เทศน์เช้า วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราเกิดมาเป็นคนไง คนมีสมอง คนมีความคิด เกิดเป็นคนนะ พอเกิดเป็นคนแล้วพบพุทธศาสนา ศาสนาเป็นที่พึ่งอาศัยนะ โลกมันร้อน เวลาอยู่กับโลก เราเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เป็นอริยทรัพย์ เพราะเกิดเป็นมนุษย์มีโอกาสได้ทำดีและทำชั่ว มีโอกาสทำสิ่งที่เราพอใจทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าพอใจตามกิเลส เห็นไหม นี่ศาสนาเป็นที่พึ่งตรงนี้ เวลาโลกมันร้อนนะเราอยู่กับโลก เกิดมาถ้ามีบุญมีกรรมนะ กรรมดีจะประสบความสำเร็จในชีวิตต่างๆ แต่ขนาดไหนก็แล้วแต่ชีวิตนี้ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะคนเราทำดีทำชั่วมา ไม่มีใครทำดีมาตลอดและทำชั่วมาตลอด
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกบอกไว้นะว่าท่านก็เคยตกนรกก่อนหน้าที่จะเป็นโพธิสัตว์ เห็นไหม โพธิสัตว์ทำคุณงามความดีมาต่อเนื่อง จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วมันกลับไม่ได้ คือทำความดีต่อหน้าไปเรื่อย เวลาไปทำความดี เป็นเตมีย์ใบ้ นี่เขาทดสอบว่าเป็นใบ้จริงหรือเปล่า แม้แต่ตัดหูตัดจมูกท่านก็ทนของท่านเอา นี่ท่านทำคุณงามความดี ท่านปรารถนาไง ขันติบารมี เวลาสร้างบารมี บารมี ๑๐ ทัศ นี่กษัตริย์เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อเขาเอามีดตัดหูเอามีดตัดจมูกเพื่อจะให้เราพูดออกมาให้ได้ว่าเจ็บหรือไม่เจ็บ ท่านไม่พูดเลย เห็นไหม
นี่การสร้างคุณงามความดี แต่โลกเขาจะเชื่อกับเราไหมล่ะ? โลกเขาไม่เชื่อกับเราหรอก ฉะนั้น สิ่งที่โลกเขาไม่เชื่อกับเรา ถ้าเราสร้างคุณงามความดีของเรามา สิ่งนี้เวลาเราเกิดมานี่บุญและกรรม บุญกรรมจะให้ผล บุญกรรมให้ผลนี้ใครเป็นคนบอกล่ะ? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบอกเอง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระในสมัยพุทธกาลหรือผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเกิดวิกฤติขึ้นมาท่านจะถาม แม้แต่นางสามาวดีที่เป็นพระโสดาบันโดนเขาเผาตายเลย พอเผาตายนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า นี่เป็นพระโสดาบัน
เป็นพระโสดาบันทำไมโดนเขาเผาตาย ทำไมมันมีบาปอกุศลขนาดนั้น? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มีอยู่ชาติหนึ่งเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเขาไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ เขามีบริษัท บริวารไปด้วย ทีนี้อาบน้ำเสร็จขึ้นมาแล้วเขาหนาวของเขา เขาก็จุดไฟเพื่อจะผิงเอาความอบอุ่น พอผิงไปแล้ว ที่กองฟางนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งภาวนาอยู่ในนั้น ท่านนั่งเข้าสมาบัติอยู่ในนั้น พอเข้าสมาบัติอยู่ในนั้น พอจุดไฟเผา กรรมอันนี้มันก็สาหัสสากรรจ์อยู่แล้ว
แต่นี้พอจุดไฟเผาไป ต้องการความอบอุ่นไง ไปเจอพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งอยู่ที่นั่น กลัวความผิด กลัวความผิดก็หาฟืนมาเพื่อจะเผาทำลายหลักฐานนั้น ยิ่งเผาๆ มันเผามันก็ไม่ทำลาย มันเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายกรรมอันนั้นมา ตกนรกอเวจีมามหาศาลเลยนะ แล้วเวลาเวียนตายเวียนเกิดมา จนมาเกิดเป็นนางสามาวดี นี่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโสดาบัน
การเป็นพระโสดาบันก็ยังมีเหตุการณ์ในเมืองนั้นจนเขาโดนเผาตายไป ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า ทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมเป็นแบบนั้น เห็นไหม คนเราสร้างคุณงามความดีมา แล้วสร้างบาปมาเหมือนกัน ทีนี้ทุกดวงจิตมันมีมาสภาวะแบบนั้น ฉะนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา โลกเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ โลกนี้มันร้อน ร้อนอย่างไรก็แล้วแต่เราก็ต้องดำรงชีวิตของเราใช่ไหม แต่ถ้าใครมีหลักมีเกณฑ์จะออกประพฤติปฏิบัติ จะหาหลักเกณฑ์ของเราให้ได้
ศาสนาเป็นที่พึ่ง ศาสนานี้เป็นที่หลบภัยนะ เวลาทางโลกเขามาหลบภัยในศาสนา นี่เขาหลบภัยเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเขา แต่ถ้าเรามีจิตมีใจของเรามาประพฤติปฏิบัติ เราก็ต้องอาศัยศาสนา อาศัยศาสนา ศาสนาคืออะไร? ศาสนาคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไปเป็นกันว่าเป็นวัตถุ วิหารต่างๆ นี้เป็นตัวศาสนา วัดเรื่องศาสนา นี่เป็นวัตถุทั้งนั้นแหละ ตัวศาสนาคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง
แล้วสัจจะความจริง เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยมุมมองของเรา ด้วยความเห็นของเรา นี่เป็นโลก เห็นไหม นี่มันยังเป็นโลกมาเรื่อยๆ เป็นโลกเพราะเราเกิดมากับโลก เราเกิดมากับโลก เราเกิดมาจากเวรจากกรรม เกิดมาจากเวรจากกรรม ถ้าเรามีสติปัญญา เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นภพชาติที่ประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่สุดเพราะอะไร เพราะทำดีก็ได้ทำชั่วก็ได้ เพราะทำดีทำชั่วก็ได้เราถึงมาเกิด เราถึงมีทั้งประสบความสำเร็จและมีความทุกข์ความยากในใจของเราไง
เวลาเขาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม สิ่งนั้นเขาเกิดด้วยบุญกุศลของเขา สถานะของเขา เขาก็มีความทุกข์ของเขา เขามีความทุกข์ว่าเขาไม่ได้ดั่งใจเขาเหมือนกัน เวลาเกิดในนรกอเวจี เกิดในสิ่งที่อบายภูมิลงไป นี่เขาเกิดโดยบาปของเขา สิ่งนั้นให้ผลกับเขา ให้ผลกับเขาตลอดไป มันมีความทุกข์เป็นหลัก มีแต่ความเดือดร้อนเป็นที่อยู่อาศัย นี่เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ ดีก็มีชั่วก็มีในภพชาติของเรา ทีนี้เราจะเลือกเฟ้นสิ่งใดล่ะ
ถ้าเรามีความทุกข์ร้อนนักในเรื่องทางโลก เราก็ต้องมีศาสนาเป็นที่หลบภัย แต่ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะพ้นจากทุกข์ให้ได้ จะพ้นจากทุกข์ให้ได้ จะพ้นจากทุกข์ให้ได้ นี่มันมีโอกาส โอกาสเพราะว่ามีศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นเครื่องชี้ดำเนิน นี้เป็นอริยสัจ แล้วเราประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเรามีสติ มันยับยั้งได้มันก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้วล่ะ
เวลามันทุกข์มันยากนะ นี่ความทุกข์ความยากมันเกิดจากอะไรล่ะ? เราแพ้ภัยตัวเราเองไง เราแพ้ความรู้สึกนึกคิดของเรา แล้วความรู้สึกนึกคิดของเรามันเจือไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง มันเอาแต่ใจของมัน มันมีความพอใจของมัน มันทำสิ่งใดมันก็เอาแต่ความพอใจของมัน ความพอใจของมันนะ มันจะดีมันจะชั่วมันไม่เข้าใจของมัน แต่มันคิดว่าดี คิดว่าดี เพราะมันพอใจไง พอทำไปแล้วมันก็เกิดความบาดหมาง เกิดการกระทบกระเทือน เกิดบาปอกุศลมันก็ฝังมาที่ใจทั้งนั้นแหละ นั้นทำตามตัณหาความทะยานอยาก
แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติของเราตามความเป็นจริง ถ้าตัณหาความทะยานอยากคือมันอยากได้ อยากดี อยากเป็น...อยากได้ อยากดี อยากเป็นแล้วมันเป็นจริงไหม ถ้าอยากได้ อยากดี อยากเป็น แล้วมันไม่เป็น ไม่เป็นเราต้องตั้งสติของเรา เห็นไหม ตั้งสติของเรา ให้ความอยากได้ดี อยากดี อยากเป็นให้มันสงบลง พอสงบลง จิตมันก็สงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามานะ ถ้าเกิดมันฝึกหัดใช้ปัญญาเข้ามา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ สอนว่าถ้าจิตมันสงบแล้วมันไม่ใช่เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก มันเกิดจากความเป็นจริง มันเกิดจากข้อเท็จจริง
เวลาพระอาทิตย์ขึ้น เห็นไหม แสงแดดมันส่องไป มันไปทุกหลังคาเรือนนะ มันไม่มีลำเอียงให้บ้านใคร บ้านคนจนไม่ส่งไป จะส่งไปบ้านคนรวย จะส่งไปที่เราพอใจ บ้านไหนเราก็ส่องแสงนั้นมันไม่ไป มันก็ไปทั่ว จิตใจพอมันสงบ มันไม่มีตัณหาความทะยานอยาก มันไม่แบ่งแยก มันไม่ดึงว่าแสงนี้จะไปบ้านใคร ถ้ามันดึงว่าธรรมะเป็นของเรา ธรรมะที่เราจะเข้าใจได้มันจะคิดไปตามประสามัน
พอจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา แสงแดดเวลามันส่องไป ทุกบ้านเรือนมันส่องไปเสมอภาคกันหมดเลย ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้ว ตัณหาความทะยานอยากมันไม่เข้ามาแบ่งแยกดีหรือชั่ว ไม่เข้ามาจินตนาการตามความพอใจของตัว เห็นไหม มันก็เกิดสมาธิ สมาธิเป็นสัจธรรม เห็นไหม สมาธิเป็นสัจจะ เป็นข้อเท็จจริง เป็นสากล พอสากล ถ้ามันเกิดใช้ปัญญาขึ้นมาล่ะ ถ้าเราเห็นว่าศาสนานี้เป็นที่หลบภัย เป็นที่พึ่ง เป็นที่หลบความเร่าร้อน นั่นก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมจะเกิดขึ้นมากับใจเราเลยล่ะ ใจเราจะเป็นธรรมเลยล่ะ
ถ้าใจเราเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม ใจเราเป็นธรรม ใจเราไม่เป็นโลก ถ้าใจเป็นโลกมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันแบ่งแยกดีและชั่ว มันแบ่งแยกความพอใจของมัน พอเป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรม เป็นสัจธรรม มันไม่มีดีและชั่ว มันเป็นข้อเท็จจริงของมัน แต่พอเวลาเราปฏิบัติไป ใช้ปัญญาของเราไป มันพอใจ เห็นไหม ถ้าจิตมันปล่อยวาง จิตมันสงบก็ว่าอันนี้ดี แต่ถ้าจิตมันไม่ลง ปฏิบัติไปแล้ว จิตมันพิจารณาไปแล้วมันไม่ปล่อยวาง อันนี้ก็เป็นความไม่พอใจ ก็เป็นความชั่วของเราไง มันเป็นความชั่ว เป็นความผิดพลาด เป็นทางลบ มันไม่ดี ถ้าเป็นทางบวก มันดี เห็นไหม
นี่ขณะที่เราปฏิบัติไป เราใช้ปัญญาของเราไป ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ? มันเป็นแบบนี้เพราะจิตมันเสื่อม จิตถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นกลาง มันเป็นสากล แต่เวลาสัมมาสมาธิมันอ่อนลง มันมีตัณหาความทะยานอยากเข้ามา นี่ถ้าตัณหาความทะยานอยาก คือว่าจิตใจของเราเป็นโลกของเรา คือความพอใจของเรามันบวกเข้ามา พอบวกเข้ามา ใช้ปัญญาไปปัญญามันก็บิดเบี้ยว ปัญญามันก็ไม่เป็นความจริง
ฉะนั้น พอไม่เป็นความจริงเราก็ไปให้ค่ามันเอง เราไปให้ค่ามันเอง เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมด้วยความคาดหมาย ด้วยความด้นเดา ด้วยความพอใจของเรา มันก็ไม่เป็นความจริงขึ้นมา แต่ถ้าเราทำตามความเป็นจริงขึ้นมา พอมันเป็นอย่างนั้นปั๊บ ถ้าเรามีครูบาอาจารย์คอยบอก สิ่งนั้นเพราะเราบวกสมุทัยของเราเข้าไป เราบวกตัณหาความทะยานอยากของเราเข้าไป เราก็บอกว่ามันไม่จริงๆ เพราะเราปฏิบัติมันเป็นดีไปหมด ไม่จริงๆ ทั้งนั้นแหละ...เพราะอะไร เพราะกิเลสมันเข้าข้างตัวมันเอง
นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านก็เคยผ่านอย่างนี้มา ท่านก็ปล่อยวางของท่าน ท่านวางของท่าน แล้วท่านปฏิบัติตามความเป็นจริงของท่าน จนถึงที่สุดจิตมันไม่ตกไปในระหว่างอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ไม่ตกไปซ้ายและขวา มันจะลงท่ามกลางความเป็นจริงของมัน มัชฌิมาปฏิปทา เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางๆ กลางของใครล่ะ? ถ้ากลางของกิเลสมันก็เอาแต่ความพอใจของมัน ถ้ากลางของธรรมล่ะ กลางของธรรม เห็นไหม มันไม่ลำเอียงใครทั้งสิ้น จะมั่งมีศรีสุขทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ถ้าปฏิบัติแล้วมรรคมันเป็นมรรค ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาก็เป็นความจริงขึ้นมาเหมือนกันหมด
ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม มันจะแตกต่างก็มีเฉพาะว่าคนทำบุญมามาก คนทำบุญมาน้อย ถ้าคนทำบุญมามาก เขาทำของเขามา เขาเสียสละของเขามา นี่ที่ว่าขิปปาภิญญาๆ ดูสิพาหิยะที่ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ไปเลย เขาปฏิบัติมา ชาติก่อนที่เกิดมาเป็นพาหิยะเขาสละตายบนภูเขาตัดนั่นน่ะ
เขาภาวนาตายมาหลายชาติแล้ว เขาตายโดยที่เขาไม่ได้คุณธรรมของเขามา แต่อันนั้นมันเป็นการสร้างสมบุญญาธิการของเขามา พอมาเกิดเป็นพาหิยะขึ้นมา ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเขาตรัสรู้ไปเลย นั่นเพราะเขาสร้างของเขามา เขาสร้างของเขามา แล้วจิตใจเราสร้างมาจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าจิตใจเราสร้างมาจริงนะ เราจะเข้มแข็ง จิตใจเราจะไม่วอกแวกวอแว จิตใจของเราจะมีหลักมีเกณฑ์ มันจะมีสิ่งใดขึ้นมาเราจะวินิจฉัยได้
สิ่งใดที่เราเห็นว่ามันผิดพลาด มันไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องที่ไหน? ไม่ถูกต้องเพราะจิตใจมันสงสัย ไม่ถูกต้องเพราะปฏิบัติไปนี่มันสงสัย มันไม่สมุจเฉท มันไม่สรุป ถ้ามันสงสัย ถ้าสงสัยไม่เอา สงสัยเป็นสมุทัยแน่นอน สงสัยเป็นตัณหาความทะยานอยากแน่นอน แต่ถ้ามันเป็นความจริงของมัน เวลามันสมุจเฉทปหานของมัน มันเป็นความจริงของมัน ไม่ต้องมีใครบอกหรอก มันรู้ของมันตามความเป็นจริง นี่ทางสายกลางๆ ทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่เราปฏิบัติกันมันเป็นทางสายกลางของกิเลส ทางสายกลางของความพอใจของตัว ทางสายกลางด้วยความให้คะแนนถูกคะแนนผิดจากจิตของเรา ฉะนั้น เราจะเชื่อตัวเราไม่ได้ไง เราปฏิบัติต้องตามความเป็นจริงไง
ถ้าตามความเป็นจริงอย่างนั้น เห็นไหม นี่เขาหลบภัยมาพักร้อนในศาสนา ในที่พึ่งอาศัยในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราหลบภัยแล้วเราจะฟื้นฟูใจของเรา เราจะมีสติปัญญาของเรา เราจะพัฒนาใจของเราให้เป็นธรรมขึ้นมา
ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ถ้าเขาปฏิบัติด้วยการคาดการหมาย ด้วยการจินตนาการ ด้วยการเข้าข้างตัวเอง เขาก็ต้องลุ่มๆ ดอนๆ ไปอย่างนั้น เพราะมันเป็นอนิจจัง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา...สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา นี่มันเป็นอนัตตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นอนัตตาหมดแหละ แม้แต่ปัญญาๆ ก็เป็นอนัตตา เป็นอนัตตาก็คือมันแปรปรวนไง แต่ถึงที่สุดแล้วถ้ามันสมุจเฉทปหาน มันจะรู้เลยว่าอกุปปธรรมที่เหนืออนัตตามันเป็นแบบใด ที่มันพ้นจากอนัตตาไป พ้นจากสภาวะที่มันหมุนเวียนทั้งหมดมันเป็นอย่างใด ถ้าเป็นอย่างใด นั่นล่ะเป็นธรรมจริงๆ เห็นไหม
เราหลบร้อนมาในศาสนา ถ้าเราทำความเป็นจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมา แล้วจะเป็นอนัตตาไม่เป็นอนัตตาเราจะรู้ของเราตามความเป็นจริง มันจะเป็นอนัตตาระหว่างที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติ มันเป็นอนัตตาระหว่างที่เรากำลังพิจารณาของเรา นี่กระบวนการพัฒนาการของมันมันเป็นอนัตตา ถึงที่สุดแล้ว สรุปแล้วมันจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร มันคงที่ของมันอยู่อย่างนั้น นั่นผลอันนั้นที่เราจะรู้จะเห็นของเรา เห็นไหม อันนี้จะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
ถ้าเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก สิ่งนี้ที่เราปรารถนากัน ถ้าปรารถนาขึ้นมานี่เป็นสมบัติส่วนตน สมบัติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นทุกข์ๆ ยากๆ แต่ใจดวงนั้นถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ใจดวงนั้นจะเข้าใจใจดวงนั้นเอง ถ้าใจดวงนั้นมันมีที่พึ่งอาศัย เห็นไหม นี่เราหลบภัยเข้ามาในศาสนา เหมือนสัตว์หลบเข้าไปในร่มต้นไม้ เราก็พยายามพักฟื้นตัวเราขึ้นมาจนกว่าเราจะมั่นคงของเรา ถ้าเราทำของเราได้อย่างนั้น เราจะประสบความสำเร็จของเรา
วันนี้วันพระ ถ้าวันพระเราอุปัฏฐากดูแลใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในใจของเรา ดูใจของเราเท่ากับเราดูแลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะมีแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา เอวัง