ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

อวิชชาบอก

๒๔ พ.ย. ๒๕๕๕

 

อวิชชาบอก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๑๒๐๐. เนาะ

ถาม : ๑๒๐๐. เรื่อง “จิตหลงหรือจิตหลุดพ้น”

กราบนมัสการท่านอาจารย์ที่เคารพ นับเป็นบุญของโยมที่ได้มีโอกาสฟังธรรมของพระอาจารย์มาตลอด ทำให้ได้รับความรู้ในการปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์อย่างละเอียดและกว้างขวาง ทำให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติยิ่งขึ้น จนมั่นใจว่าจิตตนเองเจริญก้าวหน้าเกินกว่าจะหันกลับ หรือเสื่อมถอยไปสู่สถานะที่ต่ำกว่านี้ได้อีกต่อไป มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินไปให้ถึงจุดหมายปลายทางด้วยความเพียรพยายาม สร้างเหตุ สร้างปัจจัยตามอริยมรรคไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถประหารกิเลสให้สิ้นไปได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

แม้ไม่สำเร็จในภพชาติปัจจุบัน แต่ก็ไม่ถือว่าขาดทุนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา และพบครูบาอาจารย์ที่ดีเลิศ ชี้นำทางออก บอกทางตรงให้เช่นนี้ จึงกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่ได้นำธรรมเทศนามาเปิดแสดงในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่เช่นนั้นโยมหรือนักปฏิบัติธรรมที่แสวงหาครูบาอาจารย์ที่รู้จริง ปฏิบัติจริงอาจต้องเสียเวลาในการเดินทางไปถึงวัด ทั้งที่อยู่ไกลและไปมาลำบาก จึงนับว่าช่วยย่นย่อระยะเวลาได้มาก สามารถเข้ามาเปิดชม หรือรับฟัง หรือดาวน์โหลดธรรมะไปฟังได้ทุกที่ และทุกเวลาที่ต้องการตามสมควรแก่โอกาสของตน

โยมกราบขอโอกาสพระอาจารย์ ขออนุญาตถามปัญหาที่กำลังข้องใจในการปฏิบัติของนักปฏิบัติธรรมที่อยู่ในสำนักเดียวกัน แล้วอ้างตนว่าบรรลุธรรม

ตอบ : ความจริงมันต้องถามเรื่องของตัวเองไง นี่ไปถามของเพื่อน ไปถามของผู้ที่ปฏิบัติธรรม นี่ถ้าอย่างนี้แล้วมันไม่มีอารมณ์จะพูดเลยล่ะ แต่เขาถามมาแล้ว เดี๋ยวฟัง

ถาม : ๑. ปฏิบัติธรรมมา ๒๐ กว่าปี มีบรรพบุรุษนับถือไสยศาสตร์ และรับมรดกกรรมนั้นมาตั้งแต่เด็ก มีคาถาอาคมจนสามารถบังคับภูต ผี ปิศาจซึ่งเป็นบริวารให้ทำอะไรๆ ก็ได้ เคยช่วยคนที่ถูกผีสิงมาแล้วหลายคน จนเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือในกลุ่ม บุคคลที่ยังนับถือผีอยู่ การเป็นนักปฏิบัติธรรมถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว แต่ยังนับถือผีอยู่ ตลอดจนคาถาอาคม เช่นนี้จะไม่ขัดต่อคำสัตย์ปฏิญาณตนที่มีต่อพระรัตนตรัยหรือคะ?

๒. บุคคลลักษณะเช่นนี้ สามารถปฏิบัติธรรมจนยกจิตขึ้นเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่ระดับต้นถึงสูงสุดได้หรือไม่?

๓. พระอริยบุคคลทุกระดับที่บรรลุธรรมแล้ว สามารถบอกทุกๆ คนที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของตนได้หรือไม่ว่าตนบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นต้น เพราะมีนักปฏิบัติธรรมบางคน เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วใหม่ๆ เกิดอาการรักษาจิตไม่อยู่ มีการอยากบอก อยากคุย อยากประกาศก้องให้ทุกคนได้รับทราบว่าตนบรรลุธรรมแล้ว ด้วยการโทรศัพท์ไปบอกคนนั้น คนนี้บ้าง แทนการเก็บตัวปฏิบัติให้มากขึ้น เพื่อตรวจสอบตนเองให้แน่ชัดว่าใช่หรือไม่ใช่ หรือเข้าหาครูบาอาจารย์เพื่อตรวจสอบสภาวะที่เกิดขึ้นกับตนเองให้แน่ชัด ก่อนบอกเพื่อนๆ หรือคนที่ตนเองคุ้นเคยว่าฉันจบพรหมจรรย์แล้ว เสร็จกิจแล้ว เพื่อให้พวกเขายินดีและดีใจด้วย จะได้ร่วมอนุโมทนา กรณีเช่นนี้

๓/๑. หากบรรลุธรรมจริงจะเกิดขึ้นอย่างไรกับตนเองหรือไม่?

๓/๒. และหากไม่เป็นความจริงจะเกิดโทษอย่างไร? เพราะถ้าเป็นพระจะต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ แต่นี่เป็นเพียงผู้ปฏิบัติธรรม ถือศีล ๘

๔. เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่สามารถรำลึกได้ว่าจิตตนเองเปลี่ยนแปลงหรือยกระดับจากปุถุชนคนธรรมดาขึ้นสู่อริยบุคคลแต่ละขั้น แต่ละตอนว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? มีสภาวะขณะจิตเปลี่ยนแปลงจากระดับหนึ่งไปสู่ระดับหนึ่งเป็นอย่างไร? สัญญาความจำเกี่ยวกับอดีตจะดับสูญไปเลยหรือคะ?

๕. โอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะสามารถบรรลุธรรมจากระดับต้นขึ้นสู่ระดับสุดท้ายในระยะเวลาสั้นๆ ห่างกันไม่ถึง ๓ เดือน เช่นรู้ว่าตนบรรลุเป็นพระโสดาบันในระหว่างเข้าพรรษา ต่อมาภายหลังออกพรรษาไม่นานจิตก็หลุดพ้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้เลย ดังนี้เป็นต้น

๖. นักปฏิบัติธรรมท่านนี้เล่าสภาวธรรมขณะหลุดพ้นว่า หลังจากเดินจงกรมเสร็จ ในกลางดึกคืนหนึ่งกำลังจะล้มตัวลงนอน ขณะกำลังยกขาขึ้น (เหมือนพระอานนท์และแม่ชีแก้ว) เกิดสภาวะกายระเบิดแตกละเอียดกระจาย เหมือนคนตายอย่างใดก็อย่างนั้น แต่สติมีกำลังมาก ธาตุทั้ง ๔ คืนสู่ธรรมชาติ พอดับสนิทจิตใสบริสุทธิ์ เด่นชัดและมีกำลัง

จิตถามอวิชชาว่า “อวิชชา นี้คืออะไร?”

อวิชชาบอกว่า “นี้คือการแตกดับของธาตุขันธ์”

ถามอวิชชาต่อไปว่า “อะไรที่รู้?”

อวิชชาตอบว่า “ปัญญา”

และมีมารมาร้องไห้ จึงถามมารว่า “ร้องไห้ทำไม?”

มารบอกว่า “เสียใจที่ท่านหลุดพ้น” แล้วมารก็หายไป และธาตุทั้ง ๔ ก็รวมพึ่บขึ้นเป็นตัวตน แล้วเกิดความสว่างจ้าหาอะไรเปรียบไม่ได้ สภาวธรรมอย่างนี้คือสภาวธรรมหลุดพ้นของจิตใช่หรือไม่คะ

๗. การที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะรู้ว่าตนบรรลุธรรมหรือไม่ ต้องมีมารหรือมีเทวดามาบอกให้รู้ หรือว่าเป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องรู้แจ้งชัดด้วยตนเอง

๘. ขอพระอาจารย์โปรดกรุณาอธิบายลักษณะการบรรลุธรรมแบบเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติว่ามีความแตกต่างกันอย่างใด?

๙. ในความเห็นของพระอาจารย์ เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่กายของเราจะระเบิดแตกสลายแล้วกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้อีก หรือว่านั่นเป็นเพียงนิมิตที่เกิดขึ้นกับจิตจนจิตหลอกจิต หรือจิตหลงคิดว่านั่นคือสภาวะจิตหลุดพ้น

๑๐. กรณีที่เราไม่แน่ใจว่าเพื่อนนักปฏิบัติธรรมด้วยกันบรรลุธรรมจริงหรือไม่ แต่เนื่องจากต้องอยู่ใกล้ชิดกัน พบเห็นกันทุกวัน ทำกิจร่วมกัน เราควรปฏิบัติกับเขาอย่างใดจึงจะไม่เกิดบาปกับตนเอง กรณีที่เขาบรรลุธรรมจริง และหากเขาไม่บรรลุธรรมจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้นเป็นเพียงนิมิตหรือโดนมารหลอก หากเราไปวิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติตัวของเขาว่าไม่ถูก ไม่ต้อง จะเกิดบาปกรรมกับเราหรือไม่คะ

กราบขออภัยที่คำถามอาจจะยาวไปสักหน่อย และกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

ตอบ : (ไม่ยาวไปสักหน่อย ยาวมากเลย) ถ้าเป็นเรื่องการปฏิบัติส่วนตนนะ ส่วนตัวของเรานี่เราเต็มใจตอบอย่างเต็มที่เลย แล้วอยากตอบด้วย แต่อันนี้มันไม่เป็นเรื่องการปฏิบัติของตน ถ้าไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติของตน มันก็เหมือนเราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย แล้วไปเอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของคนอื่น แล้วอุตส่าห์เมตตาเขาเอาไปถามหมอ แล้วหมอจะรักษาใครล่ะ? จะรักษาคนมาถามหรือจะรักษาคนป่วย คนป่วยมันไม่มา แต่คนมาถามมาถามแทน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาคำถาม คำถามมันเป็นเรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นนะ แล้วคำถามเวลาคนถามอ่านตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๐ คนถามก็รู้ชัดไง ถ้ามันไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างใด ถ้ามันไม่จริง ไม่จริงอย่างใด คำถามมันก็ตอบข้อเริ่มต้นไปหมดแล้วล่ะว่ามันไม่ใช่ เพราะตัวเองก็ไม่เชื่อ ตัวเองก็ไม่เชื่อว่ามันไม่จริง ถ้ามันไม่จริงแล้ว แต่เพียงแต่ว่าจะให้ชี้ถูก ชี้ผิด มันถูก มันจริงอย่างใด

กรณีนี้เริ่มต้นเราต้องบอกก่อนว่าในพระป่า ในวงกรรมฐาน หลวงตาท่านใช้คำว่า “ครอบครัวกรรมฐาน” ในครอบครัวกรรมฐานจะรู้ว่าพระองค์ใดสิ้นกิเลสแล้ว อย่างเช่นหลวงตาท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ขณะที่จะเผาศพหลวงปู่พรหม ท่านไปกับลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ท่านบอกลูกศิษย์ลูกหาของท่านเลยบอกว่าพยายามเอาอัฐิธาตุของพระองค์นี้ให้ได้นะ เพราะพระองค์นี้จะต้องเป็นพระธาตุเด็ดขาด หลวงปู่พรหม

นี่หลวงตาพูดบ่อย ตอนนั้นท่านไปเผาศพหลวงปู่พรหม แล้วมีลูกศิษย์ลูกหาไปด้วย ท่านสั่งลูกศิษย์เลยบอกว่าพยายามนะ พยายามเอากระดูกของพระองค์นี้ให้ได้ พระองค์นี้จะเป็นพระธาตุแน่นอน จะเป็นพระธาตุแน่นอน เพราะ เพราะหลวงปู่พรหมท่านสำเร็จมาจากเชียงใหม่ แล้วท่านมาส่งการบ้าน คือท่านมาตรวจสอบกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นได้ตรวจสอบแล้ว บอกว่าหลวงปู่พรหมสิ้นกิเลส เห็นไหม นี่ครอบครัวกรรมฐาน ถ้าครอบครัวกรรมฐานเขาจะรู้กันว่าใครมีคุณธรรมแค่ไหน

ทีนี้ครอบครัวกรรมฐานรู้ว่าใครมีคุณธรรมแค่ไหนเพราะอะไร? เพราะเขาตรวจสอบกันด้วยคุณธรรม ด้วยความเป็นจริง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้ามีผู้นำที่ดี ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดี นักปฏิบัติจะมีที่พึ่ง แล้วถ้ามีที่พึ่ง สิ่งที่การปฏิบัติมา นี่ครูบาอาจารย์ถ้าเป็นอาจารย์ของคน มันต้องวินิจฉัยว่าสิ่งนี้มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง ครูบาอาจารย์ไม่วินิจฉัย หมู่คณะที่อยู่ด้วยกัน นักปฏิบัติที่อยู่ด้วยกัน นักปฏิบัติที่อยู่ด้วยกันเขามีวุฒิภาวะเสมอกัน มีวุฒิภาวะเท่ากัน

เหมือนเด็ก เด็กเล่นอยู่ด้วยกัน เด็กเล่นด้วยกัน เด็กมันก็มีวุฒิภาวะแบบเด็กๆ ที่มันจะเล่นของเล่นกัน แล้วมันก็จะแย่งของเล่นกัน เด็กมันก็จะมีปัญหากัน ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน ในการปฏิบัตินะ ถ้าครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่ดูแลเด็ก ถ้าเด็กมีปัญหากัน ใครผิด ใครถูก เด็กนั้นจะเคลียร์ปัญหานั้น ผู้ใหญ่จะเคลียร์ปัญหาเด็กนั้นให้จบสิ้นไป เด็กนั้นก็จะไม่มีปัญหาขัดแย้งกัน ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน

ในครอบครัวกรรมฐานเขาจะรู้ก่อน ทีนี้ในครอบครัวกรรมฐาน มันน่าเห็นใจไง คำว่าน่าเห็นใจ จะบอกว่าเวลาปฏิบัติไป เวลาจิตมันเจริญ จิตมันเสื่อม จิตมันเป็นสมาธิ จิตไม่เป็นสมาธิ จิตออกใช้ปัญญา ไม่ออกใช้ปัญญา มันหลากหลายเยอะมาก แล้วเวลาเราศึกษาโดยกิเลสของเรานะ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง เราฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์หนึ่ง พอเราฟังมาแล้วเราเอากิเลสเข้าไปวัด เอากิเลสเข้าไปตรวจสอบ เพราะด้วยความไม่รู้ของเราเราวินิจฉัยสิ่งนั้นไม่ถูกหรอก เราวินิจฉัยไม่ได้หรอก ถ้าวินิจฉัยไม่ได้มันก็เป็นการคาดหมาย พอการคาดหมายไปมันก็ออกมาเป็นปัญหาอย่างนี้ไง

ฉะนั้น หลวงตาท่านจะพูดบ่อยว่า “ผู้นำสำคัญ ผู้นำสำคัญ” ผู้ที่เป็นผู้ชี้นำนี่สำคัญมาก ชี้ผิด ชี้ถูกแล้วมันจะจบสิ้นกันไปเลย ถ้าจบสิ้นกันไปแล้วนะ แล้วพอจบสิ้นกันไปมันเป็นกรณีๆ ไป เห็นไหม ธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะของใคร? ธรรมะของพระโมคคัลลานะ ธรรมะของพระสารีบุตร ธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะ ธรรมของใคร เอตทัคคะ ๘๐ องค์ก็ ๘๐ อย่าง พิจารณากายเหมือนกัน แต่วิธีการหรือผลที่มันจะออกมาขณะที่จะทำมันแตกต่าง

คำว่าแตกต่างหมายความว่าคนพิจารณาง่ายรู้ง่าย พิจารณาง่ายรู้ยาก พิจารณาจิต พิจารณากายมันจะแตกต่าง แตกต่างกันไปหมด แต่ทีนี้ทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าพิจารณากายต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเข้าอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น พอไปทำอย่างนั้นปั๊บนะ ถ้าเป็นเราจดลิขสิทธิ์ นี่สิทธิทางปัญญาๆ ถ้าเราไปจดสิทธิทางปัญญาซ้อนกับใครเขาไม่รับจดหรอก อย่างนี้ก็เหมือนกัน ผู้พิจารณาแล้ว เขาพิจารณาอย่างนั้น เราจะไปพิจารณาซ้ำอย่างนั้น นี่มันซ้อนกัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มี คำว่าไม่มี ทีนี้ไม่มี ผู้วินิจฉัยจะวินิจฉัยอย่างไรวินิจฉัยถูกต้องได้จริงหรือเปล่า ถ้าวินิจฉัยถูกต้องไม่ได้จริง นี่ผู้นำ นี่มันก็เลยเป็นปัญหาให้เราสงสัยกันมานี้ไง

ฉะนั้น ในครอบครัวกรรมฐาน ในครูบาอาจารย์มันต้องมีผู้รู้จริงไง ถ้าผู้รู้จริงเขามีอยู่ เรื่องปัญหาอย่างนี้ไม่เกิดหรอก ปัญหาอย่างนี้มันเคลียร์ง่ายๆ เลย

ถาม : ข้อ ๑. ปฏิบัติธรรมมา ๒๐ กว่าปี

ตอบ : คือบุคคลคนนี้ไง บุคคลที่ว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์นี่

ถาม : ข้อ ๑. ปฏิบัติธรรมมา ๒๐ กว่าปี แต่มีบรรพบุรุษถือไสยศาสตร์ และได้รับมรดกกรรมตั้งแต่เป็นเด็กมา มีคาถาอาคมจนสามารถบังคับภูต ผี ปิศาจให้เป็นบริวารให้ทำอะไรก็ได้ เคยช่วยผู้ที่ถูกผีเข้ามาแล้วหลายคน จนเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือในกลุ่ม บุคคลที่ยังนับถือผีอยู่ การเป็นนักปฏิบัติธรรม ถือรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แล้วยังถือผีอยู่ ตลอดจนคาถาอาคมเช่นนี้จะไม่ขัดต่อการปฏิญาณตนถึงรัตนตรัยหรือคะ

ตอบ : ถ้าเขานับถือผีอยู่ของเขาตั้งแต่เริ่มต้นมา นี่ถ้านับถือผีอยู่ เห็นไหม เขาจะเข้ามาสู่สัจจะความจริงได้ไหม? ถ้าเข้ามาสู่สัจจะความจริง นี่อริยสัจมันสูงกว่าเยอะมากเลย การถือผีอยู่เป็นไสยศาสตร์นะ ถ้าเป็นไสยศาสตร์ คนที่เป็นไสยศาสตร์ เป็นหมอผีต่างๆ เวลาเขาศรัทธาในศาสนาเขาวางสิ่งนั้นเลย แล้วเขามาปฏิบัติของเขา ถ้าเขามาปฏิบัติของเขา ถ้าเขาทำจริงของเขาเข้าถึงได้ เราไม่เอ่ยถึง มี มีพระหลายองค์ที่เคยทำอย่างนี้มาก่อน แล้วทิ้งสิ่งนี้มา แล้วมาปฏิบัติ ถ้าทำอย่างนี้ไปเดี๋ยวมันจะกลายเป็นว่าระหว่างพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ มันจะมาพัวพันกัน

ไสยศาสตร์เป็นไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์เป็นพุทธศาสตร์ ถ้าพุทธศาสตร์นะ พุทธศาสนามันเหนือไง เหนือทุกๆ อย่าง เพราะมันเข้าใจหมดแล้ว ผีสางมันมาจากไหน? ผีสางมาจากจิตของเรา ถ้าเราเข้าใจเรื่องจิตของเราหมดแล้ว ผีสางมันจะเป็นอะไร? มันอยู่ข้างนอกไม่เกี่ยวกับเราเลย ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเลย ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนานะ เกี่ยวกับอริยสัจ แต่พุทธศาสตร์แล้ว เวลาเทวดา อินทร์ พรหม เวลาเทวดามาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นไสยศาสตร์ไหม? ไม่ ไม่เป็นไสยศาสตร์เพราะอะไร? เพราะเขาเป็นเทวดาจริงๆ เขาเป็นพรหมจริงๆ เขาอยู่ในสถานะของวัฏฏะจริงๆ แล้วเขามาฟังจริงๆ

นี่แล้วเวลาผีสาง ผีสางที่มาฟังเทศน์พระพุทธเจ้ามีไหม? ผีสางเขาทุกข์ เขายากของเขา พระพุทธเจ้ามีแต่ไปโปรด พระมาลัยไปโปรดนรก พระมาลัยไปเที่ยวนรก นี่พระมาลัยไปเที่ยวนรก พระมาลัยไปโปรดสัตว์นั่นน่ะ เวลาโปรดสัตว์นะ โปรดสัตว์คนทุกข์ยากอย่างนั้นจะฟังเทศน์อะไร? คนทุกข์ยากอย่างนั้นเขาต้องพ้นขึ้นมา จนกว่าชีวิตของเขาจะเป็นปกติ เขาจะมาฟังเทศน์เข้าใจได้ เพราะเรื่องจิตนะ จิตนี้ถ้ามันบีบคั้น จิตที่มันมีอะไรในหัวใจมันไม่ฟังใคร มันฟังใครไม่ได้ มันฟังไม่รู้เรื่อง มันฟังแล้วมันไม่เข้าซาบซึ้งใจ มันแก้กิเลสไม่ได้ว่าอย่างนั้นเลย

แต่ถ้าบุคคลคนนี้เขาถือมาล่ะ? เขาก็ถือมา ๒๐ กว่าปี เขาเคยทำอย่างนั้นได้ ถ้าเขาเคยทำอย่างนั้นได้ เพราะสิ่งนี้เป็นความชำนาญของเขา คนมีคาถาอาคมเขาเป็นแบบนั้น แต่เวลาปฏิบัติเขาจะวางอย่างนั้นไหมล่ะ? ถ้าเขาไม่วางอย่างนั้นนะมันก็ส่งออกไง นี่ถ้าถือคาถาอาคมใครเป็นคนทำ? จิตเป็นคนทำ จิตมันมีสติ ศีล สมาธิ มันเคยทำอย่างนั้น แล้วมันออกไปอย่างนั้น

นี่อันนี้อันหนึ่ง ถ้าขณะที่เขาถือผีนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเขาวาง เขาปล่อยวาง ถ้าเข้ามาอริยสัจ ถ้าเป็นอริยสัจเราจะวางเอง จิตนั้นมันจะรู้ส่วนที่เป็นของหยาบ ส่วนที่เป็นของละเอียด ส่วนที่จะเข้าไปสู่อริยสัจ ถ้าจิตมันจะเข้าสู่อริยสัจมันปล่อยวางมันเอง ถ้ามันปล่อยวางอย่างนั้น มันปล่อยวางอย่างนั้นเป็นความจริง มันปล่อยวางมันก็เข้ามาสู่อริยสัจได้ แต่ถ้ามันไม่ปล่อยวาง มันเป็นอย่างนั้นอยู่มันก็จะเป็นส่งออก ส่งออกไปสู่ภูต ผี ปิศาจ ส่งออกไปสู่ความรู้ ความเห็นที่มีต่างๆ ส่งออก ถ้าส่งออกมันไม่เข้าสู่อริยสัจ มันไม่เข้า

นี่เข้าหรือไม่เข้า เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้มันอยู่ที่ว่าเขาวางได้หรือวางไม่ได้ ถ้าวางไม่ได้มันก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเขาวางได้มันก็เข้าสู่ธรรมได้ ไม่ใช่ว่าเคยถือผีมาแล้วคนนั้นมันไม่ใช่ปาราชิก ถ้าปาราชิกตาลยอดด้วนแล้วนี่หมดสิทธิ์ แต่ถ้าไม่ใช่มันวางได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ มันแก้ไขได้

ถาม : ข้อ ๒. บุคคลลักษณะเช่นนี้สามารถปฏิบัติธรรมจนจิตยกขึ้นเป็นอริยบุคคลตั้งแต่ขั้นต้นถึงขั้นสูงได้หรือไม่

ตอบ : นี่บุคคลลักษณะนี้ ลักษณะ เห็นไหม ลักษณะของบุคคล กับลักษณะของจิต ลักษณะของจิตถ้าเขาปล่อยวางได้นะ แต่สำหรับเรานะเราว่าปล่อยวางไม่ได้หรอก ถ้าปล่อยวางได้เดี๋ยวข้างหน้ามันจะตอบอีกอย่างหนึ่ง ปล่อยวางไม่ได้ ถ้าปล่อยวางได้เขาจะตอบได้ชัดเจน เพราะปล่อยวางไม่ได้มันจะส่งออกไง

บุคคลลักษณะเช่นนี้ บุคคลนั้นถ้าจิตใจมันเป็นได้ มันปล่อยได้ ถ้าจิตใจมันเป็นไปไม่ได้มันปล่อยไม่ได้ มันปล่อยไม่ได้เพราะอะไร? ปล่อยไม่ได้เพราะข้างหน้าเดี๋ยวบอก ถึงอารมณ์ไง ถึงอวิชชา ถึงการเข้าไป นั่นล่ะผิดหมด มันผิดเพราะอะไร? ผิดเพราะมันปล่อยไม่ได้ ถ้าปล่อยได้มันจะถูก

ถาม : ข้อ ๓. พระอริยบุคคลทุกระดับที่บรรลุธรรม สามารถบอกกับทุกๆ คนที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของตนได้หรือไม่ว่า ตนบรรลุธรรมชั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถึงเป็นพระอรหันต์ และมีนักปฏิบัติบางคนที่จิตหลุดใหม่ๆ เกิดอาการอยากรู้ อยากลอง

ตอบ : นี่ลักษณะการส่งออกมันเป็นแบบนี้ ถ้าลักษณะนะทุกๆ คนให้ทราบ นี่พูดถึงลักษณะมันเป็นแบบนี้ ถ้าลักษณะมันไม่เป็นแบบนี้นะ เพราะการที่ว่าจะเป็นโสดาบันสติมันสมบูรณ์นะ ถ้าสติมันสมบูรณ์ มันจะรู้ของมันว่าพูดออกไปแล้วมันจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ คำว่าไม่เป็นประโยชน์ คนอื่น พระโสดาบันบอกอาการความเป็นพระโสดาบันกับปุถุชน ปุถุชนมันจะรับรู้ได้ไหม?

เรานี่นะเอาเพชรไปให้ไก่ บอกว่าเป็นข้าวสาร ไก่มันเอาไหม? เอาของไปบอกสัตว์ สัตว์มันไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่บอกมนุษย์นี่มนุษย์เข้าใจได้นะ มนุษย์หมายถึงว่าถ้าเป็นโสดาบันกับโสดาบันคุยกันมันจะเข้าใจได้ แต่โสดาบันไปคุยกับปุถุชน ปุถุชนเขาไม่รู้หรอก เขารู้ไม่ได้ เอาเพชร นิล จินดาไปอวดสัตว์ สัตว์มันไม่รู้กับเราหรอก ถ้าสัตว์มันไม่รู้กับเรา คนที่เป็นมนุษย์เขาจะเอาเพชร นิล จินดาไปอวดสัตว์ไหม? เขาจะอวดก็อวดแต่มนุษย์ด้วยกัน นี่ถ้ามีมนุษย์มาเขาจะบอกว่าเขามีเพชร นิล จินดามากเลย แต่เขาไม่เอาเพชร นิล จินดาเขาไปอวดสัตว์หรอก เขารู้ว่าสัตว์มันรับรู้กับเราไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เขาเป็นปุถุชน เราจะเอาสภาวะโสดาบันบอกเขา เขาจะรู้กับเราจริงไหม? นี่พูดถึงคนที่มีสติไง คนที่มีสติเขารู้นะว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์ เขาจะรู้เลยว่าปุถุชนเขาจะรู้กับเราได้ไหม? เขารู้กับเราไม่ได้หรอก ถ้าเขารู้ไม่ได้ ไปบอกเขามันจะเป็นสิ่งที่ว่าเขาจะรู้กับเราไหม? เขาไม่รู้หรอก

ฉะนั้น สิ่งที่ว่ากรณีข้อ ๓/๑.

ถาม : ข้อ ๓/๑. หากบรรลุธรรมจริงจะเกิดโทษกับตนขึ้นมาอย่างไร?

ข้อ ๓/๒. หากไม่เป็นความจริงจะเกิดโทษเป็นอย่างไร?

ตอบ : ถ้าเป็นพระต้องเป็นปาราชิก แต่เขาไม่เป็นพระ เขาเป็นผู้ถือศีล ๘ ไอ้อย่างนี้มันถามเป็นประเด็นแบบศาลฎีกาไง จะเอาพิพากษาศาลฎีกา แล้วก็ไปปรับโทษคนอื่นไงว่าถ้ากรณีนี้จะเป็นอย่างใด กรณีนี้เป็นอย่างไรเขาก็เป็นความฟุ้งซ่านของเขา เขาก็รู้ตัวของเขา มันก็เรื่องของเขา ถ้าเป็นพระนะ ถ้าเป็นพระเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นพระ เวลาเป็นพระถ้าหลงล่ะ? ถ้าหลง ถ้าเข้าใจว่าตัวเองเป็น แต่ตัวเองไม่ได้เป็น อันนั้นเป็นความหลง นี่ถ้าหลงก็ไม่ถึงกับปรับเต็มที่ แต่มันก็เศร้าหมองทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น

ถาม : ๔. เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่สามารถรำลึกถึงจิตตนเองที่เปลี่ยนแปลงหรือยกระดับจากปุถุชนคนธรรมดาขึ้นสู่อริยบุคคล แต่ละขั้นตอนว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? มีสภาวะของจิตเปลี่ยนแปลงอย่างใด ระดับหนึ่งสู่อีกระดับหนึ่งเป็นอย่างไร สัญญาความจำเกี่ยวกับอดีตจะสูญไปหรือ?

ตอบ : คำถามนี่มันถาม เห็นไหม ว่าจะเป็นไปได้ไหม? แต่คำตอบบอกว่า “สัญญาความจำเกี่ยวกับอดีตจะดับสูญไปหรือ?” แสดงว่าผู้ถามก็ต้องเข้าใจเขาต้องรู้สิ เขาต้องรู้สิว่าเป็นโสดาบันอย่างไร เป็นสกิทาคามีอย่างไร เป็นอนาคามีอย่างไร

นี่กรณีอย่างนี้ที่ว่าธมฺมสากจฺฉา เวลาพระกรรมฐานกับพระกรรมฐาน พระป่ากับพระป่าเขาคุยกันตรงนี้ไง เป็นโสดาบันอย่างไร เป็นสกิทาคามีอย่างไร เป็นอนาคามีอย่างไร เป็นพระอรหันต์อย่างไร ใครจะบอกว่าเป็นพระอรหันต์ก็ให้เขาเป็นไปเถิด แต่เวลาเขาถามกันเขาจะบอกว่าพิจารณากายอย่างไร คือพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ อย่างไรเป็นโสดาบัน ถ้าเขาตอบตรงนี้ไม่ได้ก็จบแล้ว ถ้าเขาตอบตรงนี้ไม่ได้เขาจะไม่คุยกันต่อ

ไม่คุยกันต่อหมายความว่าผู้ที่รู้เขาจะไม่พูดต่อไปหรอก เพราะว่าระดับหนทางที่เขาจะเข้าเขายังหาหนทางเขาไม่เจอ นี่โสดาบันเขายังทำไม่ถูก เขาจะเป็นสกิทาคามีได้อย่างไร? เขาจะเป็นอนาคามีได้อย่างไร? เขาจะสิ้นกิเลสได้อย่างไร? แต่ถ้าเขาบอกว่าหนทางเขาก็ถูก เขาพิจารณากายของเขาตามความเป็นจริง แล้วเขาปล่อยกายของเขาตามความเป็นจริง เขาสมุจเฉทปหาน สังโยชน์ ๓ ตามความเป็นจริงเขาจะบอกได้ถูกต้อง ถ้าเขาบอกได้ถูกต้อง นี่มันจะต่อเนื่องกันไป

กรณีเช่นนี้กรณีของหลวงตาท่านไปคุยกับหลวงปู่แหวนไง เริ่มต้น นี่เริ่มต้นก็ตรงนี้ไง ถามคำแรกไป ตอบมา ๑๕ นาที นี่ไงเริ่มต้นถูกต้อง ท่านถามซ้ำเข้าไปนะ หลวงปู่แหวนตอบเคลียร์หมดเลย แล้วบอกหลวงตาด้วยให้ค้านมา นี่หลวงตาท่านไม่ค้านเลย ไม่ค้านเพราะอะไร? เพราะนี่ไงของจริงกับของจริงพูดกันทีเดียวมันก็จบ ถ้าคนหนึ่งจริง คนหนึ่งไม่จริงไม่มีวันจบหรอก

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเขาจะไม่รู้เลยหรือ? ไม่รู้เลยหรือ? มันก็จบแล้วแหละ เพราะคนที่ไม่เป็นความจริง คำพูดคำแรก ถ้าเป็นความจำนะ คำพูดครั้งแรกกับคำพูดครั้งที่สองมันไม่เหมือนกัน คำพูดครั้งแรก กับคำพูดครั้งที่ห้า ที่หก หรือที่ร้อยยิ่งไม่เหมือนกันใหญ่เลย เพราะสัญญาไง พอสัญญาเราพูดไปนะมันไปจินตนาการได้ลึกซึ้งกันไปอีก มันก็จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง นี่มันไม่เป็นความจริง

ฉะนั้น กรณีอย่างนี้ย้อนกลับมาที่หลวงตา นี่ไปฟังเทศน์หลวงตาสิ ถ้าพูดถึงหมูสองตัวนะท่านก็จะพูดถึงหมูสองตัวนั้นน่ะ พูดกี่ร้อยครั้ง กี่พันครั้งก็เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าคนพูดความจริง พูดร้อยครั้งมันก็จริงร้อยครั้ง พูดกี่ร้อยครั้งมันก็จริงทุกครั้ง นี่มันมีแค่นั้นแหละ แต่ถ้ามันไม่จริงนะมันถึงว่าสัญญาความจริงมันดับไปเชียวหรือ? เพราะมันไม่จริงอยู่แล้วคำพูดมันถึงได้คลาดเคลื่อน มันถึงไม่เป็นความจริงไง

ฉะนั้น ถ้ามันเป็นความจริงนะเขาต้องรู้ของเขา ชัดเจนมาก คำว่าชัดเจนมากนะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเวลากิเลสขาด สมุจเฉทปหานดั่งแขนขาด เราตัดแขนขาด เราจะรู้ไหมว่าแขนเราขาดไหม? เป็นโสดาบันตัดแขนไปข้างหนึ่ง เป็นสกิทาคามีตัดไปอีกข้างหนึ่ง เป็นอนาคามีมันทำลายร่างกายหมดเลย ร่างกายนี้หมดเลย เป็นพระอรหันต์ทำลายจิตหมดเลย ทำลายภวาสวะ ทำลายหมดเลย ทำลายทุกอย่างหมดเลย นี่แล้วมันจะไปรู้ได้ไหม?

ถ้าบอกหนึ่งไม่รู้เปล่านะ ต่อไปถ้ายังขี่หลังเสืออยู่มันจะไปเอาวิทยานิพนธ์ของครูบาอาจารย์มาอ้างอิง อย่างนี้ไปเอาวิทยานิพนธ์ของคนอื่น ของครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริงมาอ้างอิง พออ้างอิงมันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว มันยิ่งไม่เหมือนเข้าไปใหญ่ นี่พูดถึงถ้าผู้ที่บรรลุธรรม แล้วไม่รู้ว่าตัวเองบรรลุธรรมเป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ ไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้เลย

ถาม : ข้อ ๕. โอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะสามารถบรรลุธรรมจากขั้นต้นถึงขั้นสุดท้าย ระยะสั้นห่างกัน ๓ เดือนตั้งแต่เข้าพรรษา จนถึงเป็นพระอรหันต์ได้ไหมภายในเวลา ๓ เดือน

ตอบ : ขิปปาภิญญามันได้ สิ่งนี้ทำได้นะ สิ่งที่ขิปปาภิญญานั่งทีเดียวสิ้นกิเลสเลย เขาเรียกว่านั่งอาสนะเดียวถึงสิ้นกิเลสได้ มี อย่างพาหิยะที่ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าทีเดียวก็จบ อย่างนั้นของเขา เขาสร้างบุญของเขามา แล้วเขาไม่มีอะไรสงสัยในใจของเขาเลย แต่ถ้าเวลาก้าวเดินไป เวลาก้าวเดิน ไนยสัตว์มันมีความติดข้อง คือมีความสงสัย คือมันไม่ทะลุ มันไม่ผ่านเขาเรียกติด ภาวนาติด เห็นไหม อย่างเช่นหลวงปู่คำดีท่านรู้นะว่าท่านติด ท่านถึงอธิษฐานเลย จุดธูปเทียนกลางเลยบอกว่าขอให้ท่านมหา คือให้หลวงตาไปแก้ให้หน่อย

นี่รู้ว่าติดไง รู้ว่าติดแล้วไปไม่ได้ แต่ถ้าบางคนไม่รู้ว่าติด ไม่รู้นะคิดว่าตรงนั้นเป็นนิพพาน ไม่รู้ว่าติด นี่ติดอย่างนี้มันติดอยู่นาน ดูสิหลวงตาท่านบอกท่านติดสมาธิ ๕ ปี ๕ ปี นั่นน่ะท่านติดขั้นที่สอง ๕ ปี แล้วองค์อื่นก็ติดตรงนั้น ติดไปหมดเลย ติดเพราะอะไร? ติดเพราะว่ามันละเอียดลึกซึ้งจนกว่าเราไม่สามารถรู้ได้ว่ามันติด คิดว่าตรงนี้เป็นนิพพาน คิดว่ามันสิ้นแล้ว มันว่างหมด มันปล่อยหมด แต่ว่างยังมีส่วนเหลือ คำว่าส่วนเหลือมันบังไว้ อย่างนี้มันจะติด แต่ถ้าเป็นขิปปาภิญญาที่ว่า ๓ เดือน แค่วันเดียวยังไปได้เลยถ้าเป็นความจริงนะ แต่ถ้าไม่เป็นความจริงไม่ได้หรอก ไม่ได้

ถ้าเป็นความจริง แม้แต่วันเดียวเขาก็อธิบายมรรค ๔ ผล ๔ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืนเดียว แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้วางอริยสัจไว้เอง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นี่อริยสัจใครเป็นคนวางไว้ ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ใครเป็นคนวางไว้ ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนวางไว้ วางไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม ของมันมีอยู่แล้ว แต่คนที่จะเข้าไปรู้มันไม่มี แต่วิธีการที่เข้าไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางวิธีการนี้ไว้ แล้ววิธีการของใครๆ มันก็อยู่ที่ความสามารถของบุคคลคนนั้น ถ้าบุคคลคนนั้นมีความสามารถได้จริงมันก็ได้จริง ถ้าไม่ได้จริงมันก็ไม่ได้ ไม่ได้หรอก

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าจะบรรลุธรรมใน ๓ เดือน ถ้าใครทำได้ก็สาธุเป็นวาสนาของเขา คำว่าได้หรือไม่ได้มันอยู่ที่วาสนาของคน ถ้าวาสนาของเขาได้ก็คือเขาได้ ถ้าวาสนาของเขาไม่ได้ก็คือไม่ได้ เราไม่มีสิทธิไปห้ามใครได้หรือใครไม่ได้ แต่มันจริงหรือไม่จริงต่างหากล่ะ เราไม่สามารถไปบอกว่าคนนี้บรรลุธรรมไม่ได้นะภายใน ๓ เดือน คนนั้นบรรลุได้นะ ใครชี้ได้? ไม่มีหรอก มีแต่อำนาจวาสนาของเขา บุญกุศลของเขา ความดีของเขาต่างหากมันทำให้ทำได้ กับความที่เขาไม่ได้สร้างมาจริงเขาก็ทำไม่ได้ มันเป็นวาสนาของคน มันเป็นอำนาจของคน ไม่มีใครชี้บอกได้หรือไม่ได้หรอก กรรมของเขา ความดี ความชั่วของเขา จะเป็นคนบอกเองว่าได้หรือไม่ได้

ถาม : ข้อ ๖. นักปฏิบัติธรรมท่านนี้เล่าสภาวธรรมที่หลุดพ้นว่า หลังจากที่เดินจงกรมเสร็จแล้ว กลางดึกคืนหนึ่งกำลังล้มตัวลงนอน ขาชี้ขึ้น (เหมือนพระอานนท์กับแม่ชีแก้ว) เกิดสภาวะกายระเบิด ละเอียด

ตอบ : กายระเบิด นี่สิ่งนี้เวลาพูดนี่นะ ถ้าไปพูดให้พระปฏิบัติฟัง อย่างนี้นะ คำว่า “กายระเบิด พอระเบิดเสร็จแล้วสติกำลังมันมา ธาตุ ๔ กลับมาดับ แล้วจิตมันใสบริสุทธิ์ขึ้นมา” อย่างนี้พระปฏิบัติไม่เชื่อเลย ถ้าปฏิบัติจริงนะ ถ้าปฏิบัติจริง แล้วปฏิบัติได้ไม่เชื่อแล้ว ถ้าพูดแค่นี้จบแล้ว ถ้ากายระเบิดเลยอย่างนี้ โอ้โฮ แล้วถามอวิชชาด้วยนะ ถามอวิชชาว่านี่คืออะไร? อวิชชาบอกว่านี่คือการแตกดับของธาตุขันธ์

อวิชชาบอกว่าการแตกดับของธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์มีกิเลสไหม? แล้วอวิชชามันบอกว่าการแตกดับของธาตุขันธ์ อวิชชามันก็หัวเราะไง อวิชชาบอกว่าเหมือนกับเราระเบิดภูเขา คนระเบิดภูเขา หินเอาไปขายใช่ไหม? แร่ธาตุเอาไปขาย แล้วใครได้สตางค์ล่ะ? เจ้าของโรงงานได้สตางค์ใช่ไหม? แล้วภูเขาได้สตางค์ไหม? ภูเขามันก็ไปเป็นตึก เป็นถนนหนทางนู่นไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาระเบิดธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์มันมีกิเลสหรือ? กิเลสมันอยู่ที่ไหนล่ะ? กิเลสมันอยู่ที่จิต อ้าว กิเลสมันอยู่ที่อวิชชา ตัวอวิชชาคือตัวกิเลส แล้วไปถามอวิชชา แล้วอวิชชาบอกธาตุขันธ์มันแตก เออ ไปถามอวิชชานะ อวิชชาบอกว่าธาตุขันธ์มันแตกดับ เออ ธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ไม่มีกิเลส ตัวอวิชชาคือตัวกิเลส ไปถามอวิชชาว่านี่คืออะไร? อวิชชาตอบว่านี่คือธาตุขันธ์แตกดับ

โอ้โฮ จะจับโจรนะ บอกไปถามโจรว่าโจรอยู่ไหน? โจรมันก็ชี้เลย อยู่นู่น แล้วก็วิ่งออกมา ไปถามโจร ไปถามคนปล้นไงว่าเอ็งปล้นมาหรือเปล่า? ไม่ได้ปล้น ไอ้คนปล้นมันเดินอยู่นู่น วิ่งออกมาจับคนบริสุทธิ์นะ วิ่งมาจับที่ธาตุขันธ์ นี่มันเป็นไปได้ไหมล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้เลย

ถาม : ถามอวิชชาต่อว่า “อะไรที่รู้”

อวิชชาตอบว่า “ปัญญา”

และมีมารมาร้องไห้ จึงถามมารว่า “ร้องไห้ทำไม”

มารบอกว่า “เสียใจที่ท่านหลุดพ้นไป”

แล้วมารก็หายไป แล้วธาตุขันธ์ก็รวมพึ่บขึ้นมาเป็นตัวตน แล้วเกิดความสว่างจ้าหาอะไรเปรียบไม่ได้ สภาวธรรมนี้คือความหลุดพ้นของจิตใช่หรือไม่คะ

ตอบ : ไอ้นี่มันเรื่องของเขาเนาะ เรื่องของเขาคือว่าสิ่งที่จิตของเขานะถ้าเกิดนิมิต ธรรมเกิดขึ้นมา จินตนาการ จินตมยปัญญาเกิด ผู้ที่ปฏิบัตินะถ้าเขาตั้งใจจริง เขาปฏิบัติจริง เพื่อความเป็นจริงของเขา ถ้าเขาเกิดนี่ครูบาอาจารย์ต้องแก้ เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหน้าเศร้านะ หลวงตาท่านพูดถึงนิพพานหนองเสม็ด ลูกศิษย์ของท่านมาบอกหลวงตาว่าเขาปฏิบัติจนถึงนิพพานแล้ว นิพพานมันอยู่ที่ไหน? นิพพานมันอยู่ที่หนองเสม็ด

หลวงตาท่านรู้ว่าผิด หลวงตาท่านรู้ว่าผิดนะ ท่านว่าแล้วเราจะไปล้มเขาเลย คนปฏิบัติมาเขาพยายามขวนขวายของเขามาแล้ว เขาไม่มีที่พึ่ง เขาไม่มีที่เกาะ ท่านเลยบอกว่า

“เอาอย่างนี้นะให้กำหนดพุทโธต่อไปนะ กำหนดพุทโธชัดๆ ต่อไป”

ทีนี้พอกำหนดพุทโธชัดๆ ต่อไปจิตเขาลง พอจิตเขาลงนะมันไม่ใช่นิพพานหนองเสม็ดแล้ว เพราะนิพพานหนองเสม็ดเวลาจิตเขาเห็นนิมิตไง เห็นว่าเป็นบึง เป็นหนองไปมันเป็นหนองเสม็ด เขาก็ อู๋ย เวิ้งว้างไปหมดเลย เขาว่าของเขาเป็นนิพพาน แล้วเวลาหลวงตาไป

“หลวงตาๆ หนูรู้แล้วแหละ นิพพานหนูเข้าใจแล้วแหละ”

“นิพพานอยู่ที่ไหน?”

“นิพพานอยู่ที่หนองเสม็ด”

ท่านเลยบอกว่า “อย่างนี้ให้กำหนดต่อไปนะ ทำอย่างนี้ต่อไปนะ”

แล้วพอครั้งต่อไปหลวงตาท่านก็ไปเยี่ยมคนนี้อีก เขาก็มากราบหลวงตานะ

“หลวงตาๆ หนูกราบนะ นิพพานหนองเสม็ดของหนูไม่ใช่หรอก นิพพานหนองเสม็ดของหนูไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ พอหลวงตาบอกหนูก็ทำต่อไปนะ โอ้โฮ มันละเอียดเข้าไป มันลึกซึ้งเข้าไป” เห็นไหม นี่เขามีที่พึ่งต่อเนื่องๆ เข้าไป

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันนั่งกำหนดไป จิตมันสงบไปแล้วคิดว่าตัวเองเป็นธรรม ไปถามอวิชชา อวิชชาบอกว่านี่คือการแตกดับของธาตุขันธ์ แล้วถามอวิชชาต่อไป อวิชชาก็ตอบว่าปัญญา และมีมารมาร้องไห้ มันแตกดับเพราะปัญญา ถ้ามันแตกดับเพราะปัญญา เพราะถามอวิชชา อวิชชามันบอกว่าปัญญา มันก็เป็นปัญญาของอวิชชาไง มันก็เป็นปัญญาของมาร แล้วมารมาร้องไห้ มารมาร้องไห้มารก็หลอก มารก็หลอกว่าร้องไห้ มารมันหลุดพ้นมาจากเราแล้ว มันก็ชะล่าใจไง มันก็ไม่ต้องปฏิบัติ เดี๋ยวก็เสื่อม เสื่อมหมดแหละ เดี๋ยวมันเสื่อมขึ้นมาแล้ว แล้วจะกลับไปปฏิบัติอย่างไร?

นี่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ คำพูดมันฟ้องตัวมันเองหมดเลย ใครจะไปถามอวิชชา นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ ถ้าจิตสงบเข้าไป ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าถ้าจิตสงบแล้วเห็นนิมิต ถ้าเราไม่รู้สิ่งใดให้ถามจิต ให้ถามจิตว่านั่นคืออะไร? จิตมันตอบออกมาว่าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นคืออะไร ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ ถ้าคนไม่มีวาสนาเขาจะไม่เข้าใจว่าที่เขาเห็นนั่นคืออะไรหรอก นี่ไปเห็นนะ ทุกคนเห็นนิมิตมา จะมาถามว่าหลวงพ่อนี่คืออะไร? หลวงพ่อนี่คืออะไร? เขาเห็นเองเขาต้องมาถามเรานะ เราไม่เห็นกับเขา เราต้องบอกเขานะว่าที่เห็นนั่นคืออะไร

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เห็น ถ้านิมิตเราก็ไม่เข้าใจให้ถามจิตเลยว่าสิ่งนั้นคืออะไร? เพราะถามจิต จิตมันไม่ออกไปรู้ใช่ไหม? จิตมันไม่ออกไปรู้มันก็จบ มันก็รู้ว่าอะไรคืออะไรมันก็ปล่อยไง แต่ถ้าไปรู้ นี่ไปถามอวิชชา เขาให้ถามจิตของตัวเอง เขาไม่ให้ถามอวิชชา นี่ถ้าถามอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ อวิชชาคือพญามาร ไปถามพญามาร แล้วพญามารมันจะบอกไหม? พญามารมันจะบอกว่าตัวมันซ่อนอยู่ไหนไหม? มันก็ชี้ไปข้างนอกทั้งนั้นแหละ มันไม่จริงมาตั้งแต่ต้น

นี้ถ้ามันเป็นนิมิต มันเป็นการปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านรู้ได้ ถ้ามีครูบาอาจารย์ปัญหาอย่างนี้มันควรจะจบในสำนักที่ปฏิบัติ แล้วปัญหาอย่างนี้นักปฏิบัติไม่ต้องมากังวล แล้วรู้หรือไม่รู้มีปัญหากันไปหมดเลย ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมา นี่วิทยานิพนธ์ อย่างนี้มันไม่ใช่วิทยานิพนธ์ นี่มันสตาร์วอร์แล้ว มันเรื่องจินตนาการหมดเลย

ถาม : ข้อ ๗. การที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะรู้ว่าตนบรรลุธรรมหรือไม่ ต้องมีมารหรือเทวดามาบอกให้รู้ หรือว่าเป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องรู้แจ้งด้วยตนเองเจ้าคะ

ตอบ : มันต้องรู้แจ้งด้วยตนเอง อริยสัจไง อริยสัจนี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกที่หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาหลวงตาท่านบอกว่าท่านมีคุณธรรมในหัวใจ นี่พระทั่วไปที่เขาคัดค้าน เขาบอกว่าต้องมีพระพุทธเจ้าพยากรณ์ หลวงตาท่านบอกว่า “อย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางไว้เป็นสันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน มันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านก็ต้องปรินิพพานเหมือนกัน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอายุ ๘๐ ปี ท่านก็ดับขันธ์นิพพานไป แล้วผู้ที่ปฏิบัติธรรมมา ถ้าจะตรัสรู้ธรรม บรรลุธรรมขึ้นมา แล้วอะไรมันจะเป็นการยืนยันในใจของตัวว่าตัวบรรลุธรรมล่ะ? ก็สันทิฏฐิโกไง ความรู้จำเพาะตน ความรู้จริงในใจอันนั้นมันจะเป็นความรู้จริง แล้วพอความรู้จริง เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านบอกเวลาท่านเทศนาว่าการ

“แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้า สาธุ จะไม่ถามท่านเลย สาธุ”

เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นความจริงในหัวใจของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านรู้จริงของท่าน ทำไมต้องให้เทวดามาบอก? ทำไมต้องให้มารมาร้องไห้เสียใจว่าหลุดพ้นจากมือมันไป มันชัดเจนอยู่แล้ว

คำว่ามารร้องไห้ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะศาสนายังไม่มี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมขึ้นมา เห็นไหม นี่บุคลาธิษฐาน มารเสียใจร้องไห้ พอมารเสียใจร้องไห้ นี่ลูกสาวพญามาร นางตัณหา นางอรดีมาหาพ่อ ถามว่า

“พ่อร้องไห้ทำไม? ร้องไห้ทำไม?”

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลุดจากมือเราไป”

“พ่อไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวจะไปล่อลวงเอง” นางตัณหา นางอรดีก็ไปล่อลวง

นี้มันอยู่ในธรรมบท มันอยู่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แล้วเวลาคนรู้ คนเห็นจริงมันจะเป็นอย่างนั้นไหม? ถ้าเวลาคนรู้จริงมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งไง

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าถ้าบรรลุธรรมขึ้นมาต้องให้มารมาบอก ให้เทวดามาบอก อื้อฮือ เราพูดเป็นสองภาคนะ ภาคหนึ่งเห็นใจคนปฏิบัติ เห็นใจมากนักปฏิบัติ เพราะใครหาครู หาอาจารย์นี่หาแสนยาก หลวงตาท่านจะออกหาครู หาอาจารย์ของท่าน ท่านเรียนจบมหามา ท่านพยายามจะหาคนชี้นำของท่านนะ นี่เวลาคนที่ปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ ผู้นำที่จริงที่ชี้นี่สำคัญมากเลย ภาคหนึ่งคือเห็นใจคนปฏิบัติ อีกภาคหนึ่งสิ่งที่เป็นกันมาอย่างนี้ทำไมสำนัก ทำไมผู้ที่เป็นผู้นำ ทำไมไม่จัดการ ทำไมไม่เคลียร์ปัญหาให้จบ แล้วก็มาละล้าละลังกันอยู่อย่างนั้นน่ะ

ทำไมต้องให้มารมาบอก ทำไมต้องให้เทวดามาบอก? ทำไมเทวดา พรหมต้องมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าล่ะ? ทำไมเทวดา พรหมต้องมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นล่ะ? กลางคืนหลวงปู่มั่นไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนเลย เทวดามาฟังธรรมหมดเลย ทำไมต้องให้เทวดามาบอกว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์หรือ? ทำไมเขามาฟังธรรม? คือเขาไม่รู้ เทวดาเขาก็ไม่รู้หรอกโสดาบันเป็นอย่างไร สกิทาคามี อนาคามีเป็นอย่างไร เทวดาไม่รู้ ถ้าเทวดารู้เทวดาไม่มาฟังเทศน์

เทวดาเขารู้เรื่องทิพย์ เรื่องฤทธิ์ เรื่องเดชของเขา เรื่องกำลังของเขา แต่เทวดาไม่รู้จักโสดาบัน ที่เทวดามาฟังเทศน์ก็ฟังเทศน์ตรงนี้ไง ละกายอย่างไร กายที่เป็นทิพย์ๆ ละกายที่มันมีความสุขนี่ละกายอย่างไร? เทวดามาฟังธรรม เวลาเขาเทศน์เทวดาเขาเทศน์เรื่องอะไรกัน? เขาให้เทวดาทำบุญหรือ? เขาให้เทวดาใช้ปัญญาทั้งนั้นแหละ นี่พูดถึงเทวดายังต้องมาฟังธรรม แล้วทำไมต้องให้เทวดามาบอก นี่พูดถึงข้อ ๗. นะ มันยาว

ถาม : ข้อ ๘. ขอท่านอาจารย์โปรดกรุณาอธิบายลักษณะของเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติว่ามีความแตกต่างกันอย่างใด?

ตอบ : ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ถ้าปัญญาวิมุตติใช่ไหม ถ้าเป็นเจโตวิมุตติ การพิจารณากายเป็นเจโตวิมุตติ

ฉะนั้น เวลาเจโตวิมุตติขึ้นไปแล้ว เวลาหลวงตาท่านบอกปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นปัญญาวิมุตติ ถ้าปัญญาวิมุตติมันเป็นการบรรลุธรรมของพระสารีบุตร เพราะพระสารีบุตรมีปัญญามาก ปัญญาวิมุตติคือปัญญานำ เจโตวิมุตติเป็นแบบพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะ ๗ วันเป็นพระอรหันต์ เพราะพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์ มีเดชมาก มีฤทธิ์ มีเดชเพราะจิตมีกำลังมาก จิตมีกำลังมากใช้ปัญญากำลังของจิต มันเป็นพวกฤทธิ์ พวกเดช นี่มันจะมีกำลังที่ลงลึก แต่เวลาแสดงธรรมให้มันแตกฉานมันไม่เหมือนใช้ปัญญา

เวลาใช้ปัญญาคือพระสารีบุตร เห็นไหม นี่ปัญญาวิมุตติ ๑๔ วัน เพราะปัญญามาก นี่ปัญญามาก สอนพระโมคคัลลานะจนเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว พระสารีบุตรยังไม่ได้ พระสารีบุตรยังไม่เป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการถึงหลานพระสารีบุตร นี่หลานพระสารีบุตรจะมาต่อว่าพระพุทธเจ้า เรื่องเอาพระสารีบุตร เอาตระกูลของพระสารีบุตรหมดเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกหลานของพระสารีบุตร เห็นไหม

“ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งใด เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย”

พระสารีบุตรฟังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสนทนากับหลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย นี่ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติมันมีที่ว่าเจโตคือสมาธินำ ปัญญาคือปัญญานำ ฉะนั้น มันเป็นความชำนาญของจิต เป็นพันธุกรรมของจิตที่มีความชำนาญ

ฉะนั้น ให้อธิบาย อธิบายแล้ว ยิ่งอธิบายไปมันก็ยิ่งเป็นการถกเถียงกันไปใหญ่ เพราะว่าสีซอให้ควาย ควายมันฟังไม่เป็นหรอก ถ้าสีซอไปเดี๋ยวควายมันจะขวิดกันไง ก็เลยไม่ต้องสีซอ เอาหญ้าให้มันกิน จบ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ถ้าสีซอไป เอาหญ้าดีกว่า เอาหญ้ากำหนึ่ง สีซอเขาเอาไว้สีให้ปัญญาชนฟัง พวกนี้ต้องกินหญ้า เอาหญ้าไปหนึ่งกำ

ถาม : ข้อ ๙. ในความเห็นของพระอาจารย์ เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่กายของคนเราจะระเบิดแตกละเอียด แล้วกลับคืนสู่สภาวะเดิมได้อีก หรือว่านั่นเป็นเพียงนิมิตที่เกิดขึ้นกับจิต จิตหลอกจิต จนจิตหลงคิดว่านั่นเป็นสภาวะที่จิตหลุดพ้น

ตอบ : สิ่งที่กายระเบิดนี่มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ เวลาคนพิจารณาไปกายระเบิดเยอะแยะไป คนพิจารณาไปมันเป็นอย่างนั้นได้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้น กายระเบิดก็คือกายระเบิด นี่เวลาหลวงตาท่านพูดนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วจิตมันรวมลง เห็นไหม จิตมันรวมลง เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านบอก พิจารณากายพอมันปล่อยกายแล้วเหลืออะไร? หลวงปู่เจี๊ยะใส่เราเลยล่ะ อ้าว มันปล่อยแล้วมันมีอะไร? ปล่อยแล้ว หลวงปู่เจี๊ยะชี้หน้าเลยนะ ปล่อยอย่างไร? ปล่อยใครเป็นคนปล่อย? ปล่อยแล้วเหลืออะไร? ที่เหลือมันเป็นแบบใด? หลวงปู่เจี๊ยะท่านชี้เลยๆ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลามันระเบิด พิจารณากายระเบิด ระเบิดแล้วระเบิดอีกนะ แต่ระเบิดมันก็แค่เห็นกาย การเห็นกายมันระเบิด ระเบิดแล้วเป็นอย่างไรต่อ? นี่ระเบิดแล้วเป็นอย่างไรต่อ? ระเบิดแล้วเดี๋ยวมันก็รวมกัน ถ้ามันไม่รวมกัน ระเบิดนะ พิจารณากายจนระเบิดแล้ว แล้วพอไม่ระเบิดเราคาอยู่อย่างนั้นนะ จิตมันก็เริ่มคลายออก พอคลายออกมามันก็เป็นปกติ ไม่ระเบิดออกมามันก็ไม่ตาย เฮ๊อะ มันระเบิดแล้วมันไม่กลับมารวม ออกมามันก็ไม่ตาย เพราะในนิมิตมันก็จบแค่นั้นแหละ แต่ถ้ามันระเบิดแล้ว แล้วเหลืออะไรล่ะ? ระเบิดแล้วมันยังมีขั้นตอนต่อไปอีกนะ ไม่ใช่กายระเบิดแล้วจบนะ

นี่คนเราไปคิดกันเองไงว่าพิจารณากายไปแล้ว พอมันปล่อยกายแล้ว มันระเบิดแล้วก็จบ ระเบิดแล้วก็นี่ไงอย่างที่พูดเมื่อกี้ ถ้าระเบิดคือธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ก็ภูเขา ภูเขามันก็ธาตุ ๔ ธาตุ ๔ ระเบิดไปแล้วมันได้อะไร? เขาเจาะภูเขา อุโมงค์เขาเจาะผ่านภูเขาไปเลย รถไฟวิ่งลอดไปเลย รถไฟวิ่งไปวิ่งมา โอ๋ย คนลอดไปลอดมาเป็นแสน เป็นล้าน แล้วเป็นอะไร? ไม่เห็นเป็นอะไรเลย นี่ไงมันระเบิด นี่ถ้าภาวนาเป็นแล้วมันไม่ตื่นเต้น

เหมือนเศรษฐี เศรษฐีเจอเงินบาท เงินร้อยเขาไม่ตื่นเต้นหรอก เศรษฐีเขามีเงินเป็นพันๆ ล้าน เงิน ๕ บาท ๑๐ บาท เศรษฐีไม่เคยตื่นเต้นกับเงินอย่างนี้นะ เพราะเศรษฐีเขามีเงินเป็นพันๆ ล้าน คนที่บรรลุโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีเขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา เขาไม่ตื่นเต้นกับเรื่องอย่างนี้หรอก แต่ถ้าเป็นคนทุกข์ คนจนนะ ๕ บาท ๑๐ บาทมันก็ซื้ออาหารกินได้นะ ๕ บาท ๑๐ บาท คนเราไม่เคยมี มี ๕ บาท ๑๐ บาท อู้ฮู เงินมันมีค่ามาก เงินมีค่ามาก

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันพิจารณาไปแล้ว พอมันเห็นจิตระเบิด โอ้โฮ มีค่ามาก มีค่ามาก มันมีค่าจริงๆ เงินก็คือเงิน เงินพันล้านกับเงินหนึ่งบาทก็เงินเหมือนกัน มีค่าเท่ากันนั่นแหละ แต่เงินพันล้านนะ เงินที่เขาสะสมมามันมีคุณค่า จิตมันไม่ตื่นเต้น แต่ถ้าเงินหนึ่งบาทมันมีค่ากว่าเงินพันล้าน มันไม่เท่ากัน ถ้าจิตมันระเบิดนะ จิตมันลงสมาธิแล้วมันก็เป็นนิมิตเหมือนกันนั่นแหละ แต่คนภาวนาเป็นเขาจะรู้ว่าจิตระเบิดมันเป็นอย่างใด ต่อไประเบิดแล้วมันมีอะไรเหลือ?

แม่ชีแก้ว ตอนไปหาหลวงตา หลวงตาไล่ออกจากเขา แล้วท่านบอกว่าให้ไปพิจารณา พอจิตท่านนั่งสงบลงไป พอจิตสงบไปเห็นร่างกาย เห็นไหม หลวงตาถือดาบมาฟันร่างกายท่าน สมัยแม่ชีแก้วอยู่กับหลวงปู่มั่น นี่เวลานั่งสมาธิไปมันเริ่มละลายลง มันผุพังไป ร่างกายผุพัง เหลือแต่หัวใจมันเต้นตุบตับๆ แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็เดินมา เอาไม้เท้ามาเขี่ยหัวใจนะ อันนี้ทำลายไม่ได้เดี๋ยวตาย หลวงปู่มั่นท่านเอาไม้เท้ามาเขี่ยหัวใจเลยนะ มันเหลือแต่หัวใจอยู่ นี่มันก็ละลายลงหมด แล้วแม่ชีแก้วได้เป็นอะไรล่ะ? แม่ชีแก้วได้เป็นอะไร? ยังไม่ได้เป็นอะไรเลยนะนั่น

พอหลวงปู่มั่นท่านจะธุดงค์ต่อไป บอกแม่ชีแก้วไว้ “อย่าภาวนานะ เราไม่อยู่อย่าภาวนานะเดี๋ยวไม่มีใครแก้”

นี่ก็ละลายลงหมดเหมือนกัน ร่างกายนี้ผุพังไปหมดเลย หลวงปู่มั่นเอาไม้เท้ามาเขี่ยด้วย แล้วแม่ชีแก้วได้เป็นอะไร ตอนนั้นน่ะ แม่ชีแก้วไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะอะไร? เพราะหลวงปู่มั่นไปแล้วแม่ชีแก้วก็แต่งงาน อ้าว ร่างกายผุพังไปหมดเลย แหลกละเอียดไปหมดเลย แม่ชีแก้วก็แต่งงาน แต่งงานไปแล้วหลวงตาท่านมาแก้ทีหลัง มาแก้ทีหลังก็ให้พิจารณากายเหมือนกัน พอจิตสงบลงแล้วเห็นหลวงตาเอาดาบมาฟันๆ ฟันจนละเอียดไปหมดเลย อู๋ย เห็นแล้วมันซาบซึ้ง ขึ้นไปกราบหลวงตา ก็ยังไม่ได้อะไรน่ะ ยังไม่ได้อะไร

นี่ไงถ้าร่างกายมันระเบิด ระเบิดแล้วเป็นอย่างไรต่อ? แต่พูดถึงนะ ถ้าไม่มีหลัก พอระเบิดแล้ว ไอ้คนฟังว่าระเบิดก็ตกใจนะ โอ้โฮ ระเบิดเดี๋ยวตายนะ โอ้โฮ ใหญ่เลยนะ อ้าว ระเบิดแล้วเหลืออะไร? ใครเป็นคนเห็นระเบิด ระเบิดไปแล้วมันไม่มีร่างกาย แล้วจิตใจมันอยู่ไหน? ถ้าจิตใจมันอยู่ไหนก็รวบรวมให้มันขึ้นมาอีกสิ รวบรวมสิ่งที่ระเบิดเข้ามาก็เป็นร่างกายอีกใช่ไหม? พอร่างกายรวบรวมเข้ามาแล้ว เราพิจารณาให้มันย่อยสลายไปอีกใช่ไหม? พอย่อยสลายไป ถ้าจิตใจมันยังไม่ปล่อยก็รวบรวมเข้ามาใหม่ใช่ไหม? พิจารณาซ้ำ พิจารณาซาก หมั่นคราด หมั่นไถ

หลวงปู่มั่นบอกว่าเราทำนาบนแปลงนาของเรา ทำซ้ำทำซาก ปีนี้ก็ทำนาที่นี่ ปีต่อไปก็ทำนาที่นี่ มันระเบิดไปแล้วใช่ไหม เราก็รวบรวมขึ้นมาให้เป็นร่างกายอย่างเดิม พอร่างกายอย่างเดิม พิจารณาไป ถ้ากำลังพอมันก็ละลายลง มันก็ย่อยสลายลง มันกลับสู่ธรรมชาติของมัน นี่ละลายแล้วมันเหลืออะไร? ถ้าจิตยังไม่รู้ จิตยังไม่รู้ รวบรวมมันกลับมามันก็กลับมาอีก แล้วพิจารณามันก็ไปอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมั่นคราด หมั่นไถ ทำซ้ำทำซากไง ทำซ้ำทำซากตรงไหน? ตรงที่เพราะจิตใจของคนไม่เหมือนกัน วาสนาของคนไม่เหมือนกัน วาสนาของคนที่พิจารณาหนเดียวได้มันก็ได้ไปเลย ถ้าวาสนาของคนที่พิจารณาไปแล้วไม่ได้

นี่ไงที่คนถามมาบ่อยมากเลย หลวงพ่อ ทำแบบที่หลวงพ่อบอกหมดเลย ทำทุกอย่างครบหมดแล้ว ทำไมยังไม่ได้ล่ะ? มันไม่ได้ ก็นี่ไงอำนาจวาสนาของคน นี่เขาบอกว่าทำอาหารต้องสุก อาหารพอมันสุกแล้วจะได้กินใช่ไหม นี่ทำเสร็จแล้วอาหารไม่เคยสุกสักที ต้มผักต้มแล้วต้มอีก แต่ผักมันไม่สุกทำอย่างไรล่ะ? มันไม่สุก มันไม่สุกมันก็ไม่สมุจเฉทปหานไง มันไม่สุกก็มันไม่เสร็จไง อย่างนั้นเราก็ต้องหมั่นทำ หมั่นดูแลไฟ หมั่นต่างๆ ให้มันสุก ให้มันสำเร็จเป็นอาหารจานนั้นมาให้ได้

นี่ก็เหมือนกัน พิจารณาจนถึงที่สุดให้ได้ นี่มันเป็นนิมิตไหม? เป็นนิมิตแน่นอน เป็นนิมิตอยู่แล้ว แต่เป็นนิมิตแล้ว จิตใจวุฒิภาวะมันไม่เข้มแข็ง แล้วไม่มีครูบาอาจารย์คอยบอกไง เป็นนิมิตแล้วก็แล้วกันไป เพราะนิมิตมันเกิดมันก็จบไปแล้ว แล้วต่อไปทำอย่างไรล่ะ? ต่อไปทำอย่างไร? ทีนี้ต่อไป ต่อไปก็มาร้องไห้ไง มาร้องไห้ หลุดจากมือไปแล้วไง กิเลสมันหลอกนะ

ถาม : ข้อ ๑๐. กรณีที่เราไม่แน่ใจว่าเพื่อนนักปฏิบัติธรรมด้วยกันบรรลุธรรมจริงหรือไม่ แต่เนื่องจากต้องอยู่ใกล้ชิดกัน พบเห็นกันทุกวัน ทำกิจร่วมกัน เราควรปฏิบัติกับเขาอย่างใดจึงจะไม่เกิดบาปกับตนเองกรณีที่เขาบรรลุธรรมจริง และหากเขาไม่บรรลุธรรมจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเพียงนิมิตหรือโดนมารหลอก หากเราไปวิพากษ์ วิจารณ์การกระทำของเขาว่าไม่ถูกต้องจะเกิดบาปกรรมหรือไม่คะ?

ตอบ : มันเรื่องของเขา หลวงตาบอกให้ดูใจของตัวเอง นี่กรรมใครสร้างก็เป็นกรรมของเขา เราก็รักษาใจของเรา ถ้าเรารักษาใจของเรา ถ้าเขาปฏิบัติธรรม มันได้ธรรมจริงก็เป็นบุญกุศลของเขา ถ้าเขาไม่ได้จริงมันก็เป็นอุปสรรคของเขา เราดูแลใจของเรา เอากรณีที่เราได้ยิน ได้ฟังมานี้เป็นคติเตือนใจเราว่าเราจะทำอย่างนี้ไหม? ถ้าเราบรรลุธรรมจริงๆ เราจะพูดอย่างนี้ไหม? ถ้าเราไม่บรรลุจริงเราจะเก็บไว้ไหม?

นี่มองอย่างนี้แล้วมาดูใจเรา แล้วเรื่องของเขามันเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราไปพูดก็บอกว่าเราอิจฉาตาร้อน ถ้าเราไม่ฟังเขาก็บอกว่าเขาจะช่วยเหลือเจือจาน เขาจะช่วยเหลือเราเราก็ไม่ฟัง ฟังไว้ เชื่อหรือไม่เชื่อมันอยู่ในใจเรา แล้วเราใช้ชีวิตเราปกตินี่แหละ ถ้าเราไม่ไปดูถูก ดูแคลนไม่มีบาปมีกรรมหรอก ถ้าเรามีสติปัญญานะ แต่ถ้าเราสติปัญญาอ่อน เราไปเชื่อแผนที่ผิด ไปเชื่อการชี้นำผิด ทั้งๆ ที่เราจะได้ธรรมเรากลับไม่ได้ธรรมนะ นี่ให้อยู่เป็นปกติ ให้อยู่เป็นเรื่องปกติของเรา ถ้าเขาเป็นจริงของเขา เขาเป็นประโยชน์ของเขา

แต่สำหรับเรานะไม่จริงหรอก มันไม่จริงอยู่แล้ว ถ้ามันไม่จริงไม่ต้องไปฟังเขาเลย ปล่อยเขาไป ถ้าฟังด้วยมรรยาทก็รับฟังไว้ รับฟังไว้ด้วยมรรยาท แต่เราอยากรู้จริง เราปฏิบัติของเราตามความเป็นจริง ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงขึ้นมานะเราจะกลับไปสอนเขาได้ด้วย เรากลับไปสอนเขา แล้วเรากลับไปเตือนเขา ไปบอกเขา แต่ตอนนี้ไปบอก ไปเตือนไม่ได้หรอก เพราะ เพราะมันไปไกลเกินกว่าจะเตือนแล้ว มันไปไกลมาก แล้วจะไปดึงกลับมา ไปดึงกลับมาไม่ไหวหรอก มันเป็นหน้าที่ของผู้นำ หน้าที่ของครูบาอาจารย์ที่สำนักปฏิบัติ หน้าที่ เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ไม่ใช่หน้าที่ของเราไง

นี่เมื่อก่อนเราปฏิบัติใหม่ๆ นะ เราไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่เราจะฟังผู้นำ ถ้าอยู่กับหลวงตา นี่ทั้งวัดฟังหลวงตาองค์เดียว หลวงตาเป็นผู้ชี้นำ คนอื่นไม่ฟังหรอก เพราะคนอื่นมันก็เหมือนเรานี่แหละ ตาบอดเหมือนกัน ฟังหลวงตาองค์เดียว นี่แล้วถ้าใครจะพูดอย่างไรเรื่องของเขา เราไม่ฟังใครเลย เพราะใหม่ๆ ก็ฟัง พอฟังแล้วโดนหลอกมาประจำเลยไม่ฟัง นี่ไม่ฟังใครเลย ฟังผู้นำเท่านั้นเอง

นี่ก็เหมือนกัน เราฟังผู้นำ ถ้าผู้นำที่ดี แล้วสั่งสอนมาที่ดี เราปฏิบัติของเราที่ดี เรื่องของเขา นี่มันกระทบกระทั่งกันไง เห็นไหม ลิ้นกับฟัน หลวงตาบอกว่าวัดวัดหนึ่ง พระด้วยกันมันก็เหมือนร่างกายร่างกายหนึ่ง อยู่ด้วยกันก็อวัยวะ ๓๒ มันประกอบขึ้นมาเป็นมนุษย์ ประกอบขึ้นมาเป็นคน ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันพิการไป เจ็บไข้ได้ป่วยมันสะเทือนกันไปหมดเลย

นี่ก็เหมือน ถ้าของเขา นี่ตอนนี้เขาเหยียบหนาม เห็นไหม เหยียบหนามไปแล้ว เวลาเดินไปไหนเดินไม่สะดวกเลย นี่บุคคลคนหนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นของเขา แล้วเขาขวางหมู่คณะไปหมดเลย เราเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนี้ เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ เราปฏิบัติของเราไป เห็นไหม ถึงบอกว่าเวลานักปฏิบัติผู้นำสำคัญ แล้วถ้าผู้นำที่ดีนะเหตุการณ์อย่างนี้ไม่เกิดหรอก เพราะผู้นำตัดสินได้หมด เคลียร์ได้หมด แต่ถ้าปล่อยไว้ ปล่อยไว้มันก็กลายเป็นเหยียบหนามแล้วมันจะเน่าเฟะกันไป แล้วมันก็สะเทือนไปหมด กลิ่นมันจะออกของมันไป เราอย่าไปยุ่งอย่างนั้น เรากลับมาดูใจเรานะ

ฉะนั้น คำถามว่า “จิตหลงหรือจิตหลุดพ้น” เราจะบอกว่า “จิตหลง” อวิชชาบอกอย่างนี้ ถามอวิชชา อวิชชาบอก เอวัง