เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o เม.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะนะ ธรรมะเป็นเครื่องขับกล่อมหัวใจนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตลอดเวลา “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

เรามีพ่อแม่เป็นที่พึ่งนะ เราเกิดจากพ่อจากแม่นะ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ เรามีพ่อแม่ ถ้าไม่มีพ่อแม่ เราจะเติบโตไม่ได้หรอก สัตว์บางชนิดเวลามันคลอดลูกมาแล้วมันทิ้งเลย ลูกมันเจริญเติบโตเอง มนุษย์ถ้าไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดูนะ จะโตขึ้นมาอย่างนี้ไม่ได้หรอก มนุษย์ พ่อแม่ฟูมฟักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถ้าพ่อแม่ฟูมฟักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ถ้าเป็นพระอรหันต์ เรามีพ่อมีแม่เป็นที่พึ่งที่อาศัย แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เธอมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด มีพ่อแม่เป็นที่พึ่งอาศัย พ่อแม่สั่งสอน เชื่อฟังพ่อแม่ไหม

เวลาเราทำสิ่งใดขึ้นมา ต่อไปเราเติบโตขึ้นมาเราก็จะเป็นพ่อคนแม่คนนะ ถ้าขณะเราเป็นเด็ก พ่อแม่สั่งสอนเราอย่างไร เรามีความขัดข้องหมองใจอย่างไร เวลาเรามีลูกของเรา เราก็ต้องรู้สำนึกว่าถ้าเด็กมันมีอารมณ์อย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น ชีวิตนี้มันยาวไกลนักนะ ชีวิตนี้มันเหนื่อยยากนัก คนเราปากกัดตีนถีบเพื่อความมั่นคงของชีวิต ถ้ามันมั่นคงของชีวิตไปแล้วมันเหนื่อยนัก เหนื่อยนักก็ให้พักซะ พักแล้วมันก็หายเหนื่อย

เวลาคนเรานะ ถ้ามันพักแล้วมันหายเหนื่อย แล้วมาทำงานใหม่มันก็ได้ เวลามันเหนื่อยยาก มันทุกข์มันยาก มันเหนื่อยยากในหัวใจ ถ้ามันเหนื่อยยากในหัวใจมันยิ่งกว่านี้นะ อารมณ์ความรู้สึกมันตึงเครียดในใจ เหนื่อยนัก พักก็หายนะ นอนหลับพักผ่อนขึ้นมามันก็สดชื่นขึ้นมา มันก็ทำงานใหม่ได้แล้วนะ แต่หัวใจเวลามันเหนื่อยนัก มันตึงเครียดของมันแล้ว นอนขึ้นมามันยิ่งเครียดใหญ่ ยิ่งนอนมันยิ่งไปนอนคิดไง นอนฟุ้งนอนซ่าน นอนกว้านเข้ามาไง คนนี้อย่างนั้นไม่ดี คนนั้นอย่างนั้นไม่ดี ทำงานไม่ไหว ทำไม่ได้

นี่ไง “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” ถ้าตรงนี้มันมีธรรมขึ้นมา มันจะพึ่งตรงนี้ได้ไง สิ่งที่มันเกิดขึ้น ดูสิ ในทางอภิธรรมเขาบอกเกิดดับ มันเกิดดับๆ ความคิดมันก็เกิดดับตลอดเวลา แล้วมันเกิดขึ้นมาทำไมมันไม่ดับล่ะ มันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ฟุ้งซ่าน มันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็เหยียบย่ำในหัวใจ มันเกิดมาตลอด แล้วมันเหยียบย่ำ แล้วพ่อแม่ช่วยเราได้ไหมล่ะ

พ่อแม่ เห็นไหม ลูกเลี้ยงมา ความรักสิ่งใดเท่ากับความรักของพ่อแม่ไม่มี ความรักที่สะอาดบริสุทธิ์นะ พ่อแม่รักลูกเราโดยที่มีความสะอาดบริสุทธิ์มาก รักด้วยความเมตตา อยากให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่มีความรักใดในโลกนี้สะอาดบริสุทธิ์กว่าความรักของพ่อของแม่ ความรักของพ่อของแม่ เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา พ่อแม่ก็ปลอบประโลมนั่นล่ะ “ลูก เดี๋ยวมันก็หาย ทนเอานะ” พอพ่อแม่บอกว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนนะ ฟังไม่ได้เลย ฟังไม่ได้เลย แต่เดี๋ยวมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ชีวิตนี้เกิดมาจากไหน ในทางกรรม ชีวิตเกิดมาจากเวรจากกรรม เพราะเรามีเวรมีกรรม สายบุญสายกรรมเกิด ถึงเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน เพราะเรามีเวรมีกรรมต่อกัน เราถึงมาเกิดร่วมกัน ถ้ามาเกิดร่วมกัน นี่เกิดโดยกรรมๆ เกิดโดยกรรม กรรมเป็นสายบุญสายกรรมถึงได้เกิดกับพ่อกับแม่ เกิดกับชาติตระกูลนี้

ถ้าเกิดกับชาติตระกูลนี้ เกิดกับชาติตระกูล เห็นไหม ชีวิตนี้มาจากไหนๆ ก็มาจากเวรจากกรรม แล้วจากเวรจากกรรม เราเกิดมาปัจจุบันนี้เรามีเวรมีกรรมมาด้วยกัน ถ้าเราทำสิ่งใดเราต้องคิดถึงชาติถึงตระกูลของเรา คิดถึงพ่อถึงแม่ของเรา ท่านจะเสียใจกับการกระทำของเราไหม เราทำสิ่งใดไปท่านจะเสียใจกับเราไหม มันยับยั้งชั่งใจได้นะ แต่ถ้าเราไม่ได้คิดสิ่งใดเลย เราจะคิดแต่อารมณ์ของเราคนเดียว เราทำของเราคนเดียว จะให้ประสบความสำเร็จของเราคนเดียว เราดันทุรังของเราไปคนเดียว ถ้าดันทุรังไปคนเดียวนะ เห็นไหม

“เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” เดี๋ยวบวชแล้วใครประพฤติปฏิบัตินะ นั่นแหละเก่ง ถ้าเก่งนักต้องนั่งสมาธิได้ นั่งตลอดรุ่งเลย ถ้าดันทุรังเอาให้ได้อย่างนี้ ถ้าความดีพยายามขวนขวาย สร้างสมขึ้นมาให้มันได้ เวลาทำคุณงามความดีขึ้นมา เวลาเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมามันไม่เอา แต่เวลามันจะเถลไถลนะ มันจะออกนอกเรื่องนอกราวนะ มันไปของมันเต็มที่เลย แล้วก็บอกว่ามันมีปัญญาๆ เห็นไหม เพราะมันมีกิเลสเป็นที่พึ่ง มันไม่มีธรรมเป็นที่พึ่ง เพราะมันมีความพอใจเป็นที่พึ่ง มีตัณหาความทะยานอยากเป็นที่พึ่ง ตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจอยู่แล้ว

ชีวิตนี้มาจากไหน? ก็มาจากเวรจากกรรม ในเมื่อเวรกรรมมันครอบงำมันอยู่ มันจะเป็นอิสระไปที่ไหน เวลามันคิด มันคิดโดยเวรโดยกรรม คิดโดยความต้องการของตัว มันจะกว้านมาเป็นสมบัติของตน แล้วมันเป็นไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีใครคงที่ มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งร่างกายและจิตใจของคน สภาวะแวดล้อมมันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดของมัน สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ สอนอนัตตา สอนไตรลักษณะ ไตรลักษณะที่เห็นตามความเป็นจริง แล้วใครจะเห็นล่ะ

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา พระไตรปิฎกก็เขียนไว้อย่างนั้น เห็นหมดแหละ ค้นคว้าตู้พระไตรปิฎกเข้าใจหมดเลย ๙ ประโยค ๑๐ ประโยต ได้ใบประกาศด้วย ได้การันตีเลย เรียนจบหมดเลย แล้วเห็นไหม

ถ้ามันเห็น มันจะเห็นในใจของมัน ถ้ามันเห็นในใจของมัน เพราะไม่มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด มีกระดาษเป็นที่พึ่ง เรียนจบมาเอากระดาษมาใบหนึ่ง มาอวดกันว่าฉันเรียนจบมาชั้นไหน ฉันมีใบรับรองวุฒินะ ฉันมีความรู้ แต่ทุกข์

แต่ถ้ามีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขๆ เวลาชำระล้างอวิชชาไป เสวยวิมุตติสุขนะ ถ้าเสวยวิมุตติสุข มันละเอียดลึกซึ้งๆ พอบอกละเอียดลึกซึ้งปั๊บ มันสุดความสามารถของพวกเราที่จะจินตนาการได้ สุดความสามารถของเราจะเอื้อมถึงได้ แต่มันไม่จริง มันไม่จริงที่ไหน มันไม่จริง มันจะวิมุตติสุข มันจะสุข มันจะละเอียดมากขนาดไหนมันก็เกิดจากใจเรานี่ไง เวลามันทุกข์นี่มันทุกข์แสนเข็ญ เวลามันทุกข์ มันทุกข์ยากแสนเข็ญ แล้วเวลาถ้ามันจะมีความสุข มันทำลายไอ้ตัวนี้มันไม่รู้ได้อย่างไร

ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ถ้าทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป แล้วมันเกิดขึ้นมาเราก็รู้ ทุกข์ ท.ทหาร สระอุ ก.ไก่ เขาว่าเป็นทุกข์ ถ้าทุกข์ของมัน นั่นมันชื่อของมันไง เวลาไปศึกษาชื่อศึกษานามกัน พอศึกษาชื่อศึกษานามก็ว่าตัวเองเข้าใจ เวลามันเกิดจริงๆ ไม่เข้าใจ ถ้ามันเกิดจริงๆ ไม่เข้าใจนะ ทุกคนเกลียดทุกข์ ปรารถนาความสุข แล้วเวลามันไฟสุมขอน มันเผาอยู่ในใจของตัว ทำไมมันไม่สลัดทิ้ง ในเมื่อเราไม่สลัดทิ้ง เห็นไหม ดูสิ เวลาเราจับงูไว้ ว่าอันนี้เป็นงูๆ เราจับไว้ ถ้าเราเข้าใจว่างู มันนึกว่ามันเป็นปลา มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราก็จับมันไว้ แต่ถ้าวันไหนเรารู้ว่ามันเป็นงู เราจะจับให้มันกัดเราไหม งู ไปจับคอมันไว้ อันตรายไหม แล้วทำไมไม่สลัดมันทิ้ง

ถ้าเราสลัดมันทิ้ง เพราะงู เห็นไหม มันเป็นวัตถุ เรารู้ว่ามันเป็นโทษ เราสลัดทิ้งได้ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความทุกข์ในใจรู้ว่าทุกข์ไหม ถ้าไม่ทุกข์ ร้องไห้ทำไม ถ้าไม่ทุกข์ ทำไมมันเจ็บช้ำขนาดนั้น เราสลัดมันสิ สลัดมันทิ้งไป ก็ศึกษาแล้วไง ก็ศึกษาแล้ว เพราะอะไร เพราะมันไม่มีธรรมเป็นที่พึ่งไง มันไปศึกษาธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันมีกิเลสในหัวใจ แต่ถ้าเวลาเราบวชแล้ว เราประพฤติปฏิบัติแล้ว เราต้องมีสติยับยั้ง

สิ่งที่เราศึกษามันเป็นปริยัติ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” เราศึกษาเอาความรู้กัน ทางวิชาการเราศึกษากัน เราศึกษาจบแล้วเราต้องหาหน้าที่การงานทำของเรา ถ้าเราทำแล้วเราได้ผลประโยชน์ของเรา ถ้าประสบการณ์ในการทำงาน เรามีประสบการณ์กี่ปีๆ มันเป็นประสบการณ์ชีวิต แล้วเราต่อยอด เราวิจัยของเรา เราวิเคราะห์ของเรา เราทำงานของเรา เราสร้างนวกรรมใหม่ๆ ของเราขึ้นมา เราทำของเรา มันต่อยอดของเราขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน ปริยัติศึกษาแล้ว ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎีเราศึกษามาแล้ว ศึกษามาแล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ มันเป็นจริง นี่ไง ที่บวชมาๆ เป็นคนดิบๆ จะมาบวชให้เป็นสุก แล้วมันสุกที่ไหนล่ะ สุกเอาเข้าไฟเผาจะได้สุก

มันสุก มันสุกด้วยตบะธรรมไง ตบะธรรม สติ มันยับยั้งของมัน ถ้ามีสติ ความคิดที่มันมีอำนาจเหนือเรา ที่มันฉุดกระชากลากใจไป อย่างน้อยมันต้องหยุดได้ อย่างน้อยมันต้องหยุดได้ แล้วถ้ากำหนดพุทโธเข้าไป มีคำบริกรรมเข้าไปนะ จิตมันสงบได้ ถ้าจิตมันสงบนะ อ๋อ! อ๋อทันทีนะ อ๋อ! อ๋อเลยนะ อ๋อเพราะอะไร อ๋อเพราะว่ามันรู้จริงไง

นี่ไง สิ่งที่เราศึกษามา สติ สมาธิมันก็ชื่อทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าสติยับยั้ง เรายับยั้งมันก็หยุดได้ มันก็เหมือนกับสติทางโลก โลก สติของโลกียปัญญาของเขา สติโดยสามัญสำนึกของโลกมีสติอยู่แล้ว แต่สติอย่างนี้มันสติของปุถุชน แต่เรามีสติยับยั้ง ยับยั้งขึ้นไปได้ เพราะอะไร รูป รส กลิ่น เสียง จิตใจมันชอบขนาดนี้ มันชอบรูป ชอบรส ชอบกลิ่น ชอบเสียง เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร นี่เป็นบ่วงของมาร บ่วงมาล่อไง ล่อให้เราลุ่มหลงกันอยู่นี่ ถ้ามันเป็นบ่วงมันก็เยินยอ เยินยอให้เราหลงใหลไปกับมัน นี่เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันรัดคออยู่นั่นล่ะ

ถ้ารัดคออยู่นั่น ถ้ามันมีคำบริกรรมขึ้นมา มันพุทโธๆๆ มันปล่อยวางรูป รส กลิ่น เสียง เป็นอิสรภาพ ถ้าจิตมีอิสระปั๊บ มันปล่อยวางมา ที่ว่า งูๆๆ เห็นไหม งูมันจับคอไว้ทำไม ทำไมไม่สลัดทิ้งไป ถ้าสลัดทิ้งไปมันก็สงบระงับเข้ามา สงบระงับเพราะอะไร เพราะมันไม่เสวย มันไม่กินรูป รส กลิ่น เสียง เราสงสัยในรูป รส กลิ่น เสียง รูปไง รูปก็สงสัยในสิ่งที่เห็น เสียง เสียงก็เขาว่า เขาติเขาเตียนไง กลิ่น กลิ่นก็อยากรู้อยากเห็นไง รูป รส กลิ่น เสียงมันก็ออกไปรู้ไง ธาตุรู้ออกไปรู้มันก็สงบได้ไง เพราะมันทิ้งบ้านทิ้งเรือนมันไป พอเราพุทโธๆ ย้อนกลับมาๆ ย้อนกลับมาให้มันสร้างตัวมันเองได้

พอมันสร้างตัวเองได้ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” แค่จิตสงบนะ ถ้าคนไม่มีสติปัญญาก็ว่านี่เป็นนิพพาน “โอ้โฮ! นิพพานมันว่างขนาดนี้” สัมมาสมาธิมันก็ว่าง แต่ถ้าเป็นมิจฉา มิจฉามันก็หลงใหลไป มิจฉามันก็ตกภวังค์ไป มิจฉามันส่งออกไง นั่นมิจฉาทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นสัมมาล่ะ สัมมามันคงตัวของมันเอง ความสุข เห็นไหม ดูสิ เราเป็นเศรษฐีมีเงิน เราอยู่บ้านเราด้วยความสุข ความสงบ ความระงับ เราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่ใช่เศรษฐีเงินกู้ กลัวเขาจะไม่รู้ว่าเราเป็นเศรษฐีเที่ยวอวดเที่ยวโชว์เขา เป็นเศรษฐี นี่ไง ส่งออกก็เศรษฐี เศรษฐีเงินกู้ กู้ยืมเขามา ต้องการเครดิตเข้าไปเรียกร้องให้คนเชื่อถือ

แต่ถ้าเราเป็นเศรษฐี เราอยู่ในบ้าน เราไปกลัวอะไร ก็เงินของเราต้องไปบอกใคร นี่สัมมาสมาธิมันเป็นอย่างนี้ มันถึงสุขสงบระงับเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแล้วมีสติปัญญาออกรู้ออกเห็น ออกรู้เห็น ออกพิจารณาของเรา ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริง

ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันสะเทือนหัวใจมากนะ มันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร ถ้าเราทำงานสิ่งใด เราก็ทำของเราด้วยความมั่นใจของเราว่าถูกต้องดีงามไปทั้งนั้นแหละ ถ้าวันใดเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำดีงามอยู่นี้มันผิด มันไม่ถูกต้อง เราสะเทือนใจไหม เราสะเทือนใจไหม แล้วถ้าให้คนอื่นบอกว่าผิดๆๆ เถียงเขาตายเลย “ผิดได้อย่างไร ทำอยู่ทุกวัน โอ้โฮ! ถูกต้องดีงามทั้งนั้นแหละ ทำมาสุดยอดหมดเลย” แต่ถ้าวันไหนเรารู้ว่าผิดนะ มันสะเทือนใจมาก ทำไมเราหลงมาขนาดนี้ ทำไมเราเห็นผิดมาขนาดนี้

ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เพราะจิตมันเห็น เพราะจิตมันเห็น จิตมันลุ่มหลงมาตลอด จิตมันลุ่มหลงว่าสรรพสิ่งพวกนี้เป็นเราทั้งนั้นแหละ ทุกอย่างเป็นเรา เราเกิดมาจากเวรจากกรรมก็เป็นเราทั้งนั้นแหละ ทุกสิ่งเป็นเรา แต่จริงๆ มันอิงอาศัยกันอยู่ อิงอาศัยกันอยู่เพราะอะไร เพราะเวลาจิตนี้ออกจากร่างนี้ไป ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม กายทิพย์ไม่มีร่างกายนี้ เวลาจิตนรกอเวจีมันก็เป็นจิตวิญญาณ มันไม่มีกายเนื้อ มันเป็นนามธรรม แต่เวลาเกิด กายเนื้อเป็นเดรัจฉาน อบายภูมิ มนุษย์ มนุษย์มีกาย เห็นไหม สิ่งที่มีกาย มันมีแล้วมันอิงกันอยู่ ถ้ามันมีตลอดไป เทวดาก็ต้องเอากายนี้ไปด้วยสิ ไปเกิดก็ต้องมีร่างกายมีจิตใจเหมือนอย่างนี้ แต่เวลาเขาไปเกิด จิตใจเขาไปโอปปาติกะ เวลาเขาเกิด กำเนิดเลย สมบูรณ์ของเขาอย่างนั้น

นี่ไง มันอิงกันอยู่ๆ มันจริงหรือไม่จริงล่ะ ถ้ามันพิจารณามันเห็นของมัน พอมันสะเทือน ถ้ามันเห็นจริงมันสะเทือนของมันมาก ถ้ามันสะเทือนของมันมาก ใครรู้จริงเห็นจริงมันจะเห็นเลยว่า อ๋อ! เราเห็นผิดมานานไง เวลาพิจารณากาย เห็นกาย กายก็จินตนาการเอา สร้างภาพกันเอา สร้างภาพว่าสามัญสำนึกๆ เราสร้างของเราเองอยู่แล้ว สร้างแล้วมันก็เป็นปลาไง มันไม่ใช่งูไง มันอยู่ด้วยกันก็อุ่นใจ แต่ถ้ารู้วันไหนว่างูนะ รู้ว่างูจงอางมันจะฉก แล้วเราจับมันมาตลอดชาติ จับมันมาตลอด ทำไมเราไม่เห็นโทษของมัน ถ้าวันไหนเห็นโทษมันสะเทือนใจ นี่ไง สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง

ถ้าใครรู้เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันจะเข้าไปสู่สัจธรรม ถ้าเข้าสู่สัจธรรมมันก็เป็นที่ว่า มันรู้มันเห็นของมันเข้าไป มันจะมีธรรมเป็นที่พึ่ง พอมีธรรมเป็นที่พึ่ง เห็นไหม เวลาเราเหนื่อยนัก เราล้านัก เราก็พักผ่อนของเรา แต่จิตใจของเรามันเหนื่อยขนาดไหน มันล้าขนาดไหน มันตึงเครียดขนาดไหน มันพักผ่อนไม่ได้ มันพักไม่ได้ เวลาหลวงตาท่านพูดว่าคนเราเกิดมาเหมือนติดเครื่องยนต์แล้วมันไม่เคยดับ วันไหนตายถึงดับ เวลานอนก็ยังฝัน นอนก็ยังคิดนะ มันดับเครื่องไม่ได้ เครื่องยนต์ที่ไม่เคยดับเลย ดูสิ มันจะร้อนอย่างไร มันจะชำรุดเสียหายขนาดไหน

ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าเราจะดับเครื่องของเรา เราจะดับอย่างไรล่ะ ถ้าดับเครื่องของเรา เครื่องมันดับแล้วมันไม่มีพลังงานของมัน แต่จิตของเราพุทโธๆๆ เวลามันปล่อยวางเข้ามา มันดับได้ มันดับได้จนสักแต่ว่ารู้เลย มันเข้าไปพักผ่อนของมัน เห็นไหม พักผ่อนของมัน มันรู้จริงของมัน แล้วถ้ายิ่งรู้จริงขนาดไหนจะเงียบ พอเวลาไปสื่อสารกับโลกนะ สื่อสารได้ยาก สื่อสารได้ยากเพราะอะไร เพราะว่ารู้จำเพาะตน มันเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน แต่พูดได้ พูดได้ สื่อสารได้ทั้งนั้นแหละ แต่สื่อสารไปแล้วไม่ซีกไปงัดไม้ซุงไง เราคนเดียว แต่สังคมโลกเขามีความเห็นกันอย่างนั้น สังคมโลกเขาเชื่อกันแบบนั้น เขาไหลตามกันไปแบบนั้น แล้วเราไปพูดอยู่คนเดียวเขาบอกคนนี้บ้า คนนี้บ้า

เวลาเข้าไปโรงพยาบาล เห็นไหม คนบ้ามันชี้ว่าเราบ้า มันว่ามันคนดีหมด มันว่าเราบ้า ไอ้เราเข้าไปก็ว่านั่นเป็นคนบ้า เออ! บ้าก็บ้าวะ กูจะบ้าของกูคนเดียว แต่ถ้ามีสติปัญญานะ เขาจะเป็นอย่างไรก็เป็นของเขาไป ถ้าปฏิบัติไปมันเป็นแบบนั้นไง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมันลึกซึ้ง เวลาไปถึงแล้วจะสอนใครได้หนอๆ เพราะพูดกันไม่เข้าใจ แต่พวกเรา เราพยายามปฏิบัติของเราไป เราสร้างพื้นฐานของเราไป แล้วพยายามเจริญงอกงามของเราไป มันต้องไปจุดอันเดียวกัน เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไง

“ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด”

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะจะไปนิพพาน เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ลูกศิษย์นิพพานก่อนๆ หลายองค์มาก แล้วองค์ที่มีความสำคัญ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา คือแม่ทัพธรรม ทำงานรององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแผ่ธรรมๆ มา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมาสำหรับพวกเรา เผยแผ่ธรรมไว้ เผยแผ่ธรรมไว้เพราะอะไร เพราะถ้าจิตใจของเรา เราตึงเครียดของเรา เรามีแต่ไฟสุมขอนเรา เราจะมีความทุกข์มาก แต่ถ้าจิตใจของเรามีที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีทุกข์มียากก็ไปวัดไปวา ไปผ่อนคลาย นั่นพูดถึงประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าของเรานะ เราไม่ต้องไปวัดไปวา เราวัดหัวใจของเรา ข้อวัตรปฏิบัติคือข้อวัดใจของเรา เรามีสติขึ้นมาเราก็มีวัดในใจแล้ว เรามีสติ เรามีคำบริกรรม เราเกิดวัตร เกิดผลในหัวใจของเราแล้ว เราวัดใจของเราที่นี่

เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมเพื่อพวกเราไง เผยแผ่ธรรมว่าให้เรามีที่พึ่งไง แล้วถ้าเรามีที่พึ่ง เห็นไหม หาที่พึ่ง ถ้ามันเป็นที่พึ่งตามความเป็นจริงนะ เราต้องประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัตินะ ถ้าจิตใจของเราดี คนที่มีสามัญสำนึกที่ดีจะมองโลกในแง่ลบหรือแง่บวกล่ะ? ก็มองโลกในแง่บวก ถ้าคนมีสำนึกที่ดี พ่อแม่ไม่ต้องสอนเลย มันมีความรู้สึกละอายเลยล่ะ อยากจะดู อยากจะแล อยากจะช่วยเหลือเจือจาน แต่สังคมโลก สังคมโลกไม่กล้าพูดออกมา

การพูดออกมามันพูดออกมาจากหัวใจนะ ถ้าหัวใจมันดี มันทำดีได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าหัวใจมันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มีแต่การเห็นแก่ตัว เวลาพูดออกมาพูดปดทั้งนั้นแหละ เพราะใจมันคิดอย่างหนึ่ง เวลาพูด พูดอย่างหนึ่ง เวลาทำ ทำอย่างหนึ่ง นั้นมันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ แต่เราจะมีธรรมเป็นที่พึ่ง เราจะหาหัวใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรา เราจะทำใจของเราให้มีหลักมีเกณฑ์ของเรา

ฉะนั้น เราทำของเรา โลกธรรม ๘ สรรเสริญนินทา ถ้าเราจะหาอริยทรัพย์ หาสัจจะความจริง เขาก็บอกว่าหน้าที่การงานไม่ทำ จะไปอยู่ว่างๆ ไปบวชเป็นพระไปสุขสบาย

ถ้าบวชเป็นพระไปสุขสบาย พระต้องเต็มประเทศไทยแล้ว แล้วยิ่งประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ๒๔ ชั่วโมงนะ ดูพระเราอดนอนผ่อนอาหารกัน ทำสุขสบายไหม เวลาโยมมาทำบุญกุศล ข้าวปลาอาหารเยอะแยะไปหมดเลย แล้วทำไมพระไม่กินข้าว

พระไม่กินข้าวเพราะกินแล้วมันอืดอาด กินแล้วมันง่วงเหงาหาวนอน พระไม่ฉันอาหารกัน เขาผ่อนอาหาร เขาไม่มากินข้าว ไม่มากินข้าวเพราะอะไร เพราะเขาอยากได้ธรรมไง เขาอยากมีธรรมเป็นที่พึ่ง เขาเอาสติเอาปัญญาของเขา ถ้าจิตใจมันเบา เขาจะค้นคว้าของท่าน ท่านจะค้นหาของท่าน ท่านพยายามประพฤติปฏิบัติของท่านให้เป็นความจริงของท่าน

ทุกคนก็แสวงหา เพราะปฏิสนธิจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นเรา ทุกคนก็ต้องรักตัวเอง ทุกคนก็ค้นคว้าเพื่อใจของตัวเอง ทุกคนก็ปฏิบัติเพื่อใจของตัวเอง ต่างคนถ้าใครทำดี เห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีมันจะเข้าไปสู่หัวใจดวงนั้น ใครทำบาปอกุศลมันก็เข้าไปสู่หัวใจดวงนั้น ใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเห็นอริยทรัพย์ มันเกิดมรรคญาณนะ เขาจะเข้าไปชำระล้างกิเลสของเขา เขาสำรอกคายสังโยชน์ออกไป ๓ ตัว คายกามราคะ-ปฏิฆะ เวลาคายกามราคะ-ปฏิฆะขาดไป เห็นไหม เวลาเขาทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายหัวใจ ทำลายทั้งหมดเลย เขาสิ้นไปแห่งทุกข์ เขามีธรรมเป็นที่พึ่งโดยสมบูรณ์ ฉะนั้น เราฟังธรรมๆ ก็เพื่อปฏิบัติตรงนี้

เราทำมา เราทำหน้าที่การงานก็ต้องการทรัพย์สินเงินทองเพื่อความมั่นคงของชีวิต เราทำหน้าที่การงานก็เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นก็เป็นเรื่องของโลก ตาหนึ่งคือเรารับผิดชอบ เราก็ทำงานของเรา อีกตาหนึ่งถ้าเราหาธรรมให้หัวใจของเรา ให้มันมีที่พึ่ง เหนื่อยนักเขาก็นอนพัก เขาก็หายเหนื่อย หายลำบากของเขา จิตใจของเรา เรามีพุทโธ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ให้มันมีที่พึ่งที่อาศัยเพื่อหัวใจของเรา เอวัง