เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ ส.ค. ๒๕๕๕

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๕

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ เราก็เป็นเด็กมาก่อนทั้งนั้น แต่เราคิดได้หรือไม่ได้ล่ะ? ถ้าเราคิดได้นี่มันเตือนสติ เวลาฟังธรรมๆ นะบางคนรำคาญมาก ฟังธรรมแล้วก็นิพพานๆ ไม่ต้องนิพพานหรอกหลวงพ่อ เอาแค่สวรรค์ก็พอ เอาแค่ร่ำแค่รวยก็พอ แล้วตอนนี้ไปทำบุญ เห็นไหม ใครๆ ก็บอกให้รวยๆ ถ้าให้รวยๆ ไปหาโบรกเกอร์ก็ได้ โบรกเกอร์มันพาซื้อหุ้นมันก็รวย คนรวยคนจนมันทุกข์เหมือนกันแหละ คนรวยก็ทุกข์แบบคนรวย คนจนก็ทุกข์แบบคนจน เราบอกทำให้รวยๆ

ฉะนั้น สิ่งที่รวยมันรวยมาด้วยสิ่งใดล่ะ? ให้รวยๆ แล้วบอกว่าเวลาฟังเทศน์ก็ฟังเทศน์แบบว่าให้ร่ำให้รวย ให้ทำประสบความสำเร็จ ความประสบความสำเร็จมันก็เกิดความสุขอย่างหนึ่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์

“อานนท์ เธอบอกเขานะอย่าบูชาด้วยอามิสบูชาเลย ให้ปฏิบัติบูชาเถิด”

เพราะการปฏิบัติบูชานี่มันทำใจให้มั่นคง ทำใจให้รู้จริง ถ้าทำให้รู้จริง มันจะรวยหรือไม่รวยจิตใจอันนั้นมันมีคุณค่ามาก ดูพระธุดงค์นะ พระใหม่ๆ ออกธุดงค์มันจำเป็นไปหมดแหละ มันก็จะเอาสิ่งใดใส่ในถุงบาตรไปหมดเลย มันจะหอบเป็นบ้าหอบฟางไปเลย แต่พอธุดงค์รอบแรก รอบสอง รอบสามนะ มันจะไม่เอาอะไรไปแล้ว มันเอาแต่ความจำเป็นไปเพราะมันหนัก แบกบริขารไปแล้วเดินไปลุยป่าลุยดงไปนะ เพื่อความสงบสงัดใช่ไหม? แต่เวลาเราออกไปที่แรกเราไม่เคยไปใช่ไหม? อะไรก็มีความจำเป็นไปหมด ทั้งสบู่ ทั้งเทียน ทั้งถ่านไฟฉาย มันจะไปเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตในป่า นี่ด้วยความคิดของใจไง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่บอกว่าให้ร่ำให้รวย ให้ร่ำให้รวย มันคิดของมันไปนะ รวยขึ้นมาแล้วสุขหรือทุกข์ ถ้ามันเป็นความสุขเป็นความดีงามนะ มันรวยขึ้นนะมันก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มันเป็นความสมดุลเป็นความจริงของมัน อันนี้ก็ถูกต้องดีงาม คนจะร่ำจะรวยบอกไม่อยากรวย อยากจะจนมันก็เป็นไปไม่ได้ เวลาคนมีอำนาจวาสนานะ สิ่งที่เราทำสิ่งใดมันประสบความสำเร็จไปทั้งนั้นแหละ เราจะปฏิเสธไม่ได้หรอก ถ้าเราทำสิ่งใดแล้วมันประสบความสำเร็จมันก็คือประสบความสำเร็จ เพราะ เพราะอำนาจวาสนาของคนสร้างมาไม่เหมือนกัน แต่เวลาเราทำสิ่งใดประสบความสำเร็จอันนี้จะเป็นกิเลสนะ เราต้องเป็นคนทุกข์คนจนเราถึงจะมีคุณธรรม เป็นอย่างนั้นหรือ? มันไม่ใช่ มันไม่ใช่หรอก

สิ่งที่เป็นคุณธรรมในหัวใจนะ ดูสิเวลาในสมัยพุทธกาล เห็นไหม พระสีวลี นี่เวลาไปไหนร่ำรวยรองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบางองค์ไปไหนนะขี้ทุกข์ขี้ยากทั้งนั้นแหละ อย่างนั้นเพราะอะไรล่ะ? เพราะเขาทำของเขามาทั้งนั้นแหละ ถ้าเขาทำสิ่งใดของเขามานี่กรรมมันให้ผล ถ้ากรรมให้ผลนะใครเป็นคนทำล่ะ? การกระทำก็เราทำของเรามาเอง ถ้าเราทำของเรามาเอง ฉะนั้น เวลาฟังเทศน์ เทศน์ถึงที่สุดมันถึงที่สุด กับเทศน์ครึ่งๆ กลางๆ ทุกคนเข้าใจกันเอง เข้าใจกันเองว่าถ้าร่ำถ้ารวยแล้วมันจะมีความสุขไง

ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข พวกนี้ถ้าไม่เข้าใจเรื่องบุญนะ เวลาพูดบอกว่าใครทำบุญแล้วรวย ทำบุญแล้วรวย มันเป็นเรื่องของโลกๆ นะ โบรกเกอร์ก็ทำให้เอ็งรวยได้ ถ้าเขาทำให้เอ็งรวยได้ เอ็งไปทำอย่างนั้นเอ็งรวยขึ้นมาแล้วทุกข์ไหมล่ะ? มันก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าพูดถึงเวลาจิตใจนะ บุญกุศลหมายถึงว่าสิ่งที่ว่าในใจของเรามันไม่มีสิ่งใดเป็นความรกรุงรังในใจ คิดสิ่งใดก็ปลอดโปร่ง จะทำสิ่งใดก็สมความปรารถนา สิ่งที่เรารักเราคุยกันรู้เรื่องไง ในครอบครัวยิ้มแย้มแจ่มใสในครอบครัวนั้น ในครอบครัวไหนเวลาเราทำสิ่งใดเข้าใจกัน นั่นแหละบุญ

บุญ เห็นไหม เราทำสิ่งใดไม่มีใครขัดแย้ง ไม่มีสิ่งต่างๆ สิ่งนี้หาได้ยากมาก แต่เวลาเราไปคิดถึงว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งนั้นเป็นบุญๆ ของเรา คิดกันไปเองไง พอคิดกันไปเองก็เหมือนคนไม่รู้ไง พอคนไม่รู้จักสิ่งใดมันก็ผิดพลาดไปตลอด แต่ถ้าถึงที่สุดนะเราเสียสละของเราเอง เห็นไหม เราเสียสละอารมณ์ความขุ่นมัวในใจ เวลาใจมันขุ่นมัว ใจมันเคียดแค้น ใจมันบีบคั้นทำไมไม่เสียสละ?

ถ้าเราจะเสียสละเราก็ฝึกหัดมาตั้งแต่ปัจจุบันนี้ เราเสียสละของเรานี่เสียสละทาน เสียสละเพื่อให้ใจมันเปิดกว้าง ให้มันมีเหตุมีผล ทำไมต้องเสียสละล่ะ? โอ๋ย! หามาเกือบเป็นเกือบตายเลย ทำไมเราต้องเสียสละล่ะ? อ้าว! เสียสละให้ชีวิต สิ่งที่เราเสียสละไปมันเป็นการดำรงชีวิตนะ นี่อาหาร ๔ กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร นี่ผัสสาหาร อาหาร ๔ ในวัฏฏะ

ในเมื่อสิ่งนี้เป็นอาหาร ๔ อาหารคือเครื่องดำรงชีวิต เกิดในภพใดชาติใด มีอาหารสิ่งใดการดำรงชีวิต แล้วเราเสียสละสิ่งนี้เพื่อชีวิต เราจะได้บุญไหม? สิ่งที่ได้บุญนะ แต่กิเลสมันบอกว่า อ้าว! ของเรา ไม่ให้ ของเราเราต้องดำรงชีวิตของเราเอง เราก็ทุกข์ยากขนาดนี้แล้ว นี่เราทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วเราหามาเป็นความทุกข์ความยากของเรา เราจะสละไปทำไม? นี่ก็หามาให้มันเน่า ให้มันหมักหมมในใจไง หามาให้มันเครียดไง หาเงินมาแล้วก็มาเป็นเจ้านายไง มาคอยรักษามันนะ วันๆ วิตกคิดถึงมันไง นี่มันจะเสื่อมค่าไปเมื่อไหร่? มันจะเพิ่มกี่เปอร์เซ็นต์ โอ๊ย! หัวแทบแตก

นี่หามาแล้ว หามาเป็นเจ้านายไง แต่ถ้าหามามันเป็นประโยชน์กับเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าหาเงินมาได้บาทหนึ่ง เราใช้ลงทุนเพื่อการดำรงชีวิตของเราสลึงหนึ่ง เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เราสลึงหนึ่ง นี่เราเก็บไว้เพื่อเจ็บไข้ได้ป่วยอีกสลึงหนึ่ง อีกสลึงหนึ่งฝังดินไว้ ฝังดินไว้ไง ฝังดินไว้คือทำบุญกุศล ฝังดินไว้ ถ้าฝังดินไว้คือฝังไว้ในหัวใจไง ถ้าใจมันเสียสละ ใครเป็นคนเสียสละ?

นี่วัตถุสิ่งของมันมาได้ไหม? จิตใจเป็นผู้เสียสละ ภวาสวะ ภพ นี่จิตที่เวียนตายเวียนเกิดฝังมันไว้ ฝังบุญกุศลไว้กับภวาสวะ กับภพ กับชาติ กับหัวใจของเรา ถ้าฝังสิ่งนี้ไว้มันจะพัฒนาของมัน พอมันพัฒนาของมัน นี่เราทำไว้ เวลาเราทำไว้ เวลาเราเกิดมาทำสิ่งใดก็มีคนจุนเจือ ก็มีต่างๆ ทำสิ่งใดก็สมบูรณ์ตลอด แต่ถ้ามันขาดแคลนนะ มันขาดแคลนของมันอยู่อย่างนั้นแหละ

ฉะนั้น สิ่งที่เราสร้างมา เราเสียสละขึ้นมาก็เพื่อฝึกหัดใจของเรา ถ้าใจของเรามันฝึกหัดมันก็ฟังธรรมเข้าใจนะ พอฟังธรรมเข้าใจ เห็นไหม พอฟังธรรม เวลาฟังธรรมคนที่จิตใจยังอ่อนด้อย พูดอะไรนิพพานๆ ไม่รู้เรื่อง โอ้! น่าเบื่อ เออ! พูดถึงสวรรค์สิมันเป็นทิพย์สมบัติ พูดถึงพรหมสิ โอ๋ย! พูดถึงสวรรค์นะ พูดถึงทรัพย์สมบัติ เออ! มันเป็นความสุข จิตใจคนที่ยังอ่อนด้อยมันก็คิดอย่างนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนผู้ใหม่ อนุปุพพิกถา ให้เสียสละทาน เสียสละทานแล้วมันก็จะได้สวรรค์ ได้สวรรค์แล้วมันก็ถือเนกขัมมะ ถ้าถือเนกขัมมะคือถือพรหมจรรย์ ถือพรหมจรรย์จิตใจเขาควรแก่การงาน พอจิตใจเขาควรแก่การงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศน์อริยสัจ ทุกข์! ตั้งแต่พรหมลงมาทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ สมุทัยความไม่รู้ สมุทัยตัวตัณหาความทะยานอยากมันขับไสให้จิตมาเกิดในสถานะแบบนั้น

นี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ นิโรธคือการดับทุกข์ ดับทุกข์ด้วยอะไร? ด้วยมรรคญาณ มรรคญาณมันคืออะไร? มรรค ๘ มันคืออะไร? เห็นไหม เราเสียสละของเราอย่างนี้ เราศึกษา พอศึกษา พอใจมันเปิดกว้าง เหมือนภาชนะที่คว่ำอยู่มันหงายขึ้นมา พอหงายขึ้นมาเราจะเห็นทรัพย์ที่เป็นสิ่งที่ละเอียด เห็นไหม ทรัพย์สมบัติที่เราเห็นเป็นวัตถุว่าสิ่งนี้เป็นทรัพย์สมบัติ แล้วคุณงามความดีเป็นทรัพย์สมบัติไหม?

หลวงตาท่านพูดบ่อยนะ “พระนี่มีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ”

มีศีลมีธรรม ศีลนี่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นี่สมบัติของเรา สมบัติของมนุษย์ มนุษย์มีศีลเป็นสมบัติ มนุษย์มีศีลธรรมเป็นสมบัติ แล้วเป็นสมบัติ แต่เราไม่เห็นศีลธรรมนี้เป็นสมบัติไง เราไปเห็นแก้วแหวนเงินทองข้างนอกเป็นสมบัติไง ถ้าสิ่งนั้นเป็นสมบัติเราก็แสวงหามาใช่ไหม? พอแสวงหามาด้วยความถูกและความไม่ถูก ความถูกต้องและความเบียดเบียนมา สิ่งนั้นเราหามาเราหามาด้วยสิ่งใด? แต่ถ้าเรามีศีลธรรมขึ้นมา เราหานี่แผ่นดินธรรม พอเป็นธรรม เป็นธรรมมันเสียสละ มันเจือจานกันเกิดแผ่นดินทอง

แผ่นดินทองเพราะอะไร? เพราะมันสุข มันมีความสุข มันมีการเจือจานต่อกัน มันได้สิ่งใดมาสิ่งนั้นก็เจริญงอกงาม ถ้ามันเป็นแผ่นดินทองแต่มันแย่งชิงกัน ทองคำก็ฆ่ากัน ทองคำก็ทำลายกัน ทำลายเพื่อจะเอาทรัพย์สมบัติอันนั้นไง แต่ถ้าเป็นสมบัติแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง เห็นไหม เพราะมันเป็นธรรมใช่ไหม? ได้มาเราก็เสียสละกัน เราก็เจือจานต่อกัน เราก็แบ่งปันกัน เราก็ดูแลรักษากัน มันก็เป็นสมบัติ

ถ้ามันเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มันเป็นปัญญา ทรัพย์ที่เป็นนามธรรม มันมีอยู่ในสมองเรา เห็นไหม คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยปัญญา ปัญญานี่มันทำให้ชีวิตของเราไม่ตกต่ำ ไม่ทำชีวิตเราให้ไปตามอำนาจของสมุทัย อำนาจของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้เราจะดึงหัวใจของเราขึ้นมา เวลาถือพรหมจรรย์นะ ถือพรหมจรรย์เขาบอกว่าแห้งแล้ง นี่เวลาอยู่ทางโลกเขากินเหล้าเมายา เขาเสเพล เขามีแต่ความอยู่ทางโลก เขาบอกเขามีความสุข เออ! เราเห็นเขาก็มีความสุขเนาะ กินเหล้าเมายาแล้วเขามีความสุขเนาะ พอเราถือศีลขึ้นมาขาบอกว่าแห้งแล้ง ชีวิตจืดชืด เขาว่านะ

นี่พอพูดอย่างนั้นปั๊บ เออ! เดี๋ยวเราจะไปกินเหล้าเมายากับเขา เพราะเราไม่อยากจืดชืดไง นี่เราไปฟังลมปากเขา ธรรมะเก่าแก่ โลกธรรม ๘ นินทาสรรเสริญ มันมีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว คนเราเกิดมาก็ถือขวานมาคนละเล่ม มีปากมาคนละปาก แล้วก็ถากกันไป ถากกันมา ไอ้เราก็ถากกันหน่อยก็เลือดซิบๆ เออ! เดี๋ยวจะไปคลุกคลีกับเขา จะไม่แห้งแล้งไง มันจะแห้งแล้งไปไหนล่ะ? มันแห้งแล้งที่ไหนล่ะในเมื่อเรามีหลักของเรา นี่ชีวิตที่มันเป็นเอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น

ถ้าจิตตั้งมั่น ดูต้นไม้ เห็นไหม เขาบอกเวลาเปรียบต้นไม้ให้เหมือนหญ้า เวลาหญ้ามันพัดมา ลมพัดมามันก็อ่อนไป มันไม่หัก ไม่โค่น ไม่ล้ม ถ้าต้นไม้ใหญ่ลมพัดมามันจะล้ม แต่จิตใจมันตั้งมั่นของมัน นี่มันไม่เป็นเหยื่อของใครไง มันไม่เป็นเหยื่อของสังคม มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันยังมีอิสรภาพเสรีของมัน อยู่ในป่าในเขาของมัน มันใช้ชีวิตของมันตามประสาสัตว์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เกิดมาต้องสร้างกฎหมาย ต้องสร้างกติกาขึ้นมาเหมือนกรงขัง มนุษย์สร้างกรงขังขึ้นมา แล้วก็อยู่ในกรงขังของตัวเอง แล้วก็บอกว่า “ร้อน ร้อน ร้อน” มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันไปตามธรรมชาติของมัน เห็นไหม ถ้าธรรมชาติของมัน มันอยู่ประสาของมัน

ฉะนั้น ถ้าเราโง่กว่าสัตว์ เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นอิสรภาพล่ะ? ความเป็นอิสรภาพนะ อิสรภาพในใจของเรา นี่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่ออยู่ด้วยกันต้องมีกติกา กติกาคือการรอนสิทธิ์ของเรา เราจะทำสิทธิเสรีภาพตามความพอใจของเราไม่ได้ มันไปกระทบกระเทือนคนอื่น มันถึงต้องรอนสิทธิ์ของเรา การรอนสิทธิ์นี้เพื่อสังคม เพื่อสภาวะความร่มเย็นเป็นสุขของสังคม ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์จะมีโอกาสประพฤติปฏิบัติใช่ไหม? แต่เวลาเป็นอิสรภาพมันเป็นอิสรภาพที่ใจของเราไง ถ้าใจของเรามันปลดเปลื้องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรานะ สิ่งที่มันเศร้าหมอง สิ่งที่มันกดดันอยู่ในใจถ้าเราเพิกออก เราถอนออก

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาสิ้นกิเลสไปแล้ว ธรรมธาตุอันนี้มันเวิ้งว้าง มันเหมือนพญามังกรไปในสามโลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันกว้างขวางนะ จิตใจที่มันพ้นออกไปจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบรรจุกามภพ รูปภพ อรูปภพ อยู่ในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นครอบงำหมดเลย มันเป็นอิสรภาพไหม? มันเป็นเสรีภาพไหม?

แต่เวลาบอกว่าอิสรภาพๆ อิสรภาพทางโลกนี้เราจะเบียดเบียนกัน เราจะคะคานกัน เราจะมีอำนาจวาสนาเหยียบหัวคนอื่น มันบอกว่าเป็นอิสรภาพนะ แต่เวลาจิตใจของมันมันไม่ดูแลไง ถ้าเราดูแลหัวใจของเรา เห็นไหม เรารักษาหัวใจของเรา เราพิจารณาหัวใจของเรา นี่สิ่งที่มันเจ็บช้ำน้ำใจ สิ่งที่มันเห่อเหิมทะเยอทะยานมันมาจากไหน?

นี่เราพิจารณาของมัน เราแยกแยะมัน เรามีเหตุมีผลในหัวใจของเรา เวลามันปล่อยหมดๆ ปล่อยภวาสวะ ปล่อยภพ ปล่อยที่ว่า ๑ สลึงฝังดินไว้ ๑ สลึงฝังดินไว้ ฝังดินไว้เพื่อให้มันเจริญงอกงาม ฝังดินไว้เพื่อให้มันเกิดหน่อพุทธะ ถ้าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เขามีขึ้นมา มันจะกลับเข้าไปทำลายภวาสวะ ทำลายภพ มันก็เป็นธรรมธาตุ ธาตุที่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมไม่มีสิ่งใดจะครอบงำมันได้ นี่ไงอิสรภาพมันเกิดที่นี่

ไม่ใช่อิสรภาพ เราคิดสิ่งใดเราก็จะทำตามพอใจเรา เราจะเบียดเบียนใคร ใครจะเดือดร้อนกว่าเราอันนี้เป็นเสรีภาพนะ แต่หัวใจมันไม่มองว่าเป็นเสรีภาพ ไม่เป็นเสรีภาพ ถ้าเป็นเสรีภาพ เป็นภราดรภาพ ความเสมอภาค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลกับอนาคต เวลาพระศรีอริยเมตไตรยนี่เสรีภาพ ภราดรภาพ เหมือนกันหมด เหมือนกันด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง แตกต่างกันด้วยอำนาจวาสนาบารมี

๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การสร้างสมมาแตกต่างกัน ๔ อสงไขยกับ ๑๖ อสงไขย จะให้เท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้ ๔ อสงไขยก็มีอำนาจวาสนาในอำนาจของ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขยก็มีอำนาจวาสนาใน ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนี้มหาศาล ๘๐,๐๐๐ ปี อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ภาวนาใช้ได้ ภาวนาจะสำเร็จด้วยความง่ายดาย นั่นเพราะการสร้างสมมา เห็นไหม สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาอยู่ที่การสร้างสมมา

ฉะนั้น จะว่าถ้าเราเป็นเสรีภาพของเรา เราจะเป็นบุคคลที่ดีงามของเรา มันต้องดีในหัวใจของเรา เราจะรู้เราจะเห็นเอง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ความดีและความชั่ว ไม่มีความลับในหัวใจของเรา เราทำเอง เรารู้เอง ทางโลกเขายังรู้ไม่ได้กับเรา แต่เรารู้ของเราได้ ในหัวใจของเรามันจะดีมันจะชั่วมันอยู่ที่หัวใจของเรา นี้คือการฟังเทศน์นะ

เวลาฟังเทศน์ เขาก็อยากฟังว่าร่ำว่ารวย แต่ฟังแบบว่าให้สิ้นสุดแห่งทุกข์นะ งง แล้วก็เบื่อมาก หลวงพ่อพูดแล้วพูดเล่า

เวลาแสดงธรรมมันต้องแสดงถึงที่สุด ในการแสดงธรรมเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ถ้าแสดงธรรมที่เบื้องต้นและท่ามกลางเท่านั้น ที่สุดหาไม่เจอ ธรรมะมันด้อยค่าลง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหามาเป็นพระโพธิสัตว์ กว่าจะตรัสรู้มาแต่ละองค์แสนทุกข์แสนยาก แล้วเวลาเอามาใช้ก็ใช้แค่ ๑ ใน ๔ ใช้แค่ครึ่งเดียว ใช้อะไร? ใช้แค่ระดับทาน ระดับเพื่อสังคม แต่ไม่ได้ดับเพื่อหัวใจไง ไม่ได้ดับเพื่อใจของเรา ถ้าดับใจของเรามันสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ เอวัง