เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ มิ.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกต้องการอาหาร อาหารร่างกาย เห็นไหม เราเสียสละทานกัน เราทำบุญกุศล นี่เรามองเห็นได้ แต่อาหารใจไม่มีใครเคยเห็นไง ถ้าอาหารใจนะ ชีวิตเราเกิดมา ทุกชีวิตเกิดมา ถ้ามันอัดอั้นตันใจมันมีแต่ความทุกข์ยาก

ตัวศาสนานี่ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรม ธรรมคือสัจธรรม สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา การตรัสรู้คือการฆ่ากิเลสในหัวใจอันนั้น ถ้าฆ่ากิเลสในหัวใจอันนั้น ชีวิตนี้มันสว่างไสวจากภายใน ถ้ามันสว่างไสวจากภายในมันก็มีความสุข มีที่พึ่งอาศัย แม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกมันจะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน มันจะลำบากขนาดไหน แต่หัวใจถ้ามันสว่างไสวจากภายใน มันมีที่พึ่งอาศัยของมัน แต่ถ้าหัวใจมันไม่สว่างไสว เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ ผลของวัฏฏะคือการเกิด

การเกิดขึ้นมา เห็นไหม คนมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตัณหามันมีอยู่แล้ว ถ้าตัณหาไม่มีมันไม่เกิดหรอก การเกิดขึ้นมา ตัณหานี่เราพลิกไง เราพลิกมาเป็นทางที่บวก เราแสวงหา แสวงหาการปล่อยวาง แสวงหาการปล่อยวาง ปล่อยวางที่ไหน? เขาบอกปล่อยวาง...ปล่อยวาง ของอยู่ในมือ เราโยนทิ้งมันก็จบ แต่เวลาความทุกข์ความยาก เราสลัดทิ้งมันออกไหมล่ะ? เราสลัดขนาดไหนมันก็ไม่ออก มันต้องมีวิธีการของมันไง

แก่นของกิเลสนะ กิเลสมันอยู่กับใจ นี่อนุสัยมันนอนเนื่องมากับใจ มันนอนเนื่องมากับความรู้สึกนึกคิดของเราทั้งนั้น นี่เราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาพบพุทธศาสนานี่ประเสริฐมาก ประเสริฐตรงไหน? ประเสริฐที่ว่ามันมีไง มันมียาแก้ไข้เรา ธรรมโอสถ แต่มียานั้น ยาที่เราศึกษานั้น ยาชนิดใดก็แล้วแต่เขาต้องมีหมอจ่ายยา หมอจ่ายยาเขาถึงบอกว่ายานั้นจะมีคุณสมบัติอย่างนั้น จะแก้ไขอย่างนั้น จะดูแลอย่างนั้น

เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นั่นแหละมันฉลากยา มันเป็นทฤษฎี มันชี้เข้ามาที่หัวใจของเรา นี่เวลาทฤษฎีชี้หัวใจเรา นี่ไงอายตนะ ความกระทบต่างๆ สิ่งนี้ทำให้เกิดเป็นทุกข์ๆ เรายังไม่รู้จักเลยนะ

นี่พอบอกเวทนา เด็กใหม่ๆ หรือการปฏิบัติ การศึกษาขึ้นมา เรื่องศัพท์ของศาสนาเราก็ยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าศัพท์ของศาสนามันก็เหมือนกับภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางใช่ไหม ศัพท์ของศาสนามันเป็นบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมมุติ สมมุติคือว่าแล้วแต่ภาษาพื้นถิ่นเขาจะพูดไปตามภาษาพื้นถิ่นของเขา ภาษาพื้นถิ่นเขาพูดอย่างไรก็เป็นศัพท์ของเขา แต่เวลาภาษาเป็นสากล

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ฉลากยามันเป็นภาษาสากลคือบัญญัติ นี่พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้ได้แต่สอนไม่ได้ เพราะบัญญัติศัพท์ขึ้นมาอย่างนี้ มันบัญญัติศัพท์ขึ้นมาวางธรรมวินัยไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ได้ ได้เพราะอะไร? เพราะสร้างบุญบารมีมาต่างกัน การสร้างบุญบารมีต่างกันคือการเสียสละต่างๆ กัน คือเตรียมความพร้อมของใจมาแตกต่างกัน

พุทธวิสัย ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สะสมจนจิตใจนี้มันแก่กล้า คำว่าแก่กล้ามันสามารถสื่อได้ สามารถบัญญัติศัพท์ได้ บัญญัติศัพท์ได้เป็นบัญญัติ สมมุติบัญญัติ เวลามันวิมุตติล่ะ? มันพ้นจากสมมุติบัญญัติไป ถ้าพ้นจากสมมุติบัญญัติ เห็นไหม เราศึกษานี่มันเป็นฉลากยา เป็นหมอ หมอเขาจ่ายยา เขาต้องบอกคุณสมบัติของยาต่างๆ เราก็ไปศึกษาคุณสมบัติของมัน นี่คุณสมบัติของยาจะดีอย่างนั้น คุณสมบัติดีอย่างนี้ แต่เราไม่ได้กินยานั้น พอเวลามันจะกินยานั้น เห็นไหม เวลากินยา คนไปโรงพยาบาลกลัวเข็มมาก มันไปกินยานี่มีผลข้างเคียง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติเราต้องการศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องการสติ ต้องการสมาธิ ต้องการปัญญา ทีนี้พอฝึกสติ ถ้าไม่ฝึกนะ เราปล่อยมันเร่ร่อนมันก็อยู่สะดวกสบายของมัน เด็กนี่ถ้าไม่บังคับนะเด็กมีความสุขมาก ถ้าพ่อแม่เริ่มบังคับนะ บอกทำการบ้าน...มันเบื่อแล้ว แต่ถ้าปล่อยวิ่งเล่นมันสบายใจนะ จิต! จิตถ้าปล่อยมันตามสะดวกสบาย นี่ศึกษาฉลากยา ศึกษาตำรายา ศึกษาหมดเลย เรารู้ๆๆ ไปหมดเลย แต่พอบังคับให้มันกิน เวลาเจอเข็มนี่เข่าอ่อนเลยนะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่เราตั้งสติ พอตั้งสติขึ้นมา คำบริกรรมนี่เปิดปากของใจ ถ้าใจมันได้เปิดปากของมันนะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้าจิตใจเขาเริ่มสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามา แต่เวลาสงบเข้ามา นี่เวลาเรากินยาแล้วมีผลข้างเคียง เวลาพุทโธ พุทโธแล้วมันดื้อ พุทโธแล้วมันไม่ทำ พุทโธแล้วมันคอตก พุทโธแล้วลำบากไปหมดเลย นี่มันลำบากเพราะเหตุใดล่ะ? ธรรมโอสถ สิ่งนี้มันเป็นธรรมโอสถ มันจะแก้ไข้ แก้กิเลสของเรา

นี่จะบอกว่าถ้าเราจะทำจิตใจของเราให้สว่างไสว มันสว่างจากภายในนะ เวลาเราส่งเสริมกัน ดูสิรัฐบาลต่างๆ เขาส่งเสริมกันเรื่องพุทธศาสนา ให้คนสนใจในเรื่องศาสนา ใครอยู่ที่ไหน เวลาวันสำคัญทางพุทธศาสนาให้ไปทำบุญที่วัดข้างบ้านของตัว ให้ไปเวียนเทียน การเวียนเทียนนี่เป็นการเคารพ เห็นไหม เวลาทำบุญกุศล เราทำบุญกุศลนี้เราเสียสละด้วยอาหาร ด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาเราไปเวียนเทียนเราสละเครื่องของหอม ดอกไม้ ธูป เทียน นี่ดอกไม้ ธูป เทียนเพื่อบูชา สิ่งนี้เขาส่งเสริมพุทธศาสนาให้สังคม ให้วัฒนธรรมประเพณี

ถ้าประเพณี เราอยู่ด้วยกัน ดอกไม้หลากสีเวลาเขามาร้อยเป็นพวงมาลัยมันสวยงามนะ จิตใจ จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกันหรอก เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ภาษาพื้นถิ่น ภาษาของใครจริตของใครก็แล้วแต่ แต่เวลามาเข้าวัฒนธรรมประเพณีของพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางรากฐานศาสนพิธีเอาไว้ พอศาสนพิธีนี่เราทำอย่างนั้น

พระอานนท์นะ เวลาจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“สิ่งนี้ควรทำอย่างใด? สิ่งนี้ควรทำอย่างใด?”

“อานนท์ ต้องทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้”

นี่สิ่งต่างๆ ที่ทำ พอเป็นธรรมและวินัยขึ้นมาวางไว้ วางไว้เพื่อสร้างศาสนทายาท เราจะสร้างศาสนทายาทด้วยใจของเรานะ ถ้าบวชเป็นพระ เวลาบวชเป็นพระแล้ว เห็นไหม นี่ผู้ที่มีโอกาสกว้างขวาง โอกาสกว้างขวางคือว่าเรามีเวลาในการประพฤติปฏิบัติได้เต็มที่ แล้วเต็มที่นะ ถ้าแสวงหาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหนเราลงใจ ไปหาครูบาอาจารย์องค์นั้น ครูบาอาจารย์องค์นั้นจะชี้ทางให้เรา นี่พูดถึงบวชเป็นพระ

เราไม่ได้บวชเป็นพระ เราอยากมีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา เราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา ในเมื่อเรามีหน้าที่การงานของเรา เราก็ทำหน้าที่การงานด้วย ถ้าใจเป็นธรรมนะ หน้าที่การงานก็คือหน้าที่การงานนั้น คนเกิดมาในสังคม เหรียญมีสองด้าน ไม่มีคนดีทั้งหมดและเลวทั้งหมด ฉะนั้น ในสังคมมันต้องมีผลกระทบแน่นอน มันมีผลกระทบ มันมีแรงเสียดสีมากับในชีวิตของเราเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าจิตใจของเรามันมีสติปัญญา เห็นไหม มีสติ เรื่องอย่างนี้มันก็ก้าวข้ามไปได้ แต่ถ้าคนเราขาดสติปัญญานะ เรื่องอย่างนี้กระทบขึ้นมามันคอตกนะ

นี่ไงพูดถึงถ้าใจมันสว่างจากภายใน ถ้าสว่างจากภายใน ธรรมโอสถ เห็นไหม มันมียาของมัน มันมีปัญญาของมัน มีการแก้ไขของมัน เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็อยากมีปัญญาๆ ปัญญาของใคร? เวลาปัญญาวิชาชีพ ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาเพื่อหน้าที่การงาน ปัญญาของเราคือปัญญาทันความรู้สึกความคิดของเราไง เวลามันทุกข์ เวลามันฟุ้งซ่าน เวลามันมีความกระเสือกกระสน ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร

ปัญญาในพุทธศาสนาคือภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้จักตัวเอง รู้จักยับยั้งตัวเอง รู้จักความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง แต่ถ้าปัญญาของโลก ปัญญาอย่างนี้คือโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาทางวิทยาศาสตร์ โลกียปัญญา เห็นไหม ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ นี่จิตแพทย์หรือแพทย์ศัลยกรรมต่างๆ เขาก็ต้องใช้ปัญญาของเขาเหมือนกัน ถ้าปัญญาอย่างนั้น ปัญญามันก็แก้ไขนะ เรื่องจิตแพทย์เขาก็แก้ไขจิตเหมือนกัน แต่แก้ไขจิตต่อเมื่อจิตมันผิดปกติให้กับมาเป็นปกติ แต่เวลาปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แก้ไขจิตที่เป็นปกติ

จิตที่เราไม่เป็นปกติ ศีล! ศีลคือความปกติของเรา เพราะมันฟุ้งซ่าน มันดีดดิ้น มันต้องการตามความพอใจของมัน มันจะทำความผิด ผิดศีล ผิดศีลคือความพอใจของเราไง เราอยากเอาชนะคะคานเขา เราอยากทำลายเขา เราอยากจะพูดตามความพอใจของเรา นี่มุสาไง เราจะพูดตามความพอใจของเรา เราจะทำอะไรตามแต่อำนาจกิเลสที่มันขับไส มันก็มีศีลเป็นรั้วกั้น

ถ้ามีศีลเป็นรั้วกั้น ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันไม่คิดนอกลู่นอกทางมันไม่ผิดศีล แต่เราบอกว่าศีลคือศีล ๕ ข้อบังคับ ๕ อย่าง เห็นไหม นี่ข้อบังคับ ๕ อย่าง คือกฎกติกา กฎ ๕ อย่าง กฎ ๘ อย่าง กฎ ๑๐ อย่าง กฎ ๒๒๗ อย่าง เราไปดูที่กฎไง แล้วพอกดไว้มันก็ติดขัดไปหมดเลย ขยับก็ติดขัดไปหมดเลย แต่ถ้าเรามีเจตนาที่ดี เรารักษาใจของเรา กฎมันก็คือกฎ ความปกติของใจมันผิดตรงไหน? ถ้าจิตมันปกตินะมันก็ถูกต้องของมันใช่ไหม?

เวลาจิตแพทย์เขาแก้ไขจิตที่ผิดปกติให้มันกลับเป็นปกติ ถ้าของเรานี่เรามีศีลของเรา จิตเป็นปกติแล้ว ถ้าเกิดจิตปกติแล้วเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจถ้ามีหลักมีเกณฑ์เข้ามาแล้วนี่มันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้ไงปัญญาในพุทธศาสนา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ปัญญาอย่างนี้ อาสวักขยญาณทำลายกิเลส แต่นี้เราใช้ปัญญาของเราโดยโลกไง ปัญญาโลกกับปัญญาธรรม โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา

ปัญญาโลกเราก็ใช้ว่าเรามีปัญญา แต่เป็นปัญญาทางทฤษฎี ปัญญาทางวิชาชีพ วิชาชีพเราก็เทียบเคียงวิชาชีพ ความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ใครมีมุมมองอย่างไร ใครศึกษาวิชาการอย่างไรมามันก็เปรียบเทียบความรู้สึกนึกคิดเราเป็นแบบนั้น เห็นไหม นี่มุมมอง เป็นแบบนั้น นี่เป็นแบบนั้นมันก็จับความรู้สึกนึกคิดได้เป็นตัวตน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งที่เราจับต้องได้ มันแก้ไขได้ คือยับยั้งความคิดได้ไง

ความคิดนี้เป็นนามธรรม แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญายับยั้งมันเลย มันก็ไปตามอำนาจของมันใช่ไหม? แต่เราเปรียบเทียบไง เปรียบเทียบทางวิชาชีพของใคร? แต่ถ้ามันเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปรียบเทียบเข้ามา มันจะละเอียดเข้ามาจนเป็นตัวของมัน ถ้าตัวของมัน นี่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นมีการกระทำ การกระทำสิ่งนั้นเกิดขึ้นมา ถ้าการกระทำเกิดขึ้นมา นี่มันทำให้จิตใจนี้ผ่องแผ้วนะ

เวลาจิตใจ เห็นไหม เขาเรียกว่าเวลามันมีปัญญารอบรู้ทันของมัน มันปล่อยวางหมด พอปล่อยวางหมด นี่มันว่างจากภายใน มันสว่างจากภายใน เวลาพุทธศาสนาเจริญทางสังคม เจริญทางสิ่งที่กระแสสังคมเขามีความเลื่อมใสกัน อันนั้นเป็นเรื่องของสังคมนะ แต่เรื่องของเราล่ะ? เรื่องของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้าเรื่องของเรา เรามีปัญญาของเรา เราแก้ไขของเรานะ มันจะทำให้จิตใจเราสว่างไสว

เวลาพระอาทิตย์ตกมันมืดนะ พระอาทิตย์ขึ้นมันสว่างไสว มันมีแสงสว่างของมันขึ้นมา จิตใจถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันจะมีความผ่องแผ้วของมันขึ้นมา ดูสิเวลาพระอาทิตย์ เห็นไหม เมฆหมอกไปบังนะ มันก็ทำให้แสงนั้นเศร้าหมองไป ความรู้สึกนึกคิดของเรา เวลามันคิดขึ้นมานี่เสวยอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดปกคลุมหัวใจของเรา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

เวลาเขาว่ากัน เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส แต่เราบอกว่าจิตผ่องใส จิตว่าง จิตต่างๆ เราเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นนิพพานๆ นี้ความเข้าใจของ... ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์เราก็เข้าใจกันอย่างนั้น เพราะฉลากยาเขียนไว้อย่างนั้น พระไตรปิฎกบอกไว้อย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนิพพานเป็นความว่าง เราก็เข้าใจของเราไปเอง แต่ความว่างมันมีหลายระดับไง

ความว่างมันมีลึกซึ้ง ว่างนอก ว่างใน จิตใจว่างจากการปล่อยวางจากภายนอกเข้ามา แต่จิตใจของเรายังรกรุงรังอยู่ ปัญญามันจะเข้ามาตรงนี้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ปัญญามันเข้ามา ถ้าปัญญานะ ถ้าจิตสงบแล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงมันจะเกิดปัญญา ถ้าจิตมันสงบแล้ว สงบแล้วไปรู้ไปเห็นนิมิตต่างๆ ความเห็นนิมิตนะ เห็นนิมิต เห็นสิ่งที่มันรู้มันเห็น นั้นคือจริตนิสัย จริตนิสัยของตัวอันนั้นต้องวางไว้ มันต้องแยกแยะไง

นี่ที่บอกว่าเวลาเห็น เห็นจริงไหม? เห็นจริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง ไม่จริงเพราะจิตใจเรายังไม่จริง แต่พอมันเห็นจริงหรือไม่จริงเราก็แก้ไขของเรา ดูแลของเราจนกว่ามันจะเป็นจริง เป็นจริงอย่างไร? เป็นจริงอย่างไร? ของเราแบกภาระอยู่ เราวางไปนี่รู้ไหม? ของที่หนักอยู่กับเรา เราปล่อยวางเรารู้ไหม? เรารู้ได้ แต่ของที่มันอยู่กับเรา เราบอกว่าเราปล่อยวาง ใช่ นามธรรมมันปล่อยวาง เราปล่อยวางแต่มันไม่ได้ปล่อย ไม่ปล่อยหมายความว่าเวลาบอกมันว่าง มันปล่อยวาง มันไม่ว่างจริงของมันไง

ถ้ามันไม่ว่างจริง เดี๋ยวมันก็มีน้ำหนักขึ้นมา ถ้ามันไม่ว่างจริง เดี๋ยวมันก็รู้สึกของมันขึ้นมา แต่ถ้ามันว่างจริงนะ มันไม่มี มันว่างจริงคือมันไม่มีสิ่งนั้นแล้ว มันว่างจริง ถ้าว่างจริงมันมีเหตุมีผลของมัน ทำไมถึงว่างจริงล่ะ? เพราะมันมีเหตุมีผลอันนั้น เขาตรวจสอบอันนั้นไง

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ”

เราจะบอกว่าสิ่งนี้เป็นความว่างๆ นี่ถ้าคนว่าเป็นความว่าง มันว่างจากสิ่งใด? ถ้าเราไม่เคยกระทำมาเราก็ไม่รู้จักมันว่างได้อย่างไร? แต่ถ้าคนมีการกระทำมานะ มันเป็นไปได้กับเป็นไปไม่ได้ คำว่าเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีเหตุมีผลมันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้ามีเหตุมีผล มีเหตุมีผลถ้าเป็นความจริง พูดจริงมันก็เป็นความจริงขึ้นมาใช่ไหม?

นี่เราเกิดมาเป็นผลของวัฏฏะนะ เกิดมานี่เป็นอริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี้มีค่ามาก มีค่าเพราะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมันมีโอกาสที่เราจะแสวงหาทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้ แล้วแต่จิตมันจะเป็นไป แต่ถ้าเรามีสัจธรรม มีศีลธรรมเข้ามาขัดเกลา ขัดเกลานะ เราไม่น้อยเนื้อต่ำใจ คนที่จะทำอย่างนั้นเพราะมันน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น? ทำไมเราไม่เป็นแบบเขา? ทำไมเราทุกข์เรายากอย่างนี้? นี่มันน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วมันก็จะประชด มันก็จะทำตามอำนาจของมัน

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ เราทำของเรามาเอง เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ มนุษย์มันก็เสมอภาคเท่ากับมนุษย์ มนุษย์ก็คือมนุษย์ แต่เราจะต่ำต้อย ทุกข์จนเข็ญใจเพราะเราสร้างของเรามา คนต่ำต้อยทุกข์จนเข็ญใจ แต่ถ้ามีสติปัญญา เขาทำตัวของเขาเป็นผู้ที่มีฐานะขึ้นมาได้เหมือนกัน คนที่เขาเกิดมาทุกอย่างเพียบพร้อมของเขา ถ้าเขาไม่มีสติปัญญา เขาก็ทำให้ชีวิตของเขาทุกข์ยากได้เหมือนกัน

ถ้าเรามีปัญญาของเรา มีปัญญานี่มันจะเทียบเคียงขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เรามีค่าเท่ากัน แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นี่สิ่งที่ทำขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์นะ แต่เวลาสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว เทศนาว่าการ สอนเทวดา อินทร์ พรหมหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรมเพราะเหตุใด? เป็นธรรมเพราะมันมีเหตุมีผล นี่อย่างเทวดา อินทร์ พรหม เขาไม่รู้เหมือนเราหรอก เวลาเขาเกิดแล้วเขาก็เกิดเป็นมนุษย์นี่แหละ เขาเกิดเป็นโอปปาติกะ เขาเกิดแล้วเขาก็เป็นสถานะอย่างนี้ เขารู้ได้แค่นั้นเอง พรหมก็เหมือนกัน แต่เขาไม่รู้เรื่องอริยสัจ เรื่องอริยสัจมันเรื่องที่จิตใจมันมีการกระทำ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว นี่เทศนาว่าการ เห็นไหม ไปเทศน์ธัมมจักฯ กับปัญจวัคคีย์ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา”

เราก็มองกันเป็นวิทยาศาสตร์ว่าสิ่งใดมันเกิดดับทั้งนั้นแหละ แต่เราไม่มองว่าชีวิตเราก็เกิดดับ ถ้าชีวิตเราเกิดดับ มันเกิดดับเพราะเหตุใด? มันมีเหตุอะไรทำให้เกิดดับ นี่ไงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส แล้วมันข้ามอย่างไร? มันก้าวข้ามพ้นไปอย่างไร? ถ้ามันก้าวพ้น นี่มันมีการกระทำมันทำได้

ฉะนั้น สิ่งนี้ถ้าจิตใจมันจะสว่างจากภายใน มันสว่างแท้ มันสว่างจริง...มันจบ ถ้ามันสว่างชั่วคราว ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำความสงบของเขาได้ จิตนี้มหัศจรรย์นัก เวลามันสงบแล้วมันมีกำลังนะ เวลาเข้าฌานสมาบัติ เห็นไหม รู้วาระจิตต่างๆ คนเราก็ไปตื่นเต้นกับฌานโลกีย์ นี่สิ่งที่ว่าเป็นอภิญญาๆ พอไปติดอภิญญาเข้า เป็นผู้วิเศษ เป็นเหนือมนุษย์ รู้สิ่งที่มนุษย์เขารู้ไม่ได้ ก็ไปสำคัญตน สำคัญตน ชีวิตมนุษย์ก็ต้องตายไป นี่จิตมันมหัศจรรย์อย่างนี้ มันทำได้หลายอย่าง แล้วพอทำได้แล้วก็ไปคาอยู่อย่างนั้นไง แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำมา นี่ชักนำเข้ามา ทวนกระแสเข้ามา เข้าไปสู่จิตของตัว แล้วเกิดมรรคญาณทำลายอวิชชา ทำลายกิเลสได้ อันนั้นเป็นความจริงขึ้นมา

วันสำคัญทางพุทธศาสนา เขาสำคัญจากภายนอก อันนี้เป็นการส่งเสริมสังคม ให้สังคมมีความเห็นเป็นแนวทางเดียวกัน ในเมื่อดอกไม้หลากสีได้ร้อยเป็นพวงมาลัย มันก็เป็นประโยชน์ มันสวยงาม แต่ความเป็นจริงของเรา เราต้องพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เราค้นหาจิตของเราให้เจอ แล้วแก้ไขจิตของเรา เพื่อความสว่างจากภายใน แล้วมันจะควบคุมชีวิตของเราได้ เอวัง