เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาไปวัดฟังเทศน์ เทศน์แจกแจงความเป็นไปของชีวิตเรา คนเราเกิดมาทุกคนปรารถนาความสุขทั้งนั้นแหละ แล้วความสุขทางโลก ถ้าเรามีอำนาจวาสนาเราก็พออยู่ทั่วโลกเขาไป ถูๆ ไถๆ ไปนะ ถูๆ ไถๆ ไปแบบว่าถ้าคนที่มีสติปัญญา เวลาแก่เวลาเฒ่า เห็นไหม แก่เฒ่านี่เห็นเด็กๆ เห็นคนทำงานมันขวางหูขวางตาไปหมด เพราะเราผ่านโลกมามากเขาก็จะไปอยู่ด้วยความสงบของเขา ไปจำศีล ไปเพื่อหาหนทางที่จะพ้นจากทุกข์ หาหนทางที่จะไปได้สะดวกสบาย
นี่พูดถึงทางโลกนะ แม้แต่ประสบความสำเร็จ เราเห็นเด็กๆ เห็นคนทำงานมันขวางหูขวางตาไปหมดแหละ เพราะเราเคยทำมา เขาทำไม่ได้ดั่งใจของเรา ขนาดนี่เป็นทางโลกนะ แต่ถ้าเราเป็นทางธรรมล่ะ? ฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์เรื่องหัวใจของเราไง ถ้าเราเตือนสติเรานะ งานทุกอย่างก็ได้ทำเสร็จหมดแล้ว แต่งานของเรา งานในหัวใจของเราเรายังไม่ได้เริ่มต้นเลย ถ้าเราเริ่มต้น เห็นไหม เราทำความสงบของใจของเราได้เราจะมีจุดเริ่มต้นได้
เราพูดบ่อยว่า ถ้าเข้าปากซอยถูกเราจะเข้าถึงบ้านของเรา ถ้าใครทำความสงบของใจได้ แล้วเข้าปากซอยได้ คือจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม ได้ตามความเป็นจริง นั่นคือปากซอยนะ ถ้าปากซอยนี่บ้านของเราอยู่ท้ายซอย ถ้าเราเดินเข้าไปมันจะเข้าไปสู่บ้านของเรา แต่ถ้าเราเข้าซอยไม่ถูก เราเข้าซอยไม่ถูก เราพยายามจะหาบ้านของเรา เราหาบ้านของเราไม่เจอ เราไปทั่วประเทศไปทั่วโลก หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะแจกแจงเรื่องชีวิตของเรา เราเองเราสงสัยในเรื่องชีวิตของเรา ทุกคนสงสัยว่าการเกิดและการตาย บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติมีไหม? เกิดมาแล้ว ตายแล้วจะไปไหน? ทุกคนสงสัยทั้งนั้นแหละ ทุกคนสงสัยเพราะอวิชชาพาให้สงสัย ในเมื่อเรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้ในหัวใจ มันจะเข้าใจเรื่องความรู้แจ้งเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีความสงสัยแน่นอน ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อในสัจธรรม แต่ก็สงสัย เพราะสัจธรรมเป็นสัจธรรมใช่ไหม? อวิชชาในหัวใจเราเป็นอวิชชาใช่ไหม? มันไม่ใช่อันเดียวกัน
นี่สัจธรรมต้องเป็นความจริง อวิชชาของเราก็เป็นความจริง แล้วอวิชชามันอาศัยหัวใจนี้เป็นที่อยู่อาศัย แล้วมันสามารถสำรอกคายออกได้ แต่สัจธรรมนั้นเป็นความจริง เป็นความจริงแต่มันสงสัยเพราะอวิชชาของเรา สงสัยเพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา ในเมื่อมันสงสัยเราถึงฟังเทศน์ไง ฟังเทศน์ตอกย้ำ ตอกย้ำให้มันมั่นคง ถ้ามันมั่นคงขึ้นมาแล้วมันจะพิจารณาของมัน มั่นคง เห็นไหม งานทุกอย่างเราก็ทำมาแล้วทั้งนั้นแหละ เวลางานอาบเหงื่อต่างน้ำเราทำได้ ทำไมเราหาหัวใจของเราไม่ได้? ทำไมเราหาหัวใจของเราไม่ได้? ทำไมเราทำความสงบระงับในใจเราไม่ได้
งานอย่างอื่นก็ทำได้ทั้งนั้นเลย แต่งานอย่างอื่นทำนี่เป็นงานของทางโลกด้วยนะ งานเพื่อสังคม งานเพื่อชาติ เพื่อตระกูลของเรา นี่งานของเราล่ะ? งานของเราคือสมบัติของเรา นี่สมบัติที่เป็นทิพย์ๆ มันไปกับเรา เวลาตายมันไปกับเรานะ ไปกับเรา เห็นไหม ทำบุญกุศลอุทิศส่วนกุศลให้กัน อุทิศส่วนกุศลนี่คิดถึง ระลึกถึงคุณงามความดีนี้ ให้ระลึกถึงคุณงามความดีของญาติของตระกูลของเรา อุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่เราปฏิบัติของเราเราจะเอาไปเอง มันจะไปกับใจดวงนี้ ใจดวงนี้เวลามันทุกข์ๆ ยากๆ มันก็ทุกข์ๆ ยากๆ อย่างนี้ แต่เวลามันได้สัมผัสไง นี่สันทิฏฐิโกมันรู้ มันเห็นของมัน ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน ทำไมโง่ขนาดนี้? ทำไมโง่ขนาดนี้?
เวลาคนที่เห็นธรรมนะ มันจะถามตัวเองว่าทำไมเราโง่ขนาดนี้ เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปเทศน์ที่เชียงใหม่ เทศน์ที่เชียงใหม่ผู้คนแตกตื่นมาก เวลาหลวงปู่มั่นเทศน์จบ นี่สมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านพูด ตอนนั้นท่านยังเป็นชั้นธรรม นี่หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านเทศน์มุตโตทัย ท่านเทศน์เรื่องของบุคคล เรื่องของเราเอง เรื่องความดำรงชีวิต เรื่องในหัวใจของเรา เรื่องเราทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมต้องให้พระเทศน์ล่ะ? ทำไมต้องให้คนบอกล่ะ? มันมองข้าม เรามองข้ามเรื่องของเราไปหมดเลย มองข้ามเรื่องของเรา พอเกิดมาแล้วเรามีสถานะแล้ว เราก็ต้องมีความมั่นคงของชีวิต เราก็ต้องการความมั่นคง เราส่งออกหมดเลย เราส่งออกหมดเราเลยมองข้ามไป
เวลาคนใกล้ตายนะมันจะหดสั้นเข้ามา มันจะปล่อยมาเรื่อยๆ ปล่อยลูก ปล่อยหลาน ปล่อยสมบัติ ปล่อยพัสถาน ปล่อยมาถึงตัวไง พอมาถึงตัว เราจะไปไหนล่ะ? เราจะไปไหน? นี่เรื่องของเราอยู่ตรงนี้ไง แต่เวลาถ้าเรายังไม่ใกล้ตายมันไปหมดแหละ มันคิดไปร้อยแปดพันเก้า แต่เวลามันใกล้ตายนะ ห่วงคนนู้น ห่วงคนนี้ มันเริ่มไม่ห่วงแล้ว มันเริ่มวางๆ เพราะมันห่วงไม่ได้ไง ถึงห่วงก็ต้องไป ถึงห่วงก็ต้องพลัดพราก แล้วเวลาจะไปใครไป? เราไป เวลาเราไปเราห่วงใครล่ะ? นี่เราจะเอาอะไรไปล่ะ? ก็เราทั้งนั้นแหละ มันจะปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามาจนถึงตัวนะ
เราเห็นอย่างนี้มาเยอะมาก เวลาถ้ามันว่าวันตายของเราอยู่ข้างหน้ามันไม่คิดถึงตัวแล้ว ห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ ห่วงไปหมดเลย แต่พอมันไปเข้ามาๆ นี้มันเป็นสัจจะความจริงนะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ท่านก็เทศน์เตือนตรงนี้แหละ เตือนที่ให้เราคิดถึงตรงนี้ ห่วงได้ไหม? ได้ เราห่วงได้ทั้งนั้นแหละ เพราะว่าสายบุญสายกรรม เกิดมาสภาคกรรมเราห่วงได้ทั้งนั้นแหละ แต่ความห่วงเราห่วงอย่างนี้ ยิ่งห่วง ยิ่งพ่อแม่ห่วงลูก ลูกเรารำคาญตายเลย นี่ยิ่งห่วง ยิ่งสงสาร ยิ่งรักเขานะ เขาอยากเป็นอิสระของเขา
นี่ไงเราห่วงได้ไหม? ได้ เราห่วงของเราด้วยสติปัญญาของเรา เราผ่านโลกมาแล้ว เราเข้าใจของเราได้ แต่เขาเข้าใจของเขาไม่ได้ ทุกคนอยากเป็นอิสระ แต่อิสระแล้วอิสระในอะไรล่ะ? ก็อิสระในความรู้สึกนึกคิดของเขา แต่ความจริงมันไม่ใช่หรอก มันไม่มีใครเป็นอิสระได้หรอก เพราะ! เพราะมันมีความสงสัย นี่เพราะมีอวิชชาครอบงำอยู่ในหัวใจ มันจะเป็นอิสระไปไหน? เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง มันขึ้นมาในหัวใจนะ มันมีแต่การที่มันจะขับดันมันออกไป มันจะเป็นอิสระที่ไหน? มันขับดันไปด้วยความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ แต่ถ้าเราศึกษาธรรมมาแล้วนะเราจะรักษาใจของเรา
สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด นี่ความรู้สึกนึกคิดของคนเร็วมาก แล้วเราใช้พุทโธ พุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด ที่มีพลังงานที่สุด นิวเคลียร์ นิวตรอนต่างๆ เขาทำระเบิดของเขา มันทำระเบิดทำลายคนอื่นนะ มรรคญาณ มรรคญาณในหัวใจของเรา สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดทำให้มันนิ่งที่สุด เอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น แล้วเกิดปัญญาจากพลังงานอันนี้ พลังงานอันนี้จะเข้ามาชำระล้าง ชำระล้างสิ่งที่ลังเลสงสัย สิ่งที่ไม่เข้าใจอยู่นี่ ถ้าทำสิ่งนี้ขึ้นมาได้มันประโยชน์เกิดตรงนี้ไง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมๆ เพื่อให้เราค้นคว้า
นี่นิวเคลียร์ นิวตรอนนะ ทางวิทยาศาสตร์เขาหาแร่ธาตุต่างๆ แล้วเขาเอามาพัฒนาของเขา จิตใจของเราเราต้องค้นต้องหาเอง สติก็ต้องเป็นสติของเรา สมาธิก็ต้องเป็นสมาธิของเรา แล้วถ้าเกิดปัญญานะมันก็เป็นปัญญาของเรา ปัญญาเกิดจากจิตนี้ เห็นไหม ปัญญาที่เกิดจากจิต แล้วมันเข้าไปชำระล้างจิต นี่ฟังเทศน์ๆ เพื่อให้เราเห็นคุณค่าไง ทรัพย์สมบัติใครก็อยากได้ ชื่อเสียง เกียรติคุณใครก็อยากได้ แต่ของอย่างนี้มันเป็นของธรรมะเก่าแก่ มันเป็นของประจำโลก แต่สิ่งที่เป็นคุณธรรมในหัวใจของเรา นี่สิ่งนี้ถ้าเป็นปัจจุบันธรรมมันเกิดขึ้น สิ่งนี้มันยังหาไม่ได้ สิ่งนี้มันยังหาไม่มี สิ่งที่หาไม่ได้หาไม่มี นี่เราจะต้องแสวงหาของเรา เราจะต้องทำของเรา ทำให้มันเกิดขึ้นมา
ถ้าทำให้มันเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ เรื่องอย่างนี้ชำระล้างขึ้นมาตั้งแต่กุปปธรรม อกุปปธรรม กุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ท่องกันปากเปียกปากแฉะนะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา มันเป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจังนะ มันปล่อยวาง อย่าไปยึดมัน มันปล่อยวางนะ...ปากเปียกปากแฉะ สัพเพ ธัมมา อนัตตามันก็เป็นอนัตตาไปหมดแหละ อนัตตาคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เราก็รับรู้ เราเคยไปเที่ยว เราเคยไปสัมผัสสรรพสิ่งนั้นหมด เราก็ว่าเราผ่านมาแล้วทั้งนั้นแหละ
อนัตตา เวลาไปอยู่กับมัน เห็นไหม นี่มันเป็นอนิจจังเรามาเจอกันแล้ว นี่พอใจว่าเป็นสุข เป็นทุกข์ พอเราจากมันไปนี่อนัตตา นี่อนัตตาแล้ว มันก็เป็นอนัตตาทั้งนั้นแหละ ท่องกันปากเปียกปากแฉะว่าเป็นกุปปธรรม แล้วถ้าเราพิจารณาของเรา เราทำของเรามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงขึ้นมาจากสัจธรรม นี่บัญญัติ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา
เวลามันเป็นจริง เป็นจริงเพราะอะไร? เป็นจริงเพราะมีการกระทำ มันมีสมาธิจริงๆ สมาธิจริงคือว่ากำลังของใจจริงๆ มันมีปัญญาจริงๆ ที่เกิดจากใจดวงนั้นจริงๆ ความจริงๆ คือมีการกระทำอันนั้น อันนั้นคือเป็นมรรค มรรคที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกิจจญาณ สัจจญาณ มีการกระทำอันนั้น พอมีการกระทำอันนั้นมันก็เกิดผล ผลมันคือธรรมะ ผลมันคือสัจจะความจริง ผลมันคืออกุปปธรรมไง อกุปปธรรม อฐานะที่จะแปรสภาพ อฐานะที่จะเปลี่ยนแปลง อฐานะ เห็นไหม
นี่จิตใจที่เวียนตายเวียนเกิด จิตใจที่ลุ่มๆ ดอนๆ จิตใจที่มันเป็นไปได้ร้อยแปดพันเก้า พอมันเป็นอฐานะ เห็นไหม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว คงที่แล้ว มันเป็นอนัตตาไหมล่ะ? นี่ธรรมมันไม่เป็นอนัตตา ถ้าเป็นสัจธรรมเป็นอกุปปธรรมไม่ใช่อนัตตา มันพ้นจากอนัตตาไป แต่เวลากระทำนี่เป็นอนัตตา เพราะทุกข์ เห็นไหม ถ้ามันเป็นอนัตตามันก็ทุกข์จนตายไง ถ้ามันเป็นอนัตตามันผ่านไป นี่ทุกข์ก็ผ่านมาแล้ว สิ่งใดก็ผ่านมาแล้วนี่เป็นอนัตตา การกระทำของเราเป็นอนัตตา มันถึงคงที่ นี่สมาธิก็อยู่คงที่ไม่ได้ สมาธิเราต้องดูแลรักษาของมัน ปัญญาเราใช้มากก็เสื่อมออกไป นี่เราพยายามรักษาของเรา เจริญงอกงามของเรา มันเจริญงอกงาม เห็นไหม
รดต้นไม้ที่โคนต้น ผลมันจะออกที่ปลาย รดต้นไม้ที่โคนต้น แล้วจะหวังผลไปที่นั่นมันไม่เกิด รดต้นไม้ที่โคนต้น ต้นไม้มันเจริญเติบโตของมันขึ้นไป มันจะเกิดมรรคเกิดผล ผลอันนั้นเราจะได้ประโยชน์ของเรา เราทำคุณงามความดี เราทำความเพียรของเรา นี่รดต้นไม้ที่โคนต้น ผลของมันคือหัวใจที่มันเป็นธรรมๆ รดต้นไม้ที่โคนต้น แล้วก็บอกว่าสมาธิก็ไม่เป็นสักที อะไรก็ไม่เป็นสักที โคนต้นไม้ๆ มันจะไปออกกันที่ปลาย ออกกันที่ปลายนะ เวลามันเจริญงอกงามขึ้นมานะผลมันจะออกที่ปลาย ออกที่ปลายนี่รสหวานกลมกล่อม เห็นไหม
สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำเราต้องขยันหมั่นเพียรตรงนี้ไง นี่เอาหัวชนฝาไง รดต้นไม้ที่โคนต้น มันอยู่ที่โคนต้นมีแต่ไส้เดือน มีแต่ไส้เดือน มีแต่ปุ๋ยคอก นี่ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้? มันก็ต้องทุกข์ยากขนาดนี้แหละ เพราะธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าไม่มีเหตุมีผลเอาธรรมมาจากไหน? ธรรมมาจากฟ้าก็ไปปล้นชิงนะ ถ้าทางโลกไปปล้นชิงมา แต่นี้เราไปครูพักลักจำมา จำจากอันนั้นมา จำจากอันนี้มา นี่ปล้นชิงเขามา แต่ถ้าเป็นของเรานะ เราฝึกหัดจนเป็นขึ้นมา เราเป็นเอง เราทำเอง ใครจะว่าอย่างไรเราก็ทำของเราได้
นี่เวลาฟังธรรม ฟังธรรมแบบนี้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ก็เทศน์เรื่องตีแผ่ความรู้สึกนึกคิด ความที่เป็นความหมักหมมของใจ ตีแผ่ให้เราย้อนทวนกระแสกลับมาให้ดูผลงานของเรา ให้ดูความหมักหมมในใจของเรา อันนี้จะเป็นสัจจะความจริงนะ การศึกษานั้นเป็นของครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านบอกว่าเที่ยวไปดูเศรษฐีธรรม ไปหาครูบาอาจารย์ ไปดูธรรมของคนอื่น ธรรมของคนอื่น แล้วธรรมของเราล่ะ? เราต้องมีธรรมของเรา เราต้องปฏิบัติของเรา ถ้าปฏิบัติขึ้นมาอย่างนี้มันจะเป็นสัจจะความจริง มันจะไม่ลังเลสงสัย
นี่ร่มโพธิ์ร่มไทรนะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา เราก็อาศัยร่มเงาอันนั้นแหละ เราไปศึกษา เราไปอาศัยพักพิงก็อาศัยร่มเงาอันนั้น แต่! แต่ถึงเวลานั้นร่มโพธิ์ร่มไทรมันก็ต้องล้มไปเป็นธรรมดา เราจะต้องทำตัวของเราขึ้นมาให้มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้นกกามันอาศัย คนมันจะได้เข้ามาอาศัยความร่มเย็นจากร่มโพธิ์ร่มไทรนี้
นี่ดูแลใจของเรา สร้างหัวใจของเรา สร้างที่นี่ ความจริงที่นี่จะประเสริฐที่สุด แก้วแหวนเงินทองใช้จ่ายไปแล้วมันหมด คุณธรรมในหัวใจมันไม่หมดหรอก ไม่มีวันหมด มันจะอยู่กับเราตลอดไป ตายก็ตายไปกับเรา อยู่กับเราทั้งนั้น ถ้าทำคุณงามความดี ความดีคือความดีของเรา ฉะนั้น เราทำเพื่อเรา ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นเลย เราทำเพื่อหัวใจดวงนี้ เราทำเพื่อหัวใจของเรา เพื่อให้หัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง