมันต้องจิตสงบ เพราะ เพราะมันเป็นมรรคองค์หนึ่งในมรรค ๘

มรรค ๘ มีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานนะ ถ้าไม่มีพื้นฐานมันจะไม่เกิดปัญญา ดำริชอบคือปัญญาชอบ ปัญญาชอบนี่มันอยู่บนสัมมาสมาธิ เวลาหลวงตาที่ท่านติดในสมาธิ เห็นไหม ที่หลวงปู่มั่นบอกไง บอกว่า

“ถ้ามันไม่เป็นสัมมาสมาธิ แล้วสิ่งที่มันสงบมันจะเป็นอย่างไร?” นี่หลวงตาท่านพูดอย่างนั้นนะ

หลวงปู่มั่นบอกว่า “สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสัมมาสมาธิไม่มีสมุทัยเว้ย สัมมาสมาธิของท่านมันมีสมุทัยครอบหัวอยู่ เห็นไหม”

นี่ก็เหมือนกัน เราบอกว่า เราไม่มีสมาธิใช้ปัญญาเลย หรือมีสมาธิแล้วจะใช้ปัญญาไม่เป็น นี่มันก็เข้ากับเหตุการณ์นี้ แต่ถ้ามันมีสมาธิแล้ว เห็นไหม สมาธิถ้ามันต้องการความสงบ เพราะมันเป็นมรรค ๘ มีสมาธิชอบ มีดำริชอบ มีงานชอบ มีเพียรชอบ มีความระลึกชอบ ความชอบธรรมอันนั้นมันจะเป็นมรรคญาณ มันจะเป็นธรรมจักร จักรมันจะหมุน ปัญญามันจะหมุนติ้วๆๆ อย่างที่หลวงตาท่านพูด หมุนติ้วเพราะอะไร? เพราะมันฝึกหัด มันใช้ของมัน

นี่พื้นฐานที่เราทำกันอยู่นี้เราทำขึ้นมามรรคเป็นตัวๆ สมาธิก็มรรคหนึ่ง ปัญญาก็มรรคหนึ่ง ตัวหนึ่ง มรรคองค์ ๘ ไง งานชอบก็มรรคหนึ่ง เราก็ฝึกหัดมรรคทีละตัว เห็นไหม มรรค ๘ ก็ ๘ อย่าง ฝึกทีละอย่าง ฝึกทีละอย่างแล้วก็พยายามฝึกให้มันชำนาญ ให้มันผสมกลมกลืนกัน นี่ถ้ามีสมาธิจะเกิดปัญญาอย่างไร? ปัญญาที่มีสมาธิหนุนแล้วมันจะมีความรู้สึกอย่างไร? ถ้ามีสติ ถ้ามันยับยั้งแล้ว นี่ฝึกหัดอย่างนี้ ถ้าฝึกหัดอย่างนี้ปั๊บมันจะแก้ไขตรงนี้ แก้ไขที่ว่าเวลาจิตมันลงนี่มันเป็นสมาธิอย่างเดียว พอจิตมันลงขึ้นมา เห็นไหม มันตกใจมาก

ความจริงที่ลมหายใจมันขาดนี่นะ ลมหายใจมันหายไป น้อยคนนักที่จะเป็นได้ น้อยคนนัก แต่นี้พอคนมันเป็นแล้วมันก็กลับตกใจ ฉะนั้น คนถามนี่รู้สึกว่ามีวาสนานะ เพราะว่าเวลาทำนี่ตัวใหญ่ตัวพองมันก็เป็นปีติเข้ามา เวลาพุทโธมันหาย นี่เพราะว่ามีวาสนา แต่ไม่มีบุญ มีบุญคือว่าพอมีวาสนามานี่บุญมันรองรับ มันทำเป็น ทำได้ไง วาสนาตกใส่ตักเลยนะเนี่ย แต่ตกใจกลัว วาสนามามันก็ต้องมีบุญเนาะ วาสนามาเราก็บริหารได้นะ จัดการได้นะ มรรคมันก็เดินไปได้ นี้วาสนาตกใส่ตักเลยนะ แต่ตัวเองตกใจกลัวมาก ต่อไปนี้นั่งสมาธิแล้วรีบออกเลยกลัวจะเจออย่างนั้นอีก เออ เขานี่อยากได้ คนเขาหากัน ไอ้นี่พอเจอแล้วกลับกลัว นี่ค่อยๆ

นี้พูดอย่างนี้ปั๊บเดี๋ยวบอกอยากกลับไปได้ พูดเสร็จแล้วนะ นี่จะตอบอย่างนี้ แล้วเจ้าของคำถามไปปฏิบัติต่อ แล้วถ้ามีสิ่งใดนะมันจะต้องแก้ไขเป็นชั้นเป็นตอน เป็นเปราะๆ ขึ้นไปไง ถ้ามันภาวนาได้อย่างนี้จริง แล้วถ้าทำได้จริงนะ นี่ตั้งใจไว้ ถ้าแบบว่าเรากำหนดพุทโธ พุทโธนะ ถ้าจิตมันสงบนะ อยู่กับพุทโธไว้ อยู่กับพุทโธ อยู่กับผู้รู้ ไม่มีสิ่งใดทำอะไรเราได้ ไม่ต้องกลัว ถ้ามันจะหาย หายแต่มีผู้รู้อยู่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

หายคือความฟุ้งซ่านมันหายไป ความรับรู้ที่ต้องแบกหามอายตนะมันหายไป แต่จิตมันปล่อยไง ปล่อยอายตนะ ปล่อยร่างกายจนจิตนี้เป็นสักแต่ว่ารู้ หนึ่งเดียว หนึ่งเดียวจิตนี้แยกออกจากกาย ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่มันจะแยกออกมา ตั้งสติไว้ ค่อยๆ ทำไป แล้วพอทำเป็นแล้วนะจะบอก อู้ฮู นี่มันขุมทรัพย์ อู๋ย ทำไมโง่ขนาดนี้? ไปตกใจขุมทรัพย์ของตัวเอง ทำไมโง่ขนาดนี้? ทั้งๆ ที่ไปเจอขุมทรัพย์นะแต่กลัว แต่ถ้าทางโลกเขาไปเจอกองเงินกองทอง เขารู้จักมันอยู่แล้วนะ เขารีบเข้าไปตัก เข้าไปหยิบฉวยเลย แต่นี่พอจิตมันเป็นอย่างนี้กลับกลัว เพราะอะไร? เพราะเราอยู่กับโลกเคย

เราบอกว่าตรรกะ นี่ปรัชญาเรื่องของโลกๆ เข้าใจได้ แต่ไปเจอความจริงนี่งงทั้งนั้นแหละ คนไม่เคยเจอนะ ศึกษาขนาดไหนเข้าไปเจอก็งง แล้วพอเจอจริงๆ นี่งงมากเลย ตั้งใจใหม่นะ สิ่งที่มันเป็นอยู่ ที่ว่าลมหายใจจะขาดต่างๆ มันเป็นผลดี แต่นี่กลับว่านั่งสมาธิกลัวจิตรวม รีบๆ ถอนออก ก็เหมือนกับเราไม่ตักข้าวใส่จาน แล้วก็บอกจะกินข้าวๆ แต่กลัว กลัวเอาข้าวใส่จานแล้วเดี๋ยวข้าวมาอยู่ในจาน เอาจานมาตั้งไว้แล้วบอกจะกินข้าวๆ ไม่มีข้าวให้กินนะ ถ้าจะกินข้าวต้องตักข้าวใส่จาน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะภาวนาต้องจิตสงบ แล้วก็ค่อยๆ ให้มันลง ให้มันสงบไป แล้วเดี๋ยวในจานข้าวเราจะมีข้าว มีกับข้าว มีทุกอย่างพร้อมในจานนั้น เราจะมีความสุข ชีวิตนี้จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ไอ้นี่กลัวไปหมดเลย เอาจานมาตั้งแล้วก็จะกินข้าว สำรับจัดไว้หมดเสร็จ แต่อาหารไม่กล้าตัก ไม่กล้าเอามาใส่จาน ไม่กล้ากิน ไม่กล้าทำอะไรเลย ค่อยๆ ค่อยๆ นี่ไม่ใช่ดุนะ เพียงแต่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ที่ทำมานี่มันถูกหมด เพียงแต่เราเข้าใจผิด เราไปกลัวเอง เราไปกลัวทรัพย์สมบัติของเราเอง แล้วคิดว่าทรัพย์สมบัตินี้ไม่มีค่า สิ่งที่มีค่ามันหายาก ค่อยๆ ทำเอา แล้วจะรู้ นี่ปัญหาหนึ่งนะ

ต่อไปข้อ ๘๙๔. เนาะ

ถาม : ๘๙๔. เรื่อง “ทางตัน” (นี่เขาว่าทางตัน)

๑. ผมมาปฏิบัติที่นี่ ๓ วัน พอวันที่ ๓ ขณะที่นั่งสมาธิจิตก็รวมเป็นหนึ่งทีเดียว พุทโธกับจิตก็แนบกันไป แต่ก็มีสิ่งรบกวนต่างๆ มากมายเข้ามาหลอกล่อให้ติดกับมัน ผมก็มีพุทโธแนบจิตตลอด สัก ๓๐ นาที สิ่งหลอกล่อก็เริ่มจางหายไป พอหลังจากนั้นจิตรู้สึกรวมลึกลงไปอีก ก็มีดวงสว่างไสวราวกับพระจันทร์วันเพ็ญ แต่ผมก็ไม่สนใจ มั่นใจว่าเป็นสิ่งที่หลอกล่อให้ติดกับ ก็จะมีแต่พุทโธกับจิตตลอด แล้วสิ่งนั้นก็หายไป รู้สึกว่ามีความสว่างไสว แต่มีความรู้สึกตัวตลอดว่าอะไรมากระทบ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด

๒. กลับมาบ้าน หลังจากเดินเสร็จมานั่งสมาธิก็เกิดสภาวะทันที เหมือนกับว่าเป็นกิเลสเต็มท่วมหัวใจเข้ามาปรากฏให้เห็นเยอะมาก แล้วก็บริกรรมพุทโธก็ไม่ได้ นั่งดูอยู่อย่างนั้น บางครั้งพุทโธหายก็หายใจแรงๆ เพื่อตามหาพุทโธก็แป๊บเดียว กลับมาก็เหมือนเดิมอีก กิเลสเยอะมาก ผมสงสัยและขอถามหลวงพ่อว่าต้องทำอย่างไรถึงจะก้าวหน้าต่อไปอีก เพราะจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ถ้าหากปฏิบัติติดต่อกันต่อเนื่องหลายๆ วัน ผมรู้สึกว่าถึงทางตัน หลวงพ่อเมตตาชี้แนะด้วย

ตอบ : อันนี้เวลามาปฏิบัติถ้า ๓ วันมันได้เปลี่ยนสถานที่ เหมือนพระเรานะเวลาออกธุดงค์ ไปคุ้นเคยที่ไหนเขาให้เปลี่ยนสถานที่ ให้เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ เพราะว่าถ้ามันคุ้นชินแล้วมันเป็นอย่างนี้ กิเลสเรานี่ร้ายนัก ฉะนั้น เวลามาปฏิบัตินี่ ๓ วัน เห็นไหม พอนั่งไปแล้วจิตมันเริ่มสงบ นี่ถ้าจิตสงบแล้ว ถ้าเห็นเป็นดวงจันทร์ เห็นเป็นอะไร เห็นเป็นดวงจันทร์นิ่งก็มี ดวงจันทร์เคลื่อนเข้าหาเราก็มี ต่างๆ

นี่คนนั้นก็มี คนที่ไม่เห็นก็มี แต่ถ้ามันเห็นแล้วมันเป็นการยืนยันว่าถ้าจิตเราไม่สงบมันจะรับรู้สิ่งใดไม่ได้ ถ้าจิตไม่สงบมันก็รับรู้โดยอายตนะไง คือหู จมูก ตา ลิ้น กาย ใจ ก็รับรู้โดยผ่านอายตนะใช่ไหม? ตาเห็นภาพ หูได้ยินเสียง นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ แต่พอจิตมันสงบมันปล่อยตรงนี้ มันเข้ามาปั๊บมันรู้เห็นโดยอิสรภาพของมัน มันไม่ต้องใช้หูมันก็ได้ยินของมัน ไม่ต้องใช้ตามันก็เห็นของมัน ถ้าจิตมันสงบนะ ถ้าสงบแล้วมันเป็นการบอกว่าจิตเรามันพัฒนาขึ้นมาจากปุถุชน ให้มันสงบระงับเข้ามา

ฉะนั้น สิ่งนี้มันก็เป็นฝึก เราต้องการความสงบของใจ เรามาฝึก มาหัดกันก็เพื่อให้ใจมันสงบระงับ ให้ใจมันได้ลิ้มรสของมัน ถ้าใจได้ลิ้มรสของธรรม ใจนี่มันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน อันนั้นถูกต้อง แต่พอเวลากลับบ้านไป กลับบ้านไป เพราะเราจากบ้านมา บ้านเราอยู่มาหลายปี เราอยู่มาต่างๆ มันคุ้นเคย พอมันคุ้นเคยนี่กิเลสมันนอนใจ เหมือนเช่นเราอยู่ในที่สว่างเราก็นั่งสบายๆ เนาะ เอ็งเข้าไปในที่มืดสิ กลัวผีๆ มันได้เปลี่ยนที่ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลากลับไปพื้นที่ กลับไปบ้านมันคุ้นชินไง แต่เวลามันอยู่ที่นี่ปั๊บมันตื่นตัว พอมันตื่นตัว เวลาปฏิบัตินี่สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ นี่พระกรรมฐานถึงต้องธุดงค์ไปเรื่อยๆ เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ ถ้าจิตมันเคยชินแล้วก็เข้าไปป่าช้า เข้าไปให้มันตื่นกลัว ความกลัวเราเห็นว่าเป็นความกลัว แต่ทางธรรม ความกลัวนั้นเอามาเป็นประโยชน์ ถ้ามันกลัวมันก็ไม่คิดนอกเรื่อง ถ้ามันไม่กลัวมันก็คิดไปนอกเรื่องนอกราว อาศัยความกลัวช่วยตรวจสอบมัน ช่วยตรวจสอบใจเรา

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่น พระที่อยู่หนองผือท่านบอกว่าให้องค์นี้ไปอยู่กับเสือ ให้องค์นี้ไปอยู่ที่นั่น ก็เพราะว่าท่านเห็นประโยชน์แล้วไง ท่านคำนวณแล้ว ว่าถ้าสิ่งสัปปายะสภาวะแวดล้อมนั้นมันจะเป็นประโยชน์กับพระองค์นี้ ท่านก็บอกว่าให้พระองค์นี้ไปอยู่ตรงนั้น พระบางองค์ไปทำตามก็ได้ประโยชน์ พระบางองค์ไม่กล้า กลัว พอกลัวมันก็ไม่ได้ประโยชน์ นี่ก็เหมือนกัน อันนี้พูดถึงสัปปายะนะ จะบอกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ถ้ามันเป็นแบบนี้ปั๊บ เราจะได้เข้าใจว่าทำไมพระต้องธุดงค์ ทำไมพระต้องเปลี่ยนสถานที่ ทำไมพระต้องอยู่กับสิ่งใหม่ๆ ใหม่ๆ เพราะมันไม่เป็นแบบนี้ไง

ฉะนั้น ถ้าเราอยู่อย่างนั้นปั๊บเราก็ต้องใช้สติปัญญาเพื่อจะเอาชนะมันนะ ถ้าชนะได้ก็คือชนะ ถ้าชนะไม่ได้ คนเราเกิดมานี่เวรกรรมของคนไม่เหมือนกัน ถ้าเวรกรรมของคนนะ คนจะเอาชนะตนเองไง เอาชนะตนเองเพื่อเอาใจไว้ในอำนาจของเรา ถ้าเอาใจไว้ในอำนาจของเรามันต้องมีอุบาย มีวิธีการ วิธีการที่จะทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้เราค่อยแก้ไขไป แก้ไขไป ฉะนั้น คำว่าแก้ไขก็บอกว่าหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อช่วยแนะนำ แนะนำมันก็ต้องตั้งสติ พอตั้งสติมันก็ของรู้ๆ กันหมดนั่นแหละ ตั้งสติแล้วทำให้ได้

ฉะนั้น ตั้งสติแล้ว เพราะบางคนนะมีหน้าที่รับผิดชอบ เรามีหน้าที่การงาน เรามีความรับผิดชอบ ฉะนั้น เราก็ต้องรับผิดชอบด้วย ฉะนั้น ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะเรามีหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่ดูแลครอบครัว ดูแลพ่อ ดูแลแม่ นี่ชาติตระกูลของเรา สมบัติของเรา แล้วก็เจียดเวลามาปฏิบัติ เวลาเจียดเวลา เจียดมาแค่นี้มันเลยคับแคบ เวลาพระนี่นะ ๒๔ ชั่วโมงเลย พระไม่มีสมบัติส่วนตน พระเรามีบริขาร ๘ เท่านั้น เหมือนนกมีปีกกับหาง เวลาบิณฑบาต ฉันแล้ว เก็บบริขารแล้วก็ไป ไม่ติดกับสิ่งใด

ฉะนั้น พอไม่ติดกับสิ่งใดมันก็ไปได้หมด นี่ทางกว้างขวาง สมณะเราเป็นทางกว้างขวาง แต่ถ้าทางคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ พอบอกคับแคบตรงไหน? คับแคบตรงเวลา คับแคบตรงที่เราไม่ค่อยมีเวลา เรามีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานของเรา อันนั้นเราต้องดูแลรักษาของเรา เพื่อประโยชน์ของเราเองนะ ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนั้นนะ จบ

ต่อไปเลยเนาะ ข้อ ๘๙๕. ไม่มี

ข้อ ๘๙๖. แบบว่ามันต้อง

ถาม : ๘๙๖. เรื่อง “ขอเรียนถามเหตุกำหนดรู้ลม”

ตอบ : จบนะ อันนี้ยกเลิกหมด อันนี้ถามมานี่ยกเลิก

ข้อ ๘๙๗. ข้อ ๘๙๘. ไม่มี

ถาม : ข้อ ๘๙๙. เรื่อง “ขอถอนคำอธิษฐานเจ้าค่ะ” (ฟังนะ เราก็งงเหมือนกัน)

กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ หนูได้อธิษฐานขอให้แคล้วคลาดจากเนื้อคู่ คืออย่าได้แต่งงานในชาตินี้กับพระเขี้ยวแก้ว ช่วงที่มีการอันเชิญมาที่เมืองไทย ตอนนี้หนูอยากแต่งงาน หนูอยากทราบว่าหนูจะถอนคำอธิษฐานอย่างใดคะ กราบนมัสการค่ะ

ตอบ : คือเมื่อก่อนเวลาเขาเอาพระเขี้ยวแก้วมา นี่อธิฐานตอนนั้นไงว่าจะไม่แต่งงาน แต่ตอนนี้อยากแต่งงานแล้วแหละ แต่ไปอธิษฐานไว้นี่จะถอนอย่างไร? (หัวเราะ) แค่นี้ก็ถามมาเนาะ โอ้ เป็นพระนี่ก็แปลกเนาะ ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องอย่างนี้ด้วย เพราะเมื่อก่อนเวลาเราพูดถึงการที่ว่าถอนคำอธิษฐาน แบบว่าเวลาถอนบารมีพระโพธิสัตว์ เวลาโดยทั่วไปพวกเราปฏิบัติกันไปจนสัพเพเหระ จนจับพลัดจับผลู จนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้อะไรจริง อะไรไม่จริง

ฉะนั้น เวลาเราพูด เพราะมีลูกศิษย์เยอะมากที่ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ แล้วสุดท้ายแล้วนี่ภาวนาไปแล้วมันไม่เดินใช่ไหม? แล้วจะถอนกันอย่างไร? ฉะนั้น มีลูกศิษย์หลายคนมากเขาปรารถนาเป็นพุทธภูมินะ แล้วพอเขาพิจารณาของเขา จิตใจเขาจะมหัศจรรย์มาก แล้วเขาเบื่อมาก เขาเบื่อมากเขาก็อยากจะไป เราก็บอกว่าให้ถอน พอถอนนี่ถอนอย่างไร? ให้ถอนคือว่าถอนสิ่งที่เราตั้ง คำว่าถอนพุทธภูมิ เพราะเราปรารถนามากี่แสนชาติ มันปรารถนามาลึกซึ้งมาก มันหลายๆ แสนชาติ แล้วปรารถนามันก็สร้างสมบุญญาธิการมา เพราะอะไร? เพราะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยถึงจะเป็นพระโพธิสัตว์

ฉะนั้น มันปรารถนามาขนาดนั้นใช่ไหม? เวลาบอกให้ถอน แล้วก็ถอนอย่างไรล่ะ? ก็บอกให้กำหนดจิตเข้าไปนะ เขากำหนดจิตเข้าไป คำว่ากำหนดจิตหมายถึงทำความสงบ ทำสมาธิ พอเป็นสมาธิปั๊บเขาก็อธิษฐาน แบบว่ารำพึงขึ้นมาในสมาธินี่ถอน พอจิตเขาสงบนะเขาจะเห็นเป็นนิมิต เป็นช้างทรงเครื่อง ตัวนี่ใหญ่มาก เหมือนช้างศึกเลย แล้วพออธิษฐานถอนนะ ถอนออกไปช้างทรงเครื่องเล็กลงเรื่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ เล็กลงจนหมดนะ นี่เวลาเขาถอนความเป็นพระโพธิสัตว์ของเขา

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์มาเหมือนกัน ท่านพิจารณากายของท่านมาแล้ว เห็นไหม พิจารณากายไปแล้วมันก็จบ มันไม่ถอนกิเลสไง มันก็จืดๆ จืดๆ เอ๊ะ ออกจากการพิจารณามาแล้วมันไม่เห็นได้ผล ไม่เห็นได้ผล ท่านพิจารณาของท่านเอง อ๋อ เราปรารถนาพระโพธิสัตว์ไว้ ฉะนั้น ท่านก็ต้องถอนของท่าน ทีนี้พอเวลาจะถอนเขาไม่ได้ถอนกับเราอย่างนี้นี่ ท่านทำความสงบของใจ พอทำความสงบของใจแล้ว มันเข้าไปในจิตแล้วท่านถอนที่นั่น พอถอนที่นั่นแล้วท่านกลับมาพิจารณากายใหม่

พอกลับมาพิจารณากายใหม่ พอพิจารณากาย พิจารณากายเป็นวิปัสสนา พอวิปัสสนามันถอดถอนกิเลสไง ถอดถอนความหมักหมมของใจ แต่ถ้ามันเป็นปุถุชนนะ เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาพิจารณาไปมันเป็นฌานโลกีย์ เพราะพระโพธิสัตว์ทำได้แค่ฌานโลกีย์ จะวิปัสสนาไม่ได้ ถ้าวิปัสสนามันจะเข้าสู่อริยสัจ ถ้าเข้าสู่อริยสัจปั๊บเป็นโสดาบันมันก็ ๗ ชาติ พอ ๗ ชาติมันจะต่อไปเป็นพระโพธิสัตว์ได้อย่างไร?

ฉะนั้น มันจะเข้าสู่อริยสัจไม่ได้ มันก็เป็นฌานโลกีย์ ทีนี้พอฌานโลกีย์ พิจารณาไปแล้วมันเป็นฌานโลกีย์มันก็จืดๆ ไง มันก็จืดๆ อยู่อย่างนั้นแหละ สุดท้ายแล้วท่านถอน พอถอนแล้ว พอพิจารณากายไปแล้วกิเลสมันเริ่มเบาลง เออ อย่างนี้ถูกทาง ฉะนั้น เวลาพูด เหตุที่ว่าเวลาถอนการเป็นพระโพธิสัตว์มันไม่ใช่ถอนกันง่ายๆ มันจะถอนมันต้องเอาจริงเอาจัง เพราะมันไม่ได้สร้างมาชาตินี้ มันสร้างมายาวไกล แต่ถ้าคำอธิษฐานในปัจจุบันนี้ก็ถอนเดี๋ยวนี้ อธิษฐานมาอย่างไรเราก็อธิษฐานว่ายกเลิก ก็จบ

อธิษฐานว่าไม่อยากแต่งงาน แล้วอยากแต่งงาน ก็แต่งงานก็จบไง แล้วมันต้องไปถอนที่ไหนล่ะ? ก็ถอนกันเดี๋ยวนี้ไง ก็เพิ่งอธิษฐานเมื่อไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วเราก็อธิษฐานจบก็คือจบ แบบว่าเวลาสิ่งที่มันข้ามภพ ข้ามชาติ มันลึกซึ้งฝังมากับใจ มันก็ต้องแก้ไขตามความเป็นจริง แต่สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ที่เราก็เพิ่งทำกันมา พอสิ่งนี้มันเป็นปัจจุบันมันก็ต้องแก้ไขที่ปัจจุบันมันก็จบ

ฉะนั้น สิ่งที่อธิษฐานก็อธิษฐาน นี่กราบพระแล้วอธิษฐานก็จบ ฉะนั้น มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง เรื่องโลกๆ เพียงแต่ เพราะเวลาคำถามนี้ปั๊บ เราคิดว่าเราเคยพูดไว้เวลาหลวงปู่มั่นไง หลวงปู่มั่นเราพูดไว้ให้มันเป็นหลัก ว่านี่สิ่งที่มีบารมี เพราะได้สร้างสมบุญญาธิการมามาก แล้วสร้างสมบุญญาธิการ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องต่อไปข้างหน้า แล้วทำไมเวลาปรารถนามาขนาดนี้ แล้วเวลาถอน เวลาท่านถอนกลับมาเป็นสาวก สาวกะเพื่อประโยชน์กับศาสนา เพื่อประโยชน์กับตัวท่านเอง เพื่อประโยชน์กับสังคมของเรา นี่ท่านทำอย่างใด?

มันต้องมีที่มาที่ไป พูดความจริงไง ความจริงของโลกกับความจริงของธรรม ความจริงของธรรมนะมันละเอียดลึกซึ้ง ที่ผู้ที่ฟังธรรมมันจะเข้าใจ แต่ถ้าเราเอาความรู้ของโลก เห็นไหม วิทยาศาสตร์ ความรู้ของโลกมาเทียบเคียงกับความเป็นจริง สัจธรรมมันเทียบกันไม่ติดหรอก ละเอียด-หยาบแตกต่างกันมาก ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราพูดไว้ นี่เราพูดไว้เป็นหลักไง พูดไว้เป็นหลักเพราะว่าครูบาอาจารย์ของเราท่านทำมาอย่างนั้น ท่านปรารถนามาอย่างนั้น แล้วท่านลาโพธิสัตว์ แล้วท่านมาเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านทำมาอย่างใด?

เราพูดไว้เป็นหลัก เพราะว่าเห็นความโลเล ความหยิบฉวย สุกเอาเผากิน ความมักง่ายในการกล่าวอ้าง ในการกระทำ ในการพูดถึงหลักเกณฑ์ในศาสนาของเรา ในศาสนาของเรา ในหมู่คณะของเรามันทำกันฟั่นเฟือนไง เราพูดไว้เป็นหลัก แต่ แต่ที่เวลาคำถามมันเป็นเรื่องโลกๆ ไง มันเป็นเรื่องของเราเอง ฉะนั้น มันเทียบกันไม่ได้ มันเทียบกับความเห็นอันนั้นไม่ได้ ความเห็น ความที่เป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านสูงส่ง แล้วท่านแก้ไขของท่าน นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แล้วของเรานี่เราด้วยอารมณ์ความรู้สึก ด้วยแรงศรัทธา เรามีศรัทธา เราเชื่อมั่นสิ่งใดเราก็อธิษฐานของเรา แล้วพอเวลาเราเปลี่ยนแปลงใช่ไหม?

นี่พอศรัทธาเราเปลี่ยนแปลงขึ้นไปเราก็จะแก้ไข เราก็แก้ไขเอาเดี๋ยวนี้เลย เพราะมันไม่ใช่ข้ามภพ ข้ามชาติ มันไม่เหมือนสิ่งที่สร้างมาเป็นเรื่องจริตนิสัยในหัวใจที่มั่นคงอันนั้น นี่ความมั่นคงของใจมันแตกต่างกัน สิ่งนี้เลยเป็นสิ่งที่โลกๆ ฉะนั้น ถ้าอธิษฐานว่าอย่างใด? ก็ให้กราบพระแล้วอธิษฐานยกคืนอย่างใด แล้วตัวเองอยากได้สิ่งใดก็ทำตามนั้น เอวัง