ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

บ่อน้ำตื้น

๑๙ ส.ค. ๒๕๕๕

 

บ่อน้ำตื้น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๑๐๘๕. ไม่มี ข้อ ๑๐๘๖. ไม่มี ข้อ ๑๐๘๗. เนาะ

ถาม : ๑๐๗๘. เรื่อง “กราบขอบพระคุณหลวงพ่อ” (เขากราบขอบพระคุณ)

กราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ตอบคำถามที่คราวก่อนถามเรื่องอ้างเล่ห์

ตอบ : คำว่าถามเรื่องอ้างเล่ห์นี่เขาถามปัญหามา ถามปัญหามาถึงการประพฤติปฏิบัติที่ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนั้น? พอมันทุกข์มันยากขนาดนั้นเขาก็แบบว่าความคิดของเขาก็บีบคั้นตัวเขาเอง บีบคั้นตัวเขาเองโดยที่เขาไม่เข้าใจว่าความคิดของเขาเขาคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมะ เวลาเรามาวัดเราบอกว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เวลาไปวัดเขาบอกว่าอเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ไม่ให้คบคนพาลให้คบบัณฑิต

บัณฑิตคืออะไรล่ะ? บัณฑิตคือคนที่จิตใจเป็นธรรม พอเราไปวัดไปวา เราไปวัดไปวากันนี่เป็นบัณฑิต บัณฑิตเพราะอะไร? เพราะพวกนี้แสวงหาธรรม พอเป็นบัณฑิตนี่ไปคบบัณฑิต พอบัณฑิตกับบัณฑิตมาเจอกัน บัณฑิตกับบัณฑิตก็ทะเลาะกัน บัณฑิตกับบัณฑิตก็มีปัญหากัน ทีนี้ถ้าบัณฑิตกับบัณฑิตมีปัญหากันเพราะอะไร? เพราะนั่นน่ะทิฐิของเขาไง

ทิฐิมานะคือแนวทางปฏิบัติไง พอแนวทางปฏิบัติไป ใครจะดีกว่าของใคร? ใครจะชัดเจนกว่าของใคร? ใครจะลัดสั้น ใครจะสะดวกกว่าของใคร ก็เอาสิ่งนั้นมาโต้เถียงกันเพื่อจะเอาชนะคะคานกัน แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ถ้าเป็นธรรมเราจะฟัง เราจะฟังแนวทางปฏิบัติของแต่ละบุคคล ถ้าใครมีแนวทางปฏิบัติสิ่งใด ถ้าเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ถ้าแนวทางของเราไม่เหมือนกับเขา ถ้าเราปฏิบัติไปแล้วเราสะดวก หรือเราปฏิบัติแล้วเราได้ผลของเรา นั้นคือจริตนิสัยของเรา

ถ้าเราปฏิบัติของเราเต็มที่ของเราแล้ว เราปฏิบัติแล้วลุ่มๆ ดอนๆ เราปฏิบัติแล้วมันล้มลุกคลุกคลานตลอดไป เราควรจะใช้อุบายของเขา เราวางการปฏิบัติของเรา เราใช้อุบายของเขาเพื่อทดสอบว่ามันจะตรงกับจริตเราไหม? อย่างเช่นมีดที่เขาใช้ทำครัวมันก็มีมีดบาง มีดที่ว่าฟันกระดูกมันก็ต้องแข็งแรงหน่อย มีดที่เขาเอาไว้ซอย มีดที่เขาเอาไว้หั่นของที่ละเอียด มีดมันก็ยังมีหลายชนิด นี่มีดที่เขาเอาไว้ทำครัว มีดเขามีหลายชนิดเพื่ออะไร? เพื่อการใช้งานของเขา

ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน จิตใจของคน จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน ทีนี้พอไม่เหมือนกัน การที่เราจะคิดว่าเรามีความรู้ มีความรู้ สิ่งที่ว่าอ้างเล่ห์ๆ เพราะอะไร? คำว่าอ้างเล่ห์หมายถึงว่ามันถือตัวถือตนว่าตัวเองเก่งไง ถือตัวถือตนว่าตัวเองมีความรู้ แล้วปัญหาของตัวก็แก้ไม่ได้ ปัญหาของตัวที่เกิดกับตัว ปัญหาครอบครัวก็ปัญหาครอบครัวหนึ่ง

ปัญหาครอบครัว ครอบครัวมันเกิดจากอะไรล่ะ? ครอบครัวมันก็เกิดจากเรามีครอบครัวขึ้นมา ถ้าเราปฏิเสธการไม่มีครอบครัวขึ้นมา เราก็ไม่มีครอบครัวมาเป็นภาระรุงรัง ถ้าเรามีครอบครัวขึ้นมา เราจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะก็เราเป็นผู้มีครอบครัวเสียเอง เราเป็นคนพอใจที่จะมีครอบครัวเสียเอง พอเรามีครอบครัวขึ้นมาแล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ? มีครอบครัวขึ้นมาแล้วก็อ้างปัญหาครอบครัวนั้น บอกว่าภาวนาก็ไม่ได้ มีปัญหาไปหมดเลย

แล้วปัญหาครอบครัวนี้ใครเป็นคนสร้างมา ก็คนๆ นั้นเป็นคนสร้างมา เป็นคนสร้างปัญหามา แล้วจะเอาปัญหานี้ไปยกไว้ให้ใคร? มันยกให้ไม่ได้นะ มันยกให้ใครไม่ได้ ถ้ายกให้ใครไม่ได้มันก็ต้องยอมรับสภาพนั้น ถ้ายอมรับสภาพนั้น เราจะปฏิบัติเราก็ต้องเริ่มต้นปฏิบัติจากสภาพนั้น เช่นถ้าเริ่มจากสภาพนั้นก็ต้องทำให้ปัญหาครอบครัวสงบก่อน ถ้าปัญหาครอบครัวสงบแล้ว มีเวลาแล้วเราถึงจะมาปฏิบัติ แล้วพอมาปฏิบัติ พอมาปฏิบัติก็เริ่มต้นจะปฏิบัติแล้ว ว่าปฏิบัติเราจะปฏิบัติอย่างไร?

ฉะนั้น เวลาตัวเองคิดว่าตัวเองมีปัญญาไง ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีปัญญาเลย ถ้าตัวเองมีปัญญานะ ปัญญาของตัวมันจะแก้ไขตัวเอง เวลาปัญญานี่สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา นี่สุตมยปัญญาคือการศึกษา คนจบด็อกเตอร์มาเยอะแยะเลย แล้วคนไม่มีการศึกษาเลย บิล เกตส์สตีฟ จอบส์เขาศึกษาด้วยตัวเขาเอง เขาเป็นเศรษฐีโลกนะ ด็อกเตอร์ๆ เป็นลูกน้องเขาทั้งนั้นแหละ สุตมยปัญญาการศึกษาไง ศึกษานี่ศึกษาทางวิชาการมา แล้วคนใช้เป็นหรือใช้ไม่เป็นนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ คนศึกษามาแล้วเป็นประโยชน์ อันนั้นจะใช้ได้

บิล เกตส์เขาลาออกนะ เขาเรียนไม่จบปริญญาตรี สตีฟ จอบส์ก็เรียนไม่จบ แต่ไอ้คนจบด็อกเตอร์ ศาสตราจารย์ต้องมาเป็นลูกน้องทั้งนั้นแหละ มากินเงินเดือนของพวกนี้ทั้งนั้นแหละ ฉะนั้น นี่สุตมยปัญญา ไม่ใช่ดูถูกใคร จะบอกว่าการศึกษาทางวิชาการมันเป็นแบบนี้ แล้วก็จินตมยปัญญาล่ะ? แล้วถ้าเกิดภาวนามยปัญญาล่ะ? นี้ภาวนามยปัญญามันจะเกิดเป็นความจริงขึ้นมา แต่เรามีสุตมยปัญญา คือเราศึกษามาทุกคน ทุกคนถือว่าศึกษา มีความรู้ พอความรู้มันเป็นบ่อน้ำตื้นๆ ไง คือจิตนี่มันตื้นๆ ถ้าจิตมันลึกซึ้ง จิตมันลึกซึ้งมันมีปัญญาของมันนะ มันจะไม่เอาปัญญาของมันเที่ยวไปวัดใคร

ไอ้นี่มันตื้นๆ ความตื้นของใจของตัว พอตื้นมันเกิดทิฐิ พอเกิดทิฐิว่าทุกอย่างคนที่ปฏิบัติธรรม พอคนที่ปฏิบัติธรรมนะ ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาออกจากราชวัง นี่พระเจ้าสุทโธทนะเริ่มต้นตั้งแต่พราหมณ์พยากรณ์แล้ว พราหมณ์พยากรณ์ไว้เลย ถ้าอยู่ทางโลกจะเป็นจักรพรรดิ เวลาถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดา พระเจ้าสุทโธทนะ โอ้โฮ พยายามหาทุกวิถีทางเพื่อจะรั้งไว้ หาทุกวิถีทางเพื่อจะรั้งไว้ให้มีครอบครัวเหมือนกัน มีครอบครัวแล้ว เวลาเกิดสามเณรราหุล เวลาจะออกบวช โอ๋ย มันทุกข์มันยากไปหมด

มันทุกข์มันยากตรงไหน? มันทุกข์ยากเวลาไปเที่ยวสวนไง ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายมันกระตุ้น มันกระตุ้นว่าการเกิดและการตายเป็นปัญหาที่เร่งด่วนมาก แต่สิ่งที่โตมาเพราะยังไม่มีปัญญาใช่ไหม? ในเมื่อไม่มีปัญญา อยู่กับพ่อ พ่อจัดการให้ทุกอย่างใช่ไหม? แล้วด้วยคุณธรรม ด้วยความเป็นจริง พ่อแม่กับลูกคุยกันก็เข้าใจกันอยู่แล้วแหละ นี้เข้าใจทางโลกไง พอมีครอบครัวขึ้นมา เห็นไหม ไปเที่ยวสวนเห็นยมทูต เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันกระตุ้นหัวใจๆ เวลาจะออกบวช ออกบวชนี่ไงปัญหาครอบครัว เวลาจะออกบวชละล้าละลังมาก

คนที่เป็นคนดีรักภรรยาไหม? คนดีจะรักบุตรไหม? บุตรนี่นะ ลูกเรานี่นะถ้าคนเป็นสุภาพบุรุษ ลูกเรายิ่งกว่าดวงใจอีก ยิ่งกว่าดวงใจ แล้วมันต้องพลัดพรากไปมันเจ็บปวดไหม? มันเจ็บปวดไหม? เราจะบอกว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้มาเหมือนกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกบวชไปแล้วนะ นี่เวลาออกบวชไปแล้วกว่าจะไปได้ พอไปแล้วนี่ ๖ ปีแสวงหาอยู่ ไม่โวยวาย โวยวายปัญหาครอบครัวไง โวยวายปัญหาที่เราสร้างขึ้น เราสร้างปัญหาขึ้นมา นี่เวร มนุษย์นะ สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามเวรตามกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ เราเกิดมาเราเป็นไปตามกรรม

นี่ก็เหมือนกัน ครอบครัว ทุกอย่างที่เราสร้าง ลูก ๒ คนต่างๆ เราก็สร้างมาทั้งนั้น นี่มันเป็นกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกหัวใจให้เราเป็นแบบนี้ แล้วนี่เรามีเวรมีกรรม แล้วเราจะสลัดทิ้งมันไปได้อย่างไร? นี้เป็นปัญหาเรื่องโลกนะ แล้วเราศึกษามา เห็นไหม เราก็คิดว่าเรามีปัญญา เรามีปัญญาก็เอาสิ่งนี้เที่ยวไปวัดคนอื่นไง แล้วบอกว่าเวลาถามหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพ่อจะตอบได้ไหม?

คนที่เขามีปัญญาเขาเห็นแล้วเขาสังเวช เขาสังเวชนะ ครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ ในธรรมของใจหลวงตา ท่านบอกว่าคนมาถามตอบได้ ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ เพราะเขาไม่รู้เรื่องกับเราหรอก ตอบเขาไม่ได้ ตอบไปเขาก็ไม่รู้ อย่างมาก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ที่ท่านคุยกับญาติโยม อย่างมากท่านเอาธรรมของท่านออกมาแค่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ ท่านยังไม่เปิดหมดนะ ถ้าเปิดออกมาท่านบอกว่า นิวเคลียร์นิวตรอนอยู่ในย่ามเต็มย่ามเลย ไปไหนก็สะพายนิวเคลียร์นิวตรอนไปด้วย แต่ไม่เคยใช้ ไม่เคยใช้

มันไม่เคยใช้ เพราะใช้ไปแล้วนะ นิวเคลียร์ระเบิดมาแล้ว เราตายไปแล้วนะ พอระเบิดนิวเคลียร์มันลงใช่ไหม พอเราโดนรังสี เราโดนอะไร นี่เราตายไปแล้วยังไม่รู้ว่าตายเมื่อไหร่ ตายไปแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองตายนะ เพราะมันเร็วไง พั่บตายแล้ว พอจิตมันไปเกิดใหม่ เอ๊ะ เรามาจากไหน? เราตายอย่างไรเรายังไม่รู้ตัว ท่านถึงบอกว่านิวเคลียร์นิวตรอนไม่ใช้เพราะเหตุนี้ไง เพราะระเบิดไปแล้วมันก็ไม่รู้ ระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอนมันตายหมดใช่ไหม? แต่ถ้าแสดงธรรมมาแล้วนะเราไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้เรื่องเราแสดงไปทำไม? คนแสดงก็โง่น่ะสิ

คนแสดงเขาฉลาด เขาฉลาดที่ว่าพูดไปแล้วเขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ พอเขาไม่เข้าใจ ไม่รู้เขาก็เก็บไว้ในใจของเขา เขาจะเอาไปใช้ทำไม? นี่เวลาเราไปตลาดใช่ไหม? เราไปเติมน้ำมัน เห็นไหม น้ำมันเท่าไหร่? อ้าว น้ำมัน ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ เราจะเซ็นเช็คให้เขาล้านหนึ่งหรือ? เอ็งบ้าหรือ? เอ็งเติมน้ำมันเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น โลกเขาใช้กันแค่นี้ โลกเขาใช้กันแค่นี้ ธรรมก็เหมือนกัน ทีนี้พอธรรมเหมือนกันปั๊บเราก็ไปสบประมาทเขาใช่ไหม?

นี่เขาบอกเลยนะ คิดว่าหลวงพ่อจะตอบหนูได้ไหม? แต่พอตอบมาแล้วเขาบอกว่าหลวงพ่อจะตอบได้ไหม? ไม่เคยตอบเลย ไม่ตอบ แต่เดิมเขาก็มาภาวนาที่วัด นี่ไม่ตอบ ไม่ตอบเพราะอะไร? ไม่ตอบเพราะว่าจิตใจมันด้าน ถ้าจิตใจคนมันดื้อ มันด้าน มันไม่รู้จักธรรมะหรอก แต่คนนั้นเข้าใจว่ารู้นะ เขาเข้าใจว่าเขารู้ เพราะสุตมยปัญญาไง จำได้ จำชื่อของธรรมะได้ ธรรมะเป็นอย่างนั้นๆๆ พอจำชื่อธรรมะได้นี่น้ำตื้นๆ แล้วไปไหนก็เอาชื่อของธรรมะนี่ไปวัดคนนู้น วัดคนนี้

ชื่อของธรรมะคือกฎหมาย กฎหมายเที่ยวไปจับผิดคนนู้น คนนี้ แล้วกฎหมาย เห็นไหม แต่พฤติกรรมของคนมันทำกฎหมายมันผิดมาตราไหนล่ะ? กฎหมายแพ่งหรือกฎหมายอาญาล่ะ? มันทำความผิดทางอาญาหรือทำความผิดทางฉ้อโกงล่ะ? มันทำความผิดอะไร? นี่จิตใจของคนมันทำความผิดมันแตกต่างหลากหลาย นี้ถือกฎหมายฉบับหนึ่ง แล้วก็ไปวัดคนนะ คนนี้ดีหรือไม่ดี คนนี้ถูกหรือไม่ถูก นี่เพราะอะไร? เพราะนี่คือทฤษฎีไง นี่คือสุตมยปัญญาไง แล้วก็คิดว่าตัวเองมีปัญญาไง แต่วัดไปแล้วไม่เข้าใจว่าจริตนิสัยของคนเป็นอย่างไร

แต่คนที่จะเข้าใจได้นี่พวกจิตแพทย์ พวกที่เขาศึกษาทางมวลชนเขาจะเข้าใจ เข้าใจว่าปฏิกิริยาของสังคม ปฏิกิริยาของคนมันจะมีผลตอบสนองอย่างไร? ถ้ามีปฏิกิริยาสังคมจิตใจเขาคิดอย่างไร เห็นไหม ทางจิตวิทยาเขาจะรู้ของเขาได้ ฉะนั้น เขารู้ได้ เขาศึกษามาทางนี้เขายังรู้ได้ นี่สุตมยปัญญานะ ทีนี้สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญาล่ะ?

ทีนี้สิ่งที่ว่า “หลวงพ่อจะตอบหนูได้ไหม?” เพราะไม่ตอบมาตั้งแต่ต้น เพราะตอบไปแล้ว ถ้ากระแทกไปแรงๆ คนเรานี่มันรับไม่ได้ พอรับไม่ได้มันก็จะแถออกไปนอกเรื่องนอกราว ถ้ารับไม่ได้ แล้วเวลาเข้ามาในวัดทำไมเราไม่ให้เขาเข้ามาภาวนามา มันมาภาวนา ถ้าคนอย่างนี้มันไปกวนคนอื่นไง มันไปกวนคนอื่น ถ้าคนอื่นทำให้เราสะเทือนใจเราจะไม่พอใจมาก แต่เราไปทำให้คนอื่นสะเทือนใจไม่รู้

แปลก คนอย่างนี้แปลกมากนะ ถ้าเราภาวนาอยู่ ใครมากระทบกระเทือนนี่ไม่พอใจมากเลย เพราะเราต้องการความสงบ แต่ถ้าเราไปทำให้คนอื่นสะเทือนใจนะ ไม่เป็นไร เป็นธรรมะ เป็นธรรมะ เพราะเราไปคุยธรรมะกัน เราไปถามเรื่องธรรมะเขา นี่ไงน้ำตื้นๆ มันเป็นแบบนี้ น้ำตื้นๆ ถูกก็ไม่รู้ว่าถูก ผิดก็ไม่รู้ว่าผิด มองปัญหาประเด็นเดียว มองปัญหามุมเดียว มุมที่ความเห็นของตัวไง เพราะเป็นด้วยมุมมองของตัวมุมมองเดียว ไม่มุมมองแตกต่าง ถ้ามุมมองแตกต่างมันจะรู้ของมันว่าควรและไม่ควร

สิ่งที่ควรและไม่ควร เวลาอาบัตินะ นี่สิ่งที่ควรถือว่าไม่ควร ไม่ควรถือว่าควรเป็นอาบัติแล้ว สิ่งที่ควรหรือไม่ควร แล้วนี่ควรหรือไม่ควรที่ว่าคนนู้นต้องเป็นอย่างนี้ คนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อจะตอบหนูได้ไหม? ไม่ตอบ ไม่ตอบมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ตอบเพราะสงสารไอ้ ๒ ตัวนั้น เพราะพูดไปแล้ว ถ้าเรื่องปัญหาครอบครัวก็ไปลงที่ไอ้ ๒ ตัวนั้น ไอ้ ๒ ตัวเล็กๆ นั่นแหละ ถ้าพูดไปปัญหาครอบครัวมันก็ไปลงไอ้ ๒ ตัวนั้น แล้วปัญหาครอบครัวแล้วก็บอกว่าทำไมเป็นอย่างนั้น? ทำไมหนูไม่มีโอกาสอย่างนั้น?

โอกาสหรือไม่โอกาสนะ สิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลังไม่ดีเลย แล้วสิ่งนี้เราเป็นคนสร้างขึ้นมา แล้วพระสร้างขึ้นมาแล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ? เราจะทำอย่างไร เราก็ต้องดูแลไป พอบอกดูแลไปก็บอกไม่ได้นะ อะไรก็ต้องให้เด็กมันโตก่อนแล้วค่อยมาปฏิบัติ ให้เด็กมันโตก่อนแล้วค่อยมาปฏิบัติ เราเลี้ยงลูกเราก็ปฏิบัติได้ เราเลี้ยงลูกนะ เราเห็นลูกเราโตขึ้นมา เห็นไหม เด็กนี่นิสัยมันเป็นอย่างไรเราพิจารณาได้ คนเราปฏิบัตินะ ปฏิบัติที่บ้านก็ได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ แล้วแต่เวรกรรมของคน แต่ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราที่เข้าป่าไป เข้าป่าไปเพราะมันเข้มข้นไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า

ถาม : หลวงพ่อจะตอบหนูได้หรือเปล่า? พอหลวงพ่อตอบไปแล้วบอก เออ ตอบได้

ตอบ : มันตอบได้อยู่แล้วแต่เขาไม่ตอบเอ็งรู้ไหม? เขาไม่ตอบเพราะว่าตอบไปนี่มันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ เวลาภาวนานี่สมาธิยังทำไม่ได้ เพราะสมาธิยังทำไม่ได้จะไปคุยอะไรเรื่องธรรมะ

ฉะนั้น เวลาแสดงธรรมๆ แสดงธรรมให้เหตุให้ผล ให้เหตุให้ผลว่า หนึ่งถ้าจิตมันเป็นโลกมันจะฟุ้งซ่านอย่างนี้ ถ้าจิตมันเป็นโลก คำว่าเป็นโลก เห็นไหม เราปล่อยวางขนาดไหนมันก็ยังเป็นโลกอยู่ เป็นโลกหมายถึงว่าสามัญสำนึกเรานี่ เวลามันฟุ้งซ่านขึ้นมามันฟุ้งซ่านมาก เวลามันปล่อยวางแล้วก็ปล่อยวาง แล้วมันคืออะไร? มันก็คือโลก มันยังไม่เข้าสมาธิเลย พอเข้าสมาธินะ พอเข้ามาสมาธิ นี่พุทโธ พุทโธเข้าสมาธิ สมาธิคือความสงบร่มเย็น นี่สมาธิ เห็นไหม หลวงตาบอกสมาธิคือใครทำสมาธิได้เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง ถ้าเราทำสมาธิไม่ได้เหมือนคนไม่มีบ้าน คนไม่มีบ้านมันจะนอนตามท้องถนน มันจะนอนตามชายคาบ้านของคน

จิต จิตที่มันไม่มีสมาธิของมัน มันก็อาศัยสัญญาอารมณ์ที่มันแสวงหาของมัน มันอยู่ของมันเหมือนคนไม่มีบ้าน ถ้าคนไม่มีบ้าน มันต้องอาศัยชายคาบ้านคนอื่นนอน แต่พอเราพุทโธ พุทโธจนจิตเราสงบขึ้นมานี่เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง คนมีบ้านหลังหนึ่ง คนมีบ้านมันหลบแดด หลบฝนในบ้านของมัน มันมีที่พักของมัน เห็นไหม แต่ขณะมีที่พักของมันนี่ก็ยังเป็นโลก เป็นโลกเพราะอะไร? เป็นโลกเพราะสมาธิแก้กิเลสไม่ได้

สมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่ถ้าไม่มีสมาธิ ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาไม่ได้ ปัญญาที่เกิดขึ้นมานี่เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากโลก ปัญญาเกิดจากกิเลสของเรา ปัญญาที่เกิดขึ้นมานี่ปัญญากิเลสทั้งนั้นแหละ แต่ปัญญากิเลสที่มันคิดธรรม ปัญญากิเลสที่มันคิดไปทางโลกนะ คิดไปทางความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะเอาฟืนไฟมาเผาตัวมัน เวลาปัญญามันคิดเรื่องธรรม ปัญญามาคิดเรื่องธรรม เห็นไหม นี่จิตกับปัญญา เพราะจิตมันเป็นจิต จิตนี้มันเป็นภวาสวะ ไอ้ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นปัญญา

ปัญญาโลกๆ คือความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดนั้นไปตรึกในธรรม พอตรึกในธรรมมันก็โล่งโถง เพราะมันตรึกในธรรมไง มันตรึกในธรรมมันก็ปลดปล่อย มันก็ปล่อย โอ๋ย ว่าง ว่าง นี่โลกๆ ทั้งนั้น โลกๆ ทั้งนั้นยังไม่เข้าสมาธิเลย ถ้าโลกๆ ทั้งนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนั้น เวลาพูดกันอย่างนั้น เพราะเอาปัญญาไปตรึกในธรรม คิดเรื่องธรรมะ คิดเรื่องธรรมะ แต่ไม่ใช่ธรรมะของมัน มันคิดเรื่องธรรมะ เห็นไหม ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ปล่อยวางเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ นี่พอเป็นสมาธิ สมาธิก็ยังเป็นโลก

ถ้าสมาธิเป็นโลก ถ้าเวลาเราพุทโธ พุทโธ พุทโธเพื่อเข้าสู่ความสงบร่มเย็น ถ้าใช้ปัญญาตรึกในธรรมะนะ ตรึกในธรรมะมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไหม เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ รู้ตัวทั่วพร้อมมันเป็นอย่างนี้ นี่ใช้ปัญญานั่นแหละ เขาบอกปัญญานี้เป็นปัญญาวิปัสสนา รู้ตัวทั่วพร้อมมันเป็นอย่างนี้ พอมันปล่อยเข้ามาๆ อะไร? ปล่อยเข้ามาคือคัตเอ้าท์ คือตัดช่วงกัน พอปล่อยมันก็ปล่อย มันปล่อยแล้วมันไม่เข้ามาสู่จิต เพราะเขาก็ว่านี่เป็นวิปัสสนา แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิใครเป็นคนคิด? จิตเป็นคนคิด

ความคิด เห็นไหม ความคิดเกิดจากจิต พอความคิดเกิดมาจากจิต พอมันดับที่ความคิดมันเข้ามาสู่จิต นี่ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิคือมันเข้าสู่ฐีติจิต มันเข้าสู่จิตเดิมแท้ พอมันเข้าสู่ฐีติจิต นี่มันจะเข้ามาสู่ตัวจิต ถ้าตัวจิตๆ มันเป็นสมาธิ สมาธิมันใช้ปัญญาของมัน ปัญญาในอะไร? ปัญญาที่มันรู้อาการของใจ ปัญญาที่รอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาที่มันเสวยอารมณ์ จิตมันเสวยไง ถ้าจิตไม่เสวยมันคิดไม่ได้ แต่มันไม่รู้ ไม่เห็นของมัน พอจิตมันสงบเข้ามา พอมันเสวยมันเห็น มันจับ พอมันจับขึ้นมานะ นี่ถ้าจับอย่างนี้มันถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ มันถึงจะเป็นวิปัสสนา

ฉะนั้น สมาธิตัวยังไม่มี เวลาพูดถึงสมาธิ พอพูดถึงเวลาสมาธิพิจารณาเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นอย่างนั้น แล้วก็เที่ยวน้ำตื้นๆ นี่นะ บ่อน้ำตื้นๆ ความคิดซื่อบื้อ แล้วก็เที่ยวเอาธรรมะไปเทียบคนนู้น พระองค์นู้นว่าอย่างนี้ พระองค์นี้ว่าอย่างนั้น หลวงพ่อว่าอย่างนู้น หลวงพ่อว่าอย่างนี้ เรานั่งฟังมานานแล้วแหละ แล้วเวลาบอกว่าหลวงพ่อพูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ไม่ได้ ผิด พูดอย่างนี้ไม่ได้ผิด น้ำตื้นๆ น้ำเขาลึกกว่า บ่อเขาลึกกว่าก็บอกว่าบ่อลึกไม่มี ต้องน้ำตื้นๆ อย่างนี้ ต้องถมให้บ่อน้ำตื้นๆ ตักขัน ๒ ขันก็หมด ถ้ามันลึกกว่านั้นมันไม่ใช่มันผิด ก็คิดกันไป

เพราะเวลาคุยกับเรา พูดกับเรามันวัดกึ๋นหมดแล้วแหละ ถ้าวัดกึ๋นหมดแล้ว เพียงแต่ว่า เพราะว่าอะไร? เขาพูดมาบอกว่าตอบเรื่องอ้างเล่ห์ไป พอตอบอ้างเล่ห์ไปเขาบอกมันสะเทือนใจมาก แต่ก่อนนั้นไม่คิดว่าหลวงพ่อจะตอบหนูได้เลย ไม่คิดว่าตอบหนูได้เลย เพราะคิดว่าถ้าตอบไปแล้วมันจะตีโพยตีพายไปเกี่ยวกับเรื่องลูก เรื่องสามี เรื่องต่างๆ เพราะคนเรามันคิดแต่ว่าตัวเองจะไปให้ได้ แล้วมันก็คิดว่าสิ่งนี้เป็นภาระ เป็นสิ่งที่กดถ่วงเรา ถ้าสิ่งที่กดถ่วงเรา ถ้าคนมีปัญญานะ สิ่งที่กดถ่วงเรา เราก็ต้องดูแลรักษาเอาไปพร้อมกับเรา แต่ถ้าคนไม่มีปัญญา สิ่งที่กดถ่วงเรามันก็สลัดทิ้ง มันก็จะทำลายสิ่งที่กดถ่วงเรา

นี่เราคิดของเรา เราเห็นปัญหาของเรา เราถึงไม่พูดอะไรไง ไม่พูดอะไร นี่กรรมของสัตว์ กรณีนี้มันเปรียบเหมือนกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นตอนที่ท่านไปอยู่ที่ห้วยทราย แม่ชีแก้วเป็นผู้หญิงเด็กๆ แล้วเวลาภาวนานี่ภาวนาดีมาก พอภาวนาดีมาก หลวงปู่มั่นท่านบิณฑบาตไปท่านก็บอกเด็กคนนี้บอกให้ไปหาที่วัดนะ เพราะที่นั่นมันไม่สมควรที่จะคุยกัน พอเด็กคนนั้นตามไปที่วัดท่านก็ถามเรื่องภาวนา สอนเรื่องภาวนา พอสอนเรื่องภาวนา ภาวนามันก็ภาวนาไปดีมาก ชาวบ้านเขาก็นินทานะ บอกว่าหลวงปู่มั่นไปชอบเด็ก ชอบเด็กเล็กๆ นี่ชอบเด็ก

นี่โลกเขามองไปอย่างหนึ่งไง มองว่าหลวงปู่มั่นชอบเด็ก พอบิณฑบาตมาก็บอกว่าให้เด็กคนนี้ไปหาที่วัด แต่หลวงปู่มั่นรู้ว่าเด็กคนนี้มันภาวนาดี เพราะเด็กคนนี้นะเขาใส่บาตรทุกวัน พอใส่บาตรทุกวัน พอวันนั้นที่หลวงปู่มั่นจะเรียกมาวัดเพราะเขาจะนึ่งข้าวเหนียวใส่บาตร เขาก็แช่ข้าวเหนียวไว้ก่อน พอแช่ข้าวเหนียวไว้เสร็จแล้วเขาจะนึ่งเขาหลับไป พอหลับไปแล้วจิตมันรวมลง มันออกไปเลยไง พอออกไปเลยนี่ โอ๋ย เราตายแล้วแหละ จิตมันออกจากร่างนี้ไปเราตายแล้วแหละ นี่เราแช่ข้าวเหนียวไว้แล้วนะ แล้วพรุ่งนี้ใครจะนึ่งข้าวเหนียวใส่บาตรแทนเราเนาะ โอ๋ย ตอนนี้เราก็ตายแล้วเนาะ

นี่จิตมันออกไปมันเห็นนะ ตัวเองนึกว่าตาย แต่สุดท้ายแล้วพอมันตื่นขึ้นมามันยังอยู่ใช่ไหม? นี่หลวงปู่มั่นรู้ หลวงปู่มั่นถึงบอกว่าไปวัดนะ พอไปวัดไปถามเรื่องนี้ไง อธิบายให้ฟังว่าจิตมันออกอย่างนี้ มันรู้อย่างนี้ ต้องรั้งไว้อย่างนี้ ต้องดูแลอย่างนี้ ท่านก็ดูแลมาตลอด พอดูแลมาตลอดแล้ว ตอนหลวงปู่มั่นท่านต้องธุดงค์ต่อไป ท่านถึงเล่าให้หลวงตาฟังจากความวิตกของท่านไง นี้ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย เราก็จะขอพ่อแม่เขาบวชเป็นเณรไปกับเรา แต่นี้เป็นเด็กผู้หญิง เอาไปไม่ได้ ตัดใจไง

มันก็เป็นกรรมของสัตว์ บอกเลยก่อนจะไปเป็นกรรมของสัตว์นะ บอกว่าอย่าภาวนานะ เราไม่อยู่อย่าภาวนานะ กลัวจะหลุดไง กลัวจะเสีย อย่าภาวนานะ นี่อย่าภาวนานะให้อยู่ที่นี่ไป มันเป็นกรรมของสัตว์ ถ้าต่อไปข้างหน้าจะมีคนมาสอน ก็มีคนมาสอน ถ้าเป็นกรรมของสัตว์ นี่กรรมของสัตว์ไง หลวงปู่มั่น ขนาดแม่ชีแก้วภาวนาดีขนาดนั้น แต่เวลาจะธุดงค์ไปนี่เอากันไปไม่ได้ กรรมของสัตว์คือต้องวางไว้ก่อนไง ต้องวางตรงนั้นไว้

นี่คนที่มีธรรม เห็นไหม เขาไม่แบกโลกหรอก เขาไม่แบกกันไปที่ว่ามันจะไปกันไม่ได้ก็แบกกันไป อู๋ย ไปขอพ่อ ขอแม่ พ่อแม่ก็ร้องไห้ พ่อแม่ก็มีปัญหา อู๋ย มันสะเทือนกันไปหมดนะ คนที่มีธรรมเขาไม่ทำกันอย่างนั้น สิ่งที่ทำได้ก็ทำ สิ่งที่ทำไม่ได้นะมันต้องมีเหตุการณ์ข้างหน้าที่จะทำกันไป

นี่ก็เหมือนกัน กลับมาที่ปัญหานี้ กลับมาที่ปัญหาว่า

ถาม : ถ้ามันเป็นอย่างไร? กราบขอบพระคุณ

ตอบ : กราบขอบพระคุณ มันเป็นที่นิสัยของตัว มันเป็นที่นิสัยของตัว ฉะนั้น เวลาตอบไปแล้วเขาถึงตอนนี้เห็นค่าแล้ว เห็นไหม เมื่อก่อนก็ว่าหลวงพ่อตอบหนูไม่ได้ หนูนี่ฉลาดกว่าหลวงพ่อ เรานี่เป็นบ่อน้ำตื้นๆ หลวงพ่อนี่น้ำในขันเลย ปัญญามีเฉพาะอยู่ในขัน ไปไหนไม่รอดหรอก นี่มีแค่ขันหนึ่งเที่ยวโม้ เที่ยวอวดสอนเขา ตัวเองลึกซึ้งมาก พอเจออ้างเล่ห์เข้าไปนี่ร้องเลย เพราะเขาบอกว่าให้ตอบจริงๆ ก็ตอบแล้วไง

นี่ตอบจริงๆ แล้วนี่ก็ตอบอีก เพียงแต่ตอบว่าเรื่องนี้มันควรจบแล้วล่ะ มันจบเพราะว่ามัน เพียงแต่การตอบปัญหาธรรมะเขาตอบให้คนนั้นสำนึก การตอบปัญหาธรรมนี่ตอบให้คนสำนึก คนหลงให้พ้นจากความหลง คนไม่เข้าใจให้พ้นจากความไม่เข้าใจ การตอบปัญหาธรรมะไม่ใช่ตอบสูงส่งไปกว่านี้หรอก ตอบที่คนหลงให้พ้นจากการหลงนั้น คนที่ลืมตัวให้มีสำนึกถึงตัว ถ้ามีสำนึกถึงตัวมันก็ให้คนๆ นั้นเริ่มต้นจากภาวนา เพราะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้มีค่ากว่าหัวใจของคน ถ้าหัวใจของคนนะ ถ้ามันกลับมาที่หัวใจของคน กลับมาที่ความรู้สึกนึกคิดอันนี้ นี่ประเสริฐที่สุด

ถ้าประเสริฐที่สุด เพราะมันเริ่มต้นที่นี่ไง จะดีจะชั่วมันอยู่ที่นี่ไง แต่เราไปมองว่าดีชั่วอยู่ที่นิสัย อยู่ที่ข้างนอก แต่ดีชั่วมันอยู่ที่จิต ดีชั่วมันอยู่ที่นี่ เกิดตายมันอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่นี่ ถ้าสำนึกได้มันเข้ามาอยู่ที่นี่ นี่พูดถึงความรู้สึกนึกคิดนะ แล้วเวลาคำถามถามต่อเนื่องมา บอกว่า

ถาม : คือหนูเห็นหลวงพ่อตอบคำถามเรื่องง่วงๆ ไม่เห็นตอบวิธีที่หนูทำเลย

ตอบ : เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงพระโมคคัลลานะที่ให้ลูบหน้าหนูก็ไม่เห็นด้วย หนูภาวนาของหนูไปมันประสบความสำเร็จ มันเป็นความดี เขาว่าเขามีปัญญา มีปัญญาอีกแล้ว

ถาม : คือหนูไม่เห็นหลวงพ่อตอบคำถามเรื่องง่วงๆ นั้นเลย

ตอบ : ตอบทุกวัน แต่คนถาม สมองนี่มีแต่ขี้เลื่อย ถ้าสมองไม่มีขี้เลื่อยนะ เราบอกว่าพุทโธชัดๆ สิ่งที่เขาอารัมภบทมาเยอะแยะเลยว่าถ้าเวลาเขาง่วงขึ้นมานะเขาจะตั้งใจของเขา เขาจะกำหนดพุทโธของเขา ซัดให้เต็มที่เลย เวลาเราพูดเราบอกว่าพุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ มันครอบคลุมหมดเลย พุทโธชัดๆ ตั้งใจมันก็ชัดไหม? พุทโธชัดๆ ก็ที่อารัมภบทมาทั้งหมดเลยนี่ สรุปของเราคือพุทโธชัดๆ ไง ถ้าพุทโธชัดๆ ชัดๆ คือสติพร้อม ถ้ามีสติพุทโธมันก็ชัด ถ้ามีความระลึกอยู่พุทโธมันก็ชัดเจน พุทโธอยู่กับเรามันก็ไม่คิดออกนอกเรื่อง ถ้าพุทโธชัดๆ มันจะง่วงได้อย่างไร?

คนที่จะง่วงนะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธมันก็จางไปๆ ความง่วงมันก็แทรกเข้ามา แต่ถ้าเราพุทโธชัดๆ นะความง่วงมันแทรกเข้ามาไม่ได้หรอก พุทโธชัดๆ มันคลุมหมด แต่ถ้าอธิบายอย่างนี้นะ เพราะต้องการอธิบายกันอย่างนี้ เวลาพูดถึงปัญหาธรรมะก็คุยกันทีหนึ่ง ๕-๖ ชั่วโมง ใครมาถามปัญหาหนึ่งก็ตอบคนนี้ ๕ ชั่วโมง คนนู้นมาถามปัญหานี้ก็ตอบอีก ๕ ชั่วโมง วันหนึ่งตอบได้ ๒ คน ๑๐ ชั่วโมง เกินเวลาทำงาน ๘ ชั่วโมงด้วย แต่ถ้ามันพุทโธชัดๆ นะ ถ้าชัดๆ อย่างไรล่ะ? เพราะว่าการตอบปัญหานี่นะ การปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติแล้วได้ผล เราปฏิบัติแล้วมันเห็นผลมันจะรู้ของมัน

นี่ไงปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก แต่ถ้าเราบอกขนาดไหนนะ บอกขนาดไหนถ้าเขาจับประเด็นไม่ได้ หนึ่งจับประเด็นไม่ได้ สองทำไม่เป็น ทำไม่ได้ การทำไม่ได้เพราะเราเคยทำสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ถนัด พอเราจะให้ทำวิธีการอื่นมันทำไม่ได้เลยล่ะ ถ้ามันทำไม่ได้เลยเพราะอะไร? มันทำไม่ได้เลยเพราะมันไม่ชำนาญ แล้วเวลาชำนาญ ถนนหนทางเราเดินไปเรายังเดินหลงทาง เวลาเดินไปนะ จิตนี่ขนาดเรากำหนดพุทโธ พุทโธ มันนั่งหลับอยู่แล้วนะมันยังบอก แหม พุทโธจนหายหลวงพ่อ มันเป็นสมาธิดี๊ดี ดีนี่นั่งหลับมา ขนาดนั่งหลับมันยังไม่รู้ว่ามันนั่งหลับ แล้วไปบอกให้มันทำอีกทางหนึ่งมันจะทำอย่างใด?

ฉะนั้น บอกว่าถ้าพุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ ถ้ามันชัดๆ ได้ ชัดๆ นี่สติมันมาแล้ว คือจะบอกว่าง่วงเพราะนิวรณธรรม ง่วงเพราะ อธิบายเรื่องเหตุของความง่วง ๕ ชั่วโมง พออธิบายถึงความง่วง ๕ ชั่วโมงแล้ว วิธีแก้ความง่วงอีก ๕ ชั่วโมง อธิบายกันไป พอไปหาหลวงตา หลวงตาจะบอกว่าถูกไหม? ถามหลวงตาว่า

“ภาวนานี่ถูกไหม?”

หลวงตาบอกว่า “ถูก”

“แล้วทำอย่างไรต่อไป?”

“ให้ซ้ำ ให้ซ้ำ”

เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเวลาตอบปัญหานี่นะ คนๆ หนึ่งคุยเรื่องการปฏิบัติกันนี่ คนๆ หนึ่งกว่าจะผ่านขั้นตอนมาแต่ละขั้นมันคุยกันมาเป็นปีๆ แล้วคนประเทศไทย ชาวพุทธนี่นะ ชาวพุทธมี ๖๐ กว่าล้านใช่ไหม? มัน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วคิดดูสิว่าเราจะตอบปัญหานี่มันตอบปัญหามาจนเบื่อ ทีนี้พอจนเบื่อท่านบอกให้ซ้ำๆ ซ้ำอย่างเดียวเลย เพราะอะไร? เพราะเราขี้เกียจพูด เราเหนื่อย เราขี้เกียจพูด

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพุทโธชัดๆ มันคลุมมาหมดแล้วล่ะ ถ้าพุทโธชัดๆ นี่เขาบอกว่าเขาตั้งใจเต็มที่เลย ตั้งใจเต็มที่ ถ้าตั้งใจก็สติไง ถ้ามันทำได้มันก็ทำได้ไง แต่อธิบายไปร้อยแปดพันเก้า เราอธิบายไปแล้วเขาบอกเขาทำได้ ทำได้ก็สาธุ ถ้าทำได้นะเพราะความง่วงมันหายหมด ความง่วงมันหายหมดนะ เวลาเราปฏิบัติกัน เวลาทุกคนว่าปฏิบัติ เวลาจิตมันดีขึ้นมาคือว่ามันนั่งทีหนึ่ง ๕-๖ ชั่วโมง ถ้ามัน ๕-๖ ชั่วโมงแล้ว ถ้าเราใช้ปัญญาได้ เราฝึกหัดใช้ปัญญาแล้ว

ทีนี้บางคนบอกว่านั่งไปแล้วจะต้องให้จิตสงบ แล้วต้องให้รู้เห็นไปตามความเป็นจริง ถ้าเป็นจริงเราถึงจะพิจารณา มันก็เหมือนกับบอกว่าตอนนี้นะในท้องตลาดรถเขาขายเงินสดหรือขายเงินผ่อน ถ้าใครมีเงินสดไปซื้อรถนะ นี่ตัวแทนขายรถเขาไม่อยากขายให้เลย เพราะเขาได้กำไรน้อย แต่ถ้าซื้อเงินผ่อนเขาชอบ เพราะเงินผ่อนมันคิดตามแต่ว่ามันกี่เปอร์เซ็นต์ เขาคิดดอกเบี้ยไป

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราปฏิบัติใช่ไหมเราก็บอกพุทโธ พุทโธ พุทโธจนจิตสงบเลย จะซื้อรถเงินสดไง จะให้มันมีกำลังพอแล้วก็จะไปถอยรถเงินสดเลย แล้วคนที่ซื้อรถเงินสดมันมีกี่คนล่ะ? มันมีกี่คน? แต่เงินผ่อนนี่ทั่วประเทศไทย ฉะนั้น เวลาจิตมันพุทโธ พุทโธจนมันสงบบ้างแล้วมันเงินผ่อน เงินผ่อนคือฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าเงินผ่อนเราฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ถอยรถมาแล้วแต่รถยังไม่เป็นของเรา เพราะรถนี้ยังเป็นของไฟแนนซ์อยู่ ถ้าเราผ่อนเสร็จแล้วเดี๋ยวเขาโอนให้เราเอง

พอเราพิจารณาของเรา ถ้าจิตสงบแล้วพิจารณาเลย นี่เราพิจารณาของเรา พิจารณาในอะไร? พิจารณาในกาย ในเวทนา ในจิต ใจธรรม ในชีวิต ในชีวิตประจำวันนี่เป็นธรรม ธรรมะ ธรรมารมณ์ สัจธรรม ความรู้สึกนึกคิดเรานี่เป็นธรรมๆ ถ้ามีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิเป็นกิเลส เป็นกิเลสเพราะอะไร? เพราะมันเหยียบย่ำหัวใจ แต่ถ้ามีสมาธินะสิ่งนี้จะเป็นธรรมแล้ว เป็นธรรมเพราะเราเป็นฝ่ายนึกคิด เราเป็นคนบริหารจัดการ เราเป็นผู้ดูแล แต่ถ้าไม่มีสมาธินะกิเลสมันดูแล กิเลสมันเหยียบหัว กิเลสมันกระทืบ พอกิเลสกระทืบมันก็เจ็บ แต่ถ้ามันมีสมาธิปั๊บเราผู้เป็นบริหาร คือเรามีเงินดาวน์หรือเปล่าล่ะ?

ถ้าเราดาวน์รถออกมาได้ ถ้าเรามีสมาธิดาวน์ได้ พิจารณาได้ พิจารณาได้ นี่มันพิจารณาได้ นี้เขาบอกว่าภาวนาแล้วจะต้องจิตสงบเต็มที่แล้วมันจะใช้ปัญญา แล้วปัญญาจะใช้เมื่อไหร่? นี่เรามันเถรตรงกันเกินไปไง เถรส่องบาตร เขาบอกให้ทำความสงบก็บ่น โอ้โฮ แล้วต้องทำความสงบเนาะ แล้วเมื่อไหร่มันจะสงบสักที หนูปฏิบัติมาตั้งหลายปี หนูก็ยังไม่ได้ใช้ปัญญาเลย หนูก็ไม่ได้วิปัสสนาเลย เวลามันเถรตรงมันก็อ้างไปหมดเลย เมื่อไหร่มันจะสงบเสียทีล่ะ?

นี่เวลาเขาบอก เห็นไหม ทางรู้ตัวทั่วพร้อมบอกว่าต้องใช้ปัญญาวิปัสสนา พอใช้ปัญญาไปเลยบอกว่าสมาธิมันไม่มีค่า สมาธิเป็นสมถะ สมาธิมันไม่มีประโยชน์ต้องใช้ปัญญาไปเลย นี่มันสุดโต่งไปทั้งนั้นเลย โลกเวลาปฏิบัติมันเป็นเรื่องโลกๆ ไง เรื่องโลกคือสุดโต่ง นี่ตกซ้ายและขวา อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ไม่ลงมัชฌิมาปฏิปทา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงที่มัชฌิมาปฏิปทา แต่เวลาจิตเราสงบแล้วมันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาไหม? ยัง ยังไม่เป็น แต่ต้องฝึกหัดไง

เวลาสุดโต่งนี่ง่ายมาก สุดโต่งไปทางซ้ายก็ได้ ขวาก็ได้ นี่ตกขอบไปเลย เวลาตกขอบนี่ทำได้เลย เพราะตกขอบแล้ว ผลของมันเพราะมันเป็นสันดานอยู่แล้ว แต่ว่ามัชฌิมาปฏิปทาเพื่อไปเอาผลงานนี่ทำกันไม่ค่อยได้ แล้วทำยากมาก แล้วมัชฌิมาอย่างไรล่ะ?

นี่ถ้าจิตมันสงบแล้ว นั่นแหละมันมีฐานแล้ว พอฐานก็ฝึกหัดใช้ปัญญา นี่แหละคือการฝึกฝนทางมัชฌิมาปฏิปทา เพราะปัญญาที่มีสมาธิเป็นผู้รองรับให้มันมีปัญญา ปัญญาที่สมาธิรองรับแล้ว พอพิจารณาไปมันจะฟาดฟันกิเลสนะ พอพิจารณาไปมันเหมือนพระอรหันต์เลยแหละ นู่นก็รู้ นี่ก็รู้ นู่นก็ปล่อยวาง นู่นก็เวิ้งว้าง เหมือนพระอรหันต์เลย นี่มันฝึกหัด นี่แค่ฝึกหัดนะ แต่เวลาจิตมันบอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วมันดีไปหมดเลย

บ่อน้ำตื้นๆ แต่ถ้าบ่อน้ำมันลึกนะ บ่อน้ำมันลึกเพราะอะไร? เพราะน้ำตื้นๆ เวลาน้ำมันแห้งมันรู้ ก้นบ่อมันมีแต่เศษกรวด เศษหิน เศษทราย เวลาน้ำมันแห้ง เวลาวิปัสสนาไป ภาวนาไป พอสมาธิมันเสื่อมหมด ทุกอย่างน้ำมันแห้งหมดเลย ถึงได้รู้ว่าอ๋อ น้ำตื้น นี่บ่อน้ำตื้น เขามีบ่อน้ำลึก เขาเจาะผ่านลงไปมันจะมีน้ำลึกกว่านี้ มันทำมากเข้าไป บ่อน้ำจะลึกขึ้นไป ลึกจากอะไร? ลึกจากประสบการณ์ไง ถ้าตื้นเข้าไปมันก็จะไปเจอหิน เจอทราย เวลาน้ำมันแห้ง

ถ้ามันลึกลงไปบ่อน้ำลึกใช่ไหม? บ่อน้ำตื้นมันก็ใช้น้ำมา พอมันผ่านชั้นดินไปมันก็ไปเจอน้ำอีก พอชั้นดินมันก็จะเป็นชั้นดินตลอดไป มันจะรู้ว่านี่ธรรมะมันลึกซึ้งกว่าที่เราคิดอีกหลายชั้น ลึกลับซับซ้อนเยอะนัก นี้เราไม่เคยปฏิบัติ เราใช้แต่บ่อน้ำตื้น พอเขาบอกบ่อน้ำลึกที่มีอยู่ ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ? บ่อน้ำแค่นี้มันก็พอกินแล้วแหละ บ่อน้ำนี้มันก็เป็นนิพพานอยู่แล้วแหละ นิพพานมันก็อยู่แค่เอื้อมนี่แหละ มันทำไมต้องไปเอาน้ำลึกขนาดนั้น? ทำไมมันต้องยุ่งยากขนาดนั้น? ทำไมต้องลำบากขนาดนั้น?

นี่มันเหมือนกันแหละ เหมือนกันเวลารู้ตัวทั่วพร้อมเขาบอกว่าไม่ต้องทำสมาธิไง ไอ้พวกทำสมาธิบอกว่าถ้ามันผิดพลาดมาแล้ว ปฏิบัติรู้ตัวทั่วพร้อมมาแล้วมันไม่ได้ผล เพราะมันไม่ซาบซึ้งใจ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมาก็เป็นปัญญาโลกๆ ปัญญาการสังเวช ปัญญาทางโลกไงมันไม่ซาบซึ้งใจ เห็นโทษของมันก็พยายามจะทำจิตใจให้ลึกซึ้งขึ้นไปเพื่อจะภาวนาๆ พุทโธเพื่อให้จิตสงบ แล้วเมื่อไหร่มันจะได้ใช้ปัญญาล่ะ? นี่มันตกไปซ้ายและขวา มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา แต่ถ้าขิปปาภิญญาที่รู้ง่ายเขาก็ทำของเขาได้ แต่ถ้าเราไม่ได้เราก็พยายามทำของเราให้มันมากขึ้น

นี่พูดถึงเขาบอกว่า

ถาม : ทำไมหลวงพ่อไม่ตอบคำถามเรื่องการแก้ง่วงนอนเหมือนที่เขาทำได้ ทำไมไม่ตอบอย่างที่เขาทำได้

ตอบ : ก็บ่อน้ำตื้นๆ ของเอ็ง เอ็งทำได้ก็เรื่องของเอ็งสิ แต่คนอื่นที่เขามีตะกอนในใจของเขามากกว่านี้ก็มี น้อยกว่านี้ก็มี สิ่งที่เป็นทิฐิมานะในหัวใจของเขามันไม่เหมือนหัวใจของผู้ปฏิบัติที่ว่าง่วงนอนที่ว่าทำได้ง่ายๆ ไง ถ้าง่วงนอนทำได้ง่าย ปฏิบัติไปแล้วมันก็ควรประสบความสำเร็จ ป่านนี้เป็นพระอรหันต์ไป ๒ รอบแล้ว นี่เป็นพระอรหันต์แล้วยังเป็นพระอรหันต์อีกชั้นหนึ่งด้วย คนอื่นเขายังไม่เป็นพระอรหันต์เลยเราเป็น ๒ ที (หัวเราะ)

มันเขียนมา นี่มันเขียนมานะ บอกว่าทำไมไม่ตอบอย่างที่หนูทำ แล้วพระที่ปฏิบัติก็ไม่เห็นตอบแบบหนูทำเลย โอ๋ย หนูเก่งมากไง ก็เอาความเก่งไปเที่ยววัดพระองค์นั้น วัดพระองค์นี้ไง พระองค์ไหนก็ไม่เก่งเหมือนเราเลย บ่อน้ำตื้นๆ นะ ความตื้นๆ ในใจของเราเราจะรู้ตามความเป็นจริงอย่างเขาไม่ได้ ถ้ารู้ความเป็นจริงอย่างเขาไม่ได้ ถ้าเราจะปฏิบัติให้ลึกซึ้งไปกว่านี้ เราก็ไม่กล้าทิ้งทิฐิมานะของเรา นี่สิ่งที่เราเป็นมันเป็นทิฐิมานะของเราทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ถ้าขอบคุณมันก็ขอบคุณมาแล้ว แล้วสิ่งต่างๆ ให้ทำตัวเองไง ไม่มีใครนะจะประเสริฐที่สุดเท่ากับเราเห็นความผิดของเรา เราเห็นความผิดพลาดของเรา เราแก้ไขความผิดพลาดของเรา นี้ประเสริฐที่สุดนะ ในอริยวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ผู้ใดทำความผิดพลาดแล้วสำนึกว่าตัวเองผิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชมมาก ชมว่านี่เป็นอริยวินัย คนๆ นั้นจะแก้ไขได้ ถ้าคนๆ นั้นแก้ไขได้มันจะเป็นประโยชน์กับคนนั้น

ฉะนั้น ธรรมะนี่สอนตัวเรา สอนผู้ถาม ถ้าผู้ถามมีคุณธรรมจริง ผู้ถามสำนึกจริงนะ ผู้ถามจะต้องทำใจของตัวให้เข้มแข็งขึ้นมา แล้วพอเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม อยู่กับลูก เราก็มีสติปัญญา สอนได้นะ สอนลูกเราต้องเป็นตัวอย่าง หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง สอนลูกให้ทำคุณงามความดี แต่แม่อย่างกับหมาบ้าเลยล่ะ

แม่ปูไง บอกว่าลูกเดินตรงๆ นะ ลูกเดินให้ตรงๆ นะ ตัวเองนี่แม่ปูมันเดินตรงๆ ไหม? มันสอนลูกมัน ลูกเดินตรงๆ สิ ลูกเดินตรงๆ สิ ไอ้แม่ปูมันไม่ดูตัวมันเลยว่ามันเดินตรงแค่ไหน มันเดินตรงแค่ไหนแล้วมันจะไปสอนลูกมันให้เดินตรงๆ ให้สำนึก สำนึกว่าตัวเองเดินให้ตรงก่อนไง ถ้าตัวเองเดินให้ตรงแล้ว เดี๋ยวลูกมันก็จะเดินตามแม่มัน

“หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง”

นี้มีแต่คำสั่งคำสอน คอยจี้คอยไชเขา แต่พฤติกรรมในชีวิตของเรามันเป็นตัวอย่าง มันเป็นตัวอย่าง ถ้าตัวอย่างนี้ดีขึ้นมา เห็นไหม ลูกเรามันจะเดินตามเราเลย ถ้ามันคิดได้นะมันจะไปนั่งคอตกเลย ทำผิดๆ มันจะเสียใจเลย แต่นี่เราจะไปบี้มันๆ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ในเมื่อมันเกิดมาเป็นสังคมนะ นี่พูดถึงเวลาเขาขอบคุณมาแล้วเขาพูดถึงการอ้างเล่ห์ ก่อนเขียนเขาบอกว่าหลวงพ่อจะตอบหนูได้หรือ? พอเขียนไปแล้วเขาบอก อืม

นี่มันเป็นการบอกว่า ใจของคนลึกตื้นมันแตกต่างกัน แล้วถ้ามันลึก ลึกแล้วจะเอามาใช้อวดชาวบ้านหรือ? ใจของเรามันลึกซึ้งแล้วเราจะมาอวดเขาใช่ไหม? ใจฉันลึกๆ ใครเขาจะให้คะแนนล่ะ? ไม่มีใครให้หรอก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นสำนึกตน ตนเท่านั้นรู้เรื่องของตน ความสะอาดบริสุทธิ์มันอยู่ที่ใจของตน

ผู้ที่เขาฟัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ พยากรณ์ตามนั้น ใครสะอาดก็บอกว่าองค์นั้นสะอาด ใครไม่สะอาดก็บอกว่าองค์นั้นไม่สะอาด แต่พระพุทธเจ้าทำให้ใครสะอาดไม่สะอาดไม่ได้ ไม่มีใครทำคนอื่นให้สะอาดหรือไม่สะอาดได้ แล้วไม่มีใครสามารถรับรองความสะอาดของใครได้ ความสะอาดของเขาคือความสะอาดของเขา เพียงแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณถึงรับรองความสะอาดของเขา ถ้าเขาไม่สะอาด อย่างไรเขาก็ไม่สะอาดวันยังค่ำ แต่ถ้าเขาสะอาด พระพุทธเจ้าไม่รับรองเขาก็สะอาดของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเรา เราดูแลจิตใจของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่มันมีเศษเหลือมา

ถาม : ข้อ ๑๐๘๘. เรื่อง “ขอเพิ่มเติม” (เขียนมา ๒ ข้อไง ข้อ ๒ เขียนมาว่าขอเพิ่มเติม)

ขอเพิ่มเติมว่าคำถามที่ฝากถามนี้ลืมบอกไปว่า หนูคิดว่าครูบาอาจารย์ที่เคยทำวิธีการที่หนูทำกันทุกองค์แล้ว แต่ทำไมท่านไม่แนะนำ

ตอบ : นี่พูดถึงเวลาเขามานึกได้ไง ว่าสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาทำเราพูดนะ คำว่าพุทโธชัดๆ มันชัดเจนอยู่แล้ว มันชัดเจน คำเดียวแต่มันขยายความได้เป็นมหาศาล เพราะมันมีสติพร้อม มีคำบริกรรมพร้อม มีตัวจิตพร้อม มันพร้อมของมันอยู่แล้ว แต่ถ้ามันไม่พร้อมมันทำไม่ได้หรอก มันนึกพุทโธขึ้นมาชัดๆ ไม่ได้ ฉะนั้น ถ้ามันได้มันก็สมบูรณ์ของมันอยู่แล้ว ทีนี้เพียงแต่ถ้าอธิบายมันก็อธิบายมามหาศาลแล้ว แต่เวลากับคนอื่นไม่ต้องไปอธิบายให้มันงง ยิ่งอธิบายนะ แนวทางมากยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย แต่ถ้าพุทโธชัดๆ เขาจะไม่คิดถึงสิ่งใดเลย ตั้งสติกับพุทโธชัดๆ มันพร้อมและสมบูรณ์ในตัวมันเอง

ฉะนั้น ที่ว่า

ถาม : หนูเคยปฏิบัติมา ครูบาอาจารย์ท่านก็เคยสอนมาเหมือนกัน

ตอบ : ใช่ เพียงแต่ว่าถ้าอย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ เรียกว่าภาษาแตกต่างกัน ถ้าภาษาแตกต่างกันนั่นอย่างหนึ่ง แล้วความเห็นแตกต่างกัน แต่ในความรู้สึกของเรานะ ในความรู้สึกของเรา หมอนะ หมอที่เป็นศาสตราจารย์ หมอที่เขามีความชำนาญมาก เวลาเขาพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บเขาจะพูดถึงพฤติกรรมความเป็นอยู่ของคน

สังเกตได้หมอที่เกษียณแล้ว หมอที่เขาทำงานมาทั้งชีวิต ส่วนใหญ่แล้วจะมาเป็นเอ็นจีโอ อย่างเช่น สสส. เห็นโทษของการสูบบุหรี่ เห็นโทษของอะไร เพราะพฤติกรรมการเป็นอยู่ หมอที่เขาผ่านชีวิตการเป็นหมอมาทั้งชีวิต เขาจะเห็นเลยว่าคนดำรงชีวิตอย่างไรจะมีโทษ มีโรค มีภัยกับชีวิตอย่างไร ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา ท่านรู้จริงของท่านมา เวลาท่านพูดท่านกลับมาพูดตรงที่สติ เริ่มต้นในการปฏิบัติ สติกับคำบริกรรม เริ่มต้นจากปฏิบัติมันจะส่งให้จิตนี้ไปหรือจิตนี้ไม่ไป

เริ่มต้น เห็นไหม เหมือนกับเรานี่เริ่มต้นจากเด็กมาเลย เด็กต้องฉีดวัคซีนก่อน นี่กี่เดือนต้องฉีดวัคซีนชนิดนั้นๆ ป้องกันไว้ให้หมดไง ถ้าเด็กมันฉีดวัคซีนครบทุกอย่างมันจะไม่ติดเชื้อ มันจะไม่ติดโรค ถ้าเด็กมันไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย พ่อแม่อยู่บนดอย ลูกไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย พอโตขึ้นมานะโรคภัยไข้เจ็บมันจะรุมเข้ามาเลยเพราะไม่มีภูมิต้านทาน นี่ถ้าหมอเป็นอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาผู้ที่ปฏิบัติแล้ว เวลากลับมา เวลาเขาพูด เวลาถ้าคนที่ปฏิบัติแบบหมอที่จบใหม่ หมอฝึกหัดนะมันจะผ่าตัดไง ไอ้พวกพระฝึกใหม่ก็อวิชชาๆๆ กลัวเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไง กลัวเขาจะไม่รู้ว่าเราเป็นหมอ คำหนึ่งก็อวิชชา สองคำก็อวิชชา นี่มันจะสิ้นกิเลสไง แต่ถ้าหมอที่เขาเป็นหมอนะเขาจะย้อนกลับมาที่สติ ดูพื้นฐานที่มันจะวางรากฐานมา

หมอก็เหมือนกัน ถ้าเขาใช้ชีวิตของเขาทั้งชีวิตเลยจนเขาแก่เฒ่า เขาจะรู้เลยว่าสังคมไทย เห็นไหม ดูสิอีสานเป็นโรคเพราะอะไร? เป็นโรคเพราะกินของดิบๆ สุกๆ ทางใต้เป็นโรคเพราะอะไร? นี่สังคมนั้นเป็นโรคเพราะอะไร? พฤติกรรมความเป็นอยู่ของเขามันจะเป็นโรคในร่างกายของเขา การปฏิบัติก็เหมือนกัน การปฏิบัติไม่ดูแลตัวเองเลย การปฏิบัตินี่ล้มลุกคลุกคลานมา นิพพานครับ อวิชชาครับ นี่มันถอนรากถอนโคนตัวมันหมดเลย มันจะเอาผลนะ

ฉะนั้น พูดถึงว่าครูบาอาจารย์เขาผ่านมาแล้ว เขารู้ถึงเหตุถึงผล ควรและไม่ควร แต่ของเราเราไม่รู้เหตุรู้ผลของเรา แล้วเราก็อยากให้ครูบาอาจารย์เป็นอย่างที่เราคิด พูดก็ต้องเหมือนที่สมองเรามันได้ปั๊มความรู้สึกนึกคิดไว้แล้ว สมองนี่มันได้คิดไว้อย่างนี้แล้ว แล้วทุกคนต้องคิดแบบที่สมองกูคิด ถ้าใครพูดแบบที่สมองกูคิดอาจารย์องค์นั้นถูก ถ้าอาจารย์องค์ไหนพูดผิดจากที่มันปั๊มอยู่ในสมอง อาจารย์องค์นั้นใช้ไม่ได้ แล้วก็เที่ยวไปจับพระองค์นั้น เที่ยวจับพระองค์นี้ พระองค์นั้นใช้ได้ พระองค์นี้ใช้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เอาสัญญาในสมองเที่ยวไปจับเขา แล้วก็บอกว่าฉันเก่งๆ

จบแล้วนะ กลับไปฝึกตัวเอง กลับไปฝึกตัวเอง ทำตัวเองให้ดีขึ้นมา ถ้าตัวเองให้ดีขึ้นมาแล้วมันก็ดีขึ้นมา ถ้าตัวเองยังเหลวไหลอยู่ แต่ว่ามีสิ่งที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในสมอง มันก็เที่ยวเอาสิ่งนี้ไปวัดค่าคนอื่น บ่อน้ำตื้นๆ เอวัง