เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ พ.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะนะ ธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ เราหล่อเลี้ยงหัวใจ เห็นไหม เวลาทุกข์เวลายากเราทุกข์ยากมาก แต่เวลามีความสุขล่ะ ความสุขอย่างนี้มันลอยลมไง สิ่งที่ลอยลมมา ดูสิอากาศมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความสุขความทุกข์ในใจของคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เวลามันทุกข์มันบีบคั้นมาก ทุกข์เกิดจากอะไร? ทุกข์เกิดจากสมุทัย สมุทัยคืออะไร? สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก

ตัณหา วิภวตัณหา คำว่า “ตัณหา” คือแสวงหาอย่างเดียว ความผลักไสไง ความไม่พอใจในสถานะของตน ความเป็นอยู่ของตน นี่ไม่พอใจทั้งนั้นแหละ เห็นไหม วิภวตัณหา ตัณหามันมีหลายประเภท แต่ไม่ใช่ว่าตัณหานี้เราจะแสวงหาอย่างนี้เป็นตัณหาๆ แม้แต่ความไม่พอใจในสถานะ ความไม่พอใจในความรู้สึกนึกคิด นี่ก็เป็นตัณหา แล้วความอยู่เฉยๆ อยู่ ตัณหามันมีของมันอยู่ นี่สมุทัย

เวลามันทุกข์มันยากมันมีสมุฏฐานมาจากสมุทัย สมุทัย เห็นไหม เพราะเราเข้าใจ เราศึกษาในปริยัติคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราอยากชำระ เราอยากจะกำจัดสิ่งนี้ออกไปให้มันมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเรา แล้วทำอย่างไรล่ะ เราทำอย่างไร เห็นไหม เราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติของท่านไปได้ มันมีร่องมีรอย รอยล้อเกวียน เกวียนมันผ่านไปข้างหน้ามันมีรอยล้อของมัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บุกเบิกมา บุกเบิกมานี่ สิ่งนี้ที่ทำมาทำมาที่ไหน ทำมา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ศึกษาโดยโลกไง เขาปฏิบัติกันเป็นรูปแบบ ปฏิบัติกันเป็นวิธีการ ก็ไปศึกษากับเขาๆ นะ ถึงสุดท้ายแล้วไปศึกษากับอาฬารดาบสได้สมาบัติ ๘ “นี่เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา มีความเห็นเหมือนเรา นี่สอนได้เลย” แต่เจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่ต้องการสิ่งใดเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เห็นไหม เป็นผู้บุกเบิก บุกเบิกขึ้นมาที่ไหน? บุกเบิกขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มรรคญาณ วิถีแห่งจิต จิตมันพัฒนาการของมันไปอย่างไร มันพัฒนาการถึงที่สุดแล้ววางธรรมและวินัยอันนี้ไว้ให้เราก้าวเดินกัน วางธรรมและวินัยนี้ไว้ เราก็ศึกษากัน เราก็อยากประพฤติปฏิบัติกัน

เราศึกษา ปฏิบัติ แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีร่องมีรอย ท่านปฏิบัติของท่านไป ท่านปฏิบัติของท่านไป ท่านบอกแนวทางของเราได้ ถ้าบอกแนวทางได้เราปฏิบัติตามอย่างนั้น แล้วเราก็มาปฏิบัติกัน เวลาปฏิบัติกันทุกข์ๆ ยากๆ เห็นไหม ดูสิเวลาหมามันเห็นเครื่องบิน นี่มันเห็นเครื่องบินมามันเห่ามันหอน หมามันเห็นเครื่องบิน เครื่องบินมันอยู่สูงมาก หมามีโอกาสจะได้สัมผัสเครื่องบินนั้นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมะมันอยู่สูงส่งนัก ธรรมะที่เราจะเอื้อมเอาไม่ได้เลย นี่เวลาหมามันเห็นเครื่องบิน เครื่องบินมันเป็นวัตถุนะ หมามันเป็นสัตว์ มันเห็นของมัน เห็นไหม แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี่ธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมอยู่ที่ไหน เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกนั้น นั่นแหละวิธีการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงแล้ว วางธรรมและวินัยนี้ไว้ คือสิ่งที่เป็นประสบการณ์ในใจนี้บอกถึงกิริยาของจิต กิริยาวิธีการของมันในการกระทำนั้นส่งเข้ามาที่หัวใจนี้ ถ้าหัวใจนี้เราปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม มันไม่ใช่หมาเห็นเครื่องบินนะ นี่ธรรมมันเกิดที่ใจนี้

เวลาสุข เวลาทุกข์ เวลามันเจ็บช้ำน้ำใจ เวลามันมีความสุขความทุกข์มันเกิดที่นี่ไง มันไม่สุดเอื้อมหรอก มันไม่สุดเอื้อมที่เราจะไม่มีโอกาส เรามีโอกาสทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเราจะมีความเข้มแข็งแค่ไหน แม้แต่มีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ เชื่อเพื่ออะไรล่ะ เห็นไหม มีศรัทธา ศรัทธาคือหัวรถจักรนะ เพราะมีศรัทธาความเชื่อแล้ว นี่ลากไง ชักลากมา ชักลากหัวใจเรามาให้ค้นคว้า

นี่เวลาไปฟังธรรมๆ ฟังธรรมในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อนะ เวลาฟังธรรมนี่ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์เราพูด ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อแล้วฟังไปทำไมล่ะ นี่เวลาฟังธรรม เห็นไหม อานิสงส์ของมัน สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำมัน ตอกย้ำมัน แล้วตอกย้ำขึ้นมา เวลามีความลังเลสงสัยในหัวใจ สิ่งที่แสดงกิริยาออกมามันมีเหตุมีผล มันมาคัดมาเลือก มันมาคัดมาแยกกันในใจของเรา ถ้ามันมีประเด็นในหัวใจ นี่ธรรมอันนั้นมันมาแยกมาแยะในหัวใจของเรา ถ้ามันแยกแยะมันเข้าใจแล้ว เห็นไหม

อานิสงส์ของมันฟังแล้วจิตใจผ่องแผ้ว จิตใจมันรื่นเริง นี่ฟังธรรมขึ้นมา อานิสงส์ของมัน ถ้าไม่ให้เชื่อๆ ไม่ให้เชื่อก็มีศรัทธา มีศรัทธาแล้วค้นคว้า ค้นคว้าแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วทำความเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันจริงขึ้นมาในหัวใจ นี่กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้นเลย ให้เชื่อความจริงอันนั้น ถ้าจริงขึ้นมานะ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี่ล้มลุกคลุกคลาน หมาเห็นเครื่องบิน มันไกลนัก มันสุดเอื้อมนัก เห็นไหม หมาที่มันมีเจ้าของที่เขามีศักยภาพ เขาเอาหมาขึ้นเครื่องบินนะ เขาเอาหมาขึ้นเครื่องบินไปไหนเขาเอาหมาของเขาไปด้วย

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรา ถ้าเราทำของเรา เราเป็นสัตว์ทุกข์สัตว์ยาก เรามีทุกข์มียากในหัวใจของเรา แต่ถ้าเราทำความจริงของเราล่ะ เราทำของเราขึ้นมาสิ ถ้าทำขึ้นมา เห็นไหม นี่ตั้งสติขึ้นมา เวลาเราบอก ทุกคนบอกว่ารักตัวเอง ทุกคนบอกว่าตัวเองมีคุณค่ามาก ทุกคนถนอมแต่ความรู้สึกของตัวเอง แต่ความรู้สึกนั้นมันให้โทษเราขนาดไหนล่ะ แต่ถ้ามันเป็นปัญญามันก็ความรู้สึกเหมือนกัน

ขันธ์ สังขารขันธ์ คือความคิด ความปรุง ความแต่ง นี่ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร เวลาปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในความรู้สึกนึกคิดของเราไง ปัญญารอบรู้ รอบรู้แล้วมันก็สงบระงับ เห็นไหม มันไม่สงบระงับเพราะอะไร เพราะมันดีดมันดิ้นของมัน มันฟุ้งมันซ่านของมัน เพราะมันมีแรงดีดของมัน มันก็ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เวลามันคิดขึ้นมานี่มันคิดของมันตามความพอใจของมัน คิดขึ้นมามันก็เอาสารพิษ เอายาพิษมาทับถมใจของตัว แล้วใจของตัวก็เจ็บช้ำน้ำใจอยู่อย่างนั้นแหละ นี่เวลาเป็นสมุทัยมันให้ผลอย่างนั้น มันเป็นกิเลส

แต่เวลาเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ความรู้สึกนึกคิด ถ้าเรามีสติปัญญารู้เท่ามันมันก็เกิดดับ มันเกิดดับ เกิดดับแต่รสชาติมันไม่มี ไม่มีเพราะอะไร เพราะมันไม่มีสมุทัย มันไม่มีตัณหาความทะยานอยากชักนำไป มันก็เกิดดับ พลังงานมันมีของมันอยู่แล้ว ความคิดมันเกิดจากใจ ธรรมชาติของมันก็เกิดดับอย่างนั้นแหละ แต่เกิดดับโดยสติปัญญารู้เท่ารู้พร้อม มันก็เกิดดับ

เขาบอกว่ารู้เท่าการเกิดดับๆ...เกิดดับก็เสาไฟฟ้าไง เสาไฟฟ้า เห็นไหม เวลามันสลัวลงไฟมันก็ติด เวลาพระอาทิตย์ขึ้น เวลาแสงสว่างมามันก็ดับ จิตใจของเราไม่ใช่เสาไฟฟ้านะ จิตใจของเรา การเกิดดับนี้มันต้องมีสติปัญญา มันต้องมีผู้รู้เท่า มันต้องมีเจ้าของ เห็นไหม หมามันต้องมีเจ้าของมันจะพามันขึ้นเครื่องบิน นี่ถ้าปล่อยมันเกิดดับๆ มันก็ทำเป็นสสาร สสารทางโลกมันเป็นแบบนั้น

นี่เกิดดับๆ เพราะอะไร เกิดดับเพราะมีสติ มีสติมีปัญญามันก็รู้เท่า รู้เท่ามันก็เกิดดับ เกิดดับก็ เออ! สบายๆ...สบายอะไร กิเลสทั้งตัวยังไม่เห็น สบายอะไร ถ้ามันจะสบาย สบายเดี๋ยวมันเกิดอีก ถ้าสติมันอ่อนเดี๋ยวมันก็มีฤทธิ์อีก มีฤทธิ์อีกมันก็ทำลายหัวใจอีก แล้วทำอย่างไรให้มันทำงานต่อไปล่ะ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บุกเบิกตรงนี้ไง

นี่ทำความสงบของใจ ฤๅษีชีไพรเขาทำมาก่อนหน้านั้นแล้ว พวกที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาทำแต่ความสงบของใจขึ้นมา พอใจมันสงบขึ้นมาแล้วเขาคิดว่ามันจบสิ้น แล้วพยายามรักษาไว้ เห็นไหม นี่รักษาไว้ไม่ให้มันแสดงตน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันมีของมัน ถ้ามีของมัน นี่รื้อค้นเลย รื้อค้น นี่วิปัสสนาเกิดตรงนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา เห็นไหม จิตสงบแล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจิตสงบขึ้นมานี่จิตสงบมาก อาฬารดาบสบอกว่าได้สมาบัติ ๘ มีความรู้ความเห็นเหมือนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ามีอะไรมันยังทุกข์อยู่นี่ แล้วเราจะทำอย่างไรได้ ศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มาก็เต็มที่แล้ว ระลึกถึงอำนาจวาสนาของตนเอง พอระลึกถึงอำนาจวาสนาของตนเอง คิดถึงตอนเป็นราชกุมาร ตอนที่พระเจ้าสุทโธทนะพาไปแรกนาขวัญ กำหนดลมหายใจเข้า-ออก อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้า-ออก

เห็นไหม เวลาทำฌานสมาบัติมันมีฤทธิ์มีเดช มันรู้ไปข้างนอกหมดเลย เวลาอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก จิตมันเกาะลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เวลามันปล่อยลมหายใจออกมันก็เป็นตัวของมันเอง

สิ่งที่ทำความสงบของใจเข้าไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ผู้บุกเบิกยังแสวงหาอยู่ ผู้บุกเบิกยังไม่ได้สัจธรรมความจริงมา นี้มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน เกิดโดยข้อมูล พอจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันก็มีข้อมูลของมันอยู่ในหัวใจใช่ไหม ดูสิ สสารสิ่งใดมันก็มีค่าตามสสารสิ่งนั้นใช่ไหม จิตใจที่มันสงบเข้าไปแล้วมันก็รู้ตามข้อมูลของมัน ตั้งแต่อดีตชาติไปเป็นพระเวสสันดร นี่ไงสสารที่มันมีอยู่ไง ความเกิดตายที่จิตนี้มันเคยเวียนเกิดเวียนตายมาไง เวลาจิตสงบเข้าไปแล้วก็ไปรู้ข้อมูลเดิมของมัน มันใช้ปัญญาอะไรล่ะ? มันไม่ได้ใช้ปัญญาอะไรเลย แต่มันเป็นข้อมูลที่มันมีอยู่ พอข้อมูลมีอยู่มันก็ย้อนไปอดีตชาติไม่มีวันจบสิ้น

ถ้าอย่างนี้ไม่จบก็ดึงกลับ พอดึงกลับมา มาทำความสงบของใจให้ละเอียดเข้าไป

ถ้าจิตมันยังมีกิเลสอยู่ เห็นไหม ดูสิฤๅษีชีไพรเขาทำความสงบมามากแล้วแหละ เวลาอาฬารดาบสก็รับประกันแล้วแหละ มันก็ไปไม่รอดหรอก แต่เวลาจิตสงบเข้ามาแล้ว ในเมื่อผู้บุกเบิกยังมีการกระทำอยู่ ยังกระทำอยู่ พอเข้าไปปัญญามันยังไม่เกิด ปัญญาอย่างนี้มันเข้าไปถึงข้อมูลเดิม มันเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่เวลาจิตสงบเข้าไป มันย้อนกลับมาเป็นจุตูปปาตญาณ ถ้าจิตมันยังไม่สิ้นกิเลส เพราะมันมีข้อมูลของมัน สสารมันมีคุณค่าของมัน สสารมันต้องแปรสภาพของมันไป จุตูปปาตญาณมันต้องแปรสภาพของมันไป มันต้องเกิดของมันไปข้างหน้า มันก็ไม่ใช่อีก เพราะมันเป็นอดีต อนาคต

นี่อดีตชาติคืออดีต เวลาถ้ามันไป จุตูปปาตญาณคืออนาคตที่สสารนี้มันต้องแปรสภาพไป สสารนี้มันต้องหมุนเวียนไป เห็นไหม นี่ดึงกลับมาๆ พอดึงกลับมาก็เป็นตัวของมัน นี่ตัวของมันเอง พอตัวของมันเอง ตัวของมันเองคืออะไรล่ะ? คือภวาสวะ คือภพ คือจิต คือฐีติจิต จิตเดิมแท้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส กลับมาที่จิตเดิมแท้นี้ แล้วพิจารณาจิตเดิมแท้ด้วยปัญญา ด้วยมรรคญาณ มรรคเกิดแล้ว เห็นไหม

ถ้ามรรคมันเกิด มรรคมันคืออะไร มรรคคืออะไร มรรค ๘ คืออะไร? นี่ดำริชอบ งานชอบ งานก่อนหน้านั้นงานไม่ชอบ งานใกล้เคียงแต่งานยังไม่ชอบ แต่นี่งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรมมันเกิด เห็นไหม ถ้าความชอบธรรมมันเกิด ธรรมจักรมันหมุน ถ้าจักรมันหมุน ญาณมันเกิด ญาณคืออะไร? ญาณทัสสนะที่เข้ามาทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอทำขึ้นมา นี่พอเข้ามาทำลายกัน ทำลายด้วยวิธีใดล่ะ? ทำลายด้วยที่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นจะเห็นธรรม เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เหมือนกัน อันเดียวกัน ถ้ามันทำแล้วมันจะเป็นเหมือนกัน

นี่ไงถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา แล้วมันทำที่ไหนล่ะ? มันทำที่ในใจของเรา

นี้เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราปฏิบัติกันด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่เราวางไว้ โดยจิตใต้สำนึกเราละไม่ได้ ฉะนั้น ด้วยจิตใต้สำนึกทุกคนก็อยากพ้นทุกข์ แต่เวลาเราปฏิบัติกันด้วยความอยาก อยากด้วยสมุทัย อยากด้วยเปลือก นี่เราระงับได้ เราระงับของเราไป เราปฏิบัติของเราไป

ถ้าปฏิบัติของเราไป ถ้ามันน้อยเนื้อต่ำใจ หมาเห็นเครื่องบิน นิพพานอยู่สุดเอื้อม แล้วทำอย่างไร หมาเห็นเครื่องบินนี่มันท้อแท้ แต่ถ้าบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะเกิดจากพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริมหามายา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีพ่อมีแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประพฤติปฏิบัติมาเหมือนกัน เราก็มีพ่อมีแม่ เราก็เกิดมาเหมือนกัน เราก็มีชีวิตเหมือนกัน เราก็มีสสาร มีร่างกายและจิตใจเหมือนกัน เราก็ต้องมีความเข้มแข็งเหมือนกัน เราจะปฏิบัติเหมือนกัน เราจะทำของเรา

นี่ทำได้ ถ้าทำได้ แล้วทำได้ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ? ทุกข์ยากเพราะมันเป็นอริยทรัพย์ ทุกข์ยากเพราะมันเป็นการรื้อภพรื้อชาติ เราทำงานของเรามา ทำงานเพื่อสัมมาอาชีวะ ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ คนเราเกิดมา เห็นไหม แม้แต่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพมันยังต้องมีอำนาจวาสนาเลย เวลาคนมีอำนาจวาสนานะ ทำสิ่งใดไปมันจะมีหมู่ มีคณะ มีคนดูแลเกื้อกูลกันไป บางคนทำงานขึ้นมาล้มลุกคลุกคลาน ทุกข์ยากแสนเข็ญ ทุกข์ยากแสนเข็ญเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เวลาเราทำของเรามาไง

นี่เวลาเราทำของเรามา แต่สิ่งนี้ ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไปอดีตชาตินะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่พระเวสสันดรนี่ย้อนกลับไปมีแต่เสียสละมาทั้งนั้นเลย นี่เสียสละมาทุกอย่าง เสียสละมา เพราะการเสียสละสิ่งนั้นมามันเป็นการสร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ถ้าสร้างอำนาจวาสนาบารมีมา จิตใจมันเข้มแข็ง ใครจะชักนำไปอย่างไรก็แล้วแต่ นี่อาฬารดาบสบอกเหมือนเรา ดูสิอาจารย์ยกย่องขนาดนั้น อาจารย์เชิดชูขนาดนั้นยังไม่เชื่อ

ถ้าเป็นคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา อาจารย์ยกย่องนี่มันไปแล้ว ไม่มีใครยกย่องเราก็ให้คะแนนตัวเองมากเกินไปอยู่แล้ว แล้วนี่อาจารย์มายกย่องขนาดนั้นยังไม่หลงตามไป เพราะอะไรล่ะ เพราะได้สร้างบุญญาธิการมา ได้สร้างหลักเกณฑ์ในหัวใจนั้นมา ใครมายกย่องเชิดชูขนาดไหนก็ไม่เชื่อ ใครจะมายกย่องขนาดไหน นั่นมันธรรมะเก่าแก่ แต่เราพิสูจน์ขึ้นมาเอง ทำความเป็นจริงของเราขึ้นมาเอง

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้สร้างสมบุญญาธิการอย่างนั้นมา จิตใจมันถึงมีหลักมีเกณฑ์ไง ใครจะชักนำอย่างไรมันก็ไม่ไปไง ใครจะโน้มน้าวอย่างไรมันก็เรื่องของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเรา...เรื่องของเรา ในหัวใจของเรามันเป็นความจริง ใครจะปิดใครได้ เอาความทุกข์มาเปิดเผยกันสิ อ้าปากบ่นแต่ความทุกข์กันสิ ทุกคนทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่มันเก็บไว้ในใจ ด้วยมรรยาทสังคมนะ สบายดีไหม? สบายดี สบายดีจริงหรือ จริงหรือ? มันไหม้อยู่ในใจนั่นน่ะ ในหัวใจมันเผาลนอยู่นั่นน่ะ

แต่ถ้าความจริงล่ะ ความจริง เห็นไหม หมามันเห็นเครื่องบินนะ มันเป็นสุภาษิต แต่เวลาเราปฏิบัติของเรา นิพพานนะ นิพพานมันก็เกิด ทุกข์ที่มันเกิดอยู่นี่ ถ้าพูดถึงมันทำลายลง มันทำลายลงนะ มันทำลายด้วยมรรคญาณ ถ้าคำว่าเกิดดับๆ เกิดดับนี่ไม่มีเหตุมีผล เกิดดับโดยธรรมชาติมันก็เกิดดับอยู่แล้ว สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา แต่การดับเป็นธรรมดาเพราะมีเจ้าของรู้เห็นการเกิดและการดับ แล้วมันปล่อยวางการเกิดและการดับด้วยปัญญาของท่าน ท่านถึงรู้จริงตามความเป็นจริงของท่าน ท่านถึงมีดวงตาเห็นธรรมไง

เราว่าเกิดดับๆ นี่มันสัญญา นี่มันจำมา จำมาเราก็รู้อยู่ เราก็เกิดดับ เราคุ้นชินมันจนเราไม่เอามันมาพิจารณา เราคุ้นชินมันจนเราไม่เอาสิ่งนั้นมาเป็นประโยชน์กับเรา เพราะเราคุ้นชินไง พอเราคุ้นชินมันก็มีอยู่แล้ว เกิดดับไง มันเรื่องธรรมดา ธรรมดาจนกิเลสท่วมหัว ธรรมดาจนกิเลสมันทำให้เหลวไหล ให้ไม่เอาจริง ให้นอนจมอยู่กับกิเลสนั่นไง

แต่ถ้าไม่ธรรมดา เราดูแลของเรา เราดูแลของเรา เราทำของเรา ถ้าเจ้าของที่ดีเขาจะพาหมาขึ้นเครื่องบินนะ ถ้าสติปัญญาเรามีกำลังของเรา เราจะพาจิตนี้เข้าสู่สัจธรรม เราจะพาใจนี้ให้มันพ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราเกิดมาทุกข์ยากขนาดนี้แล้ว เราทำคุณงามความดีของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อชีวิตของเรา

เห็นไหม นี่ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อความผ่องแผ้วของใจ ในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ฟังธรรมแล้วเป็นศรัทธาความเชื่อนี้ แล้วต้องพิสูจน์ นี่ปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่เป็นหมาเห็นเครื่องบินแล้ว เราจะขึ้นเครื่องบิน เราจะสร้างเครื่องบินเอง แล้วเราจะขับมันไป เราจะสร้างเครื่องบินเองนะ แล้วเราจะขับเครื่องบินของเราไป เอวัง