เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ก.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม เรามาวัดนะ มาวัดมาวัดหัวใจของเรา วัดหัวใจของเราเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกโลกธรรม ๘ เป็นธรรมะเก่าแก่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข มันมีมาแต่ดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้มันก็มีอยู่มาดั้งเดิม ของที่มีอยู่ดั้งเดิมนี่โลกธรรม ๘ ถ้าโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันมีของมันธรรมชาติของมัน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดนะ

“รูปอันวิจิตร รสอันวิจิตร เสียงอันวิจิตร ไม่ใช่กิเลส กิเลสคือตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเราต่างหากที่มันไปเหนี่ยวรั้งรูป รส กลิ่น เสียงนั้นมา”

รูป รส กลิ่น เสียง รูปอันวิจิตร แก้วแหวนเงินทองไม่ใช่กิเลส แก้วแหวนเงินทองมันเป็นกิเลสหรือ? มันมีชีวิตหรือ? มันไม่มีหรอก แต่มนุษย์ ใจของคนมันมีกิเลสแล้วไปยึดมัน มันถึงได้ทุกข์ไง รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่กิเลส เห็นไหม โลกธรรม ๘ มันก็เป็นโลกธรรม ๘ อยู่อย่างนั้นแหละ นี่โลกธรรม ๘ แต่หัวใจของคนไง หัวใจของเราที่มันบกพร่อง หัวใจของเราที่มันไม่อิ่มเต็ม หัวใจที่ไม่คงที่ มันไปยึดไปเหนี่ยวมา มันถึงเป็นกิเลส ถ้าเขานินทาเราไม่รับรู้ นินทาแล้วเราวางไว้มันจะเผาลนเราไหม? มันไม่เผาลนเราหรอก เขานินทาก็คือนินทามันเก่าแก่

คำว่าเก่าแก่คือมันเป็นแบบนี้ เรื่องอิจฉาตาร้อน เรื่องของแรงเสียดสีทางสังคม มันมีมาแต่โดยดั้งเดิม นี้มันเรื่องใจของเขา แต่เรื่องใจของเราล่ะ? ถ้าเรื่องใจของเรา เห็นไหม ถ้าเราไม่ไปกว้านมาเผาลนใจเรา มันก็ไม่กว้านมาเผาลนใจเราหรอก แต่ถ้ามันไปกว้านเผาลนใจมาทำไมล่ะ? ไปกว้านมาเผาลนใจเพราะเราก็มีกิเลสไง เขามีกิเลสใช่ไหม? เขาก็เสียดสีนินทาใช่ไหม? ไอ้เราก็มีกิเลสใช่ไหม? มันก็ไปหยิบมาไง

ถ้าเราไม่ไปหยิบมา เห็นไหม ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พราหมณ์เขามาติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่อายุน้อย ไม่เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ นี่มาติฉินนินทาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งเฉย พระพุทธเจ้าถามพราหมณ์ว่า

“ถ้าเราเอาสำรับอาหารไปให้คนอื่น แล้วถ้าคนอื่นเขาไม่กิน สำรับอาหารเป็นของใคร?”

“ก็เป็นของคนที่ยกมาไง”

“อย่างนั้นพราหมณ์ก็เอาคำที่ติฉินนินทากลับไปเถอะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เอา”

นี่ไงเขามาต่อว่า เขามาติเตียนอยู่ต่อหน้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เอา ให้เขาเอากลับของเขาไปเอง นี่ไง เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชำระกิเลส อาสวักขยญาณมันทำลายอวิชชาในหัวใจ อวิชชาคืออะไร? คือความไม่รู้ แล้วเรารู้ตัวเราไหม? เราได้ทำผิดพลาดอย่างนั้นไหม? แล้วเขามาติฉินนินทาเรามันเป็นเรื่องของเขาใช่ไหม? นี่เพราะอะไร? เพราะจิตใจมันไม่บกพร่องไง

ถ้าจิตใจไม่บกพร่อง เห็นไหม ที่เราฟังธรรมๆ ก็ฟังธรรมเรื่องนี้ไง ถ้าคนไม่เข้าใจนะ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นกิเลส ทุกอย่างเป็นกิเลส ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันมีของมันอยู่อย่างนั้น มันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิม เราตายไปมันก็อยู่อย่างนั้นแหละ แต่เวลาเราเกิดมา เรารับรู้เราถึงได้ทุกข์ เวลาตายไปจะจากมันไปก็ทุกข์ เวลานกมันจะลงคอนนะ มันลงจับนะนิ่มนวลมาก ฉับ! เวลามันจะไปนะ มันบินออกจากคอนไปสั่นไหวไปหมดเลย

ชีวิตเราก็เหมือนกัน เวลามานี่มาจากไหนไม่รู้ เกิดมาก็เห็นพ่อเห็นแม่ พ่อแม่ตั้งชื่อให้ทั้งนั้นแหละ แต่เวลาจะไปล่ะ? เราทุกข์ไปหมดเลย นี่เวลามันจะไป นี่ไงถ้าพูดถึงผลของวัฏฏะมันเป็นแบบนี้ แต่เรามาฟังธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะให้เสียสละ ให้เสียสละใช่ไหม? ทำทาน ทาน ศีล ภาวนา การเสียสละนี่ฝึกหัวใจของเราไว้ ใครเป็นคนเสียสละ ดูเด็กสิ พ่อแม่พามันมา จูงมันมานะ

นี่หัวใจก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เสียสละนะมันก็บกพร่อง มันก็เปิดกว้างพร้อมที่มันจะละตระหนี่ถี่เหนียวถ้าพามันสละ สละมันก็ไม่ยอม มันไม่ยอมนะ ของหามา ของเราหามานะมันของเราทั้งนั้นแหละ ทำไมเราต้องเสียสละ? ทำไมต้องเสียสละ เห็นไหม นี่พ่อแม่จูงลูก ธรรมะจูงหัวใจของเรา เราจะเสียสละเพื่อประโยชน์สังคม ประโยชน์กับโลก ให้จิตใจ หัวใจเห็นแก่สังคม เห็นแก่คนรอบข้าง ไม่ใช่เห็นแก่ตัวคนเดียว

ถ้าเห็นแก่คนรอบข้างนะ พอเห็นแก่คนรอบข้างนะ เวลาคนรอบข้างเขามีความสุข เขาได้รับการเจือจานจากเรา พอได้รับการเจือจานจากเรา เขาก็อยู่กับเราด้วยความที่ว่าไม่ระแวงคลางแคลงใจ ถ้าไม่ระแวงคลางแคลงใจกัน ใครเป็นสุข? ใครเป็นสุข นี่เราเป็นสุขเพราะเรารู้จักให้ เรารู้จักดูแลเขา ถ้าเรารู้จักให้รู้จักดูแลเขา นี่สิ่งนี้สิ่งที่เสียสละ ถ้าเราเสียสละขึ้นมา นี่เราจูงหัวใจของเราไง เราจะหาหัวใจของเรา เราจะจูงหัวใจเรา เราเสียสละทาน ศีล ภาวนา ศีลคือความปกติของใจ ถ้าจิตมันปกติขึ้นมา เห็นไหม มันมีความปกติของมัน โดยธรรมชาติของมัน

ศีลคือความปกติของใจ แต่พอศีลของเรานะ โฮ้ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามพูดปด ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ไปกังวลอะไรข้างนอก? ไม่พูดปดมันก็จบ เราไม่ลักทรัพย์มันก็จบ แต่เวลาคนถือศีลนะมันไม่บอกว่าความปกติของใจไง ไม่คิดว่าใจปกตินี้คือศีลไง มันคิดว่าห้ามลักทรัพย์ ห้ามพูดปด ห้ามสุราเมรัย ตกใจไปหมดเลย ทำอะไรก็หันรีหันขวาง หันรีหันขวาง ถือศีลทีไรเกร็งกันไปหมดเลย หันรีหันขวางจนทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเราตั้งใจของเรา ศีลคือความปกติของใจ รักษาใจตัวเดียว ถ้ารักษาใจเรา นี่ความปกติของมัน ปกติเพื่ออะไร?

ดูสิเราเสียสละนะ เราจูงมันเราจูงใจนะ ใจอยู่ไหนก็ไม่รู้จัก เราอยู่ไหนก็ไม่รู้จัก เราจูงเขาให้มีการเสียสละ เราจูงเขาให้เป็นปกติของใจ พอใจมันปกติ พอจูงจนมันอยู่ตัวของมัน เห็นไหม แล้วถ้ามันเกิดปัญญา นี่ไงที่ว่าโลกธรรม ๘ โลกธรรม ๘ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เห็นไหม สิ่งที่บอกว่ารูปอันวิจิตรมันไม่ใช่กิเลส มันไม่ใช่ ตัณหาความทะยานอยากของมนุษย์ต่างหากเป็นกิเลส ตัณหาความทะยานอยากของเราต่างหากเป็นกิเลส

ถ้าเป็นกิเลส เห็นไหม เป็นกิเลส แล้วหน้าที่การงานของเราล่ะเป็นกิเลสไหม? หน้าที่การงานไม่ใช่กิเลส เพราะคนเกิดมานี่มันเกิดมามีปากมีท้อง ต้องแสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต ชีวิตนี้เป็นของมีค่า สิ่งที่มีค่า อาหารเพื่อดำรงชีวิตมันไม่เป็นกิเลสหรอก ถ้ามันเป็นกิเลส เวลาพระเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาเป็นกิเลสไหม? นี่บอกว่าเป็นกิเลสนะ ความอยากเป็นกิเลส

อ้าว! ความอยาก เพราะเราอยากสุขอยากสบาย เราอยากจะมั่นคงในชีวิตของเรา เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเราเพื่อความมั่นคงของชีวิต เพื่อเราไม่ต้องเร่ร่อน นี่เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อความสงบของใจ ถ้าใจสงบ เขาบอกมันเป็นกิเลสๆ...มันเป็นมรรค คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร คนเราจะมีอยู่มีกินก็ต้องขยันหมั่นเพียร คนไม่ขยันหมั่นเพียร คนไม่ทำหน้าที่การงาน มันจะเอามาจากไหน?

นี่งานของโลก งานของโลกคืองานหาปัจจัยเครื่องอาศัยในการดำรงชีวิต ศีลธรรม ศีลธรรมนะ ศีลธรรมให้ในครอบครัวของเรา ในครอบครัวตระกูลของเรา ถ้าพูดกันรู้เรื่องนะ ยิ้มแย้มแจ่มใสอันนี้บุญมาก ในครอบครัวของเรานะมีความเข้าใจกัน มีความอบอุ่นในบ้าน สุดยอด บุญมันคือความรู้สึกของใจ ถ้าใจมันมีความรู้สึก เห็นไหม บุญเรานะมีแต่ความระแวง มีแต่ความทุกข์ยาก มันเครียด มันเผาลน ถ้ามันเผาลนนะ ถ้าเราทำความสงบของใจ จิตใจมันสงบเข้ามามันจะเห็นไง มันจะเห็น มันจะรู้เท่าไงว่าเราจะบริหารจัดการได้ในเรื่องหัวใจของเรา

ในเมื่อเราจะบริหารจัดการในเรื่องหัวใจของเรานะ ในครอบครัวของเรานี่สายบุญสายกรรม มากันโดยสายบุญสายกรรม เพราะมีเวรมีกรรมต่อกันเราถึงได้มาเกิดร่วมกัน ถ้าเกิดร่วมกันนะ ถ้าสายบุญสายกรรมที่เข้าใจกัน ดีกัน มันก็คุยกันรู้เรื่อง ถ้าจิตใจที่มันยังไม่เข้าใจกัน เราเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นปู่ เป็นย่า เราก็ต้องบริหารจัดการของเรา เราบริหารจัดการของเรา ดูแลของเรา สั่งสอนของเรา ดูแลของเรา แต่! แต่มันก็มีเวรมีกรรมอีกตัวหนึ่งที่มันจะไม่ได้ดั่งใจเราไง

ถ้าไอ้ตัวที่ไม่ได้ดั่งใจเรา ไอ้ตัวนี้ ไอ้เวรกรรมอันนี้ เห็นไหม กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมที่เขาได้ทำมามันเป็นพันธุกรรมของใจ ใจมีความรู้ความเห็นอย่างนี้ มีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ เขาก็คิดอย่างนี้ ทุกคนจะบอกว่าพ่อแม่ไม่รัก ทุกคนจะพูดอย่างนั้นหมด เพราะความจินตนาการของเขา ความรักคืออะไรล่ะ? ความรักเราก็ต้องดูแลเขา เราต้องต่างๆ เราก็ดูแลเขาอยู่ แต่เขาคิดของเขาไปอย่างนั้น เวลาเขาเป็นพ่อเป็นแม่คนนะ เวลาเขาโตมาเป็นพ่อเป็นแม่คนเขาจะรู้ เพราะว่าคนเราเกิดมาหน้าที่การงานมันรอบด้าน มันไม่มีหน้าที่เดียวใช่ไหม? ทุกคนก็บอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลา

คำว่าไม่มีเวลามันก็ต้องคิด เราต้องเสียสละของเรานะ นี่สิ่งที่หามา หามาเพื่อความมั่นคง แต่ความมั่นคงแล้วในครอบครัวเรามั่นคงไหมล่ะ? ถ้าในครอบครัวเรามั่นคง อันนี้สำคัญมาก ถ้าในครอบครัวของเรามั่นคง เห็นไหม นี่พูดถึงทางโลกนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถามว่าเราก็ต้องเป็นเช่นนี้หรือ?

ในครอบครัวมั่นคงไหม จะเป็นกษัตริย์อยู่แล้วนี่ท่านละทิ้งมา ละทิ้งมาเพื่อหาโพธิญาณ เพื่อหาความมั่นคงของจิต ถ้าจิตมันไม่เวียนตายเวียนเกิดไป มันไม่ต้องมาเกิดมาตายซ้ำซากนี้ อันนี้เป็นวุฒิภาวะของจิต จิตที่ดีเราอยู่ในครอบครัวตระกูลของเรา อยู่กับโลกก็อยู่ในโลกที่ดี เราเป็นคนดี ถ้าจิตใจที่สูงส่งเขาจะหาทางออกของเขา เขาจะประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์นี่จิตของเราล้วนๆ ถ้าจิตของเราล้วนๆ นะเราต้องดูแลรักษาของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปีนะ เพราะมันไม่มีใครสอนไม่มีใครบอก นี่ใครสอนใครบอก ฤๅษีชีไพรก็บอกว่านิพพานคือความสงบร่มเย็น สงบร่มเย็น แล้วสงบอย่างไรล่ะ? มันสงบอย่างนั้นนะ พอสงบแล้วเดี๋ยวมันก็ทุกข์มันก็ร้อน นี่โลกนี้เป็นอจินไตย มันมีของมันอยู่อย่างนั้น โลกนี้เป็นอนิจจังซ้อนเข้าไป ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่

สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายนี้เป็นอนัตตา เป็นอนัตตาต่อเมื่อเราไปรู้ไปเห็น แล้วมันพิจารณาของมัน มันจะเป็นอนัตตา อนัตตาเพราะมันจะเข้าไปชำระสะสางความเป็นอัตตา ความรู้ความเห็นของเรา เรายึดมั่น จิตดวงนี้มันยึดมั่นของมัน มันเป็นอัตตา แล้วกรรมมันก็ฝังมา สิ่งที่เป็นอัตตา แต่สิ่งที่เป็นอนัตตา ดูสิเวลาเรากระทบกระเทือนกัน เราบอกว่าขอโทษ ให้อภัยกัน เห็นไหม อนัตตาเราขอโทษ แต่ถ้าเป็นอัตตานะเขาทำเรา เขาทำเรา แล้วเราจะต้องมีการโต้แย้ง เขาทำเราๆ แต่ถ้ามันเป็นอนัตตานะ เขาทำแล้วก็แล้วกันไป

สิ่งที่เขาทำเขาทำด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจของเขา ก็อโหสิให้เขาไป แต่ถ้าเขาจงใจ เขามีการกระทำนะ ถ้าเขาทำเราเขาก็ทำต่อไปข้างหน้า ถ้าทำต่อไปข้างหน้า เดี๋ยวเขาก็ต้องมีเวรมีกรรมของเขา นี่พูดถึงการกระทำในหัวใจนะ

แต่ถ้าเป็นสมบัติทางโลก สิทธิของเราเราก็ต้องดูแลรักษา เราก็ทำของเราเต็มที่เพื่อดูแลรักษาทรัพย์ของเรา เพราะว่าในตระกูลใดก็แล้วแต่ไม่รู้จักซ่อมแซม ไม่รู้จักเก็บไม่รู้จักรักษาทรัพย์ ตระกูลนั้นจะยั่งยืนไม่ได้เลย ตระกูลใดจะยั่งยืนได้เขาต้องดูแลรักษาทรัพย์สมบัติของเขา สิ่งใดที่ชำรุดเสียหาย รู้จักซ่อมแซมบำรุงรักษา ตระกูลนั้นจะมั่นคง ตระกูลใดที่ไม่ดูแลรักษา ตระกูลนั้นจะเสื่อมไปข้างหน้าแน่นอน

นี้พูดถึงทรัพย์สมบัติ แต่เวลาเราพูดถึงทิฏฐิมานะ พูดถึงอัตตา พูดถึงความทุกข์จากภายใน เห็นไหม ความทุกข์จากภายในนี้เป็นนามธรรม สิ่งที่เขาทำแล้วนะเราก็อโหสิกรรมต่อเขา สิ่งที่เขาทำแล้วนะก็แล้วกันไป เป็นอนัตตา อนัตตาเพราะมันจะมาล้างความเป็นอัตตา ความเป็นอัตตา ความยึดมั่นถือมั่น สิ่งนั้นเป็นของเรา สิ่งนั้นมันทุกข์มันยาก มันเผาลนใจไง

ทรัพย์สมบัติมันไม่เผาลนใจ เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่กิเลส แก้วแหวนเงินทองก็ไม่ใช่กิเลส แต่ไอ้ความเจ็บช้ำน้ำใจอันนี้เป็นกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลสมันต้องเอาธรรมะเข้าไปชำระล้าง เอาธรรมะเข้าไปสะสาง เอาธรรมะเข้าไปเจือจานไง เจือจานให้สิ่งนี้ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งที่แล้วมันก็แล้วกันไป ทำไมมันทุกข์ร้อนอยู่นี่ สิ่งที่แล้วมันก็แล้วกันไป ทำไมเจ็บช้ำน้ำใจอยู่นี่ ถ้าเราไม่รู้จักเสียสละ เราไม่รู้จักผ่อนคลาย หัวใจมันก็ยึดมั่น

นี่กรรมมันเกิดตรงนี้ไง มโนกรรม กรรมอันนี้มันจะฝังใจกันไป นี่สายบุญสายกรรมจะมี เราอโหสิกรรมต่อเขา กรรมของเขาเป็นเรื่องกรรมของเขา กรรมของเรา เราไม่มี เราพยายามจะชำระล้างของเรา ถ้าเราชำระล้างของเรา เราดูแลใจของเรา นี่ที่ว่าศีลคือความปกติของใจ ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นั่นเป็นธรรมวินัย เป็นข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งนั้นเราบังคับมันเป็นวินัย แต่ถ้าเป็นหัวใจเราคือความปกติของใจ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อว่าสิ่งนี้เป็นกรรมๆ สิ่งที่เป็นกรรม กรรมคือการกระทำ ทำคุณงามความดีขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าคุณงามความดีมันเป็นประโยชน์กับเรา เรารักษาของเรา เราดูแลของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อหัวใจของเรา กรรมดีมันต้องมีการกระทำ ถ้ามีการกระทำมันก็เป็นมรรคสามัคคี นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามรรคสามัคคี มรรคมันรวมตัว มรรคญาณ เวลาธรรมจักร จักรมันหมุนนะ เวลาปัญญาเราแสวงหาเพื่อทรัพย์สมบัติของเรา นี้มันก็เป็นปัญญาทางโลก เวลาจิตสงบไปแล้ว ถ้ามันออกวิปัสสนา มันออกปัญญา

ดูจักรมันเคลื่อนสิ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความระลึกชอบ ไอ้เรานี่ทำหน้าที่การงานชอบไหม? ก็ชอบเพื่อเลี้ยงปากไง แต่ถ้างานของจิต จักรมันหมุนขึ้นมา ธรรมจักรมันหมุนมันติ้วๆ ในใจ ปัญญามันหมุน มันชำระล้าง นี่ภาวนามยปัญญามันเกิดอย่างใด? ถ้ามันเกิดอย่างนี้ขึ้นมานะ ถ้ามันเกิดอย่างนี้ขึ้นมา ชำระอย่างนี้ขึ้นมา ถ้ามันชำระอัตตา อัตตาคือข้อมูล อัตตาคือทิฏฐิมานะ อัตตาคือความรับรู้ไว้ ถ้ามันชำระล้างมันถอดถอนแล้ว เห็นไหม มันจะไปทุกข์กับอะไรล่ะ?

นี่เวลาเราทุกข์กันด้วยธาตุขันธ์นะ เวลาหิว เวลากระหาย เวลาเราทุกข์ประจำธาตุขันธ์ คือเรามีกายกับใจ เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความคิด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความรู้สึกนึกคิด นี่ถ้าเราชำระล้างใจของเราแล้ว สิ่งที่ความรู้สึกนึกคิด นี่ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์บริสุทธิ์ ขันธ์ล้วนๆ ขันธ์ไม่มีกิเลส แต่ถ้าเราเป็นปุถุชน เห็นไหม ขันธมาร ขันธ์นี่มีมาร มีกิเลสมันคิดมาด้วยมันบวกมาด้วย ถ้าเราชำระล้าง เราปล่อยแล้ว มันปล่อยหมด มันวางหมด พอมันวางหมดแล้ว นี่รูป รส กลิ่น เสียง มันก็เก้อๆ เขินๆ อยู่นั่นไง

เรามีความทุกข์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปปรินิพพานนะ

“อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน ตักน้ำมาเถอะ”

นี่เรากระหาย ร่างกายมันต้องการน้ำ เรามีร่างกายและจิตใจมันมีผลกระทบทั้งนั้นแหละ เวลาธรรมชาติของมันมันไม่มีผลกระทบ ผลกระทบนี้มันเป็นทุกข์ประจำธาตุขันธ์ มันเป็นทุกข์ประจำโลก นั่งนานก็เมื่อย นอนนานก็เมื่อย นี่มันเป็นทุกข์โดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติอย่างนี้ทุกคนมีเหมือนกัน แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันเผาลนอันนั้นแหละ อันนั้นแหละมันเผาลน ถ้าเราชำระอันนั้นได้จบ พอจบแล้วนะ สิ่งที่ว่าโลกธรรม ๘ มันก็คือโลกธรรม ๘ ในเมื่อทุกข์ประจำธาตุขันธ์ เจ็บปวดโอดโอยมันก็เรื่องธรรมดา ธรรมดาของมัน แต่จิตมันไม่รับรู้ จิตมันปล่อย

เวลาหลวงตาท่านจะเทศน์นะ เมื่อก่อนที่ท่านเจ็บเข่า เห็นไหม

“อ้าว ขา เอ็งปวดเอ็งก็ปวดไปนะ ข้าจะเทศน์เว้ย”

นี่ร่างกายมันจะเจ็บปวดอย่างไรท่านก็เทศน์ของท่านไปเรื่อย ไอ้เราถ้าร่างกายเจ็บปวดนะจบแล้วโอดโอยอยู่กับความปวดนั่นแหละ เห็นไหม ท่านปล่อยวางของท่าน โลกธรรม ๘ ท่านก็ทิ้งของท่าน แต่ถ้าเราทุกข์เรายาก เราทุกข์เรายากของเรานะ นี่ธรรมอันนี้มันจะมาธรรมโอสถ มันจะมาชโลมหัวใจของเรา ให้หัวใจของเราร่มเย็นเป็นสุข ในเมื่อทุกข์ประจำธาตุขันธ์ทุกคนก็มีเหมือนกัน ทุกคนก็ต้องหาอยู่หากินเหมือนกัน แต่อย่าให้หัวใจเราทุกข์ร้อนจนเกินไปนัก เอวัง