เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ พ.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา ธรรมะมีมาตรฐานเดียว จะเป็นพระ เป็นเณร เป็นคฤหัสถ์ เวลาปฏิบัติไปแล้ว นี่ธรรมะ เวลาบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ฉะนั้น ธรรมะมีมาตรฐานเดียว แต่เวลาเราปฏิบัติ ดูสิเวลาพระศีล ๒๒๗ เณรศีล ๑๐ คฤหัสถ์ก็ถือศีล ๘ นี่เราถือศีล ๕ ถ้าถือศีล ๕ เราประพฤติปฏิบัติของเราไป ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราไป เห็นไหม นี่มีมาตรฐานเดียวหมายถึงว่าเวลาทำแล้วบรรลุธรรมเหมือนกัน มีการบรรลุธรรมเหมือนกันมันต้องมีการกระทำให้ถึงที่สุดเหมือนกัน ถึงที่สุดเหมือนกัน แต่เริ่มต้น เห็นไหม เริ่มต้นจากเรา

ดูการแข่งขันกีฬานะ กีฬานี่ทุกคนเวลาเริ่มต้นสตาร์ท จุดสตาร์ท ทุกคนอยากแข่งขันทั้งนั้นแหละ เวลาเราไปแข่งขันกีฬาเราอยากลงแข่งกับเขา แต่เวลาแข่งไปแล้วเขาจะรู้ได้เลยว่ามาตรฐานของนักกีฬา ถ้าใครไปถึงเป้าหมาย ใครมีอุปสรรคสิ่งใด ฉะนั้น เวลาลงไปแข่งขันแล้วเราถึงจะเห็นว่านักกีฬาคนใดจะไปได้หรือไปไม่ได้ ฉะนั้น เวลานักกีฬาลงไปแข่งขันแล้วมันจะมีความเมื่อยล้า แต่เวลาเราออกจากจุดสตาร์ท เราจะมีความสดนะ ความสดของเรา ความสดคือความศรัทธา ความเชื่อของเรา เริ่มต้นออกจากจุดสตาร์ท ทุกคนมีจุดสตาร์ทเหมือนกัน

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกนะ การปฏิบัติธรรมที่ยังไม่ได้มรรคได้ผล เพราะการปฏิบัติขาดความสม่ำเสมอ ความเสมอต้น เสมอปลาย เห็นไหม ความเสมอต้น เสมอปลาย แต่คนเราดูสิศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เราถือศีลแตกต่างกัน พื้นฐานมันแตกต่างกัน การรับรู้แตกต่างกัน

ดูสิเวลาคนมีฐานะนะ เขาจะซื้อหาสิ่งใดเขามีเงินมีทองของเขา เขาจะทำของเขาได้ง่ายดาย เรามันคนชั้นกลางเราก็พอทำไปได้ แต่คนทุกข์คนจน เห็นไหม เงินทองเราไม่มี แต่สินค้าสิ่งนั้นมันมีราคาแพง เราจะทำของเราจะให้ได้สิ่งนั้นมา ถ้าสิ่งนั้นมาเราจะต้องลงทุนลงแรงมากกว่าเขา แต่คนที่เขามีเงินมีทองของเขา เขาจะหาสิ่งใดเขาหาด้วยความสะดวกสบายของเขา อันนี้มันมีการกระทำของเขานะ

ดูสิอำนาจวาสนาบารมีของคนไม่เหมือนกัน เกิดมาเป็นคนเหมือนคน แต่คนไม่เท่ากันนะ ไม่เท่ากันที่ไหนล่ะ? ไม่เท่ากันที่พื้นฐานในหัวใจไง ถ้าพื้นฐานหัวใจของคนที่เขาเข้มแข็งนะ จะไม่มีใครชักนำเขาไปได้เลย เขาจะมีจุดยืนในใจของเขา แต่จิตใจเราอ่อนแอ เห็นไหม ใครจะชักนำอย่างไรก็ได้ ใครจะโน้มน้าวไปสิ่งใดก็ได้ นี่การโน้มน้าวจากภายนอก

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในหัวใจของเรา กิเลสมันโน้มน้าวในหัวใจของเรานะ กิเลสมันจะชักนำในหัวใจของเรา มันจะเสนอเลยล่ะ “สิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม” แล้วเราปฏิบัติทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ ทุกข์ยากขนาดนี้...มันจะทุกข์มันจะยาก ทุกข์เพื่อพ้นทุกข์นะ แต่เวลาเราเจ็บช้ำน้ำใจ เราร้องไห้ร้องห่มกันอยู่นี่ เราทุกข์กันอยู่นี่มันทุกข์เพื่อทุกข์ต่อเนื่อง มันมีอารมณ์นะ เวลาเราโศกสลดขึ้นมา เห็นไหม อารมณ์เศร้า อารมณ์เหงา อารมณ์หงอย

เวลามีอารมณ์สิ่งนี้ขึ้นมา โลกเขาเป็นกันอย่างนี้ พอโลกเขาเป็นกันอย่างนี้ โลกเขาปลอบประโลมกัน มีความเห็นอกเห็นใจกันนะ ถ้าเห็นอกเห็นใจกันทางโลก เห็นไหม นี่ทุกข์เพื่อจะทุกข์ต่อเนื่องกันไป แต่ถ้าความทุกข์ของเรา เวลาเราทุกข์ของเรานี่เราทุกข์อยู่ที่ไหนล่ะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัตินะ ไปแบบนอแรด ไปคนเดียวนะอยู่ในป่าในเขา เวลามันทุกข์จนเข็ญใจในเขานะ ในป่าในเขาใครจะช่วยเหลือเรา เห็นไหม มันทุกข์แล้วมันไม่มีใครมาให้กำลังใจไง

ถ้าให้กำลังใจ สิ่งที่ให้กำลังใจเราก็น้อยเนื้อต่ำใจใช่ไหม แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านมีอำนาจวาสนาบารมีของท่านนะ เวลาท่านอยู่ในป่าในเขา เวลาทุกข์เวลายากขึ้นมาท่านพลิกใจท่านไปเลย พลิกใจไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์ เวลาท่านสร้างสมบารมีมาขนาดนั้น เวลาท่านไปแสวงหากับเจ้าลัทธิต่างๆ ท่านไปของท่าน ท่านทำของท่าน แล้วเวลาท่านอยู่ในป่า ในเขาท่านทำทุกรกิริยาของท่าน ท่านทุกข์กว่าเราเยอะแยะเลย ท่านทุกข์กว่าเรามาก ทุกข์กว่าเรามากตรงไหน? ทุกข์กว่าเรามากเพราะตอนนั้นศาสนายังไม่มี

ถ้าศาสนาพุทธยังไม่มีนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม นี่หนึ่งเดียวมันไม่มีสอง ไม่มีสอง ในเมื่อไม่มีใครรู้จริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาชนะมาร เทวดาแซ่ซ้องสรรเสริญไปเลย เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา เห็นไหม จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว ไม่มีใครจะน้อมกลับไปได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปเลยนะ

“บัดนี้จักรเคลื่อนแล้ว ธรรมได้แสดงออกแล้ว ธรรมได้มีแล้ว”

ถ้าธรรมได้มีแล้ว เวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐี เวลาทำบุญกุศลๆ นี่เป็นเศรษฐีเอาเงินปูที่ซื้อเชตวันถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเวรกรรมให้ผล สิ่งที่ทรัพย์สมบัติฝังไว้ในดิน น้ำเซาะไปหมดเลย เทวดานะ เทวดาอยู่ที่ประตูบ้านมาเยาะเย้ยถากถาง “นี่ทำบุญแล้วได้บุญ ทำบุญแล้วได้บุญ ทำบุญจนทุกข์จนเข็ญใจขนาดนี้ เอาบุญมาจากไหน” อนาถบิณฑิกเศรษฐีไล่เทวดานั้นออกไปเลย เวลาเทวดาไม่มีที่อยู่อาศัย ไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ให้กลับมาขอขมา แล้วไปขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เทวดาส่งเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไป เวลาครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขา เห็นไหม มันก็มี มีสิ่งนี้เป็นเครื่องอำนวยอวยชัยให้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติธรรม มีไหม เวลาอยู่ในป่าในเขาคนเดียวนะ เวลามันพลิกใจขึ้นมา พลิกใจขึ้นมาว่าเวลาเราทุกข์เรายาก เราต้องหาเหตุหาผลในหัวใจของเรา นี่เราจะทุกข์ยาก เราจะออกไปสู่กระแสสังคมใช่ไหม ถ้าเราจะออกไปสู่กระแสอย่างนั้นมันก็หมุนไปตามสังคมใช่ไหม นี่ถ้าหมุนไปตามสังคม หมุนไปตามโลกใช่ไหม เราก็เกิดมาจากโลกนี่แหละ แล้วเราอยากจะพ้นจากโลก เราจะพ้นจากทุกข์ แล้วพ้นที่ไหนล่ะ

“อ้าว! การปฏิบัติ นี่ปฏิบัติในสังคมก็ได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้”...ใช่ ที่ไหนก็ได้ แต่หัวใจเรามันอ่อนแอขนาดนี้ ที่ไหนก็ได้แล้วมันปฏิบัติจริงหรือเปล่าล่ะ แต่เวลาอยู่ในป่าในเขา เวลามันทุกข์จนเข็ญใจ มันอ่อนแอของมัน เห็นไหม เราก็อยู่ในป่า ในเขามันมีอะไรล่ะ? มันก็มีแต่ต้นไม้ มันก็มีแต่ป่าแต่เขา มันก็มีสิงห์สาราสัตว์ นี่เราอยู่กับมัน เวลาจิตใจของเราถ้ามันรื่นเริงอาจหาญ สิ่งนั้นมันจะเป็นเครื่องหนุนเรานะ

เราไปอยู่ในที่วิเวก เราไปอยู่กับสัจธรรม อยู่กับความจริง นี่มารยาสาไถย โลกมันเป็นของมายาทั้งนั้นแหละ มนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งนั้นแหละ สิ่งที่ในสังคมใครเป็นคนสร้างขึ้นมา อำนวยความสะดวกใครเป็นคนสร้างขึ้นมา เห็นไหม นี่วิทยาศาสตร์ๆ วิทยาศาสตร์เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิต คุณภาพชีวิตของทางโลกเขา แต่เขาเกิดตายเหมือนกัน สุดท้ายแล้วก็ตายเหมือนกัน

แต่เวลาเราจะพ้นจากทุกข์ เราอยู่ในป่าในเขาของเรา ถ้ามันทุกข์มันยากขึ้นมา นี่เรามีสติปัญญาของเรา ถ้าอยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ความคิด เห็นไหม เราเคยอยู่ในสังคมมา เรามีความสะดวกสบายมา เวลาเข้าป่าเข้าเขามามันทุกข์มันยากขึ้นมา แล้วทุกข์ยากมันทุกข์ยากจากใครล่ะ แล้วทำไมสัตว์มันอยู่ในป่ามันไม่เห็นมันบ่นทุกข์ยากของมันเลย

สัตว์ในป่าในเขา ถ้าคนไม่ไปล่ามันนะ มันอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่คนไปล่ามันเอง คนไปทำลายมัน พอไปทำลายขึ้นมา แล้วเราไปอยู่ในป่าในเขา นี่เราเป็นสัตว์ตัวหนึ่งใช่ไหม? ไม่ใช่ เราไม่ใช่สัตว์ตัวหนึ่ง เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เราเป็นมนุษย์ แต่เราเข้ามาในป่าในเขานี้เรามาหาสัจธรรมต่างหากล่ะ

สัตว์สมองมันเล็ก สัตว์อำนาจวาสนาของมันเป็นเดรัจฉาน มันเป็นอบายภูมิ อบายภูมิตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานลงไป อบายภูมิ เห็นไหม อบายภูมินี่มันทำคุณงามความดีของมันได้ มันทำดีทำชั่วของมันได้ แต่มันทำมรรคผลนิพพานขึ้นมาไม่ได้ เราเป็นสัตว์มนุษย์ เรามีปัญญาของเรา เราเข้าป่าเข้าเขามา เราเข้าป่าเข้าเขาด้วยมีสติด้วยมีปัญญา เราไม่ได้เข้ามาเหมือนสัตว์ เราไม่ได้เข้ามายอมจำนนกับมัน เราเข้ามาเพื่อชำระล้างกิเลส เห็นไหม ดูสิเวลามันกลัวขึ้นมา มันทุกข์มันยากขึ้นมา นี่กิเลสทั้งนั้นแหละ

เวลากิเลสมันตื่นนอนขึ้นมามันจะปัดให้ความเพียรของเราล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นแหละ มันจะทำให้เราเลิก ให้กรรมฐานม้วนเสื่อ ให้ม้วนออกไปอยู่กับสังคม อยู่กับสังคมก็ไปมารยาทสังคมไง เอออวยกันไป เอออวยกันไปนะ นี่ “สบายดีไหม สบายดีไหม” ดูแลกันไป แล้วก็อบอุ่น จิตใจอบอุ่นนะว่ามันมีคนดูแลมัน เวลาตายขึ้นมานะเขาก็นั่งร้องไห้อยู่ข้างศพเรานั่นล่ะ เขาช่วยเราไม่ได้หรอก

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม เราจะตายที่ไหน จะตายในป่าก็ได้ จะตายในเมืองก็ได้ จะตายที่ไหนก็ได้ถ้ามันจะตาย แล้วมันตายจริงไหมล่ะ? มันไม่ตาย มันไม่ตายเพราะอะไร เพราะมนุษย์มีปัญญา มันเอาตัวรอดได้ทั้งนั้นแหละ เวลามีความกลัวความวิตกกังวลขึ้นมามันก็ไม่คิดนอกเรื่องนอกราว

เวลากลัวผี ความกลัวนี่นะ สิ่งใดๆ นี่เหรียญมีสองด้านทั้งนั้นแหละ ความกลัวถ้ากลัวจนไม่มีสติปัญญา กลัวจนไม่มีประโยชน์ กลัวจนบ้าไปก็ได้ แต่ถ้าความกลัวนี้มีสติปัญญา กลัว เห็นไหม กลัวกิเลสมันก็กลัวด้วย ถ้ากลัวแล้วมันก็ไม่คิดนอกเรื่องนอกรอย มันไม่คิดเรื่องต่างๆ ไม่คิดเรื่องตามความพอใจของมัน ทีนี้เราไม่คิดเรื่องตามความพอใจ มันกลัว กลัวเราก็เอาความรู้สึกของเราไปอยู่ที่พุทโธซะ นี่อยู่ที่พุทธานุสติ

พุทโธๆๆ เห็นไหม พุทธานุสติ นี่มันเกาะพุทโธ พุทโธ จนถึงที่สุดมันสงบขึ้นมาได้นะ นี่ดับหมด ความกลัวก็ดับหมด สิ่งที่วิตกกังวลมันดับหมด เหลือแต่พลังงาน เหลือแต่ตัวจิตล้วนๆ เหลือแต่ความสุขระงับไง ถ้ามันสุขระงับขึ้นมา นี่มันจะไม่ตื่นเต้นแล้ว มันเห็นประโยชน์แล้ว อ๋อ! อยู่ป่าอยู่เขามันได้ประโยชน์สิ่งใด ถ้าอยู่กับสังคมมันมีแต่คนเอออวยกันมันจะมีประโยชน์สิ่งใด ถ้ามีประโยชน์สิ่งนั้นขึ้นมามันเห็นคุณค่าไง

เราไปอยู่ในป่าในเขา เราออกไปนี่เราไม่ใช่ไปแบบสัตว์ เราไม่ได้ไปแบบคนสิ้นไร้ไม้ตอก เรามีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาธรรมและวินัย เห็นไหม อริยสัจ เราจะรื้อค้นของเรา ในเมื่อเรามีคุณธรรมอันนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามานี้ยังเป็นสัญญาอยู่ ยังเป็นความจำได้อยู่ เราจะเอาความจริงขึ้นมา แล้วความจริงมันเกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ? มันเกิดมาจากหัวใจที่มันรู้แจ้ง ถ้าหัวใจมันรู้แจ้ง ถ้ามันไม่รู้สิ่งใดเลยมันก็มีความวิตกกังวล กลัวไปหมดเลย แต่ถ้ามันอยู่ในป่า มันฝึกหัดขึ้นมา มันรู้แจ้งของมัน มันเห็นคุณค่า เห็นไหม

เวลาเห็นโทษๆ เวลาไปนี่ตกใจ ตกใจจนเนื้อตัวสั่นนะ แต่เวลามันได้คุณค่าขึ้นมา ได้ความจริงขึ้นมา มันเห็นคุณขึ้นมานะ นี่หลวงตาท่านเล่าประจำ หลวงปู่ขาวเวลาท่านออกจากโรงขอด ท่านละล้าละลังนะ ท่านเห็นคุณของที่นั่น ท่านเห็นคุณของโคนต้นไม้ไง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นคุณของโคนต้นโพธิ์ไง เพราะนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์แล้วตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม “เราตรัสรู้ธรรมอยู่โคนต้นโพธิ์” นี่ต้นโพธิ์นั้นก็เลยเป็นสัญลักษณ์ในพุทธศาสนา

แล้วเราเข้าป่าเข้าเขาขึ้นไป เวลาไปมันไปด้วยความวิตกกังวล มันไปด้วยความทุกข์ความยาก แต่เวลาเราได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นขึ้นมา เห็นคุณๆ เห็นไหม คนดี เครื่องหมายของคนดีคือกตัญญูกตเวที เรากตัญญูแม้แต่สถานที่ พื้นที่ที่เราได้อาศัยขึ้นมา ถ้าปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา

ฉะนั้น ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งนั้นมันเกิดจากความเข้มแข็งของเรา มันเกิดจากสติปัญญาของเราแยกแยะขึ้นมา ถ้าสติปัญญาเราอ่อนแอ เวลามันยุแหย่ มันยุแหย่ว่าสิ่งนั้นทำไม่ได้ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ นี่เราก็เชื่อมันไง แต่ถ้าสิ่งที่กิเลสมันเอาสิ่งนี้มายุแหย่ มาทำลายความเพียรของเรา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ทำไมครูบาอาจารย์ของเราทำขึ้นมา ท่านก็เป็นมนุษย์ เป็นคนเหมือนเรานี่แหละ เราก็เป็นคน...ใช่ หลวงปู่มั่นท่านก็สร้างบุญกุศลขึ้นมาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน

ฉะนั้น พระโพธิสัตว์ท่านก็ปฏิบัติของท่าน แต่ท่านก็ยังทุกข์ยากขนาดนั้น เราเป็นสาวก สาวกะ เราเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังขึ้นมาเราก็อยากประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เพราะมันไม่มีคุณค่าสิ่งใดดีไปกว่าการประพฤติปฏิบัติ ดีไปกว่าการแสวงหาอริยทรัพย์อย่างนี้

โลกเรานะ เราแสวงหาทรัพย์สมบัติของเรามาก็เพื่อดำรงชีวิต ปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอยู่อาศัย มันเป็นเครื่องอยู่อาศัย มันเป็นของอาศัย มันไม่ใช่ของจริง เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เราจับจ่ายใช้สอยอยู่นี่มันก็พลัดพรากจากเราไปตลอดเวลา ถึงเวลาถ้าเราสงวนรักษาไว้เราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งนี้ไปเป็นธรรมดา เห็นไหม มันเป็นเครื่องอาศัยทั้งนั้นแหละ แล้วความจริงล่ะ?

ความจริงมันเป็นนามธรรม เวลาเราเกิดมานี่ปฏิสนธิจิตมันเกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ มันเกิด กำเนิด ๔ กำเนิด ๔ เกิดมา ทีนี้เราเกิดมานี่เราเกิดมาด้วยบุญกุศล เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาคืออะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มีพระพุทธ พระธรรม เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะ เวลามีดวงตาเห็นธรรมถึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระธรรม คือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคือสัจธรรม พระธรรมคือธรรมะที่มีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่แล้ว...ธรรมะมีอยู่แล้วแต่ไม่ใช่ของเรา ธรรมะมีอยู่แล้วมันเป็นธรรมะสาธารณะ เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะสาธารณะ แล้วเราล่ะ เห็นไหม เรามีสิทธิหายใจ นี่อากาศก็เป็นของสาธารณะ แต่เราหายใจเข้ามาเพื่อฟอกเลือดเรา เราหายใจเข้ามาเพื่อสมองของเรา เราหายใจขึ้นมาเพื่อตัวเรา

ทีนี้เราหายใจ สิ่งที่เป็นสาธารณะ หายใจนี้เป็นอากาศนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นสาธารณะ เห็นไหม นี่สอนบริษัท ๔ แล้วเราเป็นบริษัท ๔ พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา ฝากไว้กับเราแล้วเราเอาไหม เราค้นคว้าไหม เราเอาสมบัตินั้นไหม เวลาพ่อแม่ให้เราตกทอดนี่อยากได้กันนัก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ธรรมไว้ ให้ธรรมไว้ นี่ให้บริษัท ๔ ฝากศาสนานี้ไว้กับเรา แล้วเราเป็นความจริงขึ้นมาไหมล่ะ

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม นี่อริยทรัพย์ ที่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนาแต่เขาไม่สนใจ ศาสนานี้ก็เป็นที่ไว้ทำบุญ เรื่องปฏิบัติก็เป็นเรื่องของพระ เวลาทุกข์ยากก็ทุกข์ของเรา

เวลาเงินนี่อยากได้ เวลาทรัพย์สินเงินทองนี่อยากได้มากเลย แต่เวลาอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม มันเป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้ใช่ไหม ทำไมเรามีความทุกข์ล่ะ ถ้าเราสละทุกข์ เราปลดเปลื้องทุกข์ เรากำจัดทุกข์ไปจากใจของเรา นั่นไง นั่นไง

นี่ไงทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง นี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม มันเกิดมรรคญาณแล้วเกิดนิโรธะ นิโรธคือการดับทุกข์ การทำลายสิ้นไปจากทุกข์ เวลาทุกข์ขึ้นมา ทุกข์นี้เป็นสมบัติของเรา เดี๋ยวมันก็เกิด เดี๋ยวมันก็ดับ เดี๋ยวก็ทุกข์มาก มีสติปัญญา ทุกข์ก็เบาบาลง ก็ทุกข์กันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราปฏิบัติของเรา ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้วมันจับ มันเห็นสมุทัย เห็นตัณหาความทะยานอยาก เห็นเหตุแห่งทุกข์ เวลามันเป็นวิบาก เป็นความทุกข์แล้วมีแต่ความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากนี่มันเป็นผล มันเป็นวิบากกรรม แต่มันมีที่มา มันมีสมุทัย มันมีเหตุที่มา

ทีนี้เหตุที่มา ถ้าไม่มีมรรคมันจะเห็นไหมล่ะ ถ้ามันมีมรรคขึ้นมา มีมรรคขึ้นมามันถึงเห็นเหตุไง นี่ที่มันน้ำตาไหลน้ำตาร่วงกันอยู่นี่ก็เพราะตรงนี้ไง ถ้ามันละตรงนี้ไปแล้วน้ำตามันจะไหลที่ไหนล่ะ เพราะมันไม่มีเหตุแห่งทุกข์ มันไม่มีเหตุมันก็ไม่ทุกข์ แต่นี่มันมีเหตุไง แล้วเหตุอยู่ไหนล่ะ? เหตุก็อยู่ในตำราไง เหตุก็ศึกษามาจนอยู่ในสมอง ท่องได้หมดเลยไง ท่องได้หมดมันก็รักษาไม่ได้ หมอเวลาเขาจะรักษาโรคนะ ไม่มียา ไม่มีเครื่องมือเขาผ่าตัดใครไม่ได้หรอก อ้าว! หมอก็คือหมอ หมอเรียนมาแล้วก็เรียนมาจบ ถ้าหมอไม่เข้าห้องผ่าตัด หมอไม่มีเครื่องมือแพทย์ หมอรักษาคนได้ไหม

นี่ก็เหมือนกัน จำได้หมดเลยธรรมะของพระพุทธเจ้า มันก็เรียนมาจบเหมือนกัน แต่มันไม่มีเครื่องมือ ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา แล้วเอาอะไรไปรักษามันล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ไหน นี่ถ้ามันอยู่ขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาเกิดจากความจริงไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่ตำรา มันเป็นจริงๆ สติ มหาสติ มันจะเป็นสติอย่างไร เป็นมหาสติอย่างไร เป็นปัญญา เป็นมหาปัญญาอย่างไร เป็นมรรคญาณที่มันทำลายกิเลสอย่างไร นี่ไงหมอที่มีเครื่องมือเขาก็รักษาได้ เราเป็นนักปฏิบัติเราก็มีของเราขึ้นมา

ถ้าเรามีศีล สมาธิ ปัญญา มีตามความเป็นจริงนะ ไม่ใช่มีโดยสัญญา ไม่ใช่สั่งสินค้าเข้ามา เวลาเครื่องมือแพทย์สั่งมาจากนอกได้หมดน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญาสั่งไม่ได้ นี่สั่งสิสั่งให้ได้ สั่งให้ได้...สั่งไม่ได้ มันต้องฝึกหัดฝึกฝนขึ้นมา ต้องสร้างขึ้นมาเองโดยใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นสร้างขึ้นมามันถึงทำของมันได้

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเวลาประพฤติปฏิบัติมันมีมาตรฐานเดียวเท่านั้นแหละ ทีนี้มาตรฐานเดียว เห็นไหม เราอยู่ในสถานะไหนเราก็พยายามของเรา ขวนขวายของเรา ทรัพย์สมบัติทางโลกนะมันช่วยเหลือเจอจานกันได้ แต่อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายในต้องบุคคลคนนั้นทำขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยชี้ทาง แล้วทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ ทุกคนมีสิทธิที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงได้ เราก็มีสิทธิของเรา ฉะนั้น เวลาทำมันจะทุกข์มันจะยากมันก็เป็นอำนาจวาสนาของเรา เราต้องขวนขวายของเรา ทำของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง