เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o มิ.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ธรรมะอยู่กับตัวเรา สรรพสิ่งอยู่กับเรา แต่เรามองข้าม เรามองข้ามไป เรามองข้ามตัวเรา เรามองข้ามชีวิตเรา เราต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เรามองข้ามชีวิตไง บอกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตคือวัตถุ คือสิ่งโลกธรรม ๘ สิ่งที่สรรเสริญ นินทา อยากให้สรรเสริญ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ นี่เราอยากได้สมบัติอย่างนั้น แล้วเรามองข้ามชีวิตไปไง ถ้าเรามองข้ามชีวิตไป เรามองข้ามสิ่งที่ว่าเป็นธรรมอยู่ในหัวใจของเรา

สิ่งที่เป็นธรรมในหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้าเราหิวกระหาย เราขออาหารมื้อเดียว เรากินแล้วเราก็อิ่ม เพราะอาหารมื้อเดียวนะ ชีวิตก็เหมือนกัน ความรู้สึกก็เหมือนกัน เวลามันหิวกระหาย มันทุกข์มันยากของมัน มันต้องการสัจธรรม ต้องการธรรมะ แต่มันไม่ต้องการหรอกสิ่งที่เป็นวัตถุ วัตถุนี้เป็นสมบัติสาธารณะนะ ดูข้าวสิ เขาปลูกข้าวหมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาหารมันก็มีของมันอย่างนั้นแหละ มันอยู่ที่การบริหารจัดการ อยู่ที่การเขาทำเกษตรกรรมของเขา มันก็ได้อาหารสิ่งนั้นมา

บุญกุศล เราไปทำบุญกุศลของเรา เห็นไหม เราเสียสละบุญกุศลของเราเพื่ออะไร? เพื่อฝึกหัด ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเราไม่มีการเสียสละทาน เราว่ามือเราสกปรก เราก็บอกเราจะหยิบจับสิ่งใดที่เป็นวัตถุที่มันสะอาดมันเป็นไปไม่ได้ มือเราต้องสะอาดก่อน ดูสิเวลาไข้หวัด เขาบอกว่า ต้องล้างมือ ต้องกินร้อน ต้องต่างๆ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคมันเข้ามาในร่างกายเรา จิตใจก็เหมือนกัน ถ้ามันยังไม่เป็นสาธารณะ มันยังเห็นแก่ตัวอยู่ เขาให้ฝึกหัดในการเสียสละทาน แล้วก็มีศีลคือความปกติของใจ

ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีศีลของมัน เห็นไหม นี่คือการฝึกหัดนะ นี่คือการฝึกหัด นี่เป็นประโยชน์กับใคร? เป็นประโยชน์กับจิตดวงนี้ จิตดวงนี้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา พบพุทธศาสนา ศาสนาสอนถึงประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมคือทาน ศีล ภาวนา เราทำทานกัน อันนี้มันเป็นสภาวะแวดล้อม มันเป็นเรื่องวัฒนธรรม วัฒนธรรมทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ มีวัฒนธรรม มีประเพณี สังคมมีความเรียบร้อย มีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าความร่มเย็นเป็นสุข นี่สมณะ ชี พราหมณ์ก็มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ

เราก็เหมือนกัน เราอยู่ในศีลธรรม เราอยู่ในวัฒนธรรมอย่างนี้ เราก็พยายามเสียสละทานของเรา เพราะ เพราะวัฒนธรรมประเพณีมันเป็นเรื่องของสังคม มันไม่ใช่เรื่องของหัวใจของเรา เพราะวัฒนธรรมประเพณีมันเรียบร้อย มันดีงาม แต่หัวใจมันเร่าร้อน หัวใจมันทุกข์ แล้วหัวใจมันทุกข์มันจะแก้ไขอย่างไรล่ะ? ถ้าหัวใจมันทุกข์ เห็นไหม ทาน มีศีลคือความปกติ ศีลคืออะไร? ศีล ๕ เราไม่เบียดเบียนทำลายกัน

ปาณาติปาตา แค่กล่าวร้าย แค่เบียดเบียนกันมันก็ปาณาฯ ปาณาฯ เขาต้องฆ่าสัตว์ให้ตกล่วง การฆ่าสัตว์ ทำชีวิตสัตว์นั้นให้ตกล่วงนั่นคือปาณาติปาตา คือศีลขาด แต่ถ้าเราทำร้ายร่างกายเขาล่ะ เราทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจล่ะ? เห็นไหม มันก็เป็นปาณาฯ อย่างหยาบๆ อทินนาฯ นี่ของของ เขา เราไม่เอา เราเอาแต่ของของเรา ของที่มีเจ้าของเราไม่แตะเลย ของที่มันมีเจ้าของเราแสวงหาของเรามา นี่อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ถ้าเราคู่ครองของเรามันก็ไม่ผิดศีล นี่มุสาต่างๆ นี่ความปกติของใจ ทาน ศีล ภาวนา

นี่บอกว่าทุกข์ๆ ทุกคนบ่นว่าทุกข์ ว่าทุกข์ เวลาปฏิบัติไปก็เลื่อยลอยกัน จับจด ทำสิ่งใดก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เราบอกว่านี่ไงคือการภาวนา การภาวนา นี่กิเลสมันเป็นแบบนั้นหรือ? เวลากิเลสมันเป็นนามธรรม ดูความรู้สึกนึกคิดเราสิ ความรู้สึกนึกคิด เวลามันมามันมาจากไหน? เวลาความโทสะ โมหะมันกระหน่ำมามันมาจากไหน? เวลามันหายไปแล้วมันหายไปไหน? แล้วบอกจะฆ่ามันๆ จะกำจัดมัน แล้วก็ทำกันจับจด เลื่อนลอย ความที่เลื่อนลอยมันไม่ได้ผลหรอก ถ้าเป็นความจริงนะ นี่กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสมันเป็นนามธรรมแล้วเอาอะไรไปสู้กับมันล่ะ?

ถ้าเอาอะไรไปสู้กับมัน เห็นไหม ถ้าเราความเพียรชอบ เรามีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีความตั้งใจของเรา ถ้าความตั้งใจของเรา เห็นไหม เริ่มต้นจากที่นี่แหละ เริ่มต้นจากเรา ดูสิเวลาเราทำหน้าที่การงานของเรา เวลาประสบความสำเร็จใครเป็นคนได้ล่ะ? นี่เรามีหน้ามีตา มีชื่อมีเสียง มีลาภมียศ อู๋ย มีแต่ความดีไปทั้งนั้นแหละ แต่หัวใจมันเร่าร้อน นี่หัวใจมันเร่าร้อน บอกว่าเราแสวงหาทางโลก แสวงหาเรื่องอาหารทางปาก มันไม่ได้แสวงหาอาหารของใจ

ถ้าอาหารของใจ นี่การเสียสละทาน การเสียสละมันเป็นอาหารของใจ ถ้ามันได้เสียสละออก มือมันมีความสกปรก มันได้ชำระล้างมันก็สะอาดขึ้นมาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า มือมันก็สะอาดขึ้นไป แต่มือนี่ไม่ได้จับต้องสิ่งใดเลยมันก็มีเหงื่อมีไคลของมันออกมา มันก็มีความสกปรกโดยตัวมันเองอยู่แล้ว

ใจ ใจถ้ามันมีสิ่งที่เป็นความหนักหน่วงของใจเราก็พยายามสละมัน ฝึกหัดด้วยการสละทานก็เพื่อการเสียสละความตระหนี่ถี่เหนียว ถ้าความตระหนี่ถี่เหนียวเพื่อให้จิตใจมันเป็นสาธารณะ จิตใจมันเห็นแล้วมันทำได้นะ ถ้าจิตใจของเรามันตระหนี่ถี่เหนียว จิตใจที่มันไม่เห็นประโยชน์สาธารณะเลยมันจะเห็นแก่ตัวของมัน สิ่งใดมันไม่ยอมทั้งนั้นแหละ อะไรถูกไปหมด เขาผิดทั้งนั้นแหละ เราถูกไปหมด

แต่ถ้าพอจิตใจมันมีการเสียสละ มีเริ่มชำระล้างขึ้นมา เห็นไหม มือมันสกปรกมันก็มีกลิ่นเหม็น เวลามือมันสะอาดขึ้นมา กลิ่นเหม็นมันก็จางลง แล้วมันก็มีความสะอาดมากขึ้น จิตใจถ้ามันมีการเสียสละ จิตใจที่เป็นสาธารณะนะ มันเห็นการกระทำ เห็นเขาเบียดเบียนกัน เห็นเขาแย่งชิงดีชิงเด่นกันมันเศร้าใจนะ มันเศร้าใจว่าสังคมที่มันเดือดร้อนกันเพราะเหตุนี้

นี่เขาทำกันแบบนี้ พอเขาทำแบบนี้เราจะไม่ทำแบบเขา มันเห็นไง แต่มันไม่เห็นนะ นี่คือหน้าที่การงาน นี่คือการกระทำของเรา แต่พอมันเห็นเข้ามานะ มันรู้ของมันนะทำไมมันเห็นล่ะ? เมื่อก่อนมันก็มองทำไมมันไม่เห็นล่ะ? มันไม่เห็นเพราะจิตใจมันยังเห็นแก่ตัว จิตใจมันยังมืดบอด แต่จิตใจมันเริ่มดีขึ้นมันเห็นนะ มันเห็นแล้วมันเศร้าใจ แต่มันเศร้าใจมันเรื่องของเขา ถ้าเรื่องของเขา นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมไหม? มันเตือนเราไหม? มันบอกเราไหม? มันบอกเราแล้วนะว่าการทำอย่างนี้มันไม่ดี เราจะไม่ทำแบบนี้ ไม่ทำแบบนี้เราก็ไม่ทันคนสิ เราก็เป็นผู้เสียเปรียบคนสิ

นี่ทางโลก เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า “ถ้าพูดถึงทางโลก พูดถึงความโง่เง่าเต่าตุ่นท่านโง่มาก คือท่านไม่หาผลประโยชน์ทางโลกเลย” สิ่งใดได้มาท่านเสียสละเพื่อประโยชน์ทั้งนั้นแหละ เพื่อประโยชน์กับโลก ทางโลกท่านเสียสละ ท่านบอกทางโลกท่านโง่เง่าเต่าตุ่นมาก คือท่านไม่แสวงหาลาภ ไม่แสวงหาชื่อเสียงสักการะ ท่านไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้น นี่เขาว่าโง่มาก

แต่ถ้าทางธรรมล่ะ? ทางธรรมเราฉลาดมาก เพราะมือมันสะอาดขึ้นเรื่อยๆ มันจะไม่มีกลิ่นเหม็นของมัน มือของเราติดตัวเรานะ กลิ่นมันก็เข้าจมูกเรานะ จิตใจของเราถ้ามันหมักหมม มันบีบคั้นหัวใจของเรา เราทุกข์นะ แต่ถ้าจิตใจเราสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา จิตใจเราเริ่มสละ เริ่มเสียสละ เริ่มสลัดทิ้งมันไป จิตใจเราเริ่มเบาลงนะ เห็นไหม

นี่ถ้าทางโลกเราโง่มาก โง่เพราะเราไม่หาสิ่งใดที่เป็นความหนักหน่วงมากดถ่วงหัวใจ แต่ถ้าเป็นความฉลาด เป็นธรรมๆ สิ่งใดเป็นธรรมเราฉลาดมาก เราฉลาดมากเพราะเราจะรักษาใจของเรา เราจะรักษาให้มันสะอาดขึ้นมา ถ้าเรารักษาใจของเรา มือที่มันสะอาดขึ้นมากลิ่นเหม็นมันก็เบาลง นี่ความสะอาดบริสุทธิ์มันก็ดีขึ้น

นี่ก็เหมือนกัน เรามองเห็นภาพอย่างนั้นเราก็มาสอนใจเรา นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่จิตใจมันฉลาดด้วยไหมล่ะ? ถ้ามันไม่ฉลาดมันจะไปทำลายธรรมชาตินั้น มันจะตักตวงธรรมชาตินั้นเป็นของมัน แต่ถ้าจิตใจมันฉลาดขึ้นมานะ ธรรมชาตินั้นมันจะให้ผลกับโลก ธรรมชาตินั้นมันจะทำให้สภาวะฤดูกาล ทำให้การกระทำต่างๆ มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา ธรรมชาตินั้นจะให้อาหารเรา ให้สิ่งต่างๆ เรา มันไม่ไปแย่งชิงกับใคร ถ้าจิตใจมันดีมันไม่ไปแย่งชิงกับใคร มันฉลาดของมันขึ้นมา นี่เป็นประโยชน์สาธารณะทั้งหมดเลยนะ

ประโยชน์สาธารณะ เห็นไหม เราทำงานที่ไหน? เราต้องมีสถานที่ทำงานใช่ไหม? เวลาเราจะฆ่ากิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน? นี่กิเลสอยู่ที่ไหน? เวลาความคิดมันเกิดมันเกิดมาจากไหน? เวลาอารมณ์ที่มันมีความกระทบรุนแรงมันมาจากไหน? มันก็มาจากจิต มันมาจากไหนล่ะ? ความคิดมาจากไหน? มันลอยมาจากฟ้าหรือ? ความคิดใครยิงเข้ามาให้เรา? ใครเอาความคิดยัดเยียดในหัวใจของเรา ใครทำลายหัวใจของเรา? ไม่มี มันคิดขึ้นมาจากใจของเรา

ถ้ามันคิดมาจากใจของเรานะ ทำไมมันคิดล่ะ? เห็นไหม ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา เราก็บอกว่าต่อไปนี้เราจะหาประโยชน์กับตัวเราเองแล้ว เราหาประโยชน์มากับชาติตระกูลของเรา เราหาประโยชน์มากับโลกก็พอสมควรแล้ว เราจะหาประโยชน์ของเรานะ เราจะเริ่มมีคำบริกรรม พุทธานุสติระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เราจะนึกถึงแก้วสารพัดนึก เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้รวมลงอยู่ที่ใจของเรา พุทโธ พุทโธ พุทโธ เราจะไม่คิดเรื่องอื่นแล้ว เพราะคิดเรื่องอื่นแล้วมีแต่ความทุกข์ความยากมาตลอดเลย ถ้าจิตใจมันเห็นประโยชน์มันทำนะ ถ้าจิตใจไม่เห็นประโยชน์นะ อะไรก็พุทโธ อะไรก็พุทโธ โอ๋ย น่าเบื่อหน่าย พุทโธไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เพราะมันโง่! เพราะมันไม่รู้จักประโยชน์ มันไม่เห็นว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์กับมัน มันก็โง่ของมันอยู่วันยังค่ำแหละ แต่ถ้าคนมันฉลาดขึ้นมา เราคิดสิ่งใด นี่มือมันจะสกปรกขนาดนี้ ก็ยังจะให้มันสกปรกมากขึ้นไปอีก มือมันทุกข์ มันเหม็นขนาดนี้ก็จะให้มันเหม็นมากขึ้นไปอีก จิตใจ ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้มันเหยียบย่ำหัวใจก็อยากให้มันเหยียบย่ำมากขึ้นไปอีก แล้วก็บอกว่า “เกิดมาเป็นชาวพุทธนะ ทำบุญก็เย๊อะเยอะนะ ทำบุญทุกวั๊นทุกวัน ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้?”

มันทุกข์เพราะตัณหาซ้อนตัณหานะ เวลามันเรื่องหยาบๆ เวลาจิตใจเราหยาบเราก็ไม่เห็นหรอก คนทำดี ทำชั่ว เราอยากทำแบบนั้น แต่พอจิตใจเราเริ่มดีขึ้น โอ้โฮ อย่างนั้นผิด อย่างนั้นไม่ดี มันพัฒนาขึ้นแล้ว แต่ถ้าจิตใจละเอียดขึ้นไปนะ นี่ไงเพราะเราจับของร้อน เพราะเราคิดแต่เรื่องโลก มันถึงได้ทุกข์ไง

ถ้าเราคิดถึงพระพุทธเจ้านะ พุทโธ พุทธานุสติ ระลึกถึงพุทโธ พุทโธ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูสิท่านมีเมตตา ท่านเสียสละ เสียสละทั้งครอบครัว เสียสละทั้งสถานะกษัตริย์ เสียสละทุกอย่างเลยเพื่อมาค้นคว้าหาสัจธรรมอันนี้ แล้วสัจธรรมอันนี้เกิดขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุข จะสอนใครได้หนอ? สอนใครได้หนอ? เพราะโลกมันโง่นัก โลกมันจะเอาแต่สมบัติพัสถาน โลกมันไม่รู้จักหรอกธรรมะเป็นแบบใด แล้วจะสอนมันได้อย่างไร? พูดกับมันก็ไม่รู้เรื่อง

นี่ทางโลกเขาว่ามันฉลาด เห็นไหม หลวงตาบอกว่าทางโลกเราโง่นัก นี่ไงถ้าพระพุทธเจ้าสอนให้เราเสียสละ เขาก็บอกว่าโง่นัก สอนให้โลกโง่ๆ แล้วโลกมันจะโง่ทำไม? มันฉลาดกันอยู่แล้ว มันหาเงินหาทองกันอยู่ จะให้มันจะโง่ มันจะยอมโง่หรือ?

มันโง่เพราะโง่ธรรมะ แต่มันไปฉลาดในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเราฝึกหัดของเรา มาวัดมาวามาเสียสละของเรา ถ้าจิตใจมันพัฒนาขึ้นมา ที่ว่าจะสอนได้อย่างไร? จะสอนได้อย่างไร? แต่ถ้าจิตใจเรามีความรู้ความเห็นขึ้นมา มันอยากได้

คนเรานี่ความร่มเย็นเป็นสุขใครก็อยากได้ ถ้าใครอยากได้นะ นี่ทุกคนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ จะฝึกหัวใจดวงนี้ให้เข้มแข็งขึ้นมา จากหัวใจที่มันสะเปะสะปะ ที่มันไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย แต่ทิฏฐิมานะจรดฟ้านะ ฉันดี ฉันแน่ ฉันเก่ง ฉันประเสริฐ ทิฏฐิมานะมันจรดฟ้า แต่มันเอาแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทับถมตัวมัน แต่เราเริ่มพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่พุทธานุสติ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วมันตื่นไหมล่ะ? มันเบิกบานไหมล่ะ?

มันหลับใหลไปกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันต้องการสิ่งที่กิเลสมันต้องการ กิเลสมันต้องการสิ่งใดมันก็ขับไส มันก็ใช้เป็นความคิด ความคิดก็วิ่งแสวงหา เราก็แสวงหามาปรนเปรอมัน แสวงหามาปรนเปรอมัน แล้วมันอิ่มพอไหม? มันไม่มีวัน ตัณหาความทะยานอยากถมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม สะสมเข้าไป ให้แสวงหาเข้าไป วันไหนมันจะพอ...ไม่มีทาง แต่ธรรมะมันพอ ถ้าธรรมะมันพอ เห็นไหม นี่ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราจะเสียสละของเรา เพราะเราฉลาดขึ้น เพราะคนฉลาดขึ้น คนเห็นประโยชน์ขึ้นคนถึงทำได้

นี่ไงมรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด คนที่เขาคิดหยาบๆ เขาก็คิดแต่เรื่องของหยาบๆ แต่คนที่เขาคิดละเอียดขึ้นมาเขาก็จะหาแต่สิ่งที่เป็นคุณงามความดีของเขาขึ้นมา นี้ในความรู้สึกนึกคิดนะ แล้วเวลามันเกิดขึ้นมา นี่ดูสิสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เวลาปัญญาเกิดขึ้นก็ไม่รู้เรื่อง ปัญญาก็คือปัญญา ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งปัญญา ฉันก็ปัญญาเลิศ นั่นแหละปัญญากิเลสทั้งนั้นแหละ ปัญญาไปเอาไฟมาใส่ตัวแล้วยังหาว่ามีปัญญาอีกนะ

นี่มันโง่ขนาดนั้น เวลามันคิดกันไปมันเอาแต่สิ่งที่เป็นพิษมาทับถมตัวมัน มันนึกว่ามันเก่ง มันนึกว่ามันมีปัญญา นี่ปัญญาของกิเลสไง แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมานะ มันทำความสงบของใจเข้ามาก่อน พอใจมันสงบแล้ว พอมันรู้มันเห็นของมัน มันสะเทือนใจมากนะ เวลามันเห็นกายตามความเป็นจริง กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ โดยความเป็นจริง แต่ในปัจจุบันนี้มันโง่ แล้วก็บอกเห็นกาย รู้กาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นโดยจินตนาการ เห็นโดยการคาดหมายวาดภาพ นี่สร้างภาพ สร้างขึ้นมา จิตใจมันมหัศจรรย์นัก มันนึกอะไรมันก็รู้มันก็เห็นทั้งนั้นแหละ

ถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมา นี่ไงก็ศึกษามาเป็นแบบนี้ไง ธรรมะก็เป็นอย่างนี้ พุทธพจน์ก็บอกอย่างนี้ทุกที ก็ทำแบบพุทธพจน์ ทำทุกอย่างเหมือนเปี๊ยะเลย แต่โง่!

แต่ถ้าคนทำตามความเป็นจริงนะมันจะเป็นสันทิฏฐิโก มันจะเป็นปัจจัตตัง ปัจจัตตังมันสะเทือนกิเลส มันสั่นไหวถึงขั้วหัวใจ เวลามันรู้มันเห็นขึ้นมามันสั่นไหวขั้วหัวใจ กิเลสมันอยู่ที่นั่น ถ้ากิเลสอยู่ที่นั่น นี่ไงสติปัฏฐาน ๔ มันเกิดที่นี่ สติปัฏฐาน ๔ มันเกิดเพราะอะไรล่ะ?

สติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม นี่อริยสัจ ๔ สัจจะมันจะเกิดที่นี่ ถ้าสัจจะมันเกิดขึ้นมากลางหัวใจ นี่ไงมันไม่เลื่อนลอยหรอก ไอ้นี่โลกเรามันเลื่อนลอยเกินไป ศาสนานี้มีความจริง แต่กิเลสมันพาเลื่อนลอย แล้วยิ่งปัจจุบันนี้ผู้ที่มีปัญญา บริหารจัดการๆ บริหารจัดการโดยกิเลสไง เอาธรรมะบริหารจัดการ เอาธรรมะมาบริหาร แต่ด้วยกิเลสทั้งนั้น ด้วยตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น

แต่ถ้าความสงบของใจเข้าไป เห็นไหม เราทำความสงบของใจเข้ามา อย่าทำให้เลื่อนลอย อย่าด่วนได้ อย่ามักง่าย ทำอะไรก็มักง่าย เขาบอกว่า “ง่ายๆ ของมันมีอยู่แล้วทำไมต้องไปเดือดร้อน ทำไมต้องทุกข์ยาก?”

ธรรมะอยู่ฟากตาย เพราะเวลาการเกิดและการตายมันมีอำนาจเหนือทุกดวงใจ ทุกชีวิตต้องตายหมด แล้วเวลาภาวนาไป พอกิเลสมันตายแล้วมันไม่มีอะไรตาย มันไม่มีตาย จิตนี้จะไม่ตายอีกแล้ว มันไม่เกิดไม่ตาย เพราะไม่มีแรงขับ นี่ไงมันถึงจะต้องทำความเป็นจริงไง นี่ถ้ามันทำความเป็นจริงมันจะเป็นความจริงขึ้นมา ไอ้ว่าง่ายๆ ง่ายๆ มันเลื่อนลอย ถ้าจะบอกว่าหลอกลวงก็ได้ ลวงกันทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ ถ้าขิปปาภิญญาเขาจะปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ก็ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าคนปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา เหมือนคนทำหน้าที่การงานขึ้นมา ถ้าเขามีเงิน มีทองขึ้นมาเขาจะทำด้วยความสะดวกสบายของเขา เขาจะทุกข์ยากของเขา

เงินก็คือเงินเหมือนกัน ธรรมก็ต้องคือธรรมเหมือนกัน สัจจะก็ต้องเป็นสัจจะอันเดียวกัน จะง่ายจะยากแต่สัจจะเป็นอันเดียวกัน ค่ามันเหมือนกัน ถ้ามันเป็นธรรมมันต้องเหมือนกัน ถ้าเหมือนกัน ทำไมมันไม่เหมือนกันล่ะ? มันไม่เหมือนกันเพราะคนจะทุกข์ให้มันทุกข์ไปเถอะ นั่นคนเขาไม่มีปัญญา ไอ้เรามันมีปัญญาเราไปง่ายๆ กันดีกว่า มันเลยกลายเป็นนิพพานควายไง นอนแช่น้ำเคี้ยวหญ้าเอื้อง เข้าไปเคี้ยวเอื้อง โอ๋ย สงบเย็น โอ๋ย เย็นๆ มันแช่น้ำอยู่นั่นน่ะ เพราะมันกินหญ้าแล้วมันก็จะไปแช่น้ำอยู่นั่นน่ะ แต่ของเรานี่เราทำของเราตามความเป็นจริงของเรา มันจะทุกข์มันจะยากเราไม่ใช่ควาย เราเป็นคน มีปัญญาด้วย เกิดมาพบพุทธศาสนาด้วย แล้วไม่ทำแบบจับจด ให้ทำตามความเป็นจริง

ฉะนั้น ความเลื่อนลอย ว่าวเชือกขาดควบคุมไม่ได้ ควบคุมเหตุการณ์ไม่ได้ เครื่องบินนะถ้าเสียการควบคุมมันโหม่งโลก จิตใจไม่มีสติไม่มีปัญญาควบคุมมัน มันจะเป็นมรรคขึ้นมาได้อย่างใด? นี่แล้วบอกจัดการๆ กิเลสจัดการยังไม่รู้ตัว ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาใครจะดูแลมัน ใครจะจัดการมัน นั้นถึงว่ามันไม่เลื่อนลอย ทำให้เป็นจริงนะ

“เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรของเรา” เอวัง