เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ต.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดมาเป็นคน เห็นไหม เกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นสัตว์มันต้องมีอาหาร เรากินข้าวทุกวัน กินข้าวทุกวันกินวันละหลายๆ มื้อ พระนะเวลาถือธุดงค์กินข้าววันละมื้อ นี่แล้วยังมีพระผ่อนอาหารอดอาหารด้วย เราต้องกินข้าวทุกวัน อาหารเป็นการดำรงชีวิต แต่หัวใจล่ะ? หัวใจมันกินอะไรเป็นอาหารล่ะ? เรากินอาหาร เห็นไหม เรากินอาหารเราถูกใจว่าสิ่งนี้อร่อยมาก นี่มันอร่อยที่ลิ้น แล้วใจมันได้อะไรล่ะ? มันได้ความสะใจ ได้ความสะใจใช่ไหม? แต่เวลามันเดือดร้อนล่ะ?

กินอาหารแล้วมีความสุข มีความสุขเพราะเราได้กินอาหาร กินอาหารแล้วสิ่งที่อาหารมันไปอยู่ในกระเพาะอาหาร เสร็จแล้วมันก็ขับถ่ายทิ้งไป แต่ความเจ็บช้ำน้ำใจเข้าไปสะสมในใจแล้วมันไม่มีใครขับถ่ายมันออก มันจะฝังใจไปอย่างนั้น ถ้าฝังใจอย่างนั้นเอาสิ่งใดมารักษามันล่ะ? นี่ธรรมโอสถ เวลาเรากินอาหารเรากินเพื่อดำรงชีวิต แต่หัวใจปล่อยให้มันเร่ร่อน ถ้าหัวใจปล่อยให้มันเร่ร่อน มันไม่มีสิ่งใดเป็นที่พึ่งอาศัย

ฉะนั้น หน้าที่การงานของเราทางโลกเราก็ทำ ถ้าเราทำของเราแล้วนะ นี่เวลาเราบอกปฏิบัติธรรมเป็นชีวิตประจำวันๆ เราต้องมีสติมีปัญญาตลอด นั้นเป็นเครื่องผ่อนคลายเท่านั้น เป็นการบรรเทาทุกข์ ถ้าเป็นการบรรเทาทุกข์นะ บรรเทาทุกข์ให้มันมีสติมีปัญญา คนถ้ามีสติขึ้นมามันไม่น้อยเนื้อต่ำใจจนถึงกับว่าประชดตัวเอง แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันว่าสิ่งนี้มันเป็นหน้าที่

สิ่งนี้เราเกิดมาเป็นคน เวลาคนที่จิตใจเขาเข้มแข็งขึ้นมาเขาไม่น้อยเนื้อต่ำใจของเขา เขาทำสิ่งใดเขาทำตามหน้าที่ของเขา ทำตามหน้าที่ของเขานะ ทำแล้วก็คือทำแล้วกัน เพราะ เพราะคนเกิดมานี่เกิดมาตามกรรม มีอำนาจวาสนาของคนแตกต่างกัน ถ้าแตกต่างกัน สิ่งที่ทำมามันสมความปรารถนาและไม่สมความปรารถนาถ้าคนที่มีปัญญา แต่ถ้าคนไม่มีปัญญา เห็นไหม มันประชดตัวเอง ประชดสังคม ประชดทุกๆ อย่างไปเลย แล้วผลที่ได้รับนะก็คือผลเสียของตัวเอง ไม่มีใครเสียกับเราหรอก จิตใจของเรานั่นล่ะมันทำให้เราเสียหายเอง

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม ถึงใครจะกลั่นแกล้ง ถึงใครจะทำร้ายเรา นั่นมันก็เรื่องของเขา ถ้าเรารักษาใจของเราได้ แต่ถ้าจิตใจของเราอ่อนแอนะไม่ต้องเขามากลั่นแกล้งเราหรอก เราเข้าใจผิดไปเอง เราเข้าใจผิดไปเอง เราไปกว้านความเดือดร้อนมาใส่หัวใจเราเอง เราทำให้เราทุกข์ยากไปเองไง แต่ถ้าเรามีสติปัญญา แม้แต่เขาจะทำลายเราขนาดไหน นั่นมันก็เรื่องเวรเรื่องกรรม ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะเราจะรักษาของเรา

นี่ถ้ามีปัญญา ถ้ามีปัญญาเราต้องเลี้ยงหัวใจของเรา ถ้าเราหล่อเลี้ยงหัวใจของเราได้ สิ่งที่เป็นเรื่องโลกๆ เราจะไม่เดือดร้อนไปกับเขาเลย ถึงมันจะมีอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน เราก็ใช้ประโยชน์แค่ดำรงชีวิต สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับโลกถ้าเราเสียสละไป ถ้ามันจะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะเรายังมีชีวิตอยู่ เรายังมีลมหายใจอยู่ เรายังทำคุณงามความดีได้ เรายังมีสติปัญญาจะแก้ไขวิกฤติในชีวิตของเราได้

ถ้ามันแก้ไขที่นี่ได้ นี่มันจะพ้นจากเวรจากกรรม แต่ถ้ามันปลดเปลื้องจากที่นี่ไม่ได้ เวลาคนตายไป เวลาตายไป เห็นไหม นี่ถ้าทำบุญกุศลไปเกิดบนสวรรค์ ในชั้นพรหม ในชั้นสิ่งที่มีความสุขสมความปรารถนา แต่ถ้ามันเกิดมาโดยอกุศลมันลงนรกอเวจีไปล่ะ? สิ่งนั้นใครจะแก้ไข นี่มันต้องเสวยทุกข์จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม อย่าเขียนเสือให้วัวกลัว ไม่มีหรอก นรก สวรรค์ไม่มี นี่เขาว่ากันไปไง

นรกสวรรค์ไม่มีนะ เวลามันเจ็บช้ำในหัวใจมันยิ่งกว่านรก หัวใจที่มันบีบคั้นในหัวใจ นี่สวรรค์ในอก นรกในใจ มันบีบคั้นเอาจนร้องห่มร้องไห้ มันบีบคั้นเอาจนหัวทิ่มบ่อ นรกไม่มีใช่ไหม? นรกสวรรค์มันเกิดนรกสวรรค์จากในใจ นี้มันเป็นนรกสวรรค์เพราะเรายังเป็นมนุษย์ไง ถ้าเราเป็นมนุษย์ เห็นไหม อำนาจวาสนาของความเป็นมนุษย์มันรองรับสิ่งนี้ไว้ ชีวิตนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่หัวใจมันบีบคั้น มันตกนรกทั้งเป็น แต่ถ้ามีความสุขล่ะ นี่เราขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น เราขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น แล้วเป็นมนุษย์นี่มนุสสเดรัจฉาโน มนุสสเทโว

เราเป็นมนุษย์ สถานะของมนุษย์มันรับไว้ แต่ถ้ามันตายไป มันตายไปมันได้ภพชาตินั้น มันไม่มีสถานะของมนุษย์รับไว้ มันต้องเสวยกรรมตามนั้น ถ้ามันเสวยกรรมตามนั้นใครจะไปช่วยเหลือล่ะ? มันก็ต้องเสวยภพเสวยชาตินั้นไป ถ้ามันเสวยภพเสวยชาตินั้นไป เห็นไหม นี่สิ่งนั้นบอกว่าเวลาสวรรค์ในอก นรกในใจที่มันบีบคั้นเรายังแก้ไขได้ สิ่งนั้นมันจะแก้ไขได้ต่อเมื่อมันหมดเวรหมดกรรมเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมานะ จากอเวจีขึ้นมา มันจะเลื่อนขึ้นมาบ่อยครั้งเข้าจนมาเป็นเปรต จนมาเป็นเดรัจฉาน มาเป็นมนุษย์ ถ้ามันตามผลของวัฏฏะนะ แต่คนมีบุญกุศลมันเปลี่ยนแปลงได้มากกว่านั้น มันทำให้ดีได้มากกว่านั้น

ฉะนั้น เราเป็นชาวพุทธไง เราถึงมาทำบุญกุศลกัน มาทำบุญกุศลกัน การเสียสละนี้เห็นว่าเป็นของเล็กน้อย การเสียสละนี้มันเป็นวัตถุทานนะ แต่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ สิ่งเล็กน้อยที่มีศรัทธา มีความเชื่อมั่น นี่สิ่งที่สละ แม้แต่ของเล็กน้อยมันจะมหาศาลขึ้นมาด้วยความรู้สึก จิตใจมันจะมหาศาลนะ ของมหาศาลแต่จิตใจมันมีแต่ความกดดัน มันมีแต่ความไม่แน่ใจ สิ่งมหาศาลมันก็เป็นของเล็กน้อย สิ่งที่เสียสละนี้เป็นค่าของน้ำใจ มันเป็นการแสดงออกของใจ ใจมันแสดงออกมันต้องมีการกระทำ

ฉะนั้น ถ้ามีการกระทำ มีการเสียสละขึ้นมา นี่เป็นบุญกุศล สิ่งที่เป็นทิพย์ๆ เราคิดถึงสิ่งที่เราเสียสละมาตั้งแต่นานเนกาเลมาแล้วมันก็ยังสดๆ ร้อนๆ อยู่ แต่ของถ้าเก็บไว้มันเสียหายหมด นี่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนไว้ว่า เวลาไฟไหม้นะ ถ้าใครขนของออกจากบ้าน สิ่งนั้นจะเป็นสมบัติที่เหลือจากไฟไหม้ สิ่งที่เสียสละออกไปในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ขนมันออกไป ขนมันออกไป นั่นล่ะสมบัติของเรา สิ่งที่เราสะสมไว้ เวลาเราตายไปนะ สมบัตินี้เราใช้สอยไป มันพลัดพรากจากเราไป เวลาเราจากมันไป นี่เราพลัดพรากจากเขา เขาพลัดพรากจากเรา

“ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด”

ของที่สะสมไว้ไม่ใช่เป็นของเราเลย ของที่สะสมไว้เป็นของคนอื่นทั้งนั้นเลย แต่ของที่เสียสละไปเป็นของเราเพราะเราเสียสละ หัวใจนี้มันรับรู้ เราเป็นคนเสียสละ นี่สิ่งที่เป็นทิพย์ๆ ใจนี้เป็นคนรับรู้ มันไปกับเรา เวลาทำบุญกุศลไป อุทิศส่วนกุศลๆ แต่ของเราไม่ต้อง เอาไปเอง เราเอาของเราไปเอง นี่เราเสียสละไปเอง เพราะความรู้สึกนึกคิดนี้ เพราะเวลาจิตนี้ออกจากร่างไป ความรู้สึกออกจากร่างนี้ไป แล้วความรู้สึกนี้มันได้ทำของมันไว้ มันได้สะสมของมันไว้ มันรู้ของมันไหม? ถ้ามันรู้มันเอาของมันไปเอง ไม่ต้องให้ใครอุทิศส่วนกุศลมาให้ เราเอาของเราไปเอง

นี้พูดถึงบุญกุศลนะ แต่ถ้าเวลาปฏิบัติล่ะ? เราปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติพุทโธ พุทโธ พุทโธ เราทำความสงบของใจเข้ามา นี่ทำทานร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับทำความสงบของใจหนหนึ่ง ทำความสงบของใจร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับปัญญาที่เกิดจากสมาธิหนหนึ่ง เพราะปัญญานั้นมันจะชำระล้างกิเลสไง มันจะชำระล้างสิ่งที่เราไปยึดมั่นถือมั่นไง นี่เรากินอาหารทุกวันๆ กินวันละหลายๆ มื้อนะเพื่อบรรเทาทุกข์ กินแล้วอิ่มหนำสำราญ ถ้าหิวนะ หิวกระหายจนขาดอาหารตายได้

จิต จิตถ้ามันทุกข์ร้อนของมัน มันมีความบีบคั้นของมันใช่ไหม? เวลามันมีความสุขของมัน มีความสุข มีความรื่นเริงของมัน แต่ทุกดวงใจว้าเหว่ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เศร้าหมองไปด้วยกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มีความผ่องใส มีความว่าง มีความสุข แต่มันก็เฉา มันก็ว้าเหว่ มันก็ไม่มีใครไปดูแลมัน มันผ่องใสเดี๋ยวมันก็เศร้าหมอง มันดีขนาดไหนเดี๋ยวมันก็เสื่อม มันมีเจริญขึ้นแล้วมันก็ต่ำลงเป็นธรรมดา ไม่มีสิ่งใดคงที่

เรามีปัญญาของเรา ปัญญามันจะแยกแยะ ปัญญามันจะแก้ไข ปัญญาอย่างนี้ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่สิ่งนี้เราไปแก้ไขของเราเอง จิตดวงนี้ ความลับไม่มีในโลก เราทำสิ่งใดไว้จิตเรารู้ทั้งนั้นแหละ แล้วจิตมันแก้ไขตัวมันเอง การแก้ไขตัวมันเอง นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระล้าง ปัญญาที่จะเข้ามาแก้ไข ปัญญาจากข้างนอกเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากสัญชาตญาณมนุษย์ ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาของโลกไง

มนุษย์คิดอย่างไร? เทวดาคิดอย่างไร? พรหมคิดอย่างไร? สัตว์เดรัจฉานมันคิดอย่างไร? นี่นรกอเวจีเขาคิดอย่างไร? คนที่ตกนรกอเวจีมันอยากจะพ้นจากทุกข์ นี่สัตว์เดรัจฉานมันเห็นคนทำกุศลมันก็อิจฉา สัตว์มันเห็นคนนะมันอิจฉามาก คนมีอิสรภาพ สัตว์นะมันต้องคอยรักษาตัวมัน พลาดนะเป็นอาหารของสัตว์ใหญ่เลย มันรักษาชีวิตของมันนะ มันทุกข์มันยาก มันระแวง ไปไหนมันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นแหละ

แม้แต่กินอิ่มหนึ่งนะ เวลากินหญ้าของมันอิ่มหนึ่งนะมันก็ต้องรักษาชีวิตมัน เผลอเป็นโดนคาบไปเลย นี่มันทุกข์ร้อนขนาดไหน มันเห็นคนมันอิจฉามากเลย คนเขามีกฎหมายคุ้มครอง คนเขามีศักดิ์ศรี คนเขามีปัญญา คนเขาทำคุณประโยชน์ได้ สัตว์มันมองมันก็คิดของมันนะ นี่สัตว์คิดอย่างไร? มนุษย์คิดอย่างไร? เทวดาคิดอย่างไร? พรหมคิดอย่างไร?

ความคิดมาจากไหน? ความคิดมาจากจิต ถ้าความคิดมาจากจิต เวลาความคิดของเราเกิดขึ้นมา สิ่งที่ปัญญาของเราที่เกิดขึ้นมันก็เกิดจากจิต มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ธรรมชาติอยู่แล้ว ธรรมชาติอย่างนี้มันส่งออก แล้วเวลาเราคิด นี่ชีวิตนี้มาจากไหน? เราศึกษาธรรมะแล้วเราอยากจะเข้าใจธรรมะ แล้วคิดส่งออกมันจะไปไหนล่ะ?

ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา นี่ปัญญาจากจิต ปัญญาจากสมองนะ ปัญญาสัญชาตญาณเกิดจากสมอง สมองเป็นศูนย์ประสาท สั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างใด อยากได้อะไรมันก็สั่งให้ทำตามที่มันสั่ง แต่เวลามันสงบเข้ามาเป็นตัวมันเอง มันจะสั่งใครล่ะ?

มันสั่งใครไม่ได้ พอสั่งใครไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันด้วย พอจิตสงบเข้ามาทำไม่เป็น พอจิตสงบเข้ามานี่ โอ๋ย ว่างๆ อย่างนี้นะพระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ปล่อยวางก็คือนิพพาน นิพพานก็คือความว่าง เวลามันสงบเข้าไปถึงตัวมันทำอะไรไม่เป็นนะ แต่โดยสัญชาตญาณมันคิดเก่ง ส่งออกนี่เก่งมาก อู๋ย พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกความว่าง พระพุทธเจ้าว่ากิเลส พระพุทธเจ้าว่าอวิชชา...รู้ไปหมด แล้วก็สร้างภาพเหมือนหมดเลย แต่ไม่รู้ ไม่รู้เพราะมันทำอะไรของมันไม่ได้ไง

เวลาจิต นี่เราพุทโธ พุทโธ จิตสงบเข้ามา แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาที่เราใช้มันเป็นปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากสัญชาตญาณ ปัญญาเป็นโลกียปัญญา คือปัญญามันเกิดแล้ว เราไม่คิดมันก็เกิด นี่ดูสิความคิดมันเกิดตลอดเวลาเลย แล้วพยายามหยุดมันก็หยุดไม่ได้ด้วย เราคิดเรื่องธรรมะ เราตรึกในธรรมะ ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในความเกิดและความตาย พอตรึกแล้วมันสลดสังเวชเข้ามา มันปล่อยเข้ามา มันปล่อยความคิด มันปล่อยความคิดแล้วมันก็ปล่อยๆๆ ปล่อยบ่อยๆ เข้า นี่ปัญญาอบรมสมาธิ พอถึงตัวมันเองคิดไม่เป็นอีก คิดไม่ได้ คิดไม่เป็น

นี่เราต้องตั้งใจแล้วตั้งสติไว้ คอยดู คอยดูว่าเวลามันเสวยอารมณ์ ความคิดเริ่มต้นเกิดอย่างไร? จุดเริ่มต้นของความคิดมันเกิดที่ไหน? นี่ถ้ามันเห็นของมันนะ จิตสงบมันเสวยอารมณ์ ถ้ามันไม่เสวยอารมณ์ มันไม่เสวย มันไม่กิน เห็นไหม เรากินข้าวทุกวันนะ จิตมันกินความคิด กินความรู้สึกนึกคิด จิต นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มันจะข้ามพ้นกิเลสมันต้องเห็นตัวมัน ตัวมันจับอาการได้ จับความรู้สึกนึกคิด จับสิ่งที่มันไม่เข้าใจ จับสิ่งที่มันไปยึดมั่นถือมั่น ถ้ามันจับได้ มันเห็นได้

จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิด ถ้าจิตเห็นความคิดมหัศจรรย์มากนะ พอจิตเห็นความคิด อ๋อ ความคิดเก้อๆ เขินๆ ความคิดมันเข้ามาไม่ได้ ความคิดมันกระดุกกระดิกไม่ได้ เวลาพระอรหันต์นะ เวลาชำระกิเลสสิ้นไปแล้ว นี่ภารา หเว ปัญจักขันธา ภาระ ขันธ์เป็นภาระ ธาตุขันธ์นี้เป็นภาระ มันก็เหมือนหางจิ้งจกมันดิ้นอยู่ข้างนอก ดิ้นขลุกขลิกๆ นะ หางจิ้งจกมันขาดจากตัวมันไป นี่มันก็ดิ้นอยู่นั่นน่ะ มันดิ้นอยู่นั่นน่ะ

จิตถ้ามีสติปัญญามันรู้เท่าความคิด เห็นความคิดอยู่นั่นน่ะ เหมือนหางจิ้งจกมันดิ้นอยู่นั่นน่ะ กอกแกกๆ นั่นน่ะ เอ๊ะ! ทำไมมันไม่มีอารมณ์ล่ะ? ทำไมเราไม่คิดตามมันไปล่ะ? เห็นไหม ถ้ามันเห็นของมัน มันจับของมันนะ แล้วมันพิจารณาของมัน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่จิต ถ้าจิตมันพิจารณาของมันได้ จับของมันได้ พิจารณาของมันได้ เรากินอาหารทุกวัน จิตมันได้บริหารจัดการของมัน มันได้พิจารณาของมัน มันได้แยกแยะของมัน นี่วิปัสสนาญาณ ญาณที่ชำระกิเลส

นี่เขาว่าสมถะแก้กิเลสไม่ได้ จิตสงบแก้กิเลสไม่ได้หรอก มันแก้ด้วยปัญญาๆ นั่นน่ะ แล้วปัญญาของใครล่ะ? ถ้าปัญญาที่มันใช้อยู่นี่ปัญญากิเลสทั้งนั้นแหละ ปัญญากิเลสเพราะอะไร? เพราะมันเกิดจากสัญชาตญาณ เกิดจากธรรมชาติของจิต จิตที่มันคิดไปเองโดยธรรมชาติของมัน แล้วตรึกในธรรมะของมัน ตัวมันเองไม่เป็นอิสระไง แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบเข้ามา ใจมันเป็นอิสระขึ้นมา แล้วใจมันเห็นของมัน มันจับของมันได้

นี่มันเป็นงานของใจดวงนี้ เป็นงานของใจดวงนี้เพราะใจดวงนี้มันเป็นอิสระ เพราะมันสงบระงับของมันเข้ามา มันเป็นอิสระเข้ามา แต่เราทำบุญกุศลเข้ามา เราเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ เราถึงมีสัญชาตญาณเราถึงมีสถานะของมนุษย์ สถานะของมนุษย์ก็มีความรู้สึกนึกคิดเป็นธรรมดา นี่มันเป็นสถานะของมนุษย์ แล้วมนุษย์มันมีกิเลสร้อยรัดมา มันมีสังโยชน์ร้อยรัดมา มันก็หมุนไปเป็นธรรมชาติไง

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติไง แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติไป ธรรมชาติ เราวางธรรมชาติ เรารู้รอบธรรมชาติ ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือวัฏฏะ ธรรมะเหนือธรรมชาติเพราะมันรู้รอบหมด แล้วมันทิ้งหมด มันสลัดทิ้งหมด มันทิ้งธรรมชาติ มันเหนือธรรมชาติไป เพราะธรรมชาติไม่มีอำนาจกับจิตดวงนั้นไง ถ้าไม่มีอำนาจกับจิตดวงนั้น นี่ไงธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติคือวัฏฏะ คือมันเป็นไปโดยสัจจะ โดยธรรมชาติ แต่ธรรมะมันเหนือ มันทำลายได้หมดเลย

นี่ถ้าจิตมันได้ฝึกฝนอย่างนี้ อาหารเรากินทุกวันนะ กินเพื่อดำรงชีวิต จิตถ้ามันได้ฝึกหัดตัวมันเอง แล้วฝึกฝนตัวเองจนตัวเองพัฒนาขึ้นมานะ จิตดวงนี้มหัศจรรย์มาก นี่เวลามันทุกข์มันร้อน เวลาเกิดในวัฏฏะ เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้จักตัวเอง เกิดมาชาติใดก็เป็นคนๆ นั้น เกิดมาสถานะใดก็เป็นคนนั้น แต่เวลาจิตมันพิจารณาเข้าไปถึงที่สุด มันไปสำรอก มันไปคายออก มันจะคายอะไรออกล่ะ? คายสิ่งที่มันฝังอยู่ในหัวใจ มันรู้รอบ รู้ครบกระบวนการของมัน จิตนี้มาจากไหน มาเป็นปัจจุบันอย่างไร แล้วมันจะไปอนาคตอย่างไร แล้วมันชำระแล้วมันถึงที่สุดอย่างไร นี่ถ้ามันรู้รอบของมัน จบสิ้นกระบวนการของมัน

นี่เรามากันเพื่อเหตุนั้นนะ เราทำบุญกุศลของเราเพื่อให้เกิดเชาวน์ เกิดปัญญา เกิดอำนาจวาสนา มันถึงจะได้ย้อนกลับมาดูตัวเรา ถ้ามันมีอำนาจวาสนา ความคิดอันละเอียด งานอันละเอียด งาน เห็นไหม เขาบอกว่าพระนี่บวชมาแล้วเป็นภาระสังคม ไม่เห็นทำหน้าที่การงานเลย พระนี่นะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา งานที่เอาความรู้สึกนึกคิดไว้อยู่ใต้อำนาจของเรา งานนี้ยิ่งใหญ่มาก งานอาบเหงื่อต่างน้ำมันเป็นงานภายนอก งานที่เอาความรู้สึกนึกคิดในหัวใจเราไว้ในอำนาจของเรา แล้วชำระล้างมัน ตีแผ่มันจนกว่ามันถึงที่สุด พอถึงที่สุดแล้วนะร่มโพธิ์ร่มไทร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ เป็นครูสอนตั้งแต่พรหมลงมา นี่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน เวลาท่านทำหัวใจของท่านสิ้นสุดกระบวนการของท่านไป ทุกคนต้องไป คนป่วยไปหาหมอ จิตมันป่วยไข้ต้องไปหาผู้รู้เพื่อจะแก้ไข ถ้าแก้ไขแล้วเราพยายามบริหารจิตใจของเราให้มันเข้มแข็งขึ้นมา ให้มันหายจากการป่วยไข้ ให้มันเข้มแข็งแล้วมันพิจารณาของมัน ให้มันพ้นจากกิเลส ให้มันพ้นจากวัฏฏะ สิ่งที่พ้นจากวัฏฏะไปมันจะเป็นอิสรภาพ

สิ่งที่เขาอุทิศส่วนกุศลไป นั่นฝากกันไป เวลาเราทำของเรามันไปกับเรา แล้วถ้ามันเป็นจริงในหัวใจของเรานะมันจะเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม นี้คือผลของพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ พระพุทธศาสนาสอนให้เราเสียสละ สอนให้เราทำบุญกุศล สอนให้เรารักษาตัวเรา สอนให้รักษาใจของเรา สอนให้ชำระล้างกิเลส สอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ร่มโพธิ์ร่มไทร แล้วนกกามันจะได้อาศัย เอวัง