เทศน์เช้า วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
โดยสัญชาตญาณของชาวพุทธนะ วันพระเป็นวันทำบุญกุศล วันพระ เห็นไหม วันพระถ้าเรามีสติมีปัญญา เราเตือนตัวเองได้ วันพระ วันโกน เวลาเขามีการบาดหมางกันเขายังงดเว้นได้ ถ้าเรามีสติปัญญานะเราจะตามความรู้สึกนึกคิดของเราได้ ถ้าเราตามความรู้สึกนึกคิดของเราได้ อย่างเช่นถ้าเรามีปัญญา คำว่าปลงตกๆ ความปลงตกมันปล่อยวางนะ ความปลงตกคือมันคิดจบ พอมันคิดจบมันก็ปล่อยวางได้ แต่ถ้ามันปลงไม่ตกนะมันก็คิดของมันเรื่อยเปื่อยไป
การปลงตก เห็นไหม แต่การปลงตกถ้าเรามาประพฤติปฏิบัติกัน การปลงตกมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิไหม? มันก็เป็นปัญญาเหมือนกันเพราะมันคิด มันคิดแล้วมันแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด พอมันเห็นคุณเห็นโทษแล้วมันก็วางได้ เห็นคุณเห็นโทษไง ถ้ามันคิดสิ่งที่ดีนี่เป็นคุณ ถ้าคิดเป็นโทษล่ะ? ถ้าคิดเป็นโทษสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีทำไมชอบคิดล่ะ? ทำไมชอบคิด? ทำไมเราไม่ทันความรู้สึกนึกคิดของเราล่ะ? เราไม่ทันความรู้สึกนึกคิดเพราะสติเราไม่ดี ถ้าสติไม่ดีมันต้องอยู่กับการฝึกหัดนี้
นี่เวลาทำบุญกุศล ถ้าเราทำบุญกุศล ถ้าทำใหม่ๆ ทุกคนจะปลาบปลื้มมาก แต่ทำไป พอทำแล้วมันคุ้นชินนะ พอมันคุ้นชินขึ้นมา เห็นไหม ทำไมเราคุ้นชิน ความรู้สึกมันก็จางลง แต่ถ้าอันไหนมันสดๆ ใหม่ๆ มันจะตื่นเต้นมาก มันทำแล้วมันมีความอบอุ่นมาก มันมีความพอใจมาก แต่ถ้ามันคุ้นชินไปแล้ว พอมันคุ้นชินแล้วมันจืด พอมันจืด ความรู้สึกนึกคิดก็เหมือนกัน ความรู้สึกถ้ามันคิดบ่อยๆ ครั้งมันจืดไหม? มันจืด ถ้าเป็นคุณงามความดีนี่มันเบื่อ มันจืด เพราะอะไร? เพราะมันรู้เท่า แต่เวลาความที่ไม่พอใจมันไม่จืด มันยิ่งคิดมันยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บมันยิ่งชอบคิด
นี่ถ้ามันปลงตก มันปลงตกมันก็ต้องคิดของมัน แยกแยะของมัน ใช้ปัญญาของมัน ถ้าใช้ปัญญามันปลง มันปลงตกได้ พอปลงตกได้มันก็วาง พอมันวางขึ้นมา เห็นไหม ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันชั่วคราว เพราะเดี๋ยวมันก็ปล่อย เดี๋ยวก็คิดอีก เดี๋ยวก็ปล่อย เดี๋ยวก็คิดอีก นี่การปลงตก ถ้าการปลงตกนะมันปลงได้ วางได้ แล้วมันเป็นธรรมหรือยังล่ะ? มันไม่เป็นธรรม เพราะเรานี่ถ้าจิตเราสงบนะ พอจิตเราสงบเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันปลงตก มันวางต่างๆ แล้วพอมันมีปัญญาขึ้นมา โอ้โฮ มันตื่นเต้นนะ
พอมันตื่นเต้น ทำไมมันขนลุกขนพองไปหมดเลย ทำไมมันสะเทือนหัวใจมากล่ะ? มันสะเทือนหัวใจมากเพราะจิตมันสงบ ถ้าจิตมันสงบ แล้วเวลาครูบาอาจารย์สอนทำให้จิตสงบก่อน ถ้าจิตสงบก่อน เวลาความรู้สึกนึกคิดขึ้นมามันเพียวๆ ไง มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันจะชำระล้างกิเลส ปัญญาที่มันจะเตือนตนเรานี่แหละ ปัญญาที่มันจะไม่ให้เราคิดซ้ำคิดซาก แต่ถ้ามันเป็นการปลงตก ปลงตกมันเป็นสัญชาตญาณ ปลงตกแล้วมันปล่อย มันไม่มีอะไรไปควบคุมมัน เดี๋ยวมันก็คิดอีก
ปลงตกมันก็ดี พอปลงไม่ตกมันก็ฟุ้งซ่าน พอปลงไม่ตกมันก็คิดมาก แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ตทังคปหาน มันปหานกันชั่วคราวนะ พอปหานชั่วคราวรสชาติมันจะฝังใจมาก ถ้าฝังใจมาก สิ่งนี้มันจะเป็นการย้ำ โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมๆ มาดูหัวใจของเราไง มาดูหัวใจของเราเพราะอะไร? เพราะสิ่งที่บอกเขาไม่ได้ไง เราจะบอกเขาได้อย่างไร? เราจะบอกเขา นี่เราปล่อยวาง เรามีความสุขเราจะบอกเขาได้อย่างไร? เราบอกเขาไม่ได้ แต่เวลาเราทุกข์เขาเห็นได้ เขาเห็นได้เพราะมันหงุดหงิดไง เดี๋ยวลุก เดี๋ยวนั่ง มันทนไม่ไหวหรอก
เวลาคนหงุดหงิด คนมีความทุกข์บีบคั้นเขารู้ได้ แต่เวลามีความสุขทำไมเขารู้กับเราไม่ได้ แล้วเราจะบอกเขาอย่างไรล่ะ? นี่ถึงว่าเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ธรรมในหัวใจของเรา ถ้าเรามีปัญญาของเรา นี่เราคิดเราแยกแยะของเรา ถ้าจิตมันละเอียดเข้าไปๆ เวลาเป็นสัมมาสมาธิมันเกิดปัญญาขึ้นมา พอเกิดปัญญาขึ้นมา สิ่งที่เป็นปัญญาขึ้นมามันจะเป็นอริยสัจ มันจะเป็นมรรค มันไม่เป็นเรื่องสัญชาตญาณ สัญชาตญาณโลกเขาทำกันได้ไง
เวลาคนเกิดมานะ คนที่เขาสร้างบุญกุศลของเขามาเขาคิดแต่เรื่องดีๆ นะ บางคนเกิดมาแล้วมันมีแต่ความบีบคั้นหัวใจ คิดแต่ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายตัวเองคือความคิดมันทำให้ตัวเองเจ็บช้ำ แล้วมันก็น้อยเนื้อต่ำใจ ก็คิดเบียดเบียนตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละ อย่างนี้โง่หรือฉลาดล่ะ? นี่เราเอายาพิษให้จิตใจของเราได้สัมผัสเอง แล้วสิ่งที่มันดีๆ ทำไมเราไม่สัมผัสล่ะ? เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเป็นไข้เขาให้เอาผ้าชุบน้ำเย็นแล้วลูบให้ไข้มันจางลง ให้ไข้มันอ่อนลง
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจเวลามันมีแต่สารพิษ มันมีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ ทำไมเราไม่มีสติปัญญายับยั้งมันล่ะ? ถ้ามีสติปัญญายับยั้ง เห็นไหม นี่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราฟังเทศน์หาครูบาอาจารย์นะมันก็เป็นการชี้บอก เป็นการชี้นำเข้ามาในหัวใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีบุคคลเป็นที่พึ่งเลย แต่ครูบาอาจารย์ของเราถ้ามีธรรมในหัวใจนะ ถ้ามีธรรมในหัวใจ พูดสิ่งใดจะเป็นธรรม
คำว่าเป็นธรรมเป็นสัจจะ แต่ถ้าไม่มีธรรม นี่ถ้าไม่มีธรรม มันไม่มีธรรมมันพูดสิ่งใด เห็นไหม ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะกลัวเขา นี่มันมีความลำเอียง ลำเอียงมันเกิดมาจากไหนล่ะ? ลำเอียงมันเกิดจากหัวใจของผู้ที่เทศน์ มันเกิดมาจากหัวใจที่แสดงธรรม เพราะหัวใจมันพร่อง มันไม่มีสมดุลของมันมันก็เอียง มันเอียงมาจากข้างใน มันไม่ใช่ว่าเราเอียงเพราะสภาวะแวดล้อมข้างนอกหรอก สภาวะแวดล้อมข้างนอกมันก็มีส่วนของมัน แต่จริงๆ แล้วมันลำเอียงมาจากข้างใน แต่ข้างในมันไม่เอียงนะถ้าจิตมันเป็นธรรม
นี่สัจธรรมๆ เพราะหัวใจนั้นมันเป็นธรรม ถ้าหัวใจนั้นเป็นธรรม เห็นไหม คนทุกข์คนยากที่สมบุกสมบันก็ต้องให้เขาได้ผ่อนคลาย พอเขาผ่อนคลายของเขาแล้วเขาจะได้มีสติปัญญาของเขา เขาจะได้ตั้งตัวของเขาขึ้นมาได้ เขาถึงจะเริ่มภาวนา แต่คนมีความสุข คนที่เขาสุขสมบูรณ์ของเขามา ถ้าสุขสมบูรณ์ของเขามาบอกว่านี่สิ่งนี้เป็นทุกข์ๆ ทุกข์อย่างไร? ฉันไม่เคยทุกข์ ฉันมีของฉันอิ่มเต็มไปหมด ทุกข์อย่างไร? ทุกข์อย่างไร? ทุกข์ในใจไง ทุกข์ในหัวใจนั่นล่ะ เวลาจะขับถ่ายมันก็ทุกข์แล้ว เวลามันนั่งนานมันก็ทุกข์แล้ว ทุกข์ในหัวใจนั่นล่ะ
เวลาต้นทุนมันไม่เหมือนกัน คนเราพื้นฐานมาไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ผู้ที่เป็นธรรม เวลาเขาแสดงธรรมเขาแสดงธรรมแบบนี้ไง คนที่เขาอิ่มเต็มของเขามา เขามีความสุขของเขามา อิ่มเต็มคืออิ่มเต็มทางโลกไง นี่ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ไม่มีดวงใจดวงไหนเลยที่ไม่มีความทุกข์ แต่ในเมื่อพื้นฐานมาแตกต่างกัน เขามองความทุกข์ด้วยความแตกต่างกันไง คนที่เขามีความทุกข์มาก เขามีความทุกข์บีบคั้นเข้ามา เขาเห็นความทุกข์ได้ง่ายๆ เลย แต่คนที่เขาสุขของเขามา เขาบอกว่าเขาไม่มีความทุกข์ๆ
ไม่มีได้อย่างไร? ในหัวใจมันว้าเหว่ไหม? ในหัวใจมันอิ่มเต็มแล้วหรือ? มันยังไม่อิ่มเต็มหรอก เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีธรรมๆ มันมีธรรมแบบนี้ไง มีธรรมว่าผู้ที่มาเขาทุกข์ยากมามากน้อยแค่ไหน? ถ้าเขาทุกข์ยากมามากน้อยแค่ไหน ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเขาเดินทางไกลมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ทานข้าวก่อน ให้เขาทานข้าว ให้เขาผ่อนคลายก่อน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจะเทศนาว่าการ ถ้ามันหิวมันกระหายอยู่มันก็ฟังเทศน์อยู่ แต่ฟังเทศน์ว่าเมื่อไหร่จะจบสักทีอยากกินข้าว ใจมันไปอยู่ที่อาหารหมดไง มันไม่ได้อยู่ที่ฟังเทศน์ไง
เห็นไหม คนที่มีความทุกข์บีบคั้นหัวใจมามันเป็นแบบนั้นแหละ ต้องปลอบใจเขา ต้องให้เขาพักผ่อนของเขา ให้เขาได้สติปัญญาของเขา เวลาฟังเทศน์เข้าไปมันยิงเข้าหัวใจเลย พอมันยิงเข้าหัวใจนะมันสะเทือนใจมาก ถ้ายิงเข้าหัวใจได้นั่นแหละแสดงธรรม ธรรมมันเข้าสู่หัวใจ ถ้าเข้าสู่หัวใจมันเป็นความจริง แต่ถ้าธรรมมันไปตกอยู่ข้างนอก พูดไปเถอะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มันฟังไปแล้วมันไม่มีสิ่งใดฝังไปในหัวใจหรอก
ฉะนั้น สิ่งที่มันจะเป็นทาน ศีล ภาวนา การภาวนาเกิดขึ้น เกิดขึ้นต่อเมื่อเรามีสติ เรามีศรัทธา เรามีความเพียรของเรา ถ้ามีสติ มีศรัทธาความเพียรของเรานะ เวลาทำนี่ผลมันเกิดขึ้นที่นี่ไง เวลาเราทำไร่ไถนาเราทำลงบนแผ่นดิน ถ้ามีดิน มีน้ำ มีอากาศ มีพืชพันธุ์มันก็เจริญงอกงามขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราทำลงที่ใจ แต่เวลาคนที่มันทุกข์มันยากมา ใจเขาก็ไม่รู้จักใจเขา แต่กิเลสมันอยู่ที่ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ที่อารมณ์ความรู้สึก
อารมณ์ความรู้สึกเป็นอาการของใจไม่ใช่ใจ แล้วอาการของใจมันมีแต่ความเป็นพิษ เวลาฟังเทศน์เข้ามาความเป็นพิษนี้มันก็ต่อต้าน มันฟังนี่มันต่อต้าน แล้วมันเข้าถึงใจไหม? มันไม่เข้าถึงใจ แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราพยายามหาเหตุหาผลของเรา ถ้าหาเหตุหาผลของเรา เห็นไหม นี่ทางโลกว่าปลงตก ปลงตกเขาปลงได้ วางได้ ปลงได้ วางได้โดย โดยคนกินเหล้า เห็นไหม คนกินเหล้าเมาแป๋เลย อืม ฉันจะไม่กินอีกแล้วแหละ ฉันเบื่อแล้วแหละ ฉันไม่กินอีกแล้วแหละ เดี๋ยวก็กินอีก
นี่ก็เหมือนกัน การปลง การวางได้มันวางแบบนั้น ธรรมะกับธรรมเมา ถ้ามันเมาอารมณ์ของตัวเอง อารมณ์มันเมาของตัวเองนะ มันดื่มกินอารมณ์ของตัวเองมันก็จะเมาของมันต่อไป แต่ถ้ามันวางของมันได้นะ เห็นไหม เวลาคนทุกข์คนยากมา เขาทุกข์เขายากมาอย่างหนึ่ง เวลาความสุขทางโลกก็มีมามันแตกต่างกัน
นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเมาของมัน มันพอใจของมัน มันวางแล้วมันได้อะไรล่ะ? มันปลงตกแล้วมันได้สิ่งใดต่อไปล่ะ? ถ้ามันมีสติปัญญาเข้าไปมันจะเป็นความสงบแล้ว แต่เวลาผู้ที่ศึกษา เห็นไหม เขาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ต้องใช้ปัญญาไปเลย ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาอบรมสมาธิเท่านั้นแหละ ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาโลกียปัญญาเท่านั้นแหละ ปัญญาทางโลกๆ มันไปตรึกในธรรมไง พอตรึกในธรรมขึ้นมามันก็เห็นเหตุเห็นผลไง มันก็ปลงตกไง ปลงตกก็เท่านั้นแหละ แล้วก็ แหม มีความสุข มีความพอใจ
พอใจแต่เราสงสัยไหม? พอใจแต่เราไม่เข้าใจ ถ้ามันมีสติปัญญาของมันนะ มันทิ่มเข้าไปในหัวใจเลย นี่มันทิ่ม มันคลายออก มันจางคลาย มันทำของมันออก มันทำสิ่งต่างๆ ของมันออก พอเห็นออก คนเรา เห็นไหม คนทำธุรกิจการค้าทุกคนอยากประสบความสำเร็จ ทุกคนอยากได้ผลมาก เวลาจิตมันปล่อยวางๆ เราเห็นผลของมัน พอเห็นผลของมันแล้วทึ่งมากนะ คนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นหรอก
สมาธิ ถ้าใครไม่เคยเข้าสมาธิไม่รู้จักสมาธิหรอก ไม่รู้จัก รู้จักแต่เหม่อลอย ว่างๆ ว่างๆ เหม่อลอยทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเข้าสู่สมาธิมันสะเทือนใจมาก เอ๊ะ! เอ๊ะ! อยู่เลยนะ แต่เวลาคนใช้ปัญญา มีสมาธิแล้วใช้ปัญญาด้วย พอมันเข้าไปถึงหัวใจนะมันยิ่งละเอียดเข้าไปอีก พอมันละเอียดเข้าไป เห็นไหม นี่คนทำหน้าที่การงานแล้วก็อยากได้ผลงานไง
คนปฏิบัติแล้วนี่ เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! เข้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้าสติปัญญามันอ่อนด้อย เวลามันเป็นไปแล้วนะ อื้อฮือ มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก แต่ทำไมไม่ขวนขวายล่ะ? ทำไมไม่ทำให้ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปล่ะ? ถ้ามันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เห็นไหม ดูสิคนเราเกิดมาตั้งแต่เป็นทารกต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม? มันโตขึ้นไป คนจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยงมัน มันต้องขวนขวายตัวมันเองขึ้นไป แต่ถ้ามันมีพ่อแม่ดูแล พ่อแม่ให้การศึกษา นี่มันจะทันสังคม
จิตใจก็เหมือนกัน เวลามันปล่อยวางแล้วจะปล่อยให้มันเร่ร่อนใช่ไหม? ถ้าเราทำให้มันเติบโตขึ้นไป ทำสติปัญญาต่อเนื่องขึ้นไป มันจะละเอียดของมันขึ้นไป มันยังต้องเติบโตขึ้นไปตั้งแต่ปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน ถ้ากัลยาณปุถุชน เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริงจะเป็นโสดาปัตติมรรค จากโสดาปัตติมรรค ถ้าสมุจเฉทปหานจะเป็นโสดาปัตติผล ถ้าโสดาปัตติผลมันก็อยู่แค่นั้น ถ้าเริ่มต้นทำเข้าไปมันก็จะเป็นสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิมรรค ถ้าไม่สมุจเฉทปหานมันก็คาอยู่นั่นแหละ แล้วมันก็ถอย มันก็เสื่อมได้ ถ้ามันสมุจเฉทปหานมันก็เป็นสกิทาคามิผล
นี่ถ้าเริ่มต้นต่อไปก็เป็นอนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันทำของมันต่อเนื่องขึ้นไป เราต้องขยันหมั่นเพียรของเรา ทำจิตใจของเราขึ้นไป ถ้าทำจิตใจของเราขึ้นไป ขึ้นไปไหนล่ะ? ขึ้นไปสู่สัจธรรม ขึ้นไปสู่ธรรมธาตุ ขึ้นไปสู่ความจริงแท้ แต่ในปัจจุบันนี้มันอยู่ในผลของอนิจจัง ผลของวัฏฏะ การเกิดการตายเวียนตายในวัฏฏะ เห็นไหม นี้เวียนตายในวัฏฏะถึงได้ภพได้ชาติมา เวลาความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา หนึ่งภพหนึ่งชาติ หนึ่งความรู้สึกนึกคิด มันเกิดตายๆๆ มันก็เกิดดับๆ นั่นล่ะ มันก็เกิดตายในหัวใจนั่นล่ะ เกิดดับๆ มันก็ทิ้งแต่สัญญาอารมณ์ไว้ เกิดตายๆ ก็ทิ้งซากศพไว้ในโลกนี้ มันก็เกิดตายๆ ของมัน เวลาลมเกิดขึ้นมามันก็คายสารพิษไว้ในหัวใจของเรา ถ้าเราพิจารณาของเรา เราแยกแยะของเรา
นี่การตายเกิดๆ อะไรตาย? อะไรเกิด? เกิด เกิดจากอะไร? แล้วมันตายอย่างไร? ตายแล้วมันเหลืออะไร? ใครเป็นคนทำให้มันเกิด เกิดแล้วใครเป็นคนลุ่มหลงมัน? ลุ่มหลงมันแล้วใครไปทำลายมัน? ทำลายเสร็จแล้วมันเหลืออะไร? นี่ว่าจิตหนึ่งๆ มันเหลืออย่างไร? แล้วเวลามันทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายจิตทั้งหมดมันเป็นอย่างไร? มันพิจารณาของมัน มันทำของมันต่อเนื่องของมันไป นี่คืออริยสัจ คือมรรค อริยสัจที่เราจะก้าวเดินต่อไป
การปลงตกนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ การปลงตกเราปลงได้ วางได้ แต่ถ้าเป็นมรรคญาณ เห็นไหม มันจะชำระล้างกิเลส แล้วจิตใจดวงนั้นรู้ เวลาสังโยชน์ขาดขาดในหัวใจนะ มันอหังการในใจนั้นเลย เป็นอกุปปธรรมไม่มีการแปรสภาพของมันอยู่อย่างนั้น แล้วทนการตรวจสอบ ทองคำแท้มันทนไฟ ยิ่งเผาเท่าไหร่มันยิ่งสุกประกายของมัน นี่ความจริงแท้ในหัวใจ พิสูจน์กันสิ กิเลสมันเกิดไหม? สิ่งกระทบนั้นมันหวั่นไหวไหม? หวั่นไหวเพราะเหตุใด? ไม่หวั่นไหวเพราะเหตุใด? มันมีเหตุมีผลอะไรของมัน มันรู้เท่าตัวมันเองหมด เพราะ! เพราะเวลาเป็นจริงๆ มันเป็นที่จิตนี้ มันเป็นที่ความรู้สึกนี้
ธรรมะมันเป็นที่นี่ไม่ได้เป็นที่อื่นหรอก ถ้าธรรมะเป็นที่นี่ ตัวมันเป็นธรรมซะเอง แล้วใครจะป้ายสีอย่างไรมันก็ป้ายสีไม่ถึงหรอก เวลาป้ายสีก็ป้ายสีมาได้แต่ผิวหนังเรานี่แหละ แต่มันเข้าถึงใจเราไม่ได้เพราะใจมันเป็นธรรม แต่ถ้าใจเราไม่เป็นธรรมนะ พอป้ายสีที่ผิวหนังเราก็เจ็บแค้นๆ เจ็บแค้นเพราะอะไร? เพราะมันออกมารับรู้ แต่ถ้ามันเป็นอกุปปธรรมแล้วมันทรงตัวของมัน นี่มันพิสูจน์ตรวจสอบด้วยความเป็นจริงของมัน เห็นไหม มันไม่ใช่การปลงตก มันเป็นความจริง เอวัง