เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ส.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเห็นคนเขามั่งมีศรีสุข เห็นคนเขามีความสุข เราก็อยากจะมีความสุขอย่างนั้น เราอยากมีความสุขอย่างนั้น อยากมั่งมีอย่างนั้น เราต้องเคยเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าคนที่เขามีความสุขเขาจะเป็นแบบนั้น เราจะเป็นคนทุกข์คนจน เราจะขัดสนอย่างนี้ตลอดไป ไม่ใช่

นี่สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากกรรมคือการกระทำ ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วทำดี เราว่าเราทำดีของเรา ทำดีของเรา นี่ความดีของใครล่ะ? ถ้าเป็นความดีของกิเลสก็อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ ถ้าความดีของกิเลส เห็นไหม เพราะกิเลสมันโดนบีบคั้น มันจะต้องดิ้นของมันเป็นธรรมดา ถ้ามันดิ้นของมันเป็นธรรมดา ถ้าเราฝึกหัด ดูสิคนสวดมนต์ สวดมนต์ทุกวันๆ วันไหนไม่สวดมันจะรู้ว่าขาดสิ่งใดไปแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เราเสียสละ เราทำของเรา ทำจนกิเลสมันแซงหน้าไม่ได้ ถ้ามันออกหน้าไม่ได้นะเราจะเห็นค่าเลยล่ะ เห็นค่าว่าทำแบบนี้แล้วสบาย แต่เวลาถ้าเป็นกิเลสนะ ทำแล้ววิตกกังวล พอทำแล้วนะ มันทำหรือยัง? ทำแล้วสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ทำบุญเสร็จแล้วกลับมานั่งคิดนะ ไปก่ายหน้าผากที่บ้าน เอ๊ะ ทำผิดหรือทำถูก นี่คือว่ากิเลสมันแทรกมา มันไม่ได้ดั่งใจเลย แต่ถ้าเราทำของเราจนเคยชินของเรา กิเลสมันออกไม่ได้ กิเลสมันออกไม่ได้เพราะเรามีเจตนาของเราแล้ว ถ้าเจตนาเราสมบูรณ์แล้วนั่นคือความสมบูรณ์ของเรา

ถ้าความสมบูรณ์ของเรา เห็นไหม นี่ปฏิคาหก ขณะให้ เริ่มต้นแสวงหา ขณะให้ ให้แล้ว ถ้าให้แล้วก็คือจบไป คือจบไป นี่ทำบุญแบบทิ้งเหว ถ้าทิ้งเหวแล้วมันสบายใจมาก แล้วบุญอย่างนี้มันมีมหาศาล บุญมหาศาลตรงไหน? ตรงที่เจตนามันสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าบุญมันเจตนาไม่บริสุทธิ์ แล้วมันทำได้อย่างไรล่ะ? เพราะคนเรามีกิเลส ทุกคนมีกิเลสในหัวใจนะ คนเกิดมานี่ทุกคน ไม่ยกเว้น นี่พอเกิดมามีกิเลส ถ้ามีกิเลสแล้ว พอเราจะมาแก้ไข ไอ้กิเลสตัวนี้มันแซงหน้าแซงหลัง ถ้ามันแซงหน้าแซงหลังเราจะพัฒนาอย่างใด? ถ้าเราพัฒนาขึ้นมานะ จิตใจของเราจะดีขึ้น

ฉะนั้น คนใดปฏิบัติแล้วได้ผล คนใดทำแล้วเขามั่งมีศรีสุข เราอยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนั้น เราไม่ต้องอยากเป็นอย่างนั้นเราเป็นเอง เราเป็นเองด้วยการกระทำของเราไง ถ้าเราทำดีของเรา เรามีความฝึกหัดของเรา นี่กรรมอันนี้มันให้ผล ถ้าให้ผล เห็นไหม ถ้าให้ผลเราทำของเรา เราเข้าใจของเรา เรารักษาใจของเราได้แล้ว ถ้าใจของเราได้แล้วนะ เราทำของเราไปมันพอไง มันพอมันมีความสุขตั้งแต่เริ่มต้น มันทำแล้วนะมันมีความสุข

คนที่เขาขาดแคลนของเขา เขามีแก้ว แหวน เงิน ทองมหาศาลเลย แต่เขาขาดแคลนของเขา ขาดแคลนในหัวใจของเขา เขาทุกข์ยากมาก เขาบีบคั้นมาก เขามีมากขนาดไหนนะ นี่สิ่งที่ทรัพย์สินเงินทองมันเข้ามาค้ำเขา ต้องมีสถานะอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น นี่มันกลับมาทุกข์นะ แต่ของเราถ้าเราทำของเรา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา ความดีที่เราสร้างขึ้นมามันต้องให้ผลเป็นความดีกับเราแน่นอน

ถ้าความดีกับเรา ดีจากที่ไหน? ดีจากศีลธรรม ถ้าศีลธรรม เห็นไหม ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้ามีศีลนะเราไม่ก้าวล่วงไป ถ้าไม่ก้าวล่วงไป สิ่งนี้มันเป็นความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติใครจะมาทำให้จิตใจนี้หวั่นไหวได้ จิตใจเรามันขาดตกบกพร่องต่างหาก ที่มันหวั่นไหวอยู่นี่ มันขาดตกบกพร่อง เราอยากได้อย่างนั้นมันพร่องไปแล้ว เราอยากได้อย่างนี้มันพร่องไปแล้ว เพราะมันพร่องตรงนี้ไง แต่ถ้าเราทำของเรานี่เราอยากหรือเปล่า?

เราเข้าใจไงว่าสิ่งนี้มันเป็นสามัญสำนึก สามัญสำนึกของเรา ดูสิเราต้องหาอาหารเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เราหายใจอยู่นี่ออกซิเจนมันมีค่า เพราะออกซิเจนมันเข้าไปฟอกเลือดเข้าไปต่างๆ ขาดออกซิเจนมันอยู่ไม่ได้หรอก แต่รู้ไหมว่าออกซิเจนต้องซื้อเลยนะ ออกซิเจนใครซื้อบ้าง? อากาศใครซื้อบ้าง? อากาศใครบังคับให้เราหายใจบ้าง? เราก็ต้องหายใจของเราเป็นธรรมดา

จิตก็เหมือนกัน เราทำของเราเป็นปกติ นี่ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เราไม่ก้าวล่วงมัน ถ้าไม่ก้าวล่วงมัน ถ้าจิตใจอย่างนี้ ดูสิเวลาคนเรามีความสุขในหัวใจนะ สิ่งใดที่ใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราขาดแคลน ถ้าไม่ทุกข์ไม่ยาก ไม่อดไม่อยาก นี่ถ้ามันอดหรือมันอยาก มันทุกข์หรือมันยาก เพราะมันทุกข์มันยาก มันอดมันอยาก สิ่งใดโอ้โฮ มันอยากได้ อยากประทังชีวิตทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันมีของมัน มันรักษาของมันจนเป็นปกติของมัน

จิตใจก็เหมือนกันเราฝึกหัดตรงนี้ เขามีเขาเป็นเพราะเขาฝึกเขาทำของเขามา ถ้าเราขาดแคลน ขาดแคลนที่ไหน? ขาดแคลนที่หัวใจนะ หัวใจมันขาดแคลนมันถึงได้พยายามบีบคั้นออกมา ถ้าบีบคั้นออกมา เห็นไหม ฉะนั้น เราทำบุญกุศล สิ่งที่ทำบุญกุศล บุญคือบุญ บุญมันคืออะไร? นี่เวลาบอกเราทำบุญๆ บุญมันคืออะไร? ถ้าเราทำบุญนะ ทำบุญแล้วต้องประสบความสำเร็จทั้งหมด

ไอ้สิ่งที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดข้างหน้านั่นน่ะ นี่กรรมการกระทำ อำนาจวาสนาของคนมันอีกชั้นหนึ่งนะ กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมเก่าสิ่งที่ทำมา ดูสิเกิดมานี่สายบุญสายกรรม เกิดจากพ่อจากแม่ แล้วเกิดมาจากพ่อจากแม่ ถ้าลูกหลายคนนะมันเกี่ยงกันแล้วพ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รักโดยธรรมดา แต่ถ้าจิตใจบางคนนะ บางครอบครัวนะเขามีลูกหลายคน เรื่องอย่างนี้ไม่มีในครอบครัวเขานะ พี่น้องรักกัน พี่น้องเห็นใจกัน พี่น้องเอื้ออาทรต่อกัน เพราะจิตใจเขาไม่บกพร่อง เห็นไหม ถ้าจิตใจมันบกพร่องขึ้นมานะ พ่อแม่รักคนนู้น พ่อแม่รักคนนี้ คนนี้ไม่รักคนนั้น คนนั้นไม่รักคนนี้ นี่มันบกพร่องในใจ แล้วมีพ่อแม่คนไหนไม่รักบ้าง? พ่อแม่รักลูกเท่ากัน เพียงแต่พ่อแม่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนะ คนนี้มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ คนนี้มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ ห่วง ห่วงออกไปสังคมแล้วสังคมเขาจะโดนรังแก ก็พยายามจะสอนคน สอนคนเพราะเห็นว่าบกพร่อง ถ้าคนไม่บกพร่องพ่อแม่จะสอนไหม?

ไอ้ที่พ่อแม่ไม่สอน พ่อแม่ไม่สอนเพราะอะไร? เพราะเขารักษาตัวเขาได้ ไอ้ลูกก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น ลูกคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ไม่รัก เพราะใจมันบกพร่องมันถึงคิดกันอย่างนั้น ถ้าใจไม่บกพร่องไม่คิดอย่างนั้น แล้วถ้าใจมันบกพร่องมันบกพร่องเพราะอะไรล่ะ? บกพร่องเพราะการกระทำของเรานั่นแหละ จริตนิสัย นี่ทำแล้วทำเล่า ทำซ้ำทำซาก ทำจนเป็นความเคยชิน ทำจนเป็นจริตนิสัย แล้วพอทำเป็นจริตนิสัยก็ว่าสิ่งนี้ถูกต้องเพราะเป็นความเคยชินของเรา ไม่ใช่ว่ามันผิดมันถูกเพราะเหตุผล มันต้องวัดกันด้วยเหตุผลว่าศีล เอาศีลมาเป็นข้อวัด ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เอาสิ่งนี้เป็นข้อวัด

ธรรม ธรรมนะ ทุกดวงใจต้องการความสุข เกลียดความทุกข์ ความทุกข์ทุกดวงใจไม่ปรารถนา ไม่อยากได้ ไม่อยากเห็น ไม่อยากเข้าใกล้ ทุกดวงใจปรารถนาความสุข ถ้าเราคิดอย่างนี้เขาก็คิดแบบนี้ ถ้าเราคิดแบบนี้เขาก็คิดแบบนี้ เราจะไปลุกล้ำสิทธิของเขาไหม? เราจะไปลุกล้ำสิทธิของเขาไหม เพราะเขาก็หวงของเขา เราก็หวงของเรา ถ้าเรารู้อย่างนี้ปั๊บเราจะไม่ก้าวก่ายใคร เด็กวัยรุ่นที่มีปัญหากันนี่ศักดิ์ศรีๆ นี่แหละ

คำว่าศักดิ์ศรีมันเป็นทิฏฐิมานะอันหนึ่งนะ แต่ถ้าทิฏฐิมานะ คำว่าทิฏฐิถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิล่ะ? ถ้าเราถูกต้องดีงามเราต้องยืนนะ ความยืน ความถูกต้อง เพราะอะไร? เพราะโลกเราเวลาความถูกต้อง เวลาปฏิบัติที่ว่าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลๆ สัจจะ ถ้าใครมีสัจจะ เราตั้งสัจจะแล้วเราจะนั่งสมาธิ เราจะเดินจงกรม มันก็เดินแต่ร่างกายไง เท้ามันก็ก้าวไป ใจมันก็คิดไปร้อยแปด มันจะนั่งสมาธิ มันจะเดินจงกรมนะ นี่ทำสักแต่ว่า ทำเป็นกิริยา ทำด้วยความเคยชิน แต่ใจมันไม่อยู่หรอก มันเอาใจไว้ไม่อยู่หรอก นี่ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ?

มันเป็นแบบนั้น นี่ไงสัจจะมันไม่มีไง ถ้ามีสัจจะเราจะเดินจงกรม เราจะนั่งสมาธิภาวนา ถ้าเดินจงกรม แล้วจิตใจมันไปไหนล่ะ? ถ้าจิตใจมันออกจากนอกทางจงกรมไปมันก็ไม่ใช่เดินจงกรมแล้วสิ ถ้ามันเดินจงกรม เดินแต่ร่างกายนี่มันซาก ซากเดน กากเดนมันเดินอยู่นี่ แล้วหัวใจมันไปไหน? หัวใจมันไปไหน? ถ้ามีสัจจะ นี่เรามีสติเราก็รั้งไว้ เดินจงกรม เดินจงกรม อย่าให้มันคิดออกไปสิ เท้าเดินจงกรมอยู่นี่ จิตใจก็อยู่ในร่างกายนี้ อย่าคิดออกไป อย่าคิดออกไป มันมีสติมันดึงมาไง

ถ้ามีสตินะ เห็นไหม เราเดินจงกรมเพื่อความสงบระงับ เราเดินจงกรม นี่สุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตสงบระงับมันไม่ต้องไปแบกไปหาม อยู่ในทางจงกรมมันไปคิดรอบบ้านรอบเมือง มันไปกว้านมาหมดเลย มาแบกไว้ในหัวใจ เท้าเดินจงกรมอยู่ เห็นไหม นั่งสมาธิก็นั่งสมาธินะ นี่พุทโธ พุทโธ มันแฉลบไปเรื่อยๆ แลบไปเรื่อย แลบไปเรื่อย แต่ถ้าเรามีสตินะ เราเคยฝึกหัดของเรานะ พอมันแลบเราก็เห็นว่ามันแลบ พอมันแลบ เห็นไหม นี่พลังงานมันเป็นแบบนี้ ตัวจิตมันส่งออกอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นส่งออก ส่งออกเราให้จิตนี้มาอยู่ที่พุทธานุสติ

พุทธานุสติ สติกับพุทธะ พุทธะคือพุทโธ พุทโธที่ตัวเราเรายังจับต้องไม่ได้ เราก็อาศัยบริกรรมพุทโธ พุทโธไปก่อน อาศัยชื่อไปก่อน เห็นไหม เราคิดถึงพ่อถึงแม่นะ ทุกคนเป็นห่วงพ่อเป็นห่วงแม่นะ ถ้าห่วงพ่อห่วงแม่เราจะดูแลรักษาแม่อย่างไร? เราจะดูแลอย่างไร? แต่เราเป็นห่วงเรายังไม่ถึงตัวพ่อแม่ เราไม่ถึงตัวพ่อแม่ พ่อแม่อยู่บ้าน เราเป็นห่วงพ่อแม่ เรากลับบ้านเราจะซื้อของไปฝากพ่อแม่ ถ้าไปถึงพ่อแม่เราก็ยื่นให้พ่อแม่

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธ พุทโธนี่เราคิดถึงพระพุทธเจ้า เราระลึกถึงพุทธะ พุทโธ พุทโธ เรายังไม่ถึงตัวพุทโธหรอก เราระลึกถึงพุทโธไง พุทโธ พุทโธ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เหมือนเราระลึกถึงพ่อแม่ เราห่วงพ่อแม่ เราว่าพ่อแม่อยู่ที่บ้าน พ่อแม่เป็นห่วงเรา เราจะหาอะไรไปฝากพ่อแม่ คิดถึงพ่อแม่ มันคิดถึงแต่มันยังไม่ถึงตัว พุทโธ พุทโธ พุทโธ เราคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพุทธะ คิดถึงผู้รู้ คิดถึงสัจธรรม แต่มันยังไม่ถึงตัว ไม่ถึงตัวเราก็อาศัยบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธของเราไปก่อน

ถ้าพุทโธ ถ้ามันไปถึงตัวนะ ไปถึงตัว นี่พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนมันพุทโธไม่ได้ มันละเอียดเข้ามา อื้อฮือ เห็นไหม เราไปถึงตัวพ่อแม่ เราไปถึงตัวพ่อแม่นะ เรายื่นของให้พ่อแม่ พ่อแม่จะมีความสุข เราก็มีความสุข โอ้โฮ มีความสุขนะเพราะเราแสดงออกถึงคุณค่าของหัวใจของเรา น้ำใจของเราก็น้ำใจของพ่อแม่ พ่อแม่เลี้ยงเรามา

นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมนี่เอาจิตอันสงบอันนี้ออกพิจารณา ออกใคร่ครวญ ใคร่ครวญที่ว่าคนเกิดมาทุกคนมีกิเลส ทุกคน เพราะการเกิดนี่กิเลสมันพาเกิด ไม่มีเว้นหรอก แต่ถ้าพอพุทโธ พุทโธเราก็เข้าไปถึงหัวใจของเราแล้ว นี่เราเข้าไปว่าอะไรมันเป็นกิเลส กิเลสมันเป็นแบบใด? กิเลสมันเป็นแบบใด? กิเลสคือความไม่รู้ ถ้าจิตใจมันพุทโธ พุทธะเข้าไปถึงตัวใจ เห็นไหม มันตื่น มันเบิกบานของมัน น้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา พอจิตมันสงบแล้ว แล้วปลาอยู่ไหน? กิเลสอยู่ไหน? บอกว่าพอน้ำใสแล้วเดี๋ยวจะเห็นตัวปลานะ เดี๋ยวปลามันก็จะวิ่งมาชนเรานะ เราก็จะได้พิจารณาของเรานะ...รออีก ๑๐๐ ชาติ

พอจิตมันสงบ มันใสขนาดไหน เห็นไหม ปลามันก็ยิ่งเรืองแสง หาไม่เจอหรอก หาไม่เจอ กิเลสนะปลามันยิ่งหลอกใหญ่ ปลามันบอกว่าปลาก็ไม่มี กิเลสก็ไม่มี นิพพานเป็นอย่างนี้ ว่าง มีความสุข นี่ปลามันยังหลอกเอานะ นี่ว่าน้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา เข้าไปหาปลา ปลามันยังหลอกเอาหัวปั่นออกมา

นี่ถ้าเราจิตสงบแล้วพยายามน้อมไป ฝึกหัดให้ใจมันพิจารณา ให้มันไปจับต้องได้ ถ้ามันจับต้องได้ มันเห็นกายขึ้นมาเป็นนิมิตขึ้นมา นี่มันเป็นนิมิต อุคคหนิมิต วิภาคะคือการแยกเป็นไตรลักษณ์ เห็นไหม นี่มันจะเกิดปัญญาขึ้นมา พอเกิดปัญญา พอกิเลสมันขาด พอกิเลสสังโยชน์มันขาด ตัวสังโยชน์นั่นแหละ ตัวสังโยชน์มันขาดนี่มันพลิกศพกิเลส มันพิจารณากิเลส มันเห็นกิเลสของมัน มันทำตามความเป็นจริงของมัน

ถ้าความเป็นจริงของมัน เห็นไหม นี่ทุกคนเกิดมามีกิเลส ทุกคนมีทั้งนั้นแหละ แต่หาไม่เจอ หาไม่เจอ แล้วเวลาหาไม่เจอแล้วเอาอะไรไปทำมัน นี่เราระลึกถึงพ่อแม่ของเรา เราก็อบอุ่นนะ เรามีพ่อมีแม่ ใครก็แล้วแต่พ่อแม่จากไปแล้วนะ อืม เราตัวคนเดียวแล้วแหละ พ่อแม่เราก็ไปแล้ว แล้วเราจะอยู่กับใคร? เราก็ต้องเติบโตขึ้นมา

จิตใจก็เหมือนกัน เวลามันเข้าไปเห็นถึงพุทธะ เห็นไหม มันเห็นพุทธะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา นี่เวลาเกิดสภาวธรรมขึ้นมา สภาวธรรมนี้มันจะไปชำระล้างกิเลสของเรา ถ้าชำระกิเลสของเรา มันทำลายกิเลสของเราไปแล้ว นี่เราจะยืนตัวของเราได้ อกุปปธรรม เวลาเป็นกุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ถ้าสัจธรรมแล้วมันเป็นความจริงของมันขึ้นมา

นี่สิ่งนี้เป็นสมบัติของดวงใจทุกดวงใจ พ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ของลูก เราก็ดูแลของเรา ถ้าเราชวนพ่อชวนแม่ฝึกหัดภาวนา ถ้าพ่อแม่ได้อย่างนี้นะ ทำบุญกุศล นี่เราเลี้ยงพ่อแม่ด้วยอาหาร ด้วยความเป็นอยู่ เราซื้อของไปฝากมีความชื่นใจ เวลาพ่อแม่จะตายไป เราต้องตายไป ต่างคนต่างต้องพลัดพรากจากไป นี่เราเลี้ยงได้แค่นี้เอง แต่เวลาบุญกุศลมันเลี้ยงข้ามภพข้ามชาติ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

สิ่งที่เป็นเทวดาเพราะได้อะไรมา? เกิดเป็นพรหมเพราะได้อะไรมา? ตกนรกอเวจีเขาได้อะไรมา? เพราะทำชั่วมันถึงตกนรกอเวจีไง แต่ถ้ามันพิจารณาของมัน มันจะเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันเป็นพระอริยเจ้า เทวดาที่เป็นอริยเจ้ากับเทวดาที่เป็นปุถุชน ถ้าปุถุชนเขาไม่มีปัญญาเหมือนอริยเจ้า แต่เป็นเทวดาชั้นเดียวกัน ในเมื่อท่านยังไม่สิ้นกิเลส แต่ถ้าสิ้นกิเลสไปแล้วนะมันข้ามพ้นไปหมด

นี่กามภพ รูปภพ เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่วัฏวนมันข้ามพ้นไปหมดเลย นี่ไงชำระกิเลสอย่างนี้ไง ถ้าชำระกิเลสอย่างนี้ จากการทำบุญของเรานี่แหละ จากคุณงามความดีของเรานี่แหละ เห็นเขาทำความดีกัน เห็นเขาประสบความสำเร็จกันเราก็อยากทำของเรา ทำจริงๆ ทำของเราไป แล้วมันจะเป็นความจริงของเรา ไม่มีสิ่งใดลอยมาจากฟ้า ไม่มีสิ่งใด

ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิษฐานบารมี อธิษฐานอ้อนวอนเอานี่อธิษฐานเพื่อเป้าหมาย นี่อธิษฐานบารมี บารมีสิบทัศ ถ้าเราทำอย่างนั้นปั๊บจิตใจเราจะดีขึ้นมา มันจะประสบความสำเร็จขึ้นมา นี้เราทำของเรา ไม่ใช่เห็นคนเขาทำความดีๆ เห็นเขาสมความปรารถนา เราทุกข์ๆๆ เราทุกข์เพราะเราไม่ทำ เราทุกข์เพราะเราไม่เปลี่ยนแปลง เราทุกข์เพราะเราไม่แก้ไข ถ้าเราแก้ไขเปลี่ยนแปลงเราจะได้แบบนั้นแหละ

สิ่งที่แบบนั้นมันมาจากเหตุ มันมาจากการกระทำ มันมาจากผู้รื้อค้น มันมาจากผู้ลงทุน จิตใจนี้เป็นผู้ลงทุน จิตใจนี้เป็นผู้มีการกระทำ พอมันทำเสร็จแล้วมันก็ได้ผล ได้ผล ฉะนั้น ความดี ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วแน่นอน เอวัง