ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

อานิสงส์ฟังธรรม

๑๓ เม.ย. ๒๕๕๖

 

อานิสงส์ฟังธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๑๒๙๘. ยกเลิก คำถามนี้เขายกเลิกนะ

ถาม : ข้อ ๑๒๙๙. เรื่อง “ขอระงับการตอบปัญหาที่เขียนไป”

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ ขอระงับการตอบปัญหาเจ้าค่ะ ได้คำตอบแล้วเจ้าค่ะ หลวงพ่อเทศน์มาวันนี้ (เขาบอกวันนี้ ๓ เมษายน) ชัดเจนมาก โดนเต็มๆ เลย เป็นจริงอย่างที่หลวงพ่อเทศน์ทุกประการ ทุกกรณี ฟังธรรมหลวงพ่อ วันนี้ใจมันดิ่งลงไปแน่นมากขึ้นมากกว่าเก่า ทั้งร้อน ทั้งหนาว ทั้งน้ำตาร่วง แต่ทุกๆ ครั้งที่ใจมันลงกำลังดื่มด่ำ (นี่เขาว่านะ)

ตอบ : นี่เขาถามปัญหามา แล้วมาฟังเทศน์เมื่อวันที่ ๓ เพราะวันที่ ๓ ที่ผ่านมา แล้วมันชัดเจน มันโดน ก็ยกเลิกคำถามนั้นไป ถ้ายกเลิกคำถามนั้นไป คำถามนั้นยกเลิกไป คำถามนั้นคือการปฏิบัติของเขา แล้วเขาถามปัญหานั้นมา ฉะนั้น เวลาตอบวันที่ ๓ นั้นไปเขาฟังของเขา เขาได้ของเขา ฉะนั้น ถึงบอกว่าอานิสงส์ของการฟังธรรม

ถ้าการฟังธรรมนะ เวลาเราปฏิบัติธรรมขึ้นไป เวลาเราปฏิบัติธรรม ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือสัจจะ ธรรมะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่เวลานิโรธมันเกิดจากอะไร? นิโรธ มรรค เกิดจากมรรค ถ้านิโรธเกิดจากมรรค เวลามรรคเป็นจริง ถ้ามรรคมันสมควร ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะเกิดนิโรธ เกิดความดับทุกข์

ฉะนั้น ถ้าพูดถึงสัจจะมันเป็นความจริงอย่างนั้นอยู่แล้ว นี้เวลาเราปฏิบัติธรรมเราต้องการสัจจะความจริง พอสัจจะความจริง เราปฏิบัติไปแล้วเรามีความลังเลสงสัย นี่ความสงสัย แล้วเราฟังธรรมๆ มันเกิดอานิสงส์ สิ่งที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง ไม่ได้ยินได้ฟังสิ่งนั้น สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ที่ได้ยินได้ฟังอยู่แล้ว นี่ได้ฟังอยู่แล้ว ธรรมะเป็นของเก่าแก่ หลวงตาท่านพูดบ่อย ธรรมะเป็นของเก่าแก่ ของดั้งเดิม ของเก่าแก่มันมีมานาน แต่ แต่คนเราเข้าไปถึงสัจธรรมอันนั้นไม่ได้

ฉะนั้น ถ้าถึงสัจธรรมอันนั้นไม่ได้ ของที่ดั้งเดิม เราได้ยินได้ฟังแต่เรายังไม่เข้าใจ มันได้แก้ไขไง แก้ไขในความเห็นผิดของเรา ถ้าแก้ไขความเห็นของเรา นี่เราฟังแล้วจิตใจมันผ่องแผ้ว จิตใจผ่องแผ้วมันว่างมันปล่อยวางออกไป นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม ถ้าอานิสงส์ของการฟังธรรม ถ้าเราฟัง นี่เขาถามปัญหามาแล้ว แต่ยังไม่ได้ตอบปัญหาเขา แล้วฟังเทศน์วันที่ ๓ ก็เข้าใจแล้ว เข้าใจ นี่เขียนมาอีก เขียนว่าขอยกเลิกคำถามนั้น ยกเลิกคำถามนั้นให้เห็นว่าสิ่งที่มันเป็นกุศล อานิสงส์ของการฟังธรรมมันมีความเข้าใจไง

ทีนี้อานิสงส์ของการฟังธรรมมีความเข้าใจ ถ้าเราฟังธรรมๆ นะ นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติอยู่แล้วนะ ท่านอยู่ในป่าในเขา อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเวลาท่านลงมากรุงเทพฯ พระผู้ใหญ่ถามไง คนที่ไม่เคยปฏิบัตินะ อยู่กับตู้พระไตรปิฎก เพราะว่าทางวิชาการเขาจะศึกษาของเขา เขาจะค้นคว้าของเขา อยู่กับตู้พระไตรปิฎกมันยังเกิดความสงสัย พอเกิดความสงสัย ถามหลวงปู่มั่นเลยว่าท่านอยู่ในป่าในเขา ใครจะเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ไปศึกษากับใคร?

เวลาอยู่กับตำรับตำรา อยู่กับทางวิชาการทั้งหมดมันก็ยังมีความเรรวน ยังมีความสงสัย เอาใจของตัวเองไว้ไม่อยู่ แล้วไปอยู่ในป่า ในเขาอยู่องค์เดียว ไปอยู่อย่างนั้นแล้วใครจะเป็นคนสั่งสอน ใครเป็นคนช่วยเผดียงให้เราได้คิดล่ะ? หลวงปู่มั่นท่านตอบเลยนะ

“เกล้ากระผมฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา เกล้ากระผมฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา”

ถ้าการฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม เวลาธรรมมันเกิดๆ นะ เวลาจิตมันสงบขึ้นมา นั่นล่ะผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต มันรู้มันเห็นในหัวใจ ถ้ามันรู้เห็นในหัวใจมันชัดเจนกว่า อย่างเช่นเรามีความเห็นผิด เราทำสิ่งใดแล้วมีคนตักเตือนเรา เราก็ไม่ค่อยพอใจนะ ทั้งๆ ที่ผิดไม่ค่อยพอใจ แต่ถ้าเราสำนึกเองล่ะ? เราสำนึกเอง เรารู้เห็นเอง สิ่งนี้สำคัญกว่า

นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ เวลาธรรมมันเกิดขึ้นมาในหัวใจมันสำคัญมากนะ สำคัญมากหมายความว่ามันมีความรู้สึก มันมีสติปัญญายับยั้งได้ มันมีความรู้สึกแล้วมันควบคุมตัวเองได้ แต่ขณะที่เราหลงผิดไป คนอื่นเตือนเราแล้วเรายังมีความไม่พอใจเลย มันมีความไม่พอใจ มันแบ่งเรา แบ่งเขาไง แต่ถ้าฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา นี่อานิสงส์ของมัน ถ้าอานิสงส์ของมันนี้คือการฟังธรรมนะ นี้อานิสงส์ของการฟังธรรม แล้วเวลาปฏิบัติธรรมไปแล้วธรรมมันเกิดขึ้นมาล่ะ?

ถ้าธรรมมันเกิดขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เห็นไหม ถ้าเป็นปัจจัตตังมันสำคัญมากกว่านั้นอีก มันเหนี่ยวรั้งเราได้ มันเหนี่ยวรั้งเราได้เหมือนการศึกษาทางภาคปริยัตินี่แหละ เวลาศึกษาทางวิชาการ ถ้าศึกษาทางวิชาการไป ถ้ามีสตินะแบบว่ากิเลสมันไม่รุนแรงเรายังพอเหนี่ยวรั้งได้ แต่ถ้ากิเลสรุนแรงนะ กิเลสมันรุนแรงแล้วมันเป็นเรื่องของกรรมด้วย เรื่องของกรรมนะ ถ้ากรรมมันไม่รุนแรงเกินไปนัก สิ่งใดเราก็ยับยั้งได้ แต่กรรมถ้ามันรุนแรงไปมันช็อกนะ พอมันช็อกมันเสียหายไปเลย มันมีความเสียหายไปอย่างนั้น นี่พูดถึงว่าถ้ากรรมมันรุนแรงด้วย

นี้คนเราเกิดมามันมีทั้งกรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมเก่าคือสิ่งที่เราสร้างมานี่เป็นอดีต สิ่งที่กรรมเก่ามา มันเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นรสนิยม เป็นทัศนคติ เป็นโลกทัศน์ คนเรามันไม่เหมือนกันหรอก อันนี้กรรมเก่า กรรมเก่าคือสิ่งมันฝังใจมา กรรมใหม่ กรรมใหม่ที่เรามาฟื้นฟูกันอยู่นี้ กรรมใหม่ที่เราตั้งใจอยู่นี้ กรรมใหม่ที่เราพยายามจะฝืนทนอยู่นี้ อันนี้กรรมใหม่ ถ้ากรรมใหม่ เห็นไหม นี่เวลามันปฏิบัติไปมันมีอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งคืออดีตชาติ ส่วนใหญ่ก็คือกรรมเก่ามา

กรรมเก่ามาอย่างเช่นพระโมคคัลลานะ เห็นไหม เวลาเป็นพระอรหันต์นะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มีเดชมาก มีฤทธิ์มีเดชมาก แต่เวลาเจ้าลัทธิต่างๆ ที่เขาบอกว่าศาสนาพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมันชัดเจน มันแจ่มแจ้ง มันมีใครๆ นับถือศรัทธากันมาก ลัทธิศาสนาต่างๆ เขาพยายามจะทำลาย แล้วจะทำลายจะทำลายใครก่อนล่ะ? เขาบอกจะทำลายต้องทำลายพระโมคคัลลานะก่อน เพราะพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มีเดชมาก ไปสวรรค์ ไปต่างๆ มาที่นครราชคฤห์ แล้วจะมาบอกพระพุทธเจ้าว่าบ้านนั้น คนนั้นตายไปแล้วไปอยู่ที่นั่น คนนั้นประสบความสำเร็จอย่างไร พลิกแพลงอย่างไร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่ พระโมคคัลลานะจะปุจฉาขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรับรองว่าเป็นอย่างนั้นจริง เป็นอย่างนั้นจริง ฉะนั้น ถ้าทำลายต้องทำลายคนนี้ก่อน ก็เลยไปจ้างนักเลงมาฆ่า มาฆ่าพระโมคคัลลานะ จะมาฆ่าทีไรเหาะหนีๆ ตั้งหลายที นี่กรรมเก่า กรรมเก่าเห็นไหม กรรมเก่าที่เคยทำกับมารดาไว้ตั้งแต่อดีตกาลไกลโพ้น ไกลจนสุดจะไกลเลย เพราะ เพราะการทำลายมารดามันต้องตกนรกอเวจี

การทำลายมารดา การมาตุฆาตมันทำลายอันนี้กรรมมันแรง พอกรรมมันแรงมันตกนรกอเวจีไปนานมาก แล้วใช้เวรใช้กรรม จนใช้เวรใช้กรรมมามหาศาล พอมหาศาลมาเกิดเป็นมนุษย์มาสร้างบุญกุศลอีกมหาศาลเพราะ เพราะการปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาต้องสร้างบุญญาธิการ ต้องสร้างสมบุญญาธิการมาเพราะเป็นพระอรหันต์

พระอรหันต์เหมือนกัน เห็นไหม ถ้าพระอรหันต์ นี่อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวามีอำนาจมากกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ใครที่มีบุญญาธิการมากน้อยขนาดไหนก็ต้องสร้างบุญญาธิการมา ใครสร้างมามากเท่าไร ก็จะได้ผลตอบแทนมากเท่านั้น ใครสร้างมามากเท่าไรมันก็จะมีปฏิภาณ มีไหวพริบ มีปฏิภาณ ปัญญากว้างขวางนัก ถ้าคนสร้างมาน้อยก็ปัญญาคับแคบ ปัญญาพอจะเอาตัวรอดได้ นี่พระอรหันต์ก็มีเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

ฉะนั้น พระโมคคัลลานะเคยฆ่ามารดาไว้ตั้งแต่อดีตไกลโพ้น ไกลจนคาดหมายไม่ได้ เขาบอกว่าการฆ่าพ่อฆ่าแม่ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร? การฆ่าพ่อฆ่าแม่แล้วทำไมเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร? การฆ่าพ่อฆ่าแม่ มันคนละชาติ คนละภพ เพราะการทำอย่างนั้นมันต้องชดใช้กรรม เพราะกรรมมันให้ผล กรรมให้ผลตามความเป็นจริง พอฆ่ามารดาแล้วตกนรกอเวจี พ้นจากนรกอเวจีขึ้นมาตั้งแต่อเวจีเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วยังมาสร้างบุญกุศล สร้างบุญกุศลเพื่อเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย จนถึงที่สุดแล้วมาศึกษากับสัญชัย เสร็จแล้วพอได้เป็นพระโสดาบันจากพระสารีบุตร ก็มาบวชในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขณะที่มาบวชนะเดินมาสองคน พระพุทธเจ้าบอก นี่อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวาเรามาแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บวช นี่เขาสร้างของเขามา เวลาบวชแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งให้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย พระสารีบุตรเบื้องขวา พระนี่ติเตียนกันมากว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลำเอียง ทำไมไม่ตั้งปัญจวัคคีย์ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรก ทำไมไม่ตั้งสงฆ์องค์แรก ทำไมไปตั้งพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าบอกว่า

“เราไม่ได้ลำเอียงอะไรทั้งสิ้น เราทำตามข้อเท็จจริง ทำตามข้อเท็จจริง ของเขา สมบัติของเขา เขาสร้างของเขามาอย่างนั้น”

แล้วเขาสร้างของเขามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตั้งให้เขา นี่เวลามาบวชแล้ว บวชแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ แล้วเป็นมือซ้ายและมือขวาเผยแผ่ธรรม เวลาจะเผยแผ่ธรรมที่ไหน พระโมคคัลลานะจะไปจัดการ นี่เพราะว่าเขาสร้างของเขามา เขาสร้างมีฤทธิ์มีเดชมาเพื่อทำอย่างนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก พอบวชแล้วไปเอาพระปุณณมันตานีบุตร หลานมาบวชอีกองค์เป็นพระอรหันต์เท่านั้น พระอัญญาโกณฑัญญะเข้าป่าไปเลย นี่บุญญาธิการของคนสร้างมามันไม่เหมือนกัน

นี่พูดถึงว่ากรรมเก่า พอบอกว่ากรรมเก่าแล้วว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งยอมจำนน อะไรๆ ก็ยกให้กรรม กรรมนี้เป็นอจินไตยนะ กรรมนี่มันมีกรรมดีมหาศาลเลย เวลาบอกว่าเรื่องกรรมเราคิดแต่ว่ากรรมของเราคือกรรมที่เราทำความผิดพลาดมา กรรมที่ทำให้เราทุกข์ยาก แต่เวลากรรมที่ทำให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ กรรมที่ทำให้เราเกิดมีปัญญา กรรมที่ทำให้เราเกิดมามีความสนใจในศาสนา กรรมที่ทำให้เราอยากปฏิบัติ เราไม่ได้บอกว่าอันนี้เป็นกรรมเลย แต่เวลาอะไรไม่ถูกใจ อะไรไม่ดี อันนั้นเป็นกรรมๆ

กรรมดีก็เยอะ ถ้ากรรมดีไม่เยอะเราไม่มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก เราไม่เกิดเป็นมนุษย์สนใจในพุทธศาสนา อันนี้กรรมเก่ากรรมใหม่ เวลาเขาจะทำลายพระโมคคัลลานะ แล้วเขาจ้างคนมาทุบ มาตี พระโมคัลลานะเหาะหนีๆ ๒ ที พอครั้งสุดท้าย นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมของเราเอง กำหนดให้เขาทุบนะ นี่พูดถึงกรรมเก่ากรรมใหม่ ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติธรรมของเรา มันจะได้หรือไม่ได้มันอยู่ที่นี่ นี่กรรมเก่ากรรมใหม่นะ

ฉะนั้น ว่าอานิสงส์ของการฟังธรรม ฟังธรรมแล้วให้มีสติ มีปัญญา ถ้ามีสติปัญญา นี่สัจธรรมอันนี้สำคัญ เพราะคำว่ามีสติปัญญา ปัญญาเวลาเกิดกับเรา เห็นไหม ปัญญาเกิดกับเรา นี่หลวงพ่อไม่ต้องตอบหรอก ยกเลิกเลย สิ่งที่ถามหลวงพ่อมายกเลิกเลย เพราะว่ามันซึ้งใจมาก มันโดนใจเต็มๆ เลย มันโดนใจเต็มๆ เพราะมันตรงกับความรู้สึกนึกคิดของเรา นี่เวลาแสดงธรรมๆ ถ้ามันตรงกับจริต ตรงกับนิสัย ตรงกับความรู้สึกนึกคิดของเรา มันก็กำราบกิเลสของเราได้ กิเลสนี่มันหมอบเลย

ถ้ากิเลสมันหมอบนะ อันนี้มันก็ยังเป็นอันดับ ๒ อันดับ ๒ เพราะฟังจากครูบาอาจารย์ แต่อันดับ ๑ อันดับ ๑ ถ้ามันเกิดจากใจเราเลย ปัญญามันเกิดในปัจจุบัน ถ้าปัญญามันเกิดในปัจจุบัน เราพิจารณาของเราปัจจุบันเดี๋ยวนั้นขึ้นมามันสังเวชนะ ดูสิเวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมที่ดอยธรรมเจดีย์ ทำไมท่านร้องไห้แล้วร้องไห้อีกล่ะ? มันสังเวช เวลาถ้าเรา ปัจจุบันธรรมที่เราเกิดขึ้นในปัจจุบัน แล้วมันสมุจเฉทในใจปัจจุบันมันสำรอก มันคายนะมันสังเวชมาก

นี่ธรรมสังเวช เวลาโลกเรา เราทุกข์เรายาก เราร้องห่มร้องไห้เพราะความเสียใจ ความเศร้าใจ นี่ความบีบคั้นของใจทำให้เราทุกข์ แต่เวลามันสังเวช มันสังเวชมันก็ขันธ์เหมือนกัน น้ำตาเหมือนกัน แต่มันสะเทือน มันเป็นธรรม ธรรมสังเวช เพราะธรรมะมันสะเทือนหัวใจ ธรรมะสะเทือนหัวใจ นี่ธาตุขันธ์มันทำงานของมันมันก็เปิดของมันหมดเลย มันก็หลุดออก มันก็ไหลไปตามธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมัน

แต่หัวใจสิ หัวใจนะถ้ามันทุกข์ มันยาก เวลาร้องไห้โศกเศร้ารำพึงรำพัน คร่ำครวญ อย่างนี้มันเป็นความทุกข์ความยาก มันเป็นสิ่งที่ฝังใจ นี่พันธุกรรมของจิตมันจะแตกต่างไปในทางเศร้าหมอง แต่เวลาพิจารณาไปโดยธรรมๆ พิจารณาธรรมแล้ว เวลาธรรมสังเวช ธรรมสังเวช นี่มันเปิดโล่งหมด มันสะเทือนหัวใจหมดนะ มันสำรอกมันคายของมันออก สิ่งนี้มันไม่ใช่เศร้าหมอง สิ่งนี้มันเป็นความประเสริฐ มันชำระล้าง นี่สิ่งที่อานิสงส์การฟังธรรม ถ้าฟังธรรมถึงที่สุดแล้วมันจะมีอานิสงส์อย่างนี้ คำว่ามีอานิสงส์นะมันเข้าใจ มันฟังแล้วมันสะเทือนหัวใจ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าคำถามนี้ยกเลิก ยกเลิกก็คือว่ายกเลิกไป แต่นี้ยกเลิกไปมันก็เป็นกิริยา เป็นสิ่งที่จิตใจมันเคลื่อนไหว แล้วมันมีความฝังใจมาก็ถามมา เวลาฟังธรรมแล้วมันสะเทือนหัวใจนะ มันคายสิ่งนั้นไปก็จบ แต่อนาคต อนาคตเวลาปฏิบัติไป เห็นไหม มรรคหยาบ มรรคละเอียด นี่ความสงสัยอันละเอียด ความบีบคั้นอันละเอียดมันจะมีไปข้างหน้า ถ้ามีไปข้างหน้า ในปัจจุบันเราก็แก้ไขของเรา ถ้าแก้ไขของเรา ในปัจจุบันของเรา แก้ไขของเรา เวลาไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ไง แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ข้างหน้าเขาก็ไปหาครูบาอาจารย์ของเขา หาครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์แก้ไขปั๊บมันก็เป็นทางสายตรง

พอแก้ไข ถ้าเราทำตามนั้น ถ้าอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ถ้าอาจารย์ที่ไม่เป็นธรรมเขาก็จะพาเราเฉไฉ พาเราออกนอกลู่นอกทาง เพราะอาจารย์ก็ไม่เข้าใจ ตาบอดคลำช้าง ตาบอดก็จูงคนตาบอดไปอีกทางหนึ่ง ถ้าคนตาดี พอเราเข้าไปเขารู้แล้วแหละ เพราะคนตาดีเขารู้ว่าการปฏิบัตินี่นะ อย่างคนไข้ไปหาหมอ ถ้ามีประวัติคนไข้อยู่กับหมอ หมอเขาจะรักษาตามประวัติคนไข้นั้นเลย นี่เวลาคนไข้รักษาอย่างนี้แล้วมันดีขึ้น พัฒนาขึ้น เขาก็ให้ยาน้อยลง พัฒนาดีขึ้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาการปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติแล้วเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะรู้ถึงวาระจิตของเรา รู้ถึงใจของเราว่าเพราะเราเคยให้ครูบาอาจารย์นั้นตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบแล้ว ปฏิบัติไป นี่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล แล้วแต่ขั้นตอนที่จิตมันติดอยู่ตรงไหน

ถ้าจิตมันติดอยู่ตรงไหน เวลาที่เรามีประวัติอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านรู้หมดแหละ แล้วเวลาไปเราเสนอไปปั๊บ เราแสดงอาการ อาการมันบอกอยู่แล้ว อาการบอกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราไปแล้วเรากินยาผิด เรากินยาแล้วมันกินยาไม่ครบสูตร เราไปละวางก่อนมันดื้อยา พอมันดื้อยาเราก็ทุกข์ เราก็ยากมากขึ้น แต่เวลากินไปแล้วมันจบแล้วมันยังไม่หายขาด เขาต้องให้ปล่อยเวลาไว้แล้วกินชุดใหม่ต่อไป กินชุดใหม่ก็ทำต่อไป

นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติ ขั้นตอนของมัน มันมีของมันขึ้นไป ถ้ามันไม่ผ่านขั้นตอนนั้นไปมันเป็นไปไม่ได้ไง นี่ถ้ามีครูบาอาจารย์อย่างนี้มันทำให้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง อย่างน้อย หลวงตาบอกอย่างน้อยมันเนิ่นช้า คำว่าเนิ่นช้าเราก็ต้องพยายามหาทางพิสูจน์ของเรา เราพยายามจะดิ้นรนของเราไปให้พ้นจากอันนี้ไปได้ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์เราไม่ต้องทดสอบ เพราะครูบาอาจารย์ท่านผ่านไปแล้วท่านชี้ทาง พอชี้ทางขึ้นไป ถ้าเกิดทิฐิมานะ เอ๊ะ อาจารย์พูดจริงหรือเปล่า ถ้ามีกรรมของมันนะ เอ๊ะ อาจารย์พูดจริงหรือเปล่า

แต่ถ้ามันไม่มีกรรมของมันนะ นี่ถ้าท่านบอก ท่านบอกลองเลย ทำอย่างนั้นเลย จี้เข้าไปเลย ถ้ามันผ่านไปได้มันก็จบไปเรื่องนี้ ถ้ามีครูบาอาจารย์ หนึ่งไม่เสียเวลา ไม่เนิ่นช้า แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ที่มีความเป็นจริงนะมันรับผิดชอบในความหลงผิด รับผิดชอบในความที่เราออกนอกลู่นอกทาง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะเราก็จะออกนอกลู่นอกทางของเรา ถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะชี้นำของเราไปในทางถูกต้อง นี้พูดถึงถ้ามีครูบาอาจารย์ตรวจสอบ

แต่ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ เวลาหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านเสียนะ หลวงตาท่านไปนั่งอยู่ปลายเท้าไง ขณะที่เวลาพระเขาเฝ้าศพหลวงปู่มั่นอยู่ท่านจะหลบไปก่อน เพราะว่าท่านเป็นคนที่อยู่กับหลวงปู่มั่นมา ๘ ปี แล้วการอยู่กับหลวงปู่มั่นมา ๘ ปี ครูบาอาจารย์ที่อยู่ด้วยกันมามันจะมีความผูกฝังใจมาก เพราะว่าพ่อแม่ที่รักเราจริงเราก็จะรักพ่อแม่มาก อันนี้พ่อแม่รักเราจริงแล้วนะ แล้วยังแก้ไขจากภายในมันยิ่งเคารพบูชามหาศาล เวลาคนเขาออกไปแล้ว เขาบอกว่านั่งปลงสังเวชกันแล้วก็ออกไป หลวงตาท่านบอกท่านไปนั่งที่ปลายเท้าคนเดียว ระหว่างศพของหลวงปู่มั่นกับท่าน แล้วนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวนะ

“ใจดวงนี้มันดื้อนัก มันไม่เคยฟังใคร มันฟังแต่หลวงปู่มั่นองค์เดียว แล้วบัดนี้หลวงปู่มั่นท่านก็นิพพานไปแล้ว เราจะพึ่งใครหนอ”

มันเศร้าใจมากนะ ท่านบอกท่านนั่งน้ำตาไหลอยู่คนเดียว นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเลย เพราะคนๆ หนึ่งนะได้พึ่งจากครูบาอาจารย์องค์นี้มาตลอด แล้วครูบาอาจารย์นี้ท่านก็นิพพานไป แล้วตัวเรามันรู้อยู่ เพราะมีสติใช่ไหมว่าตัวยังไม่พ้นจากทุกข์ อยากมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เพราะเวลาผ่านแต่ละขั้น แต่ละตอนมา เวลาหลวงปู่มั่นท่านเจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรง หลวงตาท่านก็กิเลสในหัวใจมันรุนแรง ขึ้นไปกราบท่าน ท่านจะขึ้นมาแก้ให้ ถ้ายังไม่เข้าใจท่านก็ยังหมอบ ยังไม่ลุก เพราะถือว่ายังไม่เข้าใจ หลวงปู่มั่นท่านก็จะอธิบายรอบสอง รอบสาม พอหลวงตาท่านเข้าใจแล้วท่านก็ก้มลงกราบๆ หลวงปู่มั่นท่านก็ล้มตัวลงนอน

นี่เวลามันแก้ไขกันมามันแก้ไขกันมาอย่างนั้น แล้วบัดนี้หลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว แล้วใจดวงนี้จะพึ่งใคร ใจดวงนี้จะพึ่งใคร? เศร้ามาก เศร้ามาก นี่แล้วเวลาศพหลวงปู่มั่น เห็นไหม หลวงปู่มั่น ศพของท่านก็อยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส ท่านก็ขึ้นไปบนภูพาน ไปภาวนาของท่าน เร่งของท่านๆ จนสุดท้ายเผาศพหลวงปู่มั่นเสร็จแล้ว นี่ท่านออกไปท่านก็ไปเจอจุดและต่อม ท่านบอกว่าถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นะเราจะไม่ติดอีก ๘ เดือนอย่างนี้ เพราะถ้าติดอย่างนั้น

คำว่าติด คนเราไปหากิเลสเจอ ไปเผชิญหน้ากับมัน แต่ด้วยความกิเลสในหัวใจเราไม่ทันอวิชชา นี่ก็ยังสงสัยอยู่ แสงสว่างเกิดจากจุดและต่อม นี่ธรรมะมาเตือนอยู่แล้ว ที่ว่าผ่องใสๆ จิตผ่องใสมันเกิดจากอวิชชา แต่ตัวเองก็ยังงง ยังไปซ้าย ไปขวาไม่ถูก งงไปหมดเลย นี่ท่านบอกว่าถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ถ้าท่านงุนงงอย่างนี้ท่านจะไปรายงานหลวงปู่มั่นทันที หลวงปู่มั่นก็จะจี้ทันทีเลยว่าไอ้จุดและต่อมนั่นแหละ ไอ้ตรงนั้นแหละ ไอ้กลับมานั่นแหละ

แต่ทีนี้ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านนิพพานไปแล้ว จิตดวงนี้มันดื้อ มันไม่เคยเชื่อฟังใคร เพราะคนที่พูดธรรมให้ฟังมันสะเปะสะปะ มันพูดไม่ตรงความจริง แล้วเชื่อมั่นกับหลวงปู่มั่นมาก หลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ขณะที่ออกไปเจอจุดและต่อมยังงงอยู่อีก ๘ เดือน นี่ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ต่อไป แบกหามไอ้ความผ่องใสนี้ไปตลอด แบกหามไปไหน ไปถึงภูเขาลูกไหนก็พยายามพิสูจน์ตรวจสอบไอ้ความผ่องใสนั้นน่ะ ไอ้ความผ่องใสนั้นน่ะ

นี่พิสูจน์กันอยู่อย่างนั้นแหละ พิสูจน์จนถึงที่สุดแล้วมันย้อนกลับ ไปที่วัดดอยธรรมเจดีย์ วันนั้นวันพระ นี่มันย้อนกลับๆ ถึงที่สุดมันย้อนกลับเข้าไป ไปทำลายไอ้ภวาสวะ ไอ้ภพ ไอ้ผ่องใส ที่ต้นเหตุของผ่องใส ทำลายตรงนั้น นี่ถ้าทำลายตรงนั้น ถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ความผูกพันอันนั้น เพราะว่าเหมือนกับควาญประจำช้าง ช้างมันควาญควบคุมอยู่ ช้างจะกระดิกไปไหนควาญรู้ทันหมดเลย แล้วรู้ทันบังคับได้ มันใช้ได้ แต่ไอ้ไปเจอคนทั่วไป ช้างมันก็ไสเข้าใส่ มันก็เอางวงรัดตีตายหมดแหละ

นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติมันต้องรู้ทางกันไง คนปฏิบัติเขาจะมีความจริงในหัวใจ นี่อานิสงส์ของการฟังธรรม ถ้ามีการฟังธรรมอย่างนี้ มีครูบาอาจารย์อย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับผู้ฟัง ถ้ามันไม่มีครูบาอาจารย์นะเราก็ต้องเข้มแข็งไง นี้จะบอกว่าเวลาถ้ามีครูบาอาจารย์ แล้วองค์นั้นก็เป็นครูบาอาจารย์ องค์นี้ก็เป็นครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์พาไปไหนล่ะ? จะพาไปไหนกัน? พาลงทะเลกันไปหมด แต่ถ้าพาเข้าฝั่ง อาจารย์องค์ไหนบ้างพาเข้าฝั่ง ถ้าพาเข้าฝั่งมันก็มีหลักมีเกณฑ์ตามความเป็นจริงสิ

ถ้ามีหลักมีเกณฑ์นะ อย่างเช่นหลวงปู่มั่นท่านพาอยู่ป่าอยู่เขา ท่านไม่พาออกมาเร่ร่อน ท่านไม่พาออกไปเหมือนกับไอ้ควาญประจำช้าง แต่นี่ช้างเร่ร่อนไง ช้างพามาเดินชายตลาดนั่นน่ะ ไอ้นี่เขาเรียกพาช้างมาหาสตางค์ เขามีแต่พาช้างเข้าป่า พาช้างเข้าป่า ไปอยู่ในป่าของเขา นี่ถ้ามีครูบาอาจารย์จริงเราก็ถามเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เราก็ต้องปฏิบัติของเราเองนะ

ข้อ ๑๓๐๐. เนาะ

ถาม : ข้อ ๑๓๐๐. เรื่อง “ให้สถานที่สำหรับปฏิบัติธรรม”

กราบนมัสการพระอาจารย์ บ้านอยู่ที่วงเวียนใหญ่ มีร้านอาหารซึ่งปัจจุบันได้ปิดไปแล้ว อยากทำให้เป็นที่ปฏิบัติธรรม ทุกวันอังคารเวลา ๑ ทุ่มถึง ๒ ทุ่มครึ่ง ตั้งใจว่าจะเปิดเทปการปฏิบัติธรรมของครูบาอาจารย์ประมาณครึ่งชั่วโมง เวลาที่เหลือคือนั่งสมาธิ ที่นี่หลวงตาเคยมารับทองค่ะ นั่งเสร็จก็มีน้ำและอาหารเลี้ยง ถ้าปฏิบัติธรรมมีปัญหาก็ให้ถามท่านอาจารย์ เพราะท่านประเสริฐที่สุด ต้องการให้คนมาปฏิบัติเดินไม่ผิดทาง ขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยค่ะ

ตอบ : การทำดีเป็นความดีทั้งหมดนะ การทำความดี ในสมัยพุทธกาล สิ่งที่ว่าใครเป็นเศรษฐีที่ใจเป็นธรรมเขาจะมีโรงทานอยู่หน้าบ้าน โรงทานๆ เมื่อก่อนคนที่มีฐานะ คนที่เป็นเศรษฐีเขาจะวัดกันด้วยจิตใจที่เป็นสาธารณะ จิตใจที่ช่วยเหลือสังคม ฉะนั้น บ้านเศรษฐี ถ้าเศรษฐีใหญ่ หน้าบ้านจะมีโรงทานใหญ่มาก ในสมัยพุทธกาลนะ ถ้าใครฐานะน้อยก็มีโรงทานที่หน้าบ้านน้อย เพื่อให้คนทุกข์คนเข็ญใจได้อยู่ ได้กินของเขา

ฉะนั้นพระ เวลาพระ พระก็ไปฉันข้าวที่โรงทานเขาอีก พระพุทธเจ้าก็เลยบัญญัติห้ามไง เขาไปฟ้องพระพุทธเจ้าบอกว่าพระขี้เกียจ พระไม่บิณฑบาต พระไปฉันอาหารที่โรงทาน อยู่ในพระไตรปิฎกนะ ในพระไตรปิฎกมี พระพุทธเจ้าห้ามเลย ภิกษุไม่ป่วยห้ามฉันอาหารที่โรงทานเกิน ๓ วัน ภิกษุที่ป่วยไข้ ตถาคตอนุญาตให้ฉันอาหารที่โรงทานของเขาได้เกิน ๓ วัน เวลาภิกษุเดินทางไง เวลาเดินทางไปเดินทางมา เวลาเดินทางไปแต่ละเมือง ถ้าไปที่ไหนถ้าบิณฑบาตไม่ทันก็ให้ไปฉันอาหารที่โรงทานนั้น พรุ่งนี้ต้องบิณฑบาตนะ อย่าฉันแล้วฉันอีก อย่าขี้เกียจบิณฑบาต นี่ในพระไตรปิฎกมี ภิกษุไม่ป่วยห้ามฉันอาหารโรงทานเกิน ๓ วัน เขามีโรงทานอยู่หน้าบ้านเพื่อจิตใจ เพื่อประโยชน์นะ

ฉะนั้น เวลาคำถามว่า

ถาม : จะเปิดที่บ้านเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

ตอบ : ไอ้อย่างนี้ สถานที่ปฏิบัติธรรม จิตใจเราเป็นธรรม เราก็เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ แต่ทีนี้พอเราไปเปิดเป็นปฏิบัติธรรม เริ่มต้นเวลาคนไป คนมา เห็นไหม ถ้ามีมากมีน้อยมันเป็นภาระ ถ้ามันเป็นภาระการดูแล นี่เราทำได้ ถ้ามีคนมาจะมีอาหารเลี้ยง มีน้ำเลี้ยง ถึงเวลาจะมีเลี้ยงเขาอีกด้วย เพราะอะไร? เพราะเราอยากสร้างบารมี ถ้าทำเป็นประโยชน์ได้มันก็เป็นประโยชน์ได้ แต่ถ้าเวลาปฏิบัติ สิ่งใดก็แล้วแต่ แม้แต่วัดทุกวัด ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีจะมีคนที่ไปปฏิบัติธรรม ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ไปแล้วมันไม่เป็นประโยชน์เขาก็ไม่ได้ไป

ฉะนั้น ถ้ามันไม่เป็นภาระ ไม่เป็นภาระเราเห็นด้วย แต่ถ้ามันเป็นภาระนะ นี่ต้องไปรับ ไปส่ง ต้องอย่างนี้ ไอ้คนที่ปฏิบัติธรรม ถ้าเราให้บ้านเราเป็นที่ปฏิบัติธรรม ถ้าใครจะมาปฏิบัติธรรมเราก็สาธุ ถ้าใครไม่ปฏิบัติธรรม เราก็ปฏิบัติของเราเองก็ได้ เราทำของเราเอง คือถ้าจิตใจของเราไม่แบกรับภาระ ไม่เป็นภาระจนเกินไป เราเห็นว่าทำได้ แต่ถ้ามันทำแล้วมันเป็นภาระ มันเป็นภาระที่เราจะต้องดูแล

ถ้ามาปฏิบัตินะเวลาคนไม่มาล่ะ? อาทิตย์นี้คนมาก อาทิตย์นี้คนน้อย นี่มันจะเป็นภาระกันไหม? แล้วถ้าปฏิบัตินะ การปฏิบัติ นี่ถ้าใครปฏิบัติ เช่นคนที่เป็นโรค คนเป็นโรคเวลาไปหาหมอก็อยากจะหายจากไข้ มันก็จะไปเรื่อยแหละ แต่ถ้าคนไม่เป็นโรค พอไปแล้วหมอก็บอกว่าวัดแล้วทุกอย่างก็ปกติ ทุกอย่างเป็นปกติ ทุกเที่ยวเลยมาทีไรปกติทุกทีเลย

นี่ก็เหมือนกัน พอปฏิบัติ ถ้ามันต่อเนื่อง ปฏิบัติแล้วมันดีขึ้น ทุกอย่างพัฒนาขึ้น ทุกคนก็อยากขวนขวายนะ แต่พอปฏิบัติแล้วๆ เราจะบอกว่ามันจืดไง ถ้ามันจืด มันต่างๆ ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยกระตุ้นตลอดเวลา เพราะเวลาปฏิบัติธรรมนะกิเลสมันร้ายนัก ถ้ากิเลสร้ายนัก เริ่มต้นใหม่ๆ สถานที่ใหม่ สถานที่ใหม่ ร้านอาหารเปิดใหม่ทุกคนก็ไปเยอะแหละ พออาหารเราเขาคุ้นเคยแล้วมันก็ต้องมีอาหารเมนูใหม่เรื่อยๆ ตลอดไปเพื่อจะให้คน

ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ปฏิบัติธรรมที่มีครูบาอาจารย์นะ ธรรมะสดๆ ร้อนๆ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกสดๆ ร้อนๆ เลย แต่ของเรานี่กินแต่ของดิบๆ กินแต่ของที่เขาเก็บไว้จนเน่าจนบูด ก็คือความจำเรานี่ไง นี่ปฏิบัติแบบของจดของจำมันไม่ได้ของสดๆ ร้อนๆ เลย ของสดๆ ร้อนๆ นะโอ้โฮ มันของมหัศจรรย์ ของมันแตกตื่น ตาพองเลยนะ แล้วโอ้โฮ ถ้ามันได้แล้วอยากได้อีก อยากได้อีกมันยิ่งทำได้ยากขึ้น แต่ถ้าเราภาวนาเป็นขึ้นมาแล้วเราทำของเราขึ้นไป มันเป็นขึ้นมาแล้ววางไว้ แล้วพยายามทำให้ได้อย่างนั้นอีก ทำจนมีความชำนาญ

ชำนาญ เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเรามีเหตุในการทำสมาธิ สมาธิมันจะเสื่อมไปไหน? แต่นี้พอทำสมาธิไปแล้ว พอทำได้หนหนึ่งเราก็เสื่อมไป ๕ ปี เคยได้สมาธิหนหนึ่ง อีก ๕ ปีที่แล้วจะได้อีกหนหนึ่ง อีก ๑๐ ปีที่แล้วสมาธิยังไม่ได้เลย ล้มลุกคลุกคลานไปเรื่อย ถ้าคนที่เขามีสัจจะเขาก็ทำของเขาได้ ถ้าคนไม่มีสัจจะเขาก็เลิกของเขาไป

นี่พูดถึงว่าในการปฏิบัตินะ บอกก่อนว่าอาจารย์เห็นด้วยไหม? เห็นด้วย เห็นด้วยนี่เห็นด้วยให้ปฏิบัติ เราจะบอกว่าเห็นด้วยแล้วอย่าไปเป็นภาระไปกดดันตัวเองไง จะต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น แล้วพอถึงเวลาไม่มีคนไปไม่มีคนมา อืม ทำไมมันไม่มีคนไปๆ มาๆ อันนี้อันหนึ่ง ถ้าเราจะเปิดของเราเราก็เปิด ถ้าไม่มีใครปฏิบัติเราก็ปฏิบัติของเราอยู่แล้ว อย่างน้อยก็เราคนหนึ่ง อย่างน้อยสถานที่ปฏิบัติธรรมก็มีเรานั่งอยู่คนหนึ่งแล้วแหละ ใครจะมาหรือไม่มานั่นเรื่องของเขา แต่ถ้าใครมาก็เป็นคนที่สอง ถ้าไม่มีใครมาก็คนหนึ่งมีอยู่แล้วคือเรา อ้าว คนที่สองจะมาก็มา ไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใครมาแล้วเขามาเป็นร้อย เป็นพัน อันนี้อานิสงส์มันเกิดขึ้น

มีพราหมณ์ไปถามพระพุทธเจ้าว่า “พระอินทร์มีไหม?”

พระพุทธเจ้าบอก “เธออย่าถามเลยว่าพระอินทร์มีหรือเปล่า วิธีการให้เป็นพระอินทร์เรายังรู้เลย” วิธีการให้เป็นพระอินทร์ เห็นไหม นี่เหตุผลให้เป็นพระอินทร์คือ

๑. ทำที่ทางสาธารณะ

๒. ทำศาลาข้างถนน

๓. ทำแหล่งน้ำเพื่อให้คนได้ใช้ประโยชน์กับเรา

ผู้นั้นใครมาใช้ประโยชน์กับเราได้มากแค่ไหน เวลาไปเกิดเป็นเทวดาเขาได้บุญกุศลจากเรา เราจะเป็นหัวหน้าเขา เราจะเป็นพระอินทร์คุ้มครองเขา แล้วเราเปิดสำนักปฏิบัติธรรม ถ้าเราเปิดด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เปิดเพื่อความดีงามของคนอื่น เขาได้มาใช้มาสอยสถานที่ เขาได้มาทานอาหาร เขามาได้ฟังธรรมที่เราเปิดให้เขาฟัง แล้วถ้าเขาฟังแล้วจิตใจเขาสงบระงับ จิตใจเขาได้เป็นบุญกุศล นี่บุญเราทั้งนั้นเลยล่ะ บุญเราทั้งนั้นเลย แต่ทำของเราทำด้วยจิตใจที่เป็นธรรม คืออย่าให้ทำแล้วเศร้าหมองไง ถ้าเศร้าหมองเวลาว่าเป็นอย่างนั้นๆ มันจะเป็นความเศร้าหมอง นี่อันนี้หนึ่ง

ถาม : ๒. ตั้งใจว่าจะเปิดเทปปฏิบัติธรรมของครูบาอาจารย์ประมาณครึ่งชั่วโมง เวลาที่เหลือคือนั่งสมาธิ แล้วถึงเวลานั่งเสร็จมีน้ำ มีอาหารเลี้ยง ถ้าปฏิบัติธรรมมีปัญหาขึ้นมาก็จะถามท่านอาจารย์ เพราะท่านอาจารย์

ตอบ : อาจารย์ไหนไม่รู้นะ ถ้าถามถึงครูบาอาจารย์ นี่ถ้าถามครูบาอาจารย์ ถ้ามันจะลงตรงจริต ตรงนิสัย มีพวกฆราวาสลูกศิษย์เขามาหาเราหลายคนนะ เขาบอกนะ เวลาเขาฟังธรรมะของเราเขาบอกเขาเชื่อมากเลย แต่เขารับเราไม่ได้ เขาพูดอย่างนี้เลยนะ ว่าผมรับอาจารย์ไม่ได้หรอก เพราะอาจารย์พูดโผงผางมาก มีหลายคนนะบอกว่าเขารับเราไม่ได้หรอก แต่เขาแอบฟังธรรมะเรานะ (หัวเราะ) เขาเปิดธรรมะเราฟังอยู่ แต่เขาบอกเขารับเราไม่ได้ เพราะท่านอาจารย์พูดไม่เรียบร้อย นี่จริตนิสัยของคนมันมี

นี่เขาพูดให้เราฟังเลย เราก็บอก เออใช่ บอกดี เฮ้ย โยมก็เอาประโยชน์ของโยม เพราะว่าเราก็ไม่ต้องการให้โยมมาเคารพบูชาอะไรทั้งสิ้น แต่เขามาหาเราจริงๆ นะ เขามาหาเขาบอกว่าเขาหลงผิดไป แล้วเขามาฟังเทศน์ในเว็บไซต์เรา ฟังแล้วเขาหูตาสว่างเขาก็มาหาเรา แล้วมากราบขอบพระคุณว่านี่เขาได้ฟังเทศน์ ฟังธรรมแล้วหูตาเขาสว่าง เขาขอบคุณมากเลย แต่เขาก็บอกว่าผมรับอาจารย์ไม่ได้ เพราะอาจารย์พูดโผงผาง เราก็บอก เออดี เพราะเราชมว่าเขากล้าพูดนะ เขาพูดความจริงเลยนะเขาบอกเขารับเราไม่ได้หรอก

ฉะนั้น ที่เขาพูดว่าจะถามอาจารย์ อาจารย์องค์ไหน? ถ้าเขารับไม่ได้แล้วยังพาเขามาฟัง มาถามปัญหาอีก ก็รับองค์นี้ไม่ได้ แล้วพามาถามอีก โอ๋ย มันจะบังคับกันเกินไปแล้ว (หัวเราะ) ถามอาจารย์องค์ไหนก็ได้ แต่ถามแล้วนะกาลามสูตรอย่าเพิ่งเชื่อ ถามเสร็จแล้วเอามาใคร่ครวญ เอามาพิจารณาดูว่ามันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง มันจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เราปฏิบัติของเราไปมันจะถูกต้องไม่ถูกต้อง เพราะเราอยู่กับหลวงตาอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะมา สิ่งที่เวลาเราพูดธรรมะที่แบบว่าโต้แย้ง หรือพูดเพื่อหาเหตุผล มีหลวงตากับหลวงปู่เจี๊ยะ

หลวงปู่เจี๊ยะนี่โอ้โฮ เถียงกันมาก เถียงกันรุนแรงมาก เพราะความจริงกับความจริง มันเถียงกันเถียงกันเพื่อหาเหตุผล แต่องค์อื่นนะเราไปอยู่กับใครมาก็แล้วแต่ เวลาพูดอะไรมา เวลาพูดกันด้วยเหตุผลรู้สึกว่า นี่พูดแบบความรู้สึกนะ ไม่ได้เข้าข้างนะ ไม่ได้ลำเอียง รู้สึกว่าเวลาพูดกันไปเขาจะเริ่มมีเหตุผลสู้เราไม่ได้ ทำนองนี้ เวลาพูดถึงธรรมะกัน พูดไปพูดมาเหมือนกับเขาจะเพรี่ยงพร้ำ คำว่าเพรี่ยงพร้ำคือไม่มีเหตุผลโต้แย้งเราไง เขาก็จะแบบว่า เออ! แต่ว่าเขาเป็นอาจารย์ เราเป็นลูกศิษย์ เราเป็นผู้มีพรรษาน้อย

เวลาเราไปคุยธรรมะกับครูบาอาจารย์หลายๆ องค์ ท่านออกช่องนี้ปั๊บเราจะคิดในใจเลยว่าธรรมะมันเป็นความจริง ถ้าธรรมะเป็นความจริงเรามาหาความจริงกัน เราก็ต้องยิ่งพูดความจริง ยิ่งพูดความจริงเหมือนทองคำ ทองคำนี่ยิ่งเผาไฟเท่าไรมันยิ่งสุกเปล่งปลั่ง มันยิ่งแวววาว เรามาหาความจริงกัน ทำไมเราพูดความจริงกันไม่ได้ แต่เราไปอยู่กับหลวงตากับหลวงปู่เจี๊ยะ เวลาพูดธรรมะกันเราไม่เคยชนะท่านสักที หัวแตกทุกทีเลย แล้วเถียงหัวชนฝาเลย เถียงอย่างไรก็แพ้ แพ้แล้วเราก็กลับมาคิดหาเหตุผล แล้วเราก็ได้ประโยชน์มาเรื่อย

เวลากับคนอื่นเราเถียงนะ รู้สึกว่าเหตุผลเขาจะสู้เราไม่ได้ พอเหตุผลสู้ไม่ได้มันก็ต้องหาเหตุผลที่สู้มาได้ นี่พอพูดถึงอาจารย์ๆ เรามีประสบการณ์อย่างนี้มา พอมีประสบการณ์อย่างนี้มา แล้วเวลาคนที่ไปหาครูบาอาจารย์ทุกคนจะบอกว่าโอ้โฮ เทศน์ดีมากๆ ดีมากนี่ดีธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดมาก

ฉะนั้น เวลาพูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนพูดได้ แต่เวลาพูดแล้วมันพูดด้วยอารมณ์ พูดด้วยหวังผล ด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลาควรพูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดด้วยความจริง แล้วพูดด้วยข้อเท็จจริง แล้วถ้าคนที่มีธรรมอย่างหลวงตากับหลวงปู่เจี๊ยะ ท่านพูดด้วยข้อเท็จจริง ไอ้เราก็อยากได้ข้อเท็จจริง เถียงกันนี่อู้ฮู จนพระไปแอบฟัง โอ๋ย พอเสียงเรากับเสียงหลวงปู่เจี๊ยะดังพระมาแล้ว ได้เสียอีกแล้ว ได้เสีย แล้วยิ่งโต้ ยิ่งแย้งกัน โอ๋ย มันยิ่งดีมาก เพราะพอโต้แย้งแล้วเราก็กลับมาพิจารณาต่อ พิจารณาต่อ นี่มันมีทางไปได้ต่อ ทางไปได้ต่อจนถึงที่สุดได้

ฉะนั้น ว่าถามท่านอาจารย์ ฉะนั้น อาจารย์ อย่างของเรา เพราะว่าคนเราเกิดมามันมีจุดเด่นและจุดด้อย จุดด้อยของเราคือขี้ลืม ชื่อคนนี่จำไม่ได้ เขาเรียกอรรถพยัญชนะเรามีจุดบกพร่องเยอะ จุดด้อยของเรามีเยอะ เช่นจำสิ่งใดไม่ค่อยได้ แต่เรื่องอรรถ เรื่องเหตุผลนี่ได้ แล้วแต่เฉพาะบุคคลไง ฉะนั้น สิ่งที่ว่าจุดด้อยของใคร ใครมีจุดด้อย อันนี้มันแบบว่ามันแก้ไขไม่ได้ มันแก้ไขไม่ได้มันเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาเขามาบอกว่าผมแอบฟังเทศน์อาจารย์เรื่อยเลย แล้วผมหูตาสว่างมาจากเทศน์ของอาจารย์ แต่ผมรับอาจารย์ไม่ได้ เราบอกสบายมาก ดีเลย รับไม่ได้ก็คือไม่ได้ เพราะคำว่าเขาหู ตาสว่างมาจากเทศน์ของเรา ไอ้นี่มันสุดยอดแล้ว ไอ้นั่นคือเนื้อหาสาระ ข้อเท็จจริง เพราะเขาฟังเทศน์ของเราแล้วหูตาสว่าง อันนั้นแหละคือตัวยา อันนั้นแหละคือตัวธรรมะแท้ ธรรมะแท้คือเหตุและผลที่เขาหูตาสว่างอันนั้น แต่เขารับกิริยาไม่ได้ว่าเราพูดรุนแรง

ไอ้นี่มันเหมือนกับอาหาร อาหารที่มันมีคุณสมบัติดีที่ทำให้เราดำรงชีวิต กับสิ่งที่เป็นรสชาติ สิ่งที่เป็นอาการมันไร้สาระเลย เวลาเขาพูดออกมาเรายังคิดเลยนะ เขาคิดไม่ได้เอง ถ้าเขาคิดได้นะ นี่แอบฟังธรรมะท่านอาจารย์แล้วหูตาสว่างเลย นั่นล่ะคือตัวยาที่มันรักษาไข้หายแล้ว แต่ไปบอกว่าท่านอาจารย์พูดจารุนแรง พูดจาโผงผาง ผมรับท่านอาจารย์ไม่ได้ รับไม่ได้ห่าอะไร เอ็งหายจากไข้มาก็ยากู (หัวเราะ) เอ็งหายจากไข้มาเอ็งก็กินยากูไปแล้ว แล้วเอ็งจะมารังเกียจยากูอีก ก็เอ็งกินยากูไปแล้วไง เราคิดของเราอย่างนี้ นี่เรื่องของเรา

หัวใจของคนมันสูงต่ำแตกต่างกัน ถ้าเขาคิดของเขาอย่างนั้นมันก็เป็นที่ความคิดของเขาอย่างนั้น แต่ความคิดของเรา เห็นไหม ความคิดของเราเขากินยาแล้ว เขาได้ประโยชน์แล้ว หมดแล้วแหละ แต่ยังนับถือน้ำใจเขา เขายังกล้ามาหาเรา แล้วมาสารภาพด้วยว่าผมแอบฟังเทศน์ท่านอาจารย์ แต่ผมรับท่านอาจารย์ไม่ได้

เออ รับไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ถ้ารับไม่ได้เอ็งไม่ต้องมาหากูหรอก รับไม่ได้เอ็งจะอยู่บ้านด่ากูทั้งวันเลย แต่นี่รับไม่ได้เอ็งยังวิ่งมาหากู ยังมาสารภาพ ไอ้เรารับกูไม่ได้ รับไม่ได้มาหากูทำไม? แต่เขามาหาด้วยการที่เขามาพูดนะ เขามาสารภาพ แต่คนที่เขารับไม่ได้จริงๆ คือเขาอยู่บ้าน แล้วก็ด่าในใจ ด่าแล้วด่าอีก อันนั้นแหละรับไม่ได้จริงๆ รับไม่ได้จริงๆ มันไม่มาหรอก แต่ไอ้ที่มานี่บอกรับท่านอาจารย์ไม่ได้ รับไม่ได้ (หัวเราะ) รับไม่ได้มาหากูทำไม

นี่เวลาคนทำกับคนคิดมันแตกต่างกัน นี่พูดถึงว่าปัญหามันตรงนี้เลย เราคิด เพราะว่าเวลาผู้ถามก็ตั้งใจดี

ถาม : ถ้าปฏิบัติมีปัญหาก็ให้ถามท่านอาจารย์ เพราะท่านอาจารย์ประเสริฐที่สุด

ตอบ : แล้วอาจารย์ไหนก็ไม่รู้ ถ้าถามอาจารย์องค์อื่นอาจจะได้ ถ้ามาถามเรา สาธุ ถ้าเขาอยากถาม เขาต้องการ คือว่าถ้าคนไข้ต้องการหมอมันก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าคนไข้ปฏิเสธหมอ แล้วหมอพยายามจะไปรักษาคนไข้ ไม่รู้ว่าหมอโง่หรือหมอฉลาด ก็มันไม่ยอมกินยา จะรักษามันแล้วมันจะหายหรือ? นี่มันเรื่องของเขานะ ผู้ที่ตั้งใจจะทำคิดดี แต่เราคิดว่าถ้าเขาปฏิบัติมีปัญหาจะให้ถามท่านอาจารย์ เขาจะถามหรือเปล่าล่ะ? เขาจะบอกว่าถามท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จะมาล้วงกระเป๋าเขา เขาก็ไม่ให้เข้าไปใกล้เขาอีก เขากลัวกระเป๋าเขาฉีก เออ แล้วเขาไม่ยอมถาม แล้วทำอย่างไรล่ะ?

อันนี้เป็นประเด็นนะ พูดนี่เราชมน้ำใจของคนคิด แต่ที่เราพูดเราพูดถึงว่ามันจะเจอปัญหาอะไรบ้าง ถ้าเราเปิดเป็นสำนักปฏิบัติธรรมเราจะมีปัญหาอะไร เป็นภาระอะไรที่เราจะต้องแบกรับ ถ้ามันแบกรับแล้วมันเป็นภาระ ถ้าเรารับได้เราก็เห็นสมควร แต่ถ้ามันเปิดบ้านปฏิบัติธรรมแล้วเป็นภาระกับเรา เราไปหาภาระมาแบกหามมันก็เป็นภาระกับเรา เราพูดนี่พูดให้เห็นปัญหานี้ เพราะถ้าผู้ที่ถามปัญหาขึ้นมา นี่เคารพครูบาอาจารย์ก็เคารพเรานั่นแหละ แล้วจะถามปัญหาเรา แล้วเกิดถ้าไปเจอคนที่บอกว่าผมรับท่านอาจารย์ไม่ได้แล้วพาไปถาม โอ๋ย เดี๋ยวทะเลาะกันตายเลย

อันนี้อีกเรื่องหนึ่งนะ นี่เป็นปัญหาที่ว่าเราสมมุติว่าเป็นปัญหาที่มันเกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ถ้าโยมเห็นสมควร จะทำสิ่งใดเราก็สาธุนะ เราก็เห็นด้วยถ้าคนทำดี ใครทำดีเราก็อยากให้คนนั้นทำดี ทำดีเพื่อประโยชน์กับความดีนั้น เพราะความดีคือความดี เอวัง