เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว! ฟังธรรมเนาะ ทางโลกเขา เห็นไหม วันนี้วันกลับไปทำหน้าที่การงาน วันครอบครัว วันผู้สูงอายุเขาไปกตัญญูกตเวทีกับปู่ย่าตายาย แล้วก็กลับไปทำงานเรื่องโลก ถ้าเรื่องธรรมนะ เรามาวัดมาวา ๕ วัน ๖ วัน เราก็ต้องกลับไปทำงานเหมือนกัน
เขาบอกว่าไปชาร์จไฟๆ ไปชาร์จไฟนะ ไปดูแลจิตใจของตัวเอง ถ้าดูแลใจของตัวเองนะ เราจะทำได้ประโยชน์มากน้อยขนาดไหน ถ้าเราทำประโยชน์ได้มากกับเรา มันก็เป็นของเรา เป็นของเรานะ ของเราวัดกันที่ไหน? วัดกันที่ความจริง วัดกันที่หัวใจที่มันผ่องแผ้ว หัวใจที่มันมีความสุขความระงับของมัน
ทีนี้เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราปฏิบัติแล้วมันไม่ได้ความสุข ปฏิบัติแล้ว มาอยู่วัดเพื่อเป็นการถือศีล มาอยู่วัดเพื่อจำกัดตัวเองไม่ให้ออกไปวุ่นวายกับทางโลก แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราบากบั่นทำหน้าที่ของเรา นั่งสมาธิภาวนาของเราไป เราปฏิบัติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่บุญกิริยาวัตถุ กิริยาของเรา เราจะอยู่สุขสบายขนาดไหนก็ได้ เรามานั่งสมาธิ เราเอาร่างกายของเราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือถวายตัวเรา ตัวเราคืออะไร? คือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจนี้
ถ้าหัวใจนี้ได้บำรุงรักษา ถึงเราจะไม่มีความสุข เราจะไม่ได้สงบระงับ จิตใจเราไม่สงบเข้ามา แต่เราก็ได้ปฏิบัติบูชา บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บูชาตัวเอง ถ้าบูชาตัวเอง สัจจะตรงนี้มันเกิดขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมา มันเป็นสมบัติของเรา
ฉะนั้น เวลาเราอยู่ทางโลก ทาน ศีล ภาวนา การทำบุญกุศลของเราเป็นทาน เราถือศีลเป็นปกติของใจ ใจของคนมีหลักมีเกณฑ์ มันไม่หวั่นไหวไปกับโลกเขา ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมา ปัญญานี้เอาตัวรอดได้ ถ้าเอาตัวรอดได้ นี่คือสัจจะ
ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนเรื่องกาลามสูตร อย่าให้เชื่อๆ อย่าให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราไม่เชื่อขึ้นมา เราปฏิบัติเอาความจริงของเรา ไม่ให้เชื่อนะ ไม่ให้เชื่อว่าเป็นอาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อว่าอนุมานเอา ไม่ให้เชื่อ แต่ทำไมสังคมเขาเชื่อกันล่ะ ดูสิ เวลาที่ว่าลิตเติลบุดดาๆ ความเชื่อของเขา เห็นไหม ความเชื่อของเขานั่นอะไรล่ะ นั่นมันธุรกิจทั้งนั้นแหละ โลกนิยมทั้งนั้นแหละ เวลาโลกนิยมเพราะอะไรล่ะ
เวลาไปนะ เราคนไทย เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เราเชื่อถือศรัทธาในพระพุทธศาสนาใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเอง ถ้าระลึกถึงเรา ให้ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เราก็ไปกัน ไปที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกิดสวนลุมพินีวัน ไปที่ตรัสรู้ ไปที่แสดงธัมมจักฯ ไปที่ปรินิพพาน คนไทยไปท่องเที่ยวกันมาก เห็นไหม พวกแขกเขาถือฮินดู ฮินดูของเขา เขามีรูปเคารพของเขาเยอะแยะไปหมด เขาเห็นว่าเราไปเที่ยวอินเดีย เขาก็ต้องการทำธุรกิจของเขา เขาก็หล่อรูปขึ้นมา ลิตเติลบุดดาๆ จะขายให้คนไทย ขายให้ชาวพุทธ ก็เขาเป็นฮินดู เขาจะขายให้ชาวพุทธ ไอ้ชาวพุทธไป ลิตเติลบุดดาๆ ก็เชื่อกัน ลิตเติลบุดดา ไปกันจนเป็นความเชื่อถือ
กาลามสูตร พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ แต่นี่มันเชื่อ พอมันเชื่อแล้วมันก็เอามาเมืองไทย เอามาหล่อรูปลิตเติลบุดดา ลิตเติลบุดดาทั่วประเทศไทย เชื่อกันไปเลย เชื่อกันไป ลิตเติลบุดดาๆ พระพุทธเจ้าน้อยๆ เราก็ทับศัพท์แปลเป็นไทยว่าพระพุทธเจ้าน้อย
พอพระพุทธเจ้าน้อย อ้าว! ก็ศรัทธาไง ศรัทธาเขาทำบุญกุศลจะผิดตรงไหนล่ะ การทำบุญมันดีไปหมดแหละ การทำบุญจะผิดที่ไหน
ใช่ การทำบุญส่วนทำบุญนะ การทำบุญเป็นเรื่องดี เราเสียสละ เราเห็นสัตว์ เรายังให้อาหารมันใช่ไหม เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เราช่วยเหลือเจือจานมันก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ เป็นความดีนั่นแหละ ความดีกับมิจฉาทิฏฐิมันคนละเรื่องนะ ถ้าความดีมันถูกต้องดีงามไปหมดมันก็ดีงามไปหมดใช่ไหม แต่มันมีมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดไง ถ้าความเห็นผิดมันจะเป็นความดีไหม
ความเห็นผิดก็ต้องบอกเขาสิ บอกว่าเราทำบุญ พระโพธิสัตว์น้อย เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดมาแล้วประกาศว่าเราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่ท่านยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา ถ้าท่านปฏิบัติขึ้นมา อนาคตท่านจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เป็นความจริง แต่ไอ้ที่ว่า พระพุทธเจ้าน้อยๆ นี่มันมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด เอาความเห็นผิดมาให้คนทำบุญๆ ในปัจจุบันนี้เวลาเขาไปทำบุญกุศลกันตามวัดต่างๆ รูปเคารพเยอะแยะไปหมดเลย รูปอะไรก็ไม่รู้ ในวัดนั้นรูปอะไรก็ไม่รู้
เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติกันนะ เวลาเรากำหนดพุทโธๆ เรากำหนดพุทโธๆ เราจะกำหนดพุทโธกันนะ กำหนดพุทโธเพื่ออะไร เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธกับพระธรรม เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก รัตนตรัย รัตนะ ๓ ประการครบบริบูรณ์ รัตนะ ๓ ประการ
เราเป็นชาวพุทธ เราต้องเป็นพุทธมามกะ เราต้องถือรัตนตรัย เรากล่าวถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรา เรากล่าวถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ไง แล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติให้กำหนดพุทโธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเองนะ เวลาพระไปเที่ยวป่ากลับมา ไปกลัวผีกลับมา ท่านบอกว่าให้ระลึกถึงเรา ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ให้ระลึกถึงพระธรรม ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ถ้ายังกลัวผีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมหาศาลเลย สิ่งนี้มันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความดีงามที่ถูกต้อง มันจะทำหัวใจของเราให้มันสงบระงับเข้ามา
เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิบัติพุทโธ
อ้าว! พระพุทธเจ้าน้อย เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดมาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ มันก็ยังไม่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมบอกว่าลิตเติลบุดดาล่ะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เวลาสอน บอกพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่รู้ จะสอนได้อย่างไรล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังขวนขวายอยู่ ยังค้นคว้าอยู่ ขณะที่ท่านกำลังต่อสู้ กำลังเผชิญกับทำทุกรกิริยาอยู่ มันยังระลึกถึงอะไรไม่ได้ คนไม่รู้จริงจะรู้ได้อย่างไร แต่พอรู้จริงขึ้นมาก็สอนเป็นสัมมาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิดเชื่อผิด สัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูก ความเชื่อถูก ถ้าความเชื่อถูกมันจะไปไหนล่ะ? มันก็ไปสู่ความจริงไง ถ้าไปสู่ความจริงก็ความจริง
สิ่งที่เวลาบอกว่าพระพุทธเจ้าน้อยนะ เชื่อกันตั้งแต่คหบดีลงมา เชื่อกันแม้แต่พระที่เป็นประธาน พระที่มาช่วยกันประโคมข่าว อุ้มชูกัน อวยชัยกัน นั่นล่ะเวลามิจฉาทิฏฐิว่ากันไปอย่างนั้น เวลาสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิมันเกิดที่ไหนล่ะ สัมมาทิฏฐิ เห็นไหม เรามาอยู่วัด ๖-๗ วัน เราปฏิบัติของเรา จิตเราลงไหม ถ้าจิตลง เราก็ไปเจอความจริงเท่านั้นแหละ นั่นสัมมาทิฏฐิมันถูกต้องดีงามของมัน ถ้ามันล้มลุกคลุกคลานอยู่ มันยังเข้าไม่ถึง เราก็พุทโธเหมือนกัน เราก็กำหนดพุทโธเหมือนกันนี่แหละ แต่ทำไมพุทโธแล้วว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ทำไมมันไม่ถูกต้องดีงามล่ะ มันไม่ถูกต้องดีงามเพราะเรามีกิเลสไง จิตใจของเรามีกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับไสอยู่นะ
ฉะนั้น สิ่งที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิเราต้องปลูกฝังไว้ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันเป็นยาพิษนะ ดูสิ อนุชนของเรามันจะดูแลพระพุทธศาสนา มันจะดูแลชาติตลอดไป แล้วเอาความเห็นผิดไปฝัง ไปปนไว้กับอนุชนรุ่นหลังของเรา แล้วให้มันเติบโตขึ้นมาด้วยความเห็นผิด มันจะรักษาอะไรกัน ถ้ามันเติบโตขึ้นมาด้วยความเห็นผิด ด้วยความเข้าใจผิด แล้วมันจะทำอะไรให้มันถูกต้องได้
แต่ถ้าเราปลูกฝังอนุชนของเรา ให้ความเห็นถูก ถ้าความเห็นถูก เริ่มต้นความเห็นถูก ถ้ามันปฏิบัติต่อเนื่อง มันเจริญเติบโตไป มันก็จะเติบโตด้วยความถูกต้องดีงาม มีฐานที่ถูกต้อง ฐานที่เป็นพื้นฐานให้ถูกต้องดีงามขึ้นไป มันถูกต้องอย่างนั้นแหละ แล้วถ้าเป็นจริงขึ้นไป มันเป็นจริงขึ้นไป แต่ถ้าไม่จริง อย่างเรา เราได้รับการปลูกฝังมาทางที่ผิด แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาจิตใจของเรามันเข้าไปสู่ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรู้เลยว่าทางที่ผิดเป็นอย่างไร แล้วเข้าทางที่ถูก มันจะทิ้งมา คนมันต้องมีบารมี
ถ้าคนไม่มีบารมี เรามีความเชื่อที่ผิดๆ มา เวลาทำสิ่งใดไปแล้วมันก็เอาความเชื่อที่ผิดนั้นเป็นจินตนาการ เวลาปฏิบัติไป พอจิตมันจะสงบเข้ามา กลัวนะ ดูในปัจจุบันนี้เขาบอกว่ากำหนดพุทโธมันเป็นสมถะ มันจะเกิดนิมิต เวลาใครกำหนดพุทโธ จิตมันจะลง มันปฏิเสธสมถะ คือปฏิเสธสมาธิ ถ้าปฏิเสธสมถะ ปฏิเสธสมาธิ จิตมันไม่ลงสู่สัจจะความจริง
ถ้าจิตมันลงสู่สัจจะความจริง จิตเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิไม่ใช่มิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ปฏิบัติในแนวทางสติปัฏบาน ๔ โดยความเป็นจริง เพราะจิตมันมีความจริงของมัน มันไม่มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความเห็นผิด ไม่มีใครชักจูงไปให้เห็นตามแต่กิเลสมันจะพาเห็น แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นสัมมาสมาธิ เวลาจิตมันลงไปมันจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเห็นเพราะอะไรล่ะ
มันเห็นจริง มันถึงสำรอกคายของมัน คายอะไรล่ะ? คายสักกายทิฏฐิ คายความเห็นผิดไง ถ้าคายความเห็นผิด ความเห็นผิดที่ไหน ความเห็นผิดอยู่ที่ปฏิสนธิจิต เพราะปฏิสนธิจิตมันมีความเห็นผิดมันถึงเวียนว่ายตายเกิด เพราะความเห็นผิดอันนี้มันถึงเวียนมาเกิดเป็นเรา ถ้าเกิดเป็นเรา บุญกุศลพาเกิดขนาดไหน นี่เกิดมา เกิดมามีมนุษย์สมบัติ ศรัทธาความเชื่อ อริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แล้วอริยทรัพย์เกิดมา ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิมันจะไปไหนล่ะ มันก็วนอยู่นั่นล่ะ พอวนอยู่นั่นมันก็เป็นเหยื่อ มันก็เป็นสินค้าไง โฆษณากัน ชวนเชื่อกัน โอบอุ้มกันว่าทำบุญ ทำบุญเป็นเรื่องที่ดี
ดี ทำบุญเป็นเรื่องที่ดี แต่ทำบุญด้วยสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ อย่างไรมันจะดีกว่ากันล่ะ ถ้ามันดีกว่ากันนะ เพราะถ้ามิจฉาทิฏฐิแล้วมันจะเข้าสู่สัจจะความจริงได้ไหม ดูสิ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลาจิตมันเข้าสู่กระแส มันไปข้างหน้าแน่นอน มันถูกต้องดีงามไง มันพาดกระแสแล้ว เกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น ถ้าเกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น มันจะเข้าสู่สัจจะของมัน เข้าสู่ความจริงอันนั้นเลย ถ้าเข้าสู่ความจริงอันนั้น เห็นไหม สังคมเป็นแบบนั้น ถ้าสังคมเป็นแบบนั้น นี่กาลามสูตรๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ถ้าไม่ให้เชื่อ แล้วให้เชื่ออะไรล่ะ? ให้เชื่อสัจจะความจริงที่เราปฏิบัติรู้จริงขึ้นมา ถ้ารู้จริงขึ้นมามันจะรู้จริงได้อย่างไร
เวลาพุทโธๆ สังคมเขาบอกว่าพุทโธเป็นสมถะ แล้วกลัวกันนักกลัวกันหนานะ กลัวมันจะติดนิมิตไง กลัวนักกลัวหนา ถ้าเราไม่มีเงินทองกันนะ เราจะใช้จ่ายหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาดำรงชีวิตไม่ได้เลย แล้วเราอยากได้ปัจจัย ปัจจัย ๔ ข้าว อยากมีอาหาร อยากมีที่อยู่อาศัย อยากมียารักษาโรค อยากมีเครื่องนุ่งห่ม เห็นไหม ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ มันมาจากไหนล่ะ ถ้าเราไม่ทำงานได้เงินทองมา แล้วไปแลกปัจจัย ๔ มา
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีกำลัง จิตของเราไม่เป็นสมาธิ มันไม่มีเงิน คือไม่มีทุน คือไม่มีเรา ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้ที่ไปแยกแยะ ถ้าไม่มีผู้ไปแยกแยะมันก็เป็นสัญญา ก็ความคิด ความคิดไม่ใช่จิต อารมณ์ความรู้สึกมันเกิดดับ ก็บอกว่าปฏิบัติแบบเกิดดับ เกิดดับก็คนสลบไง สต๊าฟจิตไว้เลยไง ก็เกิดดับ ก็มันเกิดดับแล้ว ก็พระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตก ก็ฟองสบู่มันก็แตกไปแล้ว แล้วมันมีอะไรต่อล่ะ ก็ความเกิดดับ
แต่เราพุทโธๆ เห็นไหม เห็นพุทโธ เราระลึกขึ้นมา คำบริกรรม พุทโธๆ แต่มันสงบเข้าไปแล้ว ความเกิดดับ มันวางความเกิดดับ เพราะความเกิดดับคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ไม่ใช่จิต อาศัยอยู่ด้วยกัน ขันธ์เกิดจากจิต
เขาบอกว่าหลวงพ่อสอนผิด บอกขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันเกินไป มันผิด มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เวลาอัปปนาสมาธิ เวลามันสักแต่ว่ารู้ มันมีความรู้สึกไหม ความรู้คือรูป สักแต่ว่ารู้มันละเอียดกว่ารูป มันละเอียดลงไปอีก แล้วละเอียดไปแล้วมันมีขันธ์ไหม มันก็มีขันธ์ ๑ แล้วเวลาเป็นขันธ์ ๑ ภวาสวะ ตัวภพ ตัวจิต เวลาลงไป ปฏิบัติแล้วมันจะรู้มันจะเห็นไง แต่เวลาออกมาเป็นสามัญสำนึก ออกมาเป็นวิชาการ ใช่ ขันธ์ ๕ กับจิตมันเกี่ยวเนื่องกัน มันเสวยอารมณ์ มันมีเจตสิกเจตนามันก็ว่ากันไปตามทฤษฎี
แต่ถ้าทำความเป็นจริงล่ะ ถ้าทำความเป็นจริงทำขึ้นมาสิ ถ้ามันจริงขึ้นมามันเห็นของมันใช่ไหม ถ้าจิตมันสงบเข้าไป มันรู้ของมัน ถ้าเวลาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน ๔ จริงไง จริงๆ คืออะไร? จริงๆ คือภาวนามยปัญญา จริงๆ คือจักร เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติของท่านนะ เวลาจักรมันเคลื่อน ปัญญามันเคลื่อน เห็นไหม ดูสิ สติ-มหาสติ เวลาปัญญา-มหาปัญญา ปัญญาที่เราจะฝึกฝน ปัญญาที่เราจะกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อสิ่งต่างๆ กระแสสังคมมันเชื่อกันไป มันลากกันไป เพราะมันมีผลประโยชน์ใช่ไหม มันมีผลประโยชน์ มันชักจูงมันไป ก็เชื่อตามๆ กันไป เราเห็นผู้ใหญ่เชื่อ เด็กมันก็เชื่อตาม โอ๋ย! ยิ่งเห็นพระเชื่อนี่มันไปเลยนะ โอ๋ย! พระยังเชื่อ เราต้องเดินตามพระไปอยู่แล้ว พระมาจากไหน พระก็บวชมาจากคนนี่แหละ แล้วแต่คนมีวุฒิภาวะแค่ไหน นี่ขนาดบวชเป็นพระแล้วนะ ศึกษาจบพระไตรปิฎก จบทุกอย่างมาแล้วยังเชื่อกันไปอย่างนั้น
แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ ถ้าความจริงไปบอกเขา ความเชื่อความศรัทธามันยุบยอบลง ถ้าบอกว่าเป็นพระโพธิสัตว์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันแตกต่างกัน หวังอะไรล่ะ เราหวังแต่ลาภสักการะหรือ เราต้องหวังความจริงสิ ปลูกฝังความจริงไว้ อย่าเอาความผิดๆ ไปใส่ไว้ในเยาวชน อย่าให้เขาเชื่ออย่างนั้น ถ้าคนที่เป็นรัฐบุรุษ คนที่เขามองการไกลนะ แต่นี่บอกไม่เป็นไร ทำบุญดีทั้งนั้นแหละ ไปที่ไหนก็ทำบุญดีทั้งนั้นแหละ แล้วก็ไปทำบุญๆ กัน
บุญนะ บุญคือความสุขของใจ แม้แต่เราไม่มีสิ่งใดให้ เราอนุโมทนาไปกับเขา เห็นใครทำคุณงามความดี เห็นคนดีเขาทำดี เราอนุโมทนาไปกับเขา เราก็ได้บุญแล้ว การได้บุญนะ เราคิดแต่เรื่องดีๆ ความรู้สึกที่ดี อันนี้ก็เป็นบุญแล้ว เพราะสิ่งที่เป็นวัตถุทำขึ้นมาก็เพื่อหัวใจนี้แหละ เพราะมันเป็นเครื่องการแสดงออกของใจ ถ้าใจไม่คิดแสดงออก เราเสียสละสิ่งที่เราหามานี้ไม่ได้ สิ่งที่เราหามา เราเสียสละไปเพื่อพัฒนาหัวใจ พัฒนาให้มันรู้จักเสียสละ ให้มันรู้จักมีจุดยืนของมัน บุญก็อยู่ที่นี่ไง บุญมันไม่อยู่ที่ข้าวของเงินทอง บุญไม่อยู่ที่แก้วแหวนเงินทอง บุญไม่อยู่ที่เงิน บุญไม่อยู่ที่สิ่งใดๆ เลย บุญมันก็อยู่ที่ใจนี่แหละ แต่มันไม่มีตรงนั้นมันแสดงออกไม่ได้ ถ้ามันแสดงออก มันพัฒนาการ
ดูสิ คนที่ออกกำลังกายมันได้อะไรมา? ได้เหงื่อมา เช้าขึ้นมาออกไปวิ่ง ได้อะไร? ได้เหงื่อมา ไปวิ่งทำไมให้มันเหนื่อยนั่นน่ะ อ้าว! วิ่งมาเพื่อสุขภาพไง วิ่งมาเพื่อสุขภาพแข็งแรงไง สุขภาพที่ดีขึ้นมา แล้วสุขภาพที่ดี โรคภัยไข้เจ็บมันมีไหม ถ้าโรคภัยไข้เจ็บมันไม่มี ทำอะไรมันก็สบายใจทั้งนั้นแหละ
จิตของเราถ้ามีกำลังขึ้นมา จิตทำสัมมาสมาธิขึ้นมามันก็มีกำลัง มันก็สุขภาพจิต สุขภาพจิตที่ดี สิ่งที่ดี มันไม่เชื่อสิ่งใดง่ายๆ แล้วทำสิ่งใดไปมันก็จะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา เห็นไหม พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้าออกฝึกหัดใช้ปัญญาไปมันถึงจะเป็นปัญญาสัจจะความจริงอันนั้นขึ้นมา
ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา เห็นไหม กาลามสูตร ไม่ต้องเชื่อใครเลย ไม่ต้องเชื่อใครเลย เชื่อความจริงอันนี้ แต่เริ่มต้นถ้าไม่เชื่ออะไรเลยมันก็เคว้งคว้าง เราก็ศึกษาธรรมและวินัย ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทาง แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติไป แต่ที่พูดนี้เพราะมันมีทิฏฐิ มีความเห็นต่างกัน แล้วก็ขัดแย้งกัน
ทีนี้คนจะภาวนาพุทโธก็บอกพระพุทเจ้าไม่ได้สอน บอกพระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิบัติพุทโธ แล้วเวลาสอนขึ้นมาบอกว่าอันนี้มันไม่ใช่ในพระไตรปิฎก มันเป็นฎีกา อรรถกถาไปนู่น จะพูดให้คุณค่ามันต่ำไว้ แต่เวลาลิตเติลบุดดาบอกเลย นี่ลิตเติลบุดดา นี่พระพุทธเจ้าน้อย
ความเชื่อของสังคม เห็นไหม กาลามสูตร อย่าให้เชื่อใคร แล้วอย่าให้เชื่อคนพูดนี้ด้วย แล้วค้นคว้า ไปหาสัจจะ ไปหาข้อเท็จจริง แล้วอะไรจริง เราปลูกฝังหัวใจของเราให้สู่ความจริง เพื่อประโยชน์กับใจของเรา ให้เป็นประโยชน์กับใจนี้ แล้วปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงามขึ้นมา ให้มีคุณธรรมในหัวใจของเราขึ้นมา ให้ใจเรามีที่พึ่งอาศัย ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไปกับโลกเขา เอวัง