เทศน์เช้า วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราเป็นชาวพุทธนะ พุทธศาสนาสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำดีต้องได้คุณงามความดี แต่พวกเราว่าทำคุณงามความดีกันมาแล้วทำไมเราไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมเราไม่มีความสุขพอสมควร ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
ทำดีนะ ดีในสังคมนะ สังคมดูสิมารยาทสังคม สังคมเขาอยู่กันด้วยมารยาท แต่ถ้าเป็นความดีของธรรมะ เราก็อยู่กับสังคมด้วย นี่หยดน้ำบนใบบัว เราอยู่กับสังคมโดยที่ไม่ติดสังคมไง แต่เราปฏิเสธสังคมไม่ได้ ในสังคม สังคมต้องมีมารยาท ดูสิดอกไม้หลากสีไง ในแจกันๆ หนึ่งจะมีดอกไม้หลากสีมันถึงได้มีความสวยงามของมัน
นี่พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิต จิตแต่ละดวงสร้างมาไม่เหมือนกัน จะให้คนมีความคิดเหมือนกัน เสมอกัน เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้วเราไปคาดหวังเราทุกข์นะ เราจะทุกข์มาก เพราะเราคาดหวังให้ทุกคนเป็นคนดีแล้วมันไม่สมความปรารถนาเรา มันก็เป็นทุกข์แล้ว แต่เขาเป็นความดีของเขา เขาจะมีคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหนให้เขายืนตัวของเขาได้ ดอกไม้หลากสี แต่ละสีแต่ละสันของเขา ให้เขามีคุณงามความดีของเขาขึ้นมา ถ้ามีความดีของเขาขึ้นมา แล้วเราทำคุณงามความดีของเรา
นี่ดีทางโลก ดีทางโลกหมายถึงมารยาทสังคม สังคมเขาอยู่กันอย่างนั้น แต่ถ้าความดีของเราล่ะ? ถ้าความดีของเรานะ ความดีจากภายในของเรา ถ้ามารยาทสังคม เราอยู่กับมารยาท เห็นไหม มารยาทสังคมนั้นมันเป็นมารยาทสังคมที่ดีงามนะ แม้แต่พระก็ต้องมี เขาเรียกว่า สมณสารูป สมณสารูป พระต้องมีธรรมวินัย ต้องมีสติปัญญา อยู่กับหลวงตานะ ถ้าพระเดินด้วยความเหม่อลอยโดยไม่มีสตินะ ท่านจะว่า นี่ศพเดินได้
ท่านเป็นห่วงตรงนี้มาก ท่านบอกว่าพระเราเป็นนักรบ การก้าว การเดิน การเหยียด การคู้ยังขาดสติ แล้วขาดสติจะเอาอะไรไปสู้กับกิเลส จะเอาสติปัญญาที่ไหนไปต่อสู้กับกิเลส แม้แต่การก้าวการเดินของพระ ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ท่านเห็น ประสาเรานะท่านทนไม่ไหวเลยล่ะ ท่านบอกทำไมลูกศิษย์ของเราทำไมมันเซ่อขนาดนี้? ทำไมมันเหม่อลอยขนาดนี้? ทำไมมันไม่เห็นภัยในกิเลสในหัวใจได้ขนาดนี้? ทำไมทำตัวขนาดนี้? แล้วท่านพยายามกระตุกอย่างนี้
นี่เราจะบอกว่า ถ้าเป็นความดีของเรา ความดีของเราเอง นี่ความดีจากภายในของเรา มันต้องเอาชนะตัวเราเอง ถ้าเอาชนะตัวเราเอง ความดีอย่างนี้ เห็นไหม ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พิสูจน์กัน พิสูจน์กันว่าถ้าทำดี ทำความถูกต้องดีงามขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงามมันต้องให้ผลเป็นคุณงามความดีสิ แล้วเรานั่งสมาธิภาวนากัน ทำไมจิตเราไม่ลงล่ะ? ทำไมความสงบมันไม่เกิดขึ้นมากับเราสักที? ทำไมทำสิ่งใดแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ประสบความสำเร็จไง
ประสบความสำเร็จ เห็นไหม เพราะ! เพราะแรงขับนะ นี่ตัณหาความทะยานอยาก อวิชชาจะทำให้จิตดวงนี้เวียนเกิดเวียนตาย จิตไม่เคยตายนะ คนเราต้องตาย เวลาคนตายจิตวิญญาณออกจากร่างนี้ไป ถ้าจิตวิญญาณไม่ออกจากร่างนี้ไปมันมีการตายไหม?
ดูสิที่ครูบาอาจารย์ท่านรั้งไว้ๆ รั้งไว้ตรงนี้ไง ถ้ามีสติอยู่ คนมีสติอยู่จะไม่คิดสิ่งใดเลย คนมีสติอยู่มันจะรั้งจิตเอาไว้อยู่กับเรา คนที่มันตายมันวิตกกังวล ส่งออก ยังไม่ทันตายนะมันตายไปแล้ว มันคาดหวังมันจะไปนรกสวรรค์ มันไปก่อนไง ความรู้สึกนึกคิดมันออกจากร่างไปก่อนแล้ว จิตยังอยู่นะแต่ความคิดมันไปแล้ว แต่ถ้ามีสติปัญญานี่รั้งไว้ ถ้ารั้งนี่จิตไม่เคยตาย รั้งจิตนี้ไว้ได้ ถ้ารั้งจิตนี้ไว้ได้ ใครเป็นคนรั้งจิตนี้ไว้?
สติเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากจิต แล้วสติปัญญามันรั้งจิตได้อย่างไร? มันรั้งจิตได้เพราะมีสติ มีปัญญา มีความรู้เท่า แต่ของเรา ดูสิเราทำคุณงามความดี ดีสังคม สังคมเราทำคุณงามความดี ทำดีต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดี แต่ดีของใคร? ดีของผู้บริหาร เขาทำดีแล้วเหมือนทิ้งเหว เพราะดูสิเราให้แต่ลูกน้องเรา เราดูแลลูกน้องเราเต็มที่เลย ลูกน้องเคยบอกว่าเราดีสักคำไหม?
ไม่บอกหรอก แต่เราทำดี เราทำดีให้เขา สักวันหนึ่งเขาได้หัวหน้าคนใหม่ขึ้นมา แล้วหัวหน้าคนใหม่ไปบี้เขา เขาจะคิดถึงเราทันทีเลย ความดีคือความดีไง ความดีต้องเป็นความดี แต่คนที่ได้รับความดีไปเขาไม่รู้จักความดีของเขา เขาก็ไม่รู้หรอกความดีเขาเป็นอย่างใด?
แต่เวลาเราจะมาปฏิบัติ เราสร้างสติปัญญาของเราเพื่อจะรั้งใจของเราไว้ ทำไมมันไม่สงบสักที ทำไมไม่สงบสักที มันไม่สงบ มันมีแรงขับ คำว่าแรงขับคือตัณหาความทะยานอยาก พันธุกรรมของจิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทีนี้พันธุกรรมของจิตไม่เหมือนกัน ดูสิเวลากรรมฐาน ๔๐ ห้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ นี่ทำความสงบ ๔๐ วิธีการนะ แต่โดยหลัก โดยหลักเขากำหนดพุทโธ พุทโธ โดยหลัก เห็นไหม โดยหลักนี่ ๔๐ วิธีการนะ มันก็ ๔๐ วิธีการเท่านั้นแหละ แต่เวลาผลของมันก็คือจิตสงบไง
ถ้าจิตสงบ ทำไมมันถึงสงบล่ะ? มันสงบเพราะแรงต้าน แรงต้านคือใคร? แรงต้านคืออีโก้ไง แรงต้านคือทิฏฐิของเราเองนั่นแหละ ทิฏฐิความอยากรู้อยากเห็นมันต้าน ถ้าอยากรู้อยากเห็นมันต้านแล้วทำอย่างไรล่ะ? ทำอย่างไร เห็นไหม
หนามยอกเอาหนามบ่ง ถ้ามันอยากรู้ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้มันรู้ในพุทโธซะ ให้มันรู้ในปัญญาอบรมสมาธิซะ ถ้ามันรู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ แรงต้านนั้นมันจะบิดเบือนไป มันจะคาดหวังคาดหมาย การคาดหมาย การหวังผล นั่นแหละคือแรงต้าน แรงต้านคือการคาดหมาย คาดหมายมันก็ออกไปแล้ว คาดหมายมันก็พ้นจากปัจจุบันไปแล้ว มันส่งออกไปตลอดเลย แล้วสิ่งที่ส่งออกนั้นน่ะมันจะสงบเข้ามาได้อย่างไร? แล้วสิ่งที่กำหนดพุทโธนี่ไม่ใช่ส่งออกหรือ?
โดยธรรมชาติของจิตพลังงานมันคลายตัว ธรรมชาติของจิตมันส่งออก ธรรมชาติพลังงานมันต้องออกอยู่แล้ว ทีนี้มันออก นี่ธรรมชาติคืออะไร? ธรรมชาตินี้เพราะเราเกิดในวัฏฏะไง เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เกิดเป็นเทวดามีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง เกิดเป็นพรหมนี้อีกอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคืออะไร? อีกอย่างคือมันละเอียดกว่าไง
ถ้าเกิดเป็นเทวดามันเป็นทิพย์ เป็นทิพย์หมายถึงว่าสถานะของเขาเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นพรหมล่ะ? เป็นพรหมมันผัสสาหารมันละเอียดกว่าอีก แล้วถ้าเป็นมนุษย์ล่ะ? มนุษย์มีความคิด ถ้าไม่มีความคิดจะขับเคลื่อนได้อย่างไร? ไม่มีพลังงานไม่มีการสั่งจากสมองร่างกายนี้จะขับเคลื่อนไปได้อย่างไร? ร่างกายนี้ขับเคลื่อน ขับเคลื่อนไปเพื่อสิ่งใด? ขับเคลื่อนไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันหลอกใช้ อยากได้สิ่งใดปรารถนาสิ่งใด มันก็แสวงหาสิ่งนั้น แสวงหาสิ่งนั้นมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสถานะทางสังคม มารยาทสังคม ความดีทางสังคมไง
แล้วความดีของจิตล่ะ? ความดีของจิตนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่างนี้เราเสียสละมาทำบุญกันอยู่นี่ เห็นไหม นี่มันเสียสละเพราะเหตุใด? เพราะธรรมชาติพลังงานที่ตัณหาความทะยานอยากมันของเรา ของเราทุกอย่างมันต้องเป็นของเรา แต่ทำไมคิดเสียสละล่ะ? คิดเสียสละเพราะว่าเราหวังผลที่ดีกว่านี้ไง เราหวังสิ่งที่มันเป็นคุณงามความดีไง เราหวังสิ่งที่มันเป็นความอบอุ่นของใจไง
ถ้าใจมีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม เราจะอยู่ในที่ร้อนที่ขนาดไหนนะ จิตใจเราก็มีหลักมีเกณฑ์ สิ่งนี้คืออะไร? สิ่งนี้คืออามิส อามิสเกิดจากการกระทำ อามิสคือผลที่มันแสดงออก นี่อามิสคือการกระทบ สิ่งที่ว่าวัตถุเพราะเราเสียสละมันถึงเป็นใช่ไหม? แต่เวลาพุทโธ พุทโธ นี่ส่งออกเหมือนกัน ส่งออกเหมือนกัน แต่ส่งออกไป ส่งออกไปเพราะเรามีวิตก วิจาร
ในเมื่อองค์ของสมาธิ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ แต่ในปัจจุบันนี้เราบอกว่าไม่ต้องทำสิ่งใดเลย อยู่เฉยๆ มันก็เป็นสมาธิเข้ามา...สมาธิเข้ามามันก็นอนตายไง คำว่านอนตายคือตกภวังค์ไง อยู่เฉยๆ ก็เป็นสมาธิ สมาธิก็ขอนไม้ไง ขอนไม้เป็นสมาธิ แร่ธาตุก็เป็นสมาธิ แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆ มันตกภวังค์ มันเป็นภวังค์ของมัน มันไม่เป็นสมาธิหรอก ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมามันต้องแจ่มแจ้งของมัน เป็นสมาธิขึ้นมามันพ้นออกมาจากการครอบงำของกิเลส ครอบงำถึงสิ่งที่คาดหวังของเรา
พอสิ่งที่คาดหวัง พอเรากำหนดพุทโธ พุทโธ เห็นไหม วิตก วิจาร วิตกวิจารมีการกระทำ รีไซเคิลน้ำ รีไซเคิลความสกปรกของใจ ความคิดความอ่านของเรา ที่ว่าคิดที่ดีๆๆ นี่แหละ เราคิดดีๆ นี่แหละ แต่ความหวังไง ความหวังคือตัณหาความทะยานอยาก คิดในเรื่องที่ดี เอาสิ่งที่ดีเป็นตัวตั้ง แต่สิ่งที่มันเสียดทานขึ้นมา สิ่งที่มันขับไสมา ดูตัณหาความทะยานอยากของเรา เราถึงต้องคิดพุทโธ พุทโธ
เราคิดพุทโธ พุทโธ เห็นไหม ทีนี้พุทโธ พุทโธ พอคิดไปจนคุ้นชินก็กลายเป็นสักแต่ว่า คิดแบบหุ่นยนต์ไง หุ่นยนต์มันหมุนของมันไปธรรมชาติของมัน เพราะเขาตั้งโปรแกรมไว้แล้ว ไอ้นี่ก็คิดแบบโปรแกรมไง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธจนไม่มีสติ พุทโธจนไม่เป็นเรา พุทโธไม่มีความจริงจังมันก็เลื่อนลอยอีก เลื่อนลอยไปโดยพลังงานที่มันคิดไปธรรมชาติของมัน มันเป็นอย่างนั้นแหละ มันเป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันเป็นไป เพราะเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์
ทีนี้พอมันคิดเป็นสัญชาตญาณไปเลย มันขาดสติไป เราก็ต้องพุทโธให้มันชัดเจนขึ้นมา วิตก วิจาร วิตกขึ้นมาพุทโธ วิจารมันแยกแยะ ถูกต้องดีงามอย่างไร มันทำงานได้เต็มไม้เต็มมือไหม? ถ้ามันทำงานได้เต็มไม้เต็มมือ จิตมันได้รีไซเคิลตัวมัน ถ้ามันไม่ทำได้เต็มไม้เต็มมือ เห็นไหม นี่ความสกปรกของจิตก็อยู่อย่างนั้นแหละ แต่คิดกันว่าจะทำความสะอาดของใจ คิดกันอยู่ข้างนอก แต่มันไม่ทำที่เนื้อของใจ
ฉะนั้น สิ่งที่มันจะสงบระงับเข้ามา มันทำไมถึงจะไม่สงบล่ะ? ทำดีต้องได้ดี ทุกคนทำดีไหม? ทุกคนอยากพ้นทุกข์ ทุกคนปรารถนาดี ทุกคนนั่งสมาธิภาวนา ดีไหม? ทำดีทั้งนั้นเลย แล้วผลความดีมันมาจากไหน? ความดีมันมาจากไหน? ความดีมันไม่เกิดสักที ความดีมันจะเกิด เกิดถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง การกระทำที่ถูกต้อง ความถูกต้องชอบธรรม มัชฌิมาปฏิปทา ความถูกต้อง ความสมดุลของมัน มันมีเหตุมีผลของมัน มันสมดุลของมัน
ทีนี้อำนาจวาสนาของจิตมันไม่เหมือนกัน พันธุกรรมไม่เหมือนกัน เรากระทำของเรา ทำดีต้องได้ดี ทำดีได้ดีแน่นอน แต่ความดีอย่างโลก ดูสิเราทำคุณงามความดีขนาดนี้ ทำดีขนาดนี้ ทำไมโลกมันยังเป็นแบบนี้ ทำไมคนยังเห็นแก่ตัวขนาดนี้? นี่มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องหน้าก็คือสังคม เบื้องหลังก็คือความเห็นแก่ตัว นี่เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติล่ะ? เบื้องหน้าของเราเราก็สร้างคุณงามความดี เราอยากปฏิบัติของเรา เบื้องหลัง เบื้องหลังพญามารมันไม่ยอมหรอก
นี่บ้านของเรา ใครมาโกงบ้านของเรา ใครมาฉ้อฉลบ้านของเราไป เรายอมไหม? สิทธิของเราเราสร้างมาใช่ไหม? มาร มารมันครอบคลุมหัวใจของสัตว์โลก บ้านของมันคือบนหัวใจของเราไง บ้านของมารคือภวาสวะ คือภพ คือสถานที่ไง ถ้าเราไปทำลายบ้านมัน เราไปแย่งชิงจากบ้านมัน มันยอมไหม? ถ้าเราพิจารณาเราใช้ปัญญาของเราแยกแยะไปจนทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายสถานที่ ทำลายทุกๆ อย่างหมด ทำลายภพชาติ แล้วมารมันจะอยู่ที่ไหนล่ะ? แล้วมันปกครองหัวใจของเรา บ้านของมันอาศัยอยู่บ้านของเรา เห็นไหม
หลวงตาบอกว่า เวลาปฏิบัตินะถ้ามารมันยังไม่รู้สึกตัว บางทีเรามาปฏิบัติ แหม มันชื่นอกชื่นใจ มันทำความดีไปหมดเลย นี่มารมันนอนหลับ มันเผลอ มันคิดว่าบ้านมันปลอดภัย พอมันเห็นว่า โอ๋ย คนจะมาดูแลบ้านมัน มันตื่นขึ้นมานะ พอมารมันตื่นขึ้นมานะปฏิบัติขัดข้องไปหมดเลย พอมารมันตื่น มันแค่งัวเงียขึ้นมาเท่านั้นแหละทำไม่ได้แล้ว ติดขัดไปหมดเลย แต่ถ้ามารมันนอนหลับนะ แหม ทำไมวันนี้ภาวนาดี ภาวนาดี
นี่ไง เราจะเข้าไปทำลายบ้านเขา เราจะเข้าไปทำลายบ้านเขานะ แล้วบ้านเขา บ้านเขาเป็นของใครล่ะ? บ้านของเราเราสร้างขึ้นมา บ้านของเราใครจะทำลาย ไม่มีใครทำลายหรอก บ้านของเราเรามีแต่จะซ่อมแซมมันให้มันมั่นคง แต่เวลาปฏิบัติธรรมขึ้นมาต้องทำลาย นี่การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือการฆ่ากิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตามากนะ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ อย่าให้รังแกกัน อย่าให้เบียดเบียนกัน ให้อภัยต่อกัน ให้ช่วยเหลือเจือจานกัน ให้ดูแลรักษากัน ให้สามัคคีกัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่นะจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ สงสารสัตว์โลกมาก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือการฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเราประเสริฐที่สุด ทีนี้การฆ่ากิเลสของเรา เห็นไหม ดูสิขนาดที่ว่าสิ่งนี้เราอย่าเบียดเบียนกัน อย่าทำร้ายกัน อย่ารังแกกัน นี่ถนอมรักษาทั้งนั้น ถนอมรักษาขึ้นมา แต่ถ้ากิเลสไปถนอมรักษามันไม่ได้ ยิ่งถนอมรักษามันนะยิ่งแพรวพราว ยิ่งเล่ห์เหลี่ยม ยิ่งหลอกลวง ยิ่งทำให้เราหัวหกก้นขวิด ทั้งๆ ที่ว่าทำดีนะ ทำดีทำไมไม่ได้ดี? ทำดีทำไมไม่ได้ดี?
ทำดี ทำดีก็เป็นความดี แต่มารน่ะ มารที่มันอยู่ในหัวใจมันคาดหวังความดีของมันไปอีกอย่างหนึ่ง มันคาดหมายความดีของมันโดยความด้นเดาธรรมไง ถ้ามันด้นเดาธรรม เห็นไหม นี่ดูสิ ในเมื่อแผนผังแผนที่ชี้ไปอีกที่หนึ่ง ธรรมทั้งหลาย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดชี้เข้ามาที่หัวใจของมนุษย์ ความสุขความทุกข์มันอยู่ที่นี่ สิ่งที่สัมผัสคือความรู้สึกนี้เท่านั้น แต่เราก็บอกเอาสมองจำ เอาสมองจำ ฉันรู้ ฉันเห็น เอาสมองจำมาให้มากที่สุด ยิ่งจำได้มากที่สุดแผนที่มันจะชัดเจนขึ้นมา มันจะทำได้ง่ายที่สุด มันก็ยิ่งออกไปเรื่อย ออกไปข้างนอกเรื่อยๆ ออกไปข้างนอกเรื่อยๆ แล้วทำดีจะได้ดีจากไหนล่ะ? ในเมื่อความดีของเรามันดีโลกๆ มันดีโลก โลกเขาจะมีมารยาทสังคมนะ
มารยาทสังคมนี้เพื่อสมานให้สามัคคี ให้สังคมอยู่ร่มเย็นเป็นสุข แต่เราจะไปสมานสามัคคีกับกิเลสของเรา มันก็ล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ เราถึงต้องตั้งสติของเรา ทำคุณงามความดีของเรา ถ้าความดีของเราเกิดขึ้น ความดีของเราเกิดขึ้นนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
สิ่งที่มีคุณค่า มีราคา คือหัวใจของมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดนี้มันมีสุขมีทุกข์ ความรู้สึกนึกคิดนี้มันเบียดเบียน มันย่ำยีเราเอง ถ้าใครไปเห็นความรู้สึกนึกคิดอันนี้ แล้วรักษาความรู้สึกนึกคิดอันนี้ แล้วทำความสะอาดอันนี้จะซึ้งมาก ทรัพย์สมบัตินี้วางไว้กับโลก ใช้ประโยชน์ต่อเมื่อเราต้องการใช้มัน เราต้องการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สมบัตินี้เราก็จะใช้มัน แต่หัวใจนี้ไม่ให้ใครเหยียบย่ำ ไม่ให้ทรัพย์สมบัติ ไม่ให้แร่ธาตุต่างๆ มาเหยียบย่ำ
ครูบาอาจารย์บอกว่าไอ้หลังลายนะ หลังลายเราก็ให้ค่ามันนะ ให้ค่ากันจนแย่งชิงจนมองข้ามความรู้สึกของคน จนมองข้ามความรู้สึกของหัวใจของเรา ถ้าเรามีความรู้สึกหัวใจอันนี้ รักษาใจอันนี้ นี่ความดีจากภายใน ทำดีต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดี ถ้าทำดีต้องได้ดี เรามีความขยันหมั่นเพียรของเรา เราต้องทำของเราได้ เราทำของเราได้ แต่ขณะหมั่นเพียร ดูสิเราทำมาหากินเรายังทุกข์ยากขนาดนี้ เรายังต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะเอาง่ายๆ ความมักง่ายมันจะได้ยาก
คนจะทำแต่ความละเอียดรอบคอบ มันจะต้องความรอบคอบของเรา มันจะทุกข์จะยากขนาดไหน? นี่ความทุกข์ยากอันนั้นมันจะได้ผลประโยชน์ของมัน เพราะทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย เห็นไหม ทำจนเป็นเรื่องปกติ พอปกติขึ้นมามันก็รอบคอบ มันก็รักษาได้ หัวใจของเรามันละเอียดลึกซึ้งขนาดไหนเราก็รักษาหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะมันเป็นอกุปปธรรม
โสดาบัน สกิทา อนาคา พระอรหันต์ เป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรม อฐานะที่มันจะแปรสภาพ ไม่ต้องรักษา มันอยู่ของมันอย่างนั้นแหละ ถึงที่สุดแล้วมันอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น แล้วบุคคลคนนั้นเป็นเจ้าของมัน ใจดวงนั้นเป็นเจ้าของธรรมอันนั้น คิดดูสิว่ามันเป็นสมบัติขนาดไหน? ทำดีต้องได้ดี เราปรารถนาดีกันอันนี้นะ ถ้าเราปรารถนาดีอันนี้ เราพยายามสร้างพื้นฐานของเรา ในเมื่อเราอยู่กับโลกเรามีเป้าหมายของเรา คนมีเป้าหมายมันไม่เร่ร่อนไปนะ มันมีเป้าหมายจะไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วเราทำคุณงามความดีของเรา
ชีวิตนี้ถ้ายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่ ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ เรายังเกาะเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือศาสดาของเรา คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เราจะเกาะเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ให้จิตใจนี้มันอยู่ได้ใกล้ชิด ให้จิตใจนี้มันมีที่พึ่งอาศัย ถึงมันจะทุกข์มันจะยาก มันก็มีครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่พึ่งอาศัย เอวัง