เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ มิ.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราอยู่บ้านอยู่เมืองเราทุกข์นะ เราทุกข์เราร้อน เราถึงหาความร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ เห็นไหม เวลาเราเกิดมานี่เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เราสงสัย สงสัยว่าเราเกิดมาอย่างใด? เรามีที่มาอย่างใด? แล้วที่ไปเราจะไปอย่างใด? นี่เป็นความลังเลสงสัย แต่ในปัจจุบันนี้เราเป็นมนุษย์ ทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่เป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นมนุษย์นะเราทุกข์เรายาก เพราะเราขวนขวายกันหาอาหาร แต่อาหารของร่างกาย เราไม่ได้แสวงหาอาหารของใจ

ถ้าอาหารของใจ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละบัลลังก์ออกมา นี่มีปราสาท ๓ หลังเหมือนกัน สิ่งที่ความมั่นคงของชีวิตทางโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละออกมาเพื่อหาอาหารของใจ หาโพธิญาณ เวลาหาโพธิญาณได้แล้วจบแล้ว สิ่งนี้มันละเอียดลึกซึ้ง ว่าจะสอนได้อย่างไร? สอนได้อย่างไร? ฉะนั้น เวลาวางธรรมและศาสนานี้ไว้ เรานี่เราชุบมือเปิบ เราว่าสิ่งนี้เรารู้แล้ว สิ่งนี้เราเข้าใจแล้ว เราเข้าใจโดยเปลือกๆ โดยความเข้าใจของเรา

ถ้าความเข้าใจของเรา สิ่งที่มีชีวิตนะดูต้นไม้สิ ต้นไม้ใบหญ้า สิ่งที่มีชีวิต มันมีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณครอง เวลามันเกิดที่ไหนโดยที่เราไม่พอใจ เราจะเคลื่อนย้ายมัน เราจะเคลื่อนย้ายมันด้วยความลำบากยากเย็นนัก ต้นไม้ใหญ่ๆ เขาล้อมมันไป เขาต้องเคลื่อนย้ายมันไป ถ้าเขามีปัญญานะ แต่สมัยโบราณเขาทำกันของเขาไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะศึกษาธรรมะให้ใจเรามีอาหารของเรา นี่สิ่งมีชีวิตไม่มีวิญญาณครอง แต่มนุษย์มีวิญญาณครอง ปฏิสนธิวิญญาณอันนี้มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานในนรกอเวจี สิ่งนี้สิ่งที่มีวิญญาณครอง วิญญาณอันนี้ปฏิสนธิวิญญาณเราจะเปลี่ยนแปลงมันไง เราจะเปลี่ยนแปลง เราจะหาอาหาร อาหารล่อนะ อาหารล่อ ตั้งแต่เรามีความเชื่อมีความศรัทธา ความเชื่อ ความศรัทธาว่าทำบุญต้องได้บุญ ทำบาปต้องได้บาป เราต้องแสวงหาของเรา เราพยายามทำบุญกุศลของเรา เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเรานะ

เวลาความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเรานะ เราเสียสละ เราเสียสละ เราทำบุญกุศลของเรา บุญก็คือบุญ บุญคือความพอใจ บุญคือความมั่นคงของใจ ถ้าใจมันอบอุ่น ใจมันมั่นคง สิ่งใดจะมาโยกมาคลอนมัน? แต่ที่มันมีปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้เพราะมันสั่นมันไหว มันไม่มีจุดยืนของมัน มันทุกข์ยากของมัน เห็นไหม มันทุกข์ยากของมัน นี่ทุกข์ยากของมันในปัจจุบันธรรมนะ แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์”

นี่การเกิด การเกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาส มีโอกาสเพราะเรามีวิญญาณ มีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณอันนี้ เห็นไหม นี่มันต้องการอาหาร ต้องการความมั่นคงของมัน ถ้าความมั่นคงของมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เสียสละทาน ให้รักษาศีล ให้ทำสมาธิ เพื่อหาอาหารให้มัน เพื่อความมั่นคงของมันไง ถ้ามันมีความมั่นคงของมัน มีการเปลี่ยนแปลงของมัน นี่มันจะรู้จะเห็นของมัน

ถ้ามันรู้เห็นของมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อ นี่กาลามสูตรไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อความเป็นจริง ให้รู้จริงเห็นจริงของเรา ถ้ามันมีความเป็นจริงของมัน ใครต้องมาบอก ต้องมาสอนมัน? แต่ในปัจจุบันนี้มันมีอวิชชา มีความไม่รู้ปกคลุมมันอยู่ สิ่งที่อวิชชาปกคลุมมัน มันถึงไม่รู้สิ่งใดเลยไง ทั้งๆ ที่เราศึกษากัน เราเป็นชาวพุทธ เรามีวัฒนธรรมประเพณี สิ่งนี้เป็นเปลือกไง เราศึกษากันที่เปลือก เรารู้กันได้ที่เปลือก แต่เรายังไม่ได้ความจริงของเราขึ้นมา

ฉะนั้น เราจะประพฤติปฏิบัติเข้ามามันจะเป็นความจริงของมันขึ้นมา เราต้องมีความจริง จริงจากข้างนอกไง คนจริงนะ ถ้าคนทำอะไรจริงจัง คนนั้นจะได้ความจริงของเรามา คนเหลาะแหละ คนไม่เอาไหน นี่ทำสิ่งใดมันก็ได้สิ่งนั้นมา ถ้าเป็นคนจริงคนจังมันทำจริง จริงจากข้างนอกมันจริงจากข้างใน ดูสิดูพระเรานะ ถ้าเป็นคนขยันหมั่นเพียรทางโลก อยู่ทางโลกก็ประสบความสำเร็จ ถ้ามาบวชเป็นพระมันก็ประสบความสำเร็จ อยู่ทางโลกนะมันไม่ประสบความสำเร็จ มาบวชเป็นพระนะมันก็ครึ่งๆ กลางๆ นั่นแหละ นี่การสอนคน

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าการสร้างพระๆ สร้างพระพุทธรูปสร้างได้ง่ายๆ เราหาแร่ธาตุมา เราปั้นแบบมาแล้วหล่อไป นี่มันทำงานสำเร็จได้ แต่หัวใจของคนมันต้องใช้นะ ต้องใช้ประสบการณ์ นี่เริ่มต้นจากความเชื่อ ความเชื่อนะ พอความเชื่อมันก็จะทดสอบ ถ้าไม่มีความเชื่อเลยเราจะค้นคว้าไหม? ถ้าเราไม่มีความเชื่อเราจะมีการแสวงหาไหม? เพราะเรามีการแสวงหาแล้ว สิ่งที่แสวงหามันถูกต้องหรือไม่ถูกต้องล่ะ? ถ้ามันถูกต้อง มันถูกต้องมันต้องมีผลของมันสิ แต่นี่มันถูกต้อง ถูกต้องด้วยความไม่รู้ของเราไง

ไอ้ความไม่รู้ เห็นไหม ดูสิว่างๆ ว่างๆ สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ธรรมะเป็นธรรมชาติก็มีอยู่โดยดั้งเดิม ของมีอยู่แล้วเราก็แค่ไปพบมันไปเจอมัน ไปพบไปเจอมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้นนะ เวลาพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ นี่บารมีเต็มๆ แต่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ อยู่ ๖ ปี ๖ ปีเขาก็สอน เขาก็บอกว่าเขาเป็นศาสดา เขาเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นแหละ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เชื่อ คำว่าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะมันไม่มีเหตุมีผล

นี่ขนาดมีบารมีเต็มนะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง อานาปานสติ กำหนดความสงบร่มเย็นของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าคนเราไม่มีความสงบร่มเย็นในหัวใจขึ้นมา มันจะทำงานอะไร? คนเรานี่นะหิวกระหาย คนเราเครียดมาก ง่วงเหงาหาวนอน คนเราไม่มีความสมบูรณ์เลย แล้วจะให้ไปทำงานมันเป็นไปไม่ได้หรอก นี้ก็เหมือนกัน นี่เราบอกเราสมบูรณ์ไง เราสมบูรณ์ ดูร่างกายเราแข็งแรง เรารู้ได้ว่าร่างกายเราแข็งแรง แต่จิตใจนี่แข็งแรงอ่อนแอเป็นอย่างไร?

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะไปทำงาน เวลาเราจะวิปัสสนาของเรา ตัวเองมันยังช่วยตัวเองไม่ได้ ตัวเองยังช่วยตัวเองไม่ได้ คือตัวเองยังสงสัยอยู่ เห็นไหม ตัวเองยังแบกรับภาระความวิตกกังวลอยู่ นิวรณธรรมปิดกั้นธรรมะ นิวรณธรรมนะ ความวิตกกังวล วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สิ่งนั้นแล้วไปศึกษาธรรม แล้วก็ว่ารู้นะ ก็ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ด้วยการปฏิเสธกัน ด้วยการลูบคลำกัน นี่อาหารนั้นอาหารเป็นพิษ

ดูนะเวลาปลามันต้องอาศัยน้ำนะ น้ำที่มันมีออกซิเจนดี น้ำที่มันสมบูรณ์ต่างๆ ปลาจะแข็งแรงมาก เวลาน้ำมันเริ่มเน่าเสีย ปลามันต้องขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำนะ มันกระเสือกกระสน มันดิ้นรนของมัน จิตใจของเราโดยความที่เป็นอวิชชา เราศึกษาธรรมะๆ เราว่าเข้าใจ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นต่างๆ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นสัจธรรมให้เราแสวงหา ให้เราพิสูจน์ก่อน มันจะเป็นธรรมชาติหรือไม่เป็นธรรมชาติมันแก้ไขกิเลสของเราได้ไหม? มันทำลายความลังเลสงสัยของเราได้ไหม?

นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันอยู่ข้างนอกไง แต่อวิชชาอยู่เต็มหัวใจไง สิ่งที่หมักหมมในหัวใจ สิ่งที่มันบีบคั้นในใจมันบีบคั้นอยู่ที่นี่ไง แต่ธรรมะมันอยู่ที่ธรรมชาตินั่น แต่หัวใจนี้มันทุกข์มันยากนัก แต่ถ้าเวลามันสงบร่มเย็นเข้ามานะ นี่มันจะฝนตก ฟ้าร้อง ข้างนอกมันจะปั่นป่วนขนาดไหน แต่ข้างในมันมีจุดยืนของมัน ข้างในมันสงบ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้าลงอัปปนาสมาธิ เห็นไหม พอรวมใหญ่ขึ้นไป ลงทีหนึ่งหลายๆ ชั่วโมงนะ นี่ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง โลกจะหวั่นไหวขนาดไหน มันนิ่ง มันไม่รับรู้สิ่งใดเลย

นี่ธรรมชาติของมัน มันก็ปั่นป่วนของมัน แต่ถ้าจิตใจ เห็นไหม จิตใจที่มันมั่นคงของมัน ธรรมชาติมันก็แปรปรวนของมัน แต่อันนี้มันคงที่ของมัน ถ้าคงที่ของมัน แล้วถ้ามันใช้ปัญญาของมัน ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา นี่ปัญญาเกิดขึ้นคือการฝึกฝน การฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าการฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้คือภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มาแก้ไขไง แก้ไขความทุกข์ความยาก แก้ไขสิ่งที่วิตกกังวล นี่ต้นไม้ สิ่งมีชีวิตไม่มีวิญญาณครอง เวลาฝนตก ฟ้าร้องต่างๆ ถ้ามันได้แดด ได้ฝนของมัน ได้น้ำได้ปุ๋ยของมัน สมบูรณ์ของมัน มันงอกงามของมัน มันสดชื่นของมัน

จิตใจของเรานะ ถ้าเรามีธรรมะของเรา เรามีศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นโดยภาวนามยปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมันให้ปุ๋ย มันดูแลต้นไม้ ต้นไม้รดที่โคนต้น ผลมันออกที่ปลาย นี่ไงถ้าเราดูแลรักษาของเรา แต่นี้บอกธรรมะเป็นธรรมชาติ เราก็ดูแลของเรา ต้นไม้ทำไมมันเหี่ยวเฉาขนาดนี้ล่ะ? ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ ภาวนาเป็นอย่างนี้ ภาวนาเป็นแบบนี้ เริ่มต้นดูสิ ดูคนทำธุรกิจการค้า เริ่มต้นก็ล้มลุกคลุกคลานมา แต่ถ้าเขาประสบความสำเร็จของเขาได้ เขาไปได้รวดเร็วมาก

นี่ก็เหมือนกัน เริ่มต้นของเรานะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้? มันทุกข์ยากเพราะว่ากิเลส เพราะว่าความหมักหมม น้ำนี่ น้ำเวลามันสกปรก น้ำนี่น้ำเสีย เขาต้องรีไซเคิลน้ำ เขาต้องพยายามจะอัดออกซิเจนเข้าไปเพื่อจะให้ปลามันอยู่ได้ ถ้าน้ำมันเริ่มรีไซเคิลของมัน มันเริ่มสะอาดของมันขึ้นมา เริ่มดีขึ้นมา ปลาก็จะสดชื่น

จิตใจของเรา เริ่มต้นดูสิมันมีแต่อวิชชา มันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราบอกเราปฏิบัติแล้วเราทุกข์เรายาก บอกปฏิบัติแล้วมันจะมีความสุข ธรรมะให้ความร่มเย็นแก่ใจ นี่ธรรมโอสถ ธรรมโอสถมันจะซักฟอกใจของเรา เราก็ปฏิบัติแล้วทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้? มันทุกข์มันยากก็น้ำมันเน่า ก็น้ำมันเสีย แล้วเราพยายามจะรักษา จะเปลี่ยนแปลงมัน การเปลี่ยนแปลงมันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วพอมันทุกข์อย่างนี้ มันจะดีขึ้นมาเราไม่ทุกข์เลย มันจะสะอาดมาจากไหนล่ะ?

เริ่มต้นปฏิบัติมันจะทุกข์มันจะยาก มันจะลำบากขนาดไหน นี่คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ความเพียรอันนี้มันยังไม่ถูกต้อง มันเป็นมิจฉา คือกิเลส คือความเห็นของเรา คือมุมมองของเรา คือกิเลสของเรา คือเราหวงแหน อะไรที่เป็นความพอใจ อะไรที่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็ร่มเย็น มันก็เป็นความว่าง มันก็มีความสุข เราก็ว่ามันก็เป็นความว่างแล้ว มันก็มีความสุขแล้ว มันก็พอใจแล้ว ทำไมไม่เกิดสักที?

ความว่างอย่างนี้มันเป็นอนิจจัง มันแปรปรวน มันไม่คงที่ แต่ความว่างเป็นความจริงของมัน มันเป็นเนื้อหาสาระ ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนั้น มันไม่มีใครบอกว่ามันเป็นความว่างหรือเป็นความไม่ว่างหรอก เพราะเราไปสัมผัสมา เรารู้แล้วเราถึงมาบอกว่าอันนี้เป็นความว่าง แต่ตัวมันจริงมันรู้อะไรของมัน มันก็รู้ของมันตามข้อเท็จจริงของมัน แต่นี้เราบอกตัวเองมีแต่ความทุกข์ ตัวเองมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นความว่าง มันเป็นความสดชื่น แล้วมันก็หมักหมมในใจนั่นแหละ มันผิวเผิน

แต่ถ้าเราตั้งใจของเรา พอเราตั้งใจของเรา มันจะมีความทุกข์ความยาก เราต้องเข้มแข็ง เพราะเราจะฟันผ่า เราจะฟันผ่าอุปสรรคอันนี้เข้าไป อุปสรรคกีดขวางหน้าเรา นี่สิ่งนี้มันเป็นเวร เป็นกรรม คนเรานะถ้าสร้างบุญสร้างกรรมมา นี่ขิปปาภิญญา ยสะนะเวลาฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ ทีเป็นพระอรหันต์เลย พาหิยะฟังพระพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นแสวงหาอยู่ ๖ ปี

ดูวาสนาของคนสิ วาสนาของคนมันไม่เหมือนกันเพราะเขาสร้างของเขามา แล้วเราจะไปเปรียบเทียบกับใครล่ะ? ถ้ามันเปรียบเทียบ ถ้าเราทำแล้วเราประสบความสำเร็จ เราทำแล้วมันเป็นความชื่นใจ อันนี้ก็เป็นบุญของเราใช่ไหม? แต่ถ้าเราทำของเรามันยังไม่ได้ผลขึ้นมา แต่เรายังมีความเชื่อมั่นของเรา เราก็มีความเข้มแข็งของเรา เราก็มีการกระทำของเรา เราก็ขวนขวายของเรา เราก็อุตสาหะของเรา มันจะเป็นอะไรไปล่ะก็เราทำของเรามาเอง

ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นชนิดของมัน พันธุกรรมของจิต จิตมันเป็นแบบนี้ คนสร้างมาเป็นแบบนี้ เราก็ต้องขวนขวายไปตามข้อเท็จจริงของเรา เพราะเราต้องการผลของเราใช่ไหม? เราต้องการความสุขของเราใช่ไหม? เราต้องการคนที่ประสบความสำเร็จใช่ไหม? เราไม่ต้องการให้คนอื่นประสบความสำเร็จแทนเรา เราไม่ต้องการให้ใครประสบความสำเร็จแทนเรา เราไม่ต้องการให้ใครยื่นมือมาให้เรา เราต้องการได้ของเราเอง

เราต้องการเป็นสันทิฏฐิโก เราได้ปัจจัตตัง เราอยากได้สมบัติของเราเอง เราต้องมีการกระทำของเราเอง ถ้าการกระทำของเราเองมันจะทุกข์มันจะยากอย่างไร เราก็จะฝืนทนของเรา เพราะเราสร้างของเรามาแบบนี้ น้ำของเขาที่เขาได้ของเขามา น้ำของเขาสะอาดบริสุทธิ์ของเขามา น้ำของเขามีความสกปรกเล็กน้อย น้ำของเขาจะมีความสกปรกมากน้อยขนาดไหน มันเป็นการกระทำของเขามาด้วยการกระทำของเขา

นี่จิตใจของเรา เราก็มีความเชื่อมั่น เราก็มีแรงปรารถนาว่าเราอยากจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่ในปัจจุบันนี้สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้น เห็นไหม เขาบอกธรรมะไม่เคยเสื่อม ธรรมะไม่เคยเปลี่ยนแปลง ธรรมะอันแท้จริงไม่เคยเปลี่ยน แต่จิตใจเราเปลี่ยน ความเป็นไปของเราเปลี่ยน เพราะเรายังไม่มีความจริงอันนั้น ถ้าเราไม่มีความจริงอันนั้น เราจะขวนขวายหาความจริงอันนั้น

ถ้าหาความจริงอันนั้น เห็นไหม เวลาเรากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย นี่เราปรารถนาสิ่งนั้น แต่การปรารถนา ดูสิเวลาพระอัญญาโกณฑัญญะฟังเทศน์ธัมมจักฯ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ ธัมมจักฯ คืออะไร? คือมรรคไง นี่ญาณัง อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ มีญาณ มีวิชชา มีความรู้ มีความกระจ่างแจ้งในใจ มันเป็นไปตามขั้นตอนในการกระทำอันนั้น นี่เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม มีดวงตาเห็นธรรมเพราะมันมีข้อเท็จจริงอันนั้นไง

ทีนี้เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราทุกข์เรายาก เราทุกข์เรายากเพราะ เพราะกิเลส เพราะสมุทัย สมุทัย ตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา มันฉุดกระชากไปในอนาคต คือหวังผล ถ้ามันน้อยเนื้อต่ำใจมันก็หลุดชาติไปในอดีต อดีตที่ว่าทำไมเราทำของเราไม่ได้ อดีตอนาคตมันมาเป็นเราในปัจจุบันนี้นะ อดีตอนาคตมันทำให้เรามีดวงตา มีดวงตาสว่างไสว มีดวงตา เห็นไหม ชีวิตโลกก็เป็นแบบนี้ ชีวิตโลกนะเราก็ดูแล ชาติตระกูลของเราก็ดูแล ครอบครัวเราก็ดูแล ทุกอย่างเราก็ดูแล แต่ใจเราล่ะ? เราก็ดูแลใจของเราด้วย เราดูแลใจของเราด้วย

ดูสิเวลาอยู่ในบ้านของเรา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เราก็ดูแลพ่อแม่เรา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ เราได้ชีวิตนี้มา เราเป็นมนุษย์มา เราเป็นคนมาก็เพราะท่าน ฉะนั้น เราก็ดูแลท่าน นี้ดูแลนะพระอรหันต์ของลูก แล้วเราก็ดูแลใจของเรา ถ้าดูแลใจของเรานะ เราทำของเราได้ใช่ไหม? เราเข้าใจของเราได้ นี่มันจะมีความจริงของเราขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมา เห็นไหม นี่สิ่งมีชีวิตไม่มีวิญญาณครอง มันยังเติบโตของมันได้ มันมีชีวิตของมัน

คำว่ามีชีวิต ดูต้นไม้มันมีเซลล์ต่างๆ มันมีชีวิตของมัน มันสังเคราะห์อาหารของมัน มันเลี้ยงลำต้นของมันเพื่อเป็นสิ่งที่มีชีวิต เราเอามันมาเป็นอาหารของเรานะ แล้วถ้าสิ่งที่มีชีวิตแล้วมีวิญญาณครอง วิญญาณตัวนี้ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ มันถึงกำเนิดชีวิต พอกำเนิดชีวิตแล้วมันเสวยภพ เสวยภพเข้ามาเป็นเราอยู่นี่ พอเป็นเราอยู่นี่เราก็จะมาศึกษาสัจธรรม เราจะรื้อภพรื้อชาติไง

เรามารื้อภพเราได้สถานะมาใช่ไหม? เราจะทำลายสถานะอันนี้ นี่แก้ไขสิ่งนี้ รื้อค้นสิ่งนี้ ถ้ามันทำลายภพ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ ภวาสวะ อวิชชามันก็ต้องอยู่บนภวาสวะ กิเลสสวะมันอยู่บนภวาสวะ บนภวาสวะคือความสกปรกโสโครกของมัน ถ้ามันแก้ไข มันเปลี่ยนแปลงของมัน มันทำลายที่นี่ เห็นไหม นี่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ ทีนี้ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณอันนี้เป็นวิญญาณปฏิสนธิ แต่วิญญาณที่เรารับรู้กันอยู่นี้วิญญาณรับรู้ในสถานะของมนุษย์ไง

รูป รส กลิ่น เสียง ความรู้ทางเสียง ความรู้ทางกลิ่น ความรู้ทางสัมผัส อันนี้มันเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณในสถานะของมนุษย์ แล้ววิญญาณในเทวดาล่ะ? แล้วพรหมล่ะ? เห็นไหม สถานะมันแตกต่างกัน มันรับรู้แตกต่างกัน นี่วัฏฏะ ผลของวัฏฏะ แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาแล้ว เราให้มั่นคงตรงนี้ นี่ฟังธรรม อาหารของใจนะ อาหารหยาบๆ มันก็เป็นอย่างหนึ่งคือทางวิชาการ ทางโลก ทางวิชาการทางโลกเขาศึกษากันแล้ว เขาทำวิจัย เขาได้เป็นศาสตราจารย์ สิ่งนั้นเขาได้ค่าวิชา เขามีผลตอบแทนทางโลก

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ผลตอบแทนนะ เห็นไหม มันรื้อภพรื้อชาตินะ ถ้ามันรื้อภพรื้อชาติ นี่เราวิตกกังวลกันว่าเรามาจากไหนกัน? มานั่งอยู่นี่มาจากไหน? แล้วตายแล้วจะไปไหน? นี่ความวิตกกังวลอันนี้มันอยู่ในจิตใต้สำนึก เวลามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันรื้อภพรื้อชาติ มันรื้อหมดแล้วสิ่งนี้ไม่มี สิ่งใดไม่มี ไม่มีแต่มี ไม่มีมันมีอะไร? มีปฏิสนธิวิญญาณดวงนั้นไง ปฏิสนธิวิญญาณดวงที่มันสงสัย มันไม่เห็นตัวของมัน แต่พอเราเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่ผลประโยชน์ที่เราดูแลใจของเรา ผลประโยชน์ที่เรารักษาใจของเรา มันใช้ปัญญาแยกแยะทำลาย นี่มันมาจากไหนล่ะ?

นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณเห็นอดีตชาติ จุตูปปาตญาณมันเห็นอนาคตที่มันจะไป แล้วอาสวักขยญาณที่มันทำลายแล้ว มันจะเหลือสิ่งใด? นี่ไงมันรู้แจ้งอย่างนี้ไง ถ้ารู้แจ้งอย่างนี้ นี่เขาหาสมบัติทางโลกกัน เขาได้ทรัพย์สินเงินทองต่างๆ ขึ้นมา เขาหาเพื่อสิ่งนั้น เพื่อการดำรงชีวิต แต่ถ้าธรรมะมันเกิดขึ้นมาแล้วนะ นี่รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม ฉะนั้น สิ่งมีชีวิตไม่มีวิญญาณครอง มันต้องหมุนเวียนไปธรรมชาติ

นี่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ดูสิดูฝนตก สิ่งที่เมล็ดพันธุ์ที่มันอยู่ตามพื้นมันงอกเป็นธรรมดา นี่ธรรมชาติ แต่จิตนี้ถ้ามันได้ชำระสะสางแล้ว มันไม่มีการงอกอีกแล้ว มันไม่มีการไปและไม่มีการมา แต่มันมีอยู่ เห็นไหม สิ่งที่มีวิญญาณครอง แล้ววิญญาณตัวนี้มันได้ชำระสะสางขึ้นมา มันเป็นสมบัติที่ลึกลับซับซ้อนที่มีคุณค่ามาก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ เสวยวิมุตติสุข เห็นไหม นี่ไม่มีใครรู้ได้ไง ไม่มีใครรู้ได้ แต่เราสามารถรู้ได้ เพราะเรามีทุกข์ เรามีความทุกข์มีความสุขในหัวใจ เวลาเราทำถึงสิ้นกิเลส นี่สุขเวทนา ทุกขเวทนา สุขเวทนาแล้ววิมุตติสุขมันเป็นอย่างใด? เรารู้ได้ เรารู้ได้จากสัมผัสของเรา เรารู้ได้จากจิตดวงนี้ จิตที่มันทุกข์มันยาก ถึงที่สุดแล้วมันรู้ได้ เรารู้ได้จากการกระทำ

ฉะนั้น จะทุกข์จะยากเราต้องมีความเข้มแข็ง มีความมานะอดทนของเรา เพื่อประโยชน์กับชีวิตนี้นะ นี่ทำบุญนี้ก็เป็นบุญของเรา บุญของเราได้เสียสละแล้วมันเป็นทิพย์ เพราะเราเป็นคนเสียสละ เรารู้ของเราเอง แต่ถ้าปฏิบัติขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตัง เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริงกับหัวใจดวงนี้ เอวัง