เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ธ.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระสิ้นปีนะ ปีหน้าก็วันพระอีก ปีหน้าเป็นสมมุติ สิ่งที่ว่าวันพระสิ้นปี แต่วันพระของเรามันไม่มีสิ้นไม่มีสุด เห็นไหม วันโกนวันพระควรให้ทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อความสำนึกเรานะ

เวลาเราไปวัดไปวา นี่ไปวัดไปวาเพื่อวัดใจของเรา ถ้าใจของเรามันขยันหมั่นเพียร มันมีความชื่นบานของมัน ไปไหนจะมีความสดชื่น แต่ถ้าจิตใจของเรานะมันเหงาหงอยเศร้าสร้อย ไปไหนมีแต่ความอืดอาด ความอืดอาดไปวัดใจของเรา ถ้าวัดใจของเราพระของเราจะแช่มชื่นขึ้นมา ถ้าพระของเราพระในตัว ถ้าพระในตัวนะเราจะอุปัฏฐาก

คำว่าอุปัฏฐากพระในตัว เห็นไหม เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเขามีไข้เขาต้องใช้ผ้าเย็นชุบน้ำเย็นเพื่อเช็ดร่างกายให้มันลดไข้ เขารู้จักความลดไข้ของเขา แต่หัวใจของเราเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เวลามันเศร้า มันเหงา มันหงอย นี่เราจะเอาอะไรไปลดไข้ สิ่งที่ลดไข้นะเราไปสนุกเพลิดเพลินทางโลก อันนั้นเป็นของแสลง ทำให้หัวใจนั้นมันเหงาหงอยมากขึ้นไป แต่ถ้าเรามีสติขึ้นมา มีสติ ชีวิตนี้มันคืออะไร? ความเศร้าเหงาหงอยมันมาจากไหน? เวลามันชื่นบานอยู่ เวลามันมีความสุขขึ้นมาทำไมจิตใจของเราชื่นบานนัก เวลามันเศร้าเหงาหงอยมันมาจากไหน? มันมาจากไหน?

ถ้ามีสติขึ้นมา เห็นไหม นี่ความชื่นบานกลับมา เพราะถ้ามีสติขึ้นมาทุกอย่างจะดับหมด สิ่งที่มันจะล้นฝั่งมามันจะท่วมท้นในหัวใจเราไม่ได้ ถ้ามันท่วมท้นในหัวใจเราไม่ได้ นี่การเตือนสติ การเตือนสติ เราไปวัดไปวาก็ไปเพราะเหตุนี้ไง เราไปทำบุญกุศลก็ให้มีสำนึกว่าเราเป็นชาวพุทธไง ถ้าคนมีความสำนึก คนมีสติปัญญาขึ้นมามันจะไม่ทำความผิดพลาดสิ่งใด คนที่เผอเรอ คนที่นอนใจ ทำสิ่งใดมีแต่ความผิดพลาด ความผิดพลาดเพราะอะไร? เพราะมันขาดสติในตัวมันเองไง

แต่บอกว่าเป็นชาวพุทธนะ เห็นคนไปวัดไปวาขึ้นมา เขาไปทำไมกัน? เขาไปทำไมกัน? เขาไปเพื่อรักษาใจของเขาไง เขาไปเพื่อรดน้ำพรวนดินให้จิตใจของเขา ให้หน่อแห่งพุทธะของเขามันได้มีความเจริญงอกงามขึ้นมาไง ถ้ามันมีความเจริญงอกงามขึ้นมา นี่สิ่งที่ดำรงชีวิตนี้ สิ่งที่เป็นหน้าที่การงาน สิ่งในชีวิตที่มันเศร้าสร้อยเหงาหงอยนี้มันเป็นสิ่งที่จรมา สิ่งที่จรมานะ ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมาชีวิตเราจะชื่นบานตลอดไป

ถ้าชีวิตเราชื่นบานตลอดไป นี่การฟังธรรมเพราะเตือนสตินี้ การฟังธรรมนะ ถึงที่สุดแล้วจิตใจผ่องแผ้ว จิตใจนี่เห็นไหม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำๆ ได้ยินได้ฟังทุกวัน แต่มันไม่เกิดขึ้นมาจากภายใน ไม่เกิดขึ้นมาจากภายในคือมันไม่ใช่เงินในบัญชีของเราไง เงินในบัญชีของโลก นี่เงินล้นโลก ตอนนี้เงินล้นโลกทุกคนก็ปั๊มเงินออกมา ปั๊มเงินออกมาเพราะมันมีเครดิต มีความเชื่อถือ ทุกคนก็ปั๊มเงินออกมาๆ ปั๊มออกมาแล้วมันไปใช้จ่ายสิ่งใดล่ะ? มันล้นโลกไป เห็นไหม แต่มันไม่มีการผลิต

เราจะผลิตหน่อพุทธะของเราขึ้นมานะ คนเรามีไร่มีสวนนะ เขาจะดูแลไร่สวนของเขา ไร่นาของเขาเพื่อความเจริญงอกงาม ผลผลิตของเขา เรามีหัวใจของเรา เรามีความรู้สึกนึกคิดของเรา เราปล่อยให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกลบเกลื่อนไปหมด มันมาทำความรกชัฏเข้ามาในใจของเรา เขามีไร่มีสวนของเขา เขายังรู้จักรักษาของเขา เรามีใจของเราเราไม่รักษาของเรา นี่โลก ถ้าเราไปอยู่กับโลก เรื่องสิ่งนั้นเขาว่ามีความสุขมีความสบาย วิทยาศาสตร์ เห็นไหม นี่โลกเจริญๆ โลกเจริญอำนวยความสะดวก นี่คุณภาพชีวิตๆ แต่คุณภาพหัวใจของเรา คุณภาพชีวิตหามา เห็นไหม เป็นภาระรุงรังไปหมดเลย เพราะมันเกินความจำเป็น

ถ้ามันเกินความจำเป็น เห็นไหม นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฉันมื้อเดียว ให้ถือธุดงควัตร คำว่าฉันมื้อเดียว คนกินอาหารวันละหนเดียวมันพอแล้วแหละ แต่โลกเขาอยู่กันไม่ได้ ถ้าโลกอยู่ไม่ได้เพราะอะไร? เพราะจิตใจอ่อนแอ พอจิตใจอ่อนแอเขาต้องกิน ๓ มื้อ ๔ มื้อของเขา นั่นเป็นเรื่องของโลกเขา แต่เวลาพระเรานี่ฉันข้าวมื้อเดียวนะ เวลาทำงานด้วยกันสู้พระไม่ได้ หัวใจของพระมันชื่นบานกว่าไง

นี่มันมาจากหัวใจ ถ้ามาจากหัวใจ หัวใจดี แต่โลกเขาทำไปไม่ได้ เวลาเทวทัตไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้รับกิจนิมนต์ ให้อยู่ป่าอยู่เขาต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาต เพราะการอนุญาตนั้นมันเถรตรง คำว่าเถรตรงบังคับให้ทำมันทำกันไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าใครพอใจทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาต แต่ถ้าใครไม่พอใจทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บัญญัติศีล ๒๒๗ ให้ในเพลๆ ให้อยู่ในเวลา เราบริหารจัดการกันเอาเอง

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้เพื่อสัตว์โลกไง จิตใจของโลกมันแตกต่างหลากหลายกัน จิตใจของโลกถึงไม่บังคับ ไม่เถรตรงไง แต่ถึงเวลาที่สุดแล้วถ้าใครเห็นคุณงามความดี เห็นไหม เวลาพระเราทำไมพอใจทำล่ะ? นี่พอใจทำเสร็จแล้ว ฉันมื้อเดียวแล้วทำไมต้องอดนอนผ่อนอาหารอีกล่ะ? เวลาฉันมื้อเดียวยังผ่อนลงมานะ ผ่อนลงมาครึ่งอิ่ม ครึ่งหนึ่งของความอิ่ม หนึ่งในสี่ของความอิ่ม กินข้าวคำสองคำเพื่อดำรงชีวิต

ดำรงชีวิตไว้ทำไม? ดำรงชีวิตไว้ให้จิตใจมันชื่นบาน ถ้าจิตใจมันชื่นบาน เห็นไหม จิตใจมันชื่นบาน ทำสิ่งใดมันก็ชื่นบาน แล้วเวลาจิตใจคนชื่นบาน เวลาคนพุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิแล้วจิตมันสงบได้ พอจิตสงบได้ เวลาจะออกมาฉันข้าวนะ เพราะอะไร? เพราะได้ฉันข้าว เราฉันของเราด้วยความอิ่มหนำสำราญของเรา เราฉันด้วยสิทธิเสรีภาพของเรา ไม่ผิดศีลผิดธรรมของเรา เพราะเราได้บิณฑบาตมาด้วยปลีแข้งของเรา สิทธิเสรีภาพถูกต้องชอบธรรมหมดเลย แล้วเราผ่อนทำไม?

เวลาฉันโดยสิทธิเสรีภาพแล้ว ฉันแล้วภาวนาไปมันอืดอาด มันไม่ได้ผล แล้วเวลาทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ของโลก กับอริยทรัพย์ทรัพย์จากภายใน ทรัพย์จากภายใน เวลาจิตมันฟุ้งซ่าน จิตมันเศร้า มันเหงา มันหงอย ทุกข์ยากไปหมดเลย เวลาเรากำหนดพุทโธ พุทโธ มันไม่ลง เราผ่อนอาหารขึ้นมาเราพุทโธได้ชัดเจนขึ้น เวลาเราอดนอนผ่อนอาหารแล้วมันไม่ง่วงเหงาหาวนอน เห็นไหม มันมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะขึ้นมา พอจิตมันสงบเข้ามามันเห็นคุณค่าของจิตที่สงบนี้ มันมีความสุขอย่างนี้ มันมหัศจรรย์อย่างนี้

นี่สิ่งที่โลกเขาเศร้า เขาเหงา เขาหงอยของเขา จิตใจเราสัมมาสมาธิ เห็นไหม นี่ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเบิกบานในหัวใจของเรา แม้แต่สัมมาสมาธิมันก็มีความสุขความสงบอย่างนี้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี โลกเขาแสวงหาความสุขกัน เขาแสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต เพื่อความสุขสบายของเขา สิ่งนั้นหามาก็เป็นภาระรุงรังของเราไปหมดเลย

เราเสียสละแม้แต่การอยู่การกินของเรา เห็นไหม นี่เวลาธาตุขันธ์มันทับจิตขึ้นมา มันสงบระงับขึ้นมามันมีความสุขมาก ความสุขอันนี้มันเป็นเป้าหมายให้เราอยากประพฤติอยากปฏิบัติ พอมีเป้าหมายของเราการอดนอนผ่อนอาหารมันก็เต็มใจ มันเต็มใจทำ พระที่เขาอดนอนผ่อนอาหารมันเต็มใจทำ พอเต็มใจทำขึ้นมามันหิวไหม? หิว มันง่วงนอนไหม? ง่วง ง่วงเพื่อแก้ความง่วงอันนั้นไง เพื่อไปแก้สิ่งที่กิเลสมันพอกหางหมูไว้ไง กิเลสมันไปพอกจิตไว้ไง เราต้องเป็นอย่างนั้น คุณภาพชีวิตเราต้องดีอย่างนี้ เราจะมีความสุขดีอย่างนั้น

นี่มันเป็นสิ่งที่กิเลสมันขีดเป้าหมายมันขีดเส้นทางให้จิตนั้นเดิน แต่เวลาเราฝืนมันๆ พอเราฝืนมันๆ ถึงที่สุดนะ พอเราพุทโธหรือปัญญาอบรมสมาธิจิตมันสงบเข้ามา นี่เราฝืนมัน ฝืนมันด้วยตบะธรรม พอฝืนมันด้วยตบะธรรม สัจจะความจริงมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ผลงานของเรา สิ่งที่จิตมันได้สัมผัส มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก จิตมันรู้ของมันเอง ถ้าจิตรู้ของมันเองมันมีความพอใจ มันอยากทำ

ถ้าเราบังคับให้ทำ หรือเราทำแล้วยังไม่ได้ผล ไหนว่ามันเป็นความดี ไหนว่าทำแล้วมันจะได้ดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดี ทำไมมันไม่ได้ดีสักที ไม่ได้ดีสักที ไม่ดีเพราะว่ากิเลสมันขีดเส้นทางให้เดินไง ทำความดีแล้วไง ทำดีแล้วดีของใคร? ดีของกิเลสไง ดีเพราะธุรกิจไง ดีเพราะความแลกเปลี่ยนอยากได้ๆ อย่างนั้นไง ดีเพราะต้องการผลประโยชน์ไง แต่ถ้าดีทิ้งเหว ทำดีแล้วจบ ดีก็คือดี ถ้ามันไม่ได้ผล ไม่ได้ผลเพราะจิตใจเราหยาบ จิตใจเรามันวอกแวกวอแว จิตใจเราไม่มีอำนาจวาสนาบารมี เราพยายามทำของเรา

เพราะทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดทำสัมมาสมาธิหนหนึ่ง สัมมาสมาธิถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง มันจะเกิดปัญญาแยกแยะทำให้สำรอกคายกิเลสออกมาจากใจ สิ่งนี้มันมีประโยชน์ขนาดไหน แล้วเรามาทำอยู่นี่ เห็นไหม ว่าเราไม่มีอำนาจวาสนา เราไม่มีบารมี ภาวนาแล้วจิตใจเราไม่ลง ไม่ลงก็ภาวนาอยู่นี่ไง ไม่ลงเราก็ตั้งใจทำของเรานี่ไง

“คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร”

ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เราเห็นทางโลกไหม? เขาร่ำรวย เขามีเงินมีทอง เขาเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากความขยันหมั่นเพียรของเขา เกิดจากเชาวน์ปัญญาของเขา เกิดจากอำนาจวาสนาบารมีของเขา เราอยากได้มรรคได้ผลขึ้นมา เราไม่ทำความเพียร เราไม่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มรรคผลมันมาจากไหนล่ะ? เปิดพระไตรปิฎกมา มรรคผลมันวิ่งใส่หัวใจเราใช่ไหม? เปิดพระไตรปิฎกมามรรคผลวิ่งออกมาจากพระไตรปิฎกเลยเหรอ?

ศึกษามาๆ ศึกษามาก็เป็นแนวทางเท่านั้น ศึกษามา ประพฤติปฏิบัติมา คนจะล่วงพ้นด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ โลกเขาทำงานกันมาเขาทำงานเพื่อเงินทองของเขา เราทำงานของเราเพื่อเสียสละความสุขในใจของเรา เห็นไหม นี่ถ้าเราทำงานของเราเพื่อผลประโยชน์ของเรา ถ้ามันเต็มใจทำ

คนเต็มใจทำนะ นี่คนมีสำนึก แค่คนมีสำนึก มีสำนึกนี่มีสติปัญญา จะทำสิ่งใดมีสติยับยั้งความรู้ผิดรู้ถูกเพราะมันมีความสำนึกในใจ คนมีความสำนึกจะไม่ทำความผิดพลาดเพราะมีสติปัญญา เห็นไหม แล้วถ้าคนทำความสงบของใจเข้ามาจะมีสัมมาสมาธิขึ้นมา มันรู้ของมัน มันเห็นของมัน นี่มันเหมือนกับให้เดินไปตักตวงเอาเงินทองอยู่ที่เป็นส่วนกลาง ใครตักตวงได้มากเท่าไหร่เป็นของคนนั้น เราก็จะไปตักตวง เงินทองขนาดไหนเราก็จะไปตักตวงให้เต็มที่ของเราเลย

นี่ก็เหมือนกัน มรรค ผล นิพพาน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อกาลิโกให้ตักตวงเอาเลย ให้ตักตวงเอาเลย ตักตวงด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้ามันตักตวง ใครตักตวงได้มากเท่าไหร่ก็เป็นผลประโยชน์ของคนนั้นไง ถ้าใครตักตวงน้อยก็ได้ผลน้อยไง

ฉะนั้น เวลาใครเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาถึงเป็นสมบัติของเขา ยิ่งครูบาอาจารย์ของเราเวลาภาวนาขึ้นไป พอปัญญามันหมุน นี่เวลามรรคมันเกิดขึ้นมาอยู่กับใครไม่ได้นะ เขาจะตักตวงผลประโยชน์ของเขาไง เขาจะตักตวงของเขา เขาเข้าป่าเข้าเขาไป เขาอยู่คนเดียวของเขา เขาพยายามตักตวงผลประโยชน์ของเขา ไอ้เราเป็นผู้อุปัฏฐากก็สงสารเนาะ โอ๋ย พระองค์นั้นลำบากเนาะ พระองค์นั้นนะ...เขาไม่ต้องการ เขาไม่ต้องการ เขาจะตักตวงมรรคผลของเขา เขามีผลประโยชน์ของเขาในหัวใจของเขา นี่ใครตักตวงผลประโยชน์จากธรรม นี่สัจธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธกับพระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะตักตวง นี่ได้ธรรม สัจธรรมๆ ว่าธรรมะมีอยู่ดั้งเดิมๆ แต่ใครเข้าไปรู้เข้าไปเห็นไม่ได้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าจะตรัสรู้เองโดยชอบ

แต่สาวก สาวกะ เรามีการคาดมีการหมาย มีการวิจัย มีการต่างๆ เราทำด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ด้วยการที่กิเลสมันขีดเส้นให้เดิน ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาโดยกิเลส มันก็ไปคาดไปหมาย ไปขีดเส้นธรรมให้เป็นความพอใจของตัว เวลาเปิดพระไตรปิฎกขึ้นมา นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้ามาในหัวใจเราเลยหรือ? ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ เราไม่ฝึกหัดของเรา มันจะมีธรรมมาจากไหน? อันนั้นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางธรรมและวินัยนี้ไว้

ธรรมๆๆ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ถ้าเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสงวนลิขสิทธิ์เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นี่อัครสาวกต่างๆ จะรู้ธรรมขึ้นมาได้อย่างใด? ธรรมนี้เป็นธรรมสาธารณะ เป็นสาธารณะประโยชน์ เป็นสาธารณะของโลกนี้ แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง ธรรมของเราๆ จิตใจมันรู้มันเห็น นี่จะเป็นสมาธิ จะเป็นปัญญาขึ้นมา มันเป็นธรรมของเรา

ถ้าธรรมของเราเกิดขึ้นมา นี่ถ้ามันเศร้า มันเหงา มันหงอย เพราะมันไม่มีธรรม ความไม่มีธรรม ทั้งๆ ที่เราทำบุญกุศลกันอยู่นี้ สิ่งที่เราทำขึ้นมาเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมี แต่ถ้ามีธรรมขึ้นมา มีสติ มีสำนึก มีสติ มีสำนึก มีการรู้สึกตัว นี่รู้สึกตัว คนทำดีและคนทำไม่ดี ถ้าทำขึ้นไป นี่สัจธรรม ยิ่งทำผิดพลาดมันก็ออกเป็นมิจฉาไป ถ้าลงสงบก็ตกภวังค์ไป แต่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิล่ะ? เป็นคุณงามความดีของเราขึ้นมา มันสร้างใจของเราขึ้นมา เห็นไหม

นี่กรรมฐาน สมถกรรมฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามีฐานที่ตั้งแห่งการงาน นี่ทำการงานสิ่งใดมันก็เข้าสู่ฐานนั้น เข้าสู่ผลประโยชน์ของใจดวงนั้น ถ้าใครไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการงานทำมาเป็นสาธารณะ เราทำงานนี่สมบัติสาธารณะ ใครมีเชาวน์ปัญญาเราจะหาเงินหาทองจากโลกนี้ แต่มรรคผลมันไม่มี มรรคผลมันจะหาขึ้นมาจากในหัวใจของเรา มรรคผลมันต้องตักตวงขึ้นมาในใจนี้ ถ้าใจนี้ตักตวงขึ้นมาได้มันจะเป็นสมบัติของใจดวงนี้

นี่สิ่งนี้ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องเอาผ้าเช็ดน้ำ เอาผ้าชุบน้ำเช็ดเพื่อลดไข้ จิตใจของเราถ้ามีสติมีปัญญามันจะลดไข้ลดกิเลสลงเรื่อยๆ ถึงที่สุดถ้ามันลงสัมมาสมาธิได้ เพราะกิเลสมันสงบตัวลงมันก็เกิดสัมมาสมาธิ สมถกรรมฐาน แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาจะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานมันจะไปด้วยกันมันถึงจะเป็นมรรค เพราะมรรคเกิดขึ้นมา มรรคเกิดขึ้นมา มรรคสามัคคีชำระล้างกิเลสในหัวใจของเรา มันจะแช่มชื่นเบิกบานในหัวใจ

เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงกับอุทานว่า “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” ในเมื่อมันตักตวงขึ้นมาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลื้มใจมากนะ ปลื้มใจว่ามีผู้รู้ตาม มีผู้ทำได้จริง ไม่ใช่ว่าเปิดพระไตรปิฎกแล้วธรรมะจะวิ่งเข้าหัวใจเรา อันนั้นเป็นสัญญา เราศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง เพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อความเป็นจริงของเรา ถ้าทำความเป็นจริงของเรา นี่มันจะเกิดความจริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมามีพระพุทธกับพระธรรม เวลาพระสงฆ์บรรลุธรรมขึ้นมาถึงจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา แล้วพุทธ ธรรม สงฆ์ พุทธะก็อยู่กลางหัวใจของเรา ถ้าเรารักษาอุปัฏฐากในใจของเรา เราเท่ากับอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง