เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ ชาวพุทธ เห็นไหม วันพระวันโกนเขาจะหยุดให้ไปทำบุญ ทำบุญเพื่อให้จิตใจให้มันเปิดกว้าง ถ้าจิตใจเปิดกว้าง ในบ้านของเราถ้าอากาศมันถ่ายเท ความเป็นอยู่ในบ้านนั้นจะมีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าในบ้านเราอากาศมันอับชื้น แถมมีเชื้อโรคด้วย นี่จะทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย จิตใจไปทำบุญเพราะเหตุนี้ จิตใจให้มันเปิดกว้าง

การเสียสละวัตถุนี้มันเป็นข้าวของ ถ้าคนทุกข์ คนจน เราปากกัดตีนถีบกว่าจะหาได้มาสักบาทสักเฟื้องมันเป็นของหายาก แล้วเรามาแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร แล้วเราเสียสละออกไป นี่ของนี้มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะมันดำรงชีวิตเราได้ แล้วเราเสียสละทำไม? ทำไมเราต้องเสียสละ? เราเสียสละของนี้มันมีคุณค่ากับชีวิตของเรา มันดำรงชีวิตได้ แต่พอดำรงชีวิตได้แล้วหัวใจของเรามันก็ว้าเหว่ หัวใจของเรามันก็เศร้าหมอง แต่ถ้าเราเสียสละสิ่งนี้ออกไป หัวใจของเราชุ่มชื้นขึ้นมาได้ ถ้าหัวใจเราชุ่มชื้นขึ้นมาได้ นี่มันเปิดหัวใจ

ถ้ามันเปิดหัวใจขึ้นมา เห็นไหม ถ้าหัวใจเรามีความสงบ มีความชุ่มชื้นในหัวใจ สิ่งที่เราว่าเสียสละเราพอใจ เราทำได้ เราทำได้เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา สิ่งนี้มันมีคุณค่ามากกว่า สิ่งนี้มันเป็นอาหารของกาย แต่อาหารของใจคือธรรมะไง เราแสวงหาธรรมะกัน ชาวพุทธหาธรรมะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ความจริงเท็จทั้งนั้น ความจริงที่เป็นอริยสัจมันยังไม่เกิด ความจริงที่ไม่เป็นความจริงถึงที่สุด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ความจริงอย่างนี้เป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริง เป็นความจริงแท้ ความจริงแท้เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์นั้น เวลาแสวงหาอยู่ที่โคนต้นโพธิ์นั้น แสวงหากับเจ้าลัทธิต่างๆ นี่ไปศึกษากับเขามาทั้งนั้น ๖ ปี แสวงหามาขนาดไหนความจริงเทียม ความจริงที่ไม่ถึงที่สุด พอความจริงไม่ถึงที่สุดเราก็แสวงหาสิ่งนั้นกัน

ในปัจจุบันนี้มันเป็นความจริงเทียมๆ กัน ความจริงเทียมๆ กันก็คือเรื่องโลกไง เรื่องโลกเราเห็นได้ เราจับต้องได้ เวลาเขาอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นทางโลก เราเชื่อถือศรัทธาเพราะมันเป็นตรรกะ แต่เวลามันเป็นความจริงนะเรารู้ไม่ได้หรอก เราปีนบันไดขนาดไหนก็รู้สิ่งนั้นไม่ได้ ถ้ารู้สิ่งนั้นไม่ได้ แล้วทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ล่ะ? ทำไมครูบาอาจารย์ของเรารู้ล่ะ? มันรู้ขึ้นมา รู้จากภายใน รู้จากสิ่งที่เราเสียสละทานกันอยู่นี่

เราทำทานกัน ทำทานกันเพื่อให้จิตใจมันเปิดกว้าง พอจิตใจมันเปิดกว้างขึ้นมา เห็นไหม เหมือนจิตใจที่เปิดกว้าง จิตใจที่เป็นสาธารณะเขาจะฟังเหตุฟังผลของคนอื่น แต่ถ้าจิตใจเราไม่เปิดกว้างมันเป็นฟังเหตุผลของเรา เหตุผลของเรา เหตุผลของตัณหาความทะยานอยาก เหตุผลของกิเลส เหตุผลของความเห็นแก่ตัว! แต่ถ้าเหตุผลของความจริง ความจริงก็คือความจริง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนะ แต่คนพูดความจริงตายหมดเลย เพราะอะไร? เพราะโลกเขาไม่ชอบความจริงกัน

โลก เห็นไหม เวลาทางโลกเขาบอกเลยนะ เราจะไปยกมือไหว้คนทุจริตทำไม? เราจะไปยกมือไหว้คนคอรัปชั่นทำไม? แต่เขามีอำนาจ เขามีบารมี ทุกคนก็ไปยกมือไหว้เขาทั้งนั้นแหละ แต่เวลาคนจน คนทุกข์ คนเข็ญใจ แต่เขามีคุณงามความดีของเขา เขาซื่อสัตย์สุจริตของเขา ทำไมไม่ไหว้เขาล่ะ? ทำไมไม่ไหว้เขา? นี่ไงเวลาความจริงเทียมในหัวใจมันเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงแท้ในหัวใจนะเราจะไม่เป็นเหยื่อเขา

นี่เพราะความจริงเทียมอันนั้น แล้วหัวใจของเราก็เทียมอันนั้น เราจะเป็นเหยื่อเขาอย่างนั้น เราจะตามกระแสนั้นไป แต่ถ้าเป็นความจริงแท้ของเรา เห็นไหม มันเป็นความจริงหรือ? ถ้าความจริงเราแสดงออกอย่างนั้นหรือ? พฤติกรรมอย่างนั้นเป็นการแสดงความจริงหรือ? ความจริงมันก็คือความจริง ถ้าความจริงนะ เขาบอกเป็นทิฏฐิมานะๆ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิล่ะ? ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครชักนำไปทางไหนก็ได้สิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะมาชักนำไปทางไหนนะ ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปโปรดสัตว์ นี่เขากราบทิศกันอยู่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราก็กราบทิศเหมือนกัน เรากราบทิศ เราก็ไหว้ทิศเหมือนกัน แต่ไหว้ทิศของเรา ทิศบนศีรษะนี้เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ทิศเบื้องหน้านี้เป็นพ่อแม่ของเรา ทิศเบื้องซ้ายนี้เป็นหมู่คณะของเรา ทิศเบื้องขวานี้เป็นญาติพี่น้องของเรา ทิศเบื้องล่างนี้เป็นคนรับใช้ของเรา” เห็นไหม ท่านบริหารทิศของท่าน

นี่ไง เขากราบทิศกันอยู่ แต่กราบทิศกราบอ้อนวอนขอเอา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเราก็ไหว้ทิศเหมือนกัน แต่เราไหว้ด้วยการบริหารจัดการทิศของเรา เห็นไหม นี่เห็นเขาลงน้ำล้างบาปๆ ถ้าล้างบาปนะ ปูปลาในแม่น้ำมันก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้วล่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่การล้างบาปของเราเรามีสติ มีน้ำอมตธรรม นี่มันล้างหัวใจของเรา ถ้ามันล้างหัวใจมันล้างอย่างไรล่ะ? มันล้างอย่างไร? เราจะอาบน้ำใช่ไหม? เอาน้ำสาดมันใช่ไหม? เอาน้ำล้างใช่ไหม? มันเป็นบุคลาธิษฐาน

เวลาเรามีน้ำใจ เห็นไหม ค่าของน้ำใจมันมีคุณค่าขนาดไหน? มันจะชำระล้างความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความหมักหมมในหัวใจ มันชำระล้างของมัน แล้วมันอยู่ไหนล่ะ? ทุกคนก็หาทั้งนั้นแหละ ทุกคนอยากเกิดมรรคญาณ ทุกคนอยากเกิดปัญญา ทุกคนอยากชำระกิเลส แล้วกิเลสมันอยู่ไหนล่ะ? กิเลสก็ไม่รู้จัก นี่สติปัญญาก็ไม่รู้จัก สิ่งที่ว่าสติปัญญาๆ มันเป็นสัญญาทั้งนั้นแหละ มันเป็นสัญญา เป็นสัญญา เห็นไหม

ใช่ เราเกิดมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงแท้ขึ้นมา เพราะใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ เราก็ศึกษาธรรมและวินัยนี้ เราศึกษาวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สติก็เป็นสติ ปัญญาก็เป็นปัญญา แต่ปัญญานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแยกแยะลงไป สุตมยปัญญาคือการศึกษา จินตมยปัญญาคือจินตนาการ ภาวนามยปัญญานี่มันเกิดมาอย่างไร? แล้วเราก็บอกว่าเราก็ทำสติกัน เราก็ทำสมาธิกัน เวลาจิตมันสงบแล้วมันก็เกิดปัญญาขึ้นมา นี่มันจินตนาการขนาดไหน?

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย”

มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา แล้วเราใช้ปัญญาไง เราคิดนะเป็นมารหรือเปล่า? เป็นมารหรือเปล่า? มารทั้งนั้น ปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นปัญญาของกิเลสทั้งนั้น นี่ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่กิเลสเอามาใช้ ดูสิเงิน เห็นไหม โจรมันปล้น พวกที่เขาคอรัปชั่น เขาเอาเงินนี้ไปจ้างคน เอาเงินนี้เพื่อซื้อคน เขาก็เอาเงินทั้งนั้นแหละ เราก็เอาเงินของเรามาทำบุญ เงินหรือเปล่า? เราเอาเงินมามันก็เงินทั้งนั้นแหละ

เงินของเรา เราเอามาแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัย เราเอามาแลกเปลี่ยนเป็นประโยชน์กับเรา เราสร้างบุญกับเราก็เงินทั้งนั้นแหละ ความคิดก็เหมือนกัน นี่ความคิดเหมือนกัน ความคิดอันหนึ่งกิเลสเอาไปใช้ ความคิดอันหนึ่งธรรมเอามาใช้ ถ้าธรรมเอามาใช้มันมีสติ ถ้ามีสติปัญญามันก็ยับยั้งของมันใช่ไหม? ถ้ามันยับยั้งของมัน นี่พอยับยั้งขึ้นมา พอมันปล่อยมันก็เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้นเอง เท่านั้นเอง นี่ไงถ้าความจริงเทียมเพราะมันไม่รู้จัก เพราะความคิดเป็นสมาธิ ความคิดเป็นจิตมันคิดของมันไป พอจิตมันสงบเข้ามามันเลยเป็นมิจฉาไง

พอมันปล่อยความคิดแล้ว...ลอยเลยนะ พอปล่อยความคิด ว่างๆ ว่างๆ แล้วใครปล่อยก็ไม่รู้ ใครเป็นสมาธิก็ไม่รู้ ว่างๆ ว่างๆ นี่ไงสิ่งที่ว่าถ้ามันเป็นสัญญา เห็นไหม ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ จิตใจศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ศึกษาแล้วมันเป็นสัญญาไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ไปอีกเรื่องหนึ่ง ชี้เข้ามาสู่ใจของเรา เราก็ชี้ไปที่ความคิด เราก็ชี้ไปที่ความคิดของเราว่านี้เป็นจิต นี้เป็นจิต แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ใช่...ไม่ใช่

นี่ถ้าเราพุทโธ พุทโธเป็นความคิดไหม? ก็ความคิด คิดจนมันคิดไม่ได้ ถ้าคิดไม่ได้นั่นแหละคือตัวมัน ถ้าคิดไม่ได้ใครเป็นคนคิดไม่ได้ คิดไม่ได้ก็ อึ๊ๆๆ ก็เอ็งคิดไม่ได้ นี่ไงมันรู้จริงของมัน ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา เวลาถ้ามันใช้ปัญญาของมัน ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ถ้าปัญญามันไม่เกิดขึ้นมา มันไม่เกิดภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไรล่ะ? นี่ภาวนามยปัญญาไม่ได้นะ ถ้ามันมีปัญญาออกไปมันจะพ้นออกไปจากธรรมและวินัย มันไม่ตรงพระไตรปิฎก นี่คิดไปนู่น

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่มาในพระไตรปิฎกนี้มันเหมือนใบไม้ในกำมือ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี่ใบไม้ในกำมือ แต่ถ้าความรู้ความเห็นของเรา ถ้ามันจะเป็นปัญญาขึ้นมา เพราะมีสติมีสมาธิขึ้นมามันไม่เสียหายหรอก ถ้ามีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม สติจับ สมาธิจับ สมาธิ สตินี่จับกิเลสไว้ ปัญญามันจะฟาดฟัน แล้วจะเกิดปัญญาฟาดฟันไม่ได้ มีดอันนี้ ปัญญาอันนี้ที่มันจะฟาดฟันกิเลส อันนี้มันนอกพระไตรปิฎก เดี๋ยวมันจะฆ่ากิเลสไม่ได้...คิดไป เห็นไหม

เงิน ถ้าโจรมันใช้นะ มันเอาไปคอรัปชั่น มันเอาไปซื้อคน นี่เวลาปัญญามันจะเกิด ดูสิกิเลสมันไม่ให้มันใช้ มันจะเอาแต่ความรู้สึกของมัน นี่เวลาถ้าคนที่เขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาเขาก็ใช้เงินเป็นทุน ใช้เงินเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวของเขาขึ้นมา เขาใช้เงินของเขาเพื่อสร้างคุณงามความดีของเขา เขาใช้เงินของเขาเพื่อประโยชน์กับเขา เขาใช้เงินของเขาเพื่อบุญกุศลของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าปัญญามันจะเกิด ถ้าสติปัญญามันเกิดมันจะเสียหายไปตรงไหน? ให้มันเกิดมาจริงสิ พอมันเกิดมาจริง ถ้ามรรคญาณ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดมรรคญาณขึ้นมา พอมันสมุจเฉทปหานขึ้นไป มันจะหนีไปไหนกับอริยสัจล่ะ? ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันจะหนีไปไหน? มันหนีจากอริยสัจไปไม่ได้หรอก นี่ความจริงแท้กับความจริงแท้ ถ้ามันลงอันเดียวกันแล้วมันจะมีใครโต้แย้งกับความจริงแท้อันนี้ ความจริงแท้ไม่มีใครจะโต้แย้งได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะองค์เดียวเท่านั้น มนุษย์คนเดียวเท่านั้นเลยที่มีดวงตาเห็นธรรม แต่เทวดาเขาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว ความจริงแท้ได้ประกาศแล้ว ความจริงแท้นี้ไม่มีใครสามารถจะย้อนกลับได้ ความจริงแท้มันไม่มีใครสามารถย้อนกลับได้ ไม่มีใครจะสามารถทำลายความจริงแท้อันนี้ได้ แล้วเราปฏิบัติขึ้นมา ความจริงมันเกิดขึ้นมาจากใจแล้ว ถ้าความจริงแท้มันเกิดขึ้นมาจากใจเรา นี่มันจะหวั่นไหวสิ่งใด?

ถ้าความจริงแท้มันเกิดขึ้นจากใจ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ความจริงเทียมๆ เราจะเป็นเหยื่อนะ เราเป็นเหยื่อกับความจริงเทียม แล้วความจริงๆ นี่โอ้โลมปฏิโลมกัน เอาอกเอาใจกัน มันเป็นกระแสทั้งนั้น แล้วกระแสอย่างนั้นมันเป็นอะไรล่ะ? ประเพณีวัฒนธรรมมันห่อหุ้มสัจธรรมเอาไว้ ประเพณีวัฒนธรรมห่อหุ้มสัจธรรม ถ้าสัจธรรมนะมันเอาออกมา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกที่มาตีแผ่เป็นประเพณีวัฒนธรรมนั้นไม่ได้

ประเพณีวัฒนธรรม การทำบุญกุศล การสร้างคุณงามความดีทั้งหมด มันจะชี้เข้าไปสู่ใจของผู้กระทำ ใจของผู้กระทำนั้นได้กระทำสิ่งนี้มา มันจะย้อนกลับไปสิ่งนั้น เราจะทำบุญ เราจะทำสิ่งใด เราต้องคิดไหม? เราต้องใช้ร่างกายกับน้ำเสียงของเราไหม? งานนี่ใช้สมองทุกอย่างมันมาจากไหน? มันมาจากจิตทั้งนั้นเลย จิตมันเป็นคนสั่งทำ แล้วผลที่มันเกิดขึ้น จะดีและชั่วมันจะไปสู่จิตนั้น

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วทางโลกอย่างหนึ่ง ทำดีนี่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มรรคญาณคืออาการของจิต วิถีแห่งจิต จิตมีการกระทำของมัน เวลานโยบาย กำหนดนโยบายขึ้นมา พวกข้าราชการต้องทำตามนโยบายนั้น เวลาเกิดมาจากจิตนี่มันคุมนโยบายของมัน แล้วถ้านโยบายนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ นโยบายนี้มันบิดเบี้ยว การกระทำนั้นเราก็เป็นเหยื่อ แต่ถ้าการกระทำนั้นมันถูกต้องดีงามเข้ามา มันจะสู่สัจธรรมอันนี้เข้ามา เห็นไหม นี่ความจริงแท้ไง ถ้าความจริงแท้เกิดขึ้นมาในใจของเรา มันจะไม่มีการโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น มันจะเป็นอันเดียวกัน ไม่เคยมีสิ่งที่ว่าขัดแย้งกันในการสู่ความจริงอันนี้ ไม่มีการขัดแย้งกัน

มีในพระไตรปิฎก เห็นไหม ที่ว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ ที่ว่าอยู่ที่สวนมะพร้าว อันนี้เป็นจริต พระสารีบุตรก็บอกว่าปัญญานี้เลิศที่สุด พระโมคคัลลานะบอกว่าฤทธิ์นี้เลิศที่สุด พระอุบาลีก็บอกว่าวินัยนี้เลิศที่สุด เพราะว่าถ้าไม่มีวินัยนี้สงฆ์ก็ไม่เข้มแข็ง นี่จริตนิสัยความถนัดของคนลงกันไม่ได้ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เราโต้แย้งกันว่าสิ่งใดเลิศที่สุด” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อาสวักขยญาณเลิศที่สุด”

เพราะอาสวักขยญาณนั้นได้ทำให้ดวงใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอุบาลี พระกัสสปะให้เป็นพระอรหันต์ การเป็นพระอรหันต์คือการชำระล้างกิเลสในใจสิ้นไป ถ้าการชำระล้างกิเลสในใจสิ้นไปแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา อันนี้เลิศที่สุด แต่ความถนัด เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ฉะนั้น สิ่งที่จะขัดแย้ง จะไม่ถนัดก็สิ่งที่ว่าจริตนิสัยที่ไม่เหมือนกัน แต่อาสวักขยญาณอันเดียวกัน อาสวักขยญาณทำให้จิตนี้สิ้นไปจากกิเลส อันนี้เลิศที่สุด

ถ้าความจริงแท้แล้วนี่มันไม่เถียงกันด้วยสัจธรรม แต่นี้ก็ยังเถียงถึงความถนัด เวลาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมาอาสวักขยญาณ คือมรรคญาณ ถ้ามรรคญาณอันนี้เลิศที่สุด ถ้าเลิศที่สุด ถ้าไม่มีมรรค ไม่มีสัจธรรมอันนี้ มันจะทำให้จิตใจดวงนี้ให้สะอาดไม่ได้ ถ้าจิตใจสะอาดไม่ได้ นี่ไงความจริงเทียมมันก็ไหลกันไปไง

ประเพณีวัฒนธรรมมันก็ห่อหุ้มสัจธรรมอันนี้ไว้ แล้วเราก็ไปติดที่ประเพณีวัฒนธรรม ไปทำบุญก็ว่าสิ่งนั้นถูก สิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ผิด สิ่งนั้นถูก ถ้ามีเจตนาแล้วทำเจตนาที่เราถูกต้อง เจตนาเราดีแล้วเราทำของเราไป ประเพณีท้องถิ่นแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน ใครจะเถียงกันเรื่องของเขา เราทำของเรา ถ้าจิตใจของเรา เรามั่นคงของเรา เราทำสัจจะความจริงของเรา ถ้าความจริงอันนี้เราจะผ่านไป เราจะไม่ไปโต้เถียงกันสิ่งที่เป็นบรรจุภัณฑ์ สิ่งที่ห่อหุ้มมา

ประเพณีวัฒนธรรมห่อหุ้มสัจธรรม เราไปเถียงกันสิ่งที่ห่อหุ้มว่าความห่อหุ้มใครประณีตกว่า บรรจุภัณฑ์ของใครประณีตกว่า บรรจุภัณฑ์ของใครรูปแบบดีกว่า มันมีประโยชน์อะไร แต่สัจธรรมอันนั้นที่มันห่อหุ้มสัจธรรม แล้วสัจธรรมมันอยู่ไหน? อยู่ในหัวใจของเรา เราทำของเราไป ถ้าเราผ่านสิ่งนี้ไป เวลาทำความสงบของใจผ่านขันธ์เข้าไป รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่อาการของใจมันห่อหุ้ม เปลือกส้มมันห่อเนื้อส้มไว้ เราจะกินส้มเราต้องปอกเปลือกส้มทิ้ง ถ้าเราปอกเปลือกส้มทิ้งเราจะได้เนื้อส้ม

ความคิด เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นความคิด ความสัญญาต่างๆ นี่มันไม่เข้าไปสู่จิตมันก็สงบไม่ได้ พอสงบไม่ได้ พอมันสงบเข้าไปแล้ว นี่ส้ม เนื้อส้มมันอยู่ที่ผลของส้ม มันมีเปลือกห่อหุ้มมันไว้ จิตเห็นอาการของจิต เนื้อส้มนั้นรู้ว่าเปลือกส้มห่อเราไว้ เพราะเปลือกส้มถนอมให้เนื้อส้มนี้ไม่เสียหาย เปลือกส้มถนอมให้ส้มนี้ไปถึงเป้าหมายได้

นี่พอจิตเห็นอาการของจิตมันก็พิจารณาเปลือกส้ม มันก็แยกแยะของมัน เห็นขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาแยกแยะเข้ามา เพราะรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณมันก็เหมือนเงิน จริงๆ ความรู้สึกนึกคิดของคนมันไม่ใช่กิเลสหรอก แต่เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก ความอยาก...ไอ้ตัวนั้นแหละกิเลส รูป รส กลิ่น เสียงที่ประณีตไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหากคือกิเลส

ถ้าตัณหาความทะยานอยากของคน แล้วตัณหาความทะยานอยากของคนมันแสดงออกได้ด้วยวิธีใดล่ะ? มันก็แสดงออกด้วยผ่านรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันอาศัยสิ่งนั้นแสดงตัว ฉะนั้น ตัวมันเองไม่ใช่กิเลส แต่ตัณหาความทะยานอยากคือกิเลส นี่ถ้าเห็นกิเลส มันรู้จักกิเลสมันก็ อ๋อ กิเลสเป็นอย่างนี้ แล้วมันจะฆ่ากิเลสมันต้องรู้จักกิเลสสิ นี่จะทำร้ายเขา จะฆ่าเขายังไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนเลย วิ่งหากันเป็นหมาบ้า...หาใจของตัวไม่เจอ ถ้าหาใจของตัวไม่เจอมันจะไปวิปัสสนากันที่ไหน? มันจะใช้ปัญญากันที่ไหน?

ถ้าใครหาหัวใจของตัวเจอ เจอที่ไหน? ถ้าจิตสงบเข้าไปนั่นแหละเจอ เห็นไหม พอเราเจอจิตของเรา อืม จิตนี้เองปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณเพราะมันกำเนิด ๔ ปฏิสนธิวิญญาณนี้ตัวเกิด เกิดในวัฏฏะ นี่ถ้าเราไปเห็นตัวเกิด ตัวแก่ ตัวเจ็บ ตัวตาย ตัวนี้มันตัวเกิดและตัวตาย ถ้าพิจารณาตัวนี้ไปแล้วมันจะได้ผลแล้ว แต่ถ้ายังไม่รู้จักตัวตน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ที่ทำงานเราก็ไม่มี แล้วปัญญาเราก็ไม่รู้จะทำที่ไหน? หากันไป ตื่นกันไป แต่ถ้ามันมาหาฐานของตัวเจอ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน แล้วรักษาที่นี่ ทำที่นี่ แล้วมันจะได้ประโยชน์ที่นี่

นี่เราทำบุญกุศลกันมาเพื่อให้จิตใจเป็นสาธารณะ ให้มันเปิดกว้าง แล้วมันจะรื้อค้นเข้ามา ถ้าถึงตัวตนของตัวเองจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่เราทำบุญเพื่อเหตุนี้ ทำบุญเพื่อความจริง ไม่ใช่ทำบุญเพื่อเป็นเหยื่อ เอวัง