เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ เม.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเพื่อให้หัวใจเบิกบานไง หัวใจมันเศร้าหมอง คำว่า “เศร้าหมอง” มันอับเฉาอยู่ในหัวใจเรา ถ้ามันอับเฉาอยู่ในร่างกายเรานี้ เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อปลุกปลอบหัวใจเรา มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน อยู่ร่วมกันเป็นสังคม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม รัฐธรรมนูญเขียนว่าเป็นเสรีภาพการนับถือศาสนา การนับถือศาสนา รัฐธรรมนูญรับรองนะ รับรองสิทธิเสรีภาพ ถ้าสิทธิเสรีภาพนะ เราทำของเราตามสิทธิของเรา ถ้าสิทธิของเรานะ เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเราๆ แล้วประโยชน์กับเรา ประโยชน์สิ่งใดล่ะ

ดูสิ การนับถือ ความเชื่อ ความเชื่อต่างๆ ของคนมันหลากหลาย แม้แต่พระพุทธศาสนาของเราเอง เรานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา การทำบุญกุศล ทำทานของเรา ถ้าทำทาน เราต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้าทำทานของเรา ประเพณีวัฒนธรรมเราไปทำทาน เราไปทำบุญกุศลของเรา มันต้องมีพิธีกรรม ถ้าเกิดพิธีกรรมนั้น พิธีกรรมนั้นเป็นศาสนพิธี ศาสนพิธีเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา ถ้าเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธเรานะ เราติดในพิธีกรรมนั้น

สภาวะแวดล้อมของสังคมมันเปลี่ยนแปลงไป สภาวะแวดล้อมของสังคม เมื่อก่อนสังคมนะ เวลาเขาจะมีงานบุญกัน ทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบลนั้นเขาต้องร่วมมือร่วมใจกันเพื่อทำอาหาร ภัตตาหารเพื่อถวายพระ ทำภัตตาหารไว้เพื่อรับรองแขกเหรื่อที่จะมาในงานนั้น ทั้งตำบล ทั้งอำเภอนั้นเขาจะมีความร่วมมือร่วมแรงกันด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เขามีความสามัคคีกัน นี่วัฒนธรรมประเพณีหล่อหลอม เวลาเรื่องบุญกุศล บุญตั้งแต่เจตนาที่ดี เราเห็นแก่หมู่บ้านของเรา เห็นแก่ตำบลของเรา เราจะทำตำบลของเราให้เป็นที่ชื่นชมของแขกเหรื่อเขา เราร่วมมือร่วมใจกันทำบุญกุศลไง

นั่นไง เดี๋ยวนี้สภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลงไป คนเรามันต้องทำมาหากิน การแข่งขันกับเวลา ทำบุญกุศลสมัยนี้นะ จ้างเขาหมดเลย โต๊ะจีนมาตั้งปั๊บๆๆ เสร็จหมดเลย พอเสร็จหมดเลย วัฒนธรรมประเพณีมันก็เปลี่ยนแปลงไป ถ้าความเปลี่ยนแปลงไป ความร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวคนนู้นก็ทำให้ ไม่ต้องทำ เดี๋ยวคนนี้ก็ทำให้ เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา เห็นไหม นี่วัฒนธรรมประเพณีมันเปลี่ยนแปลงไป

ถ้าศาสนพิธีๆ พิธีกรรมอันนั้นเขาทำเพื่อความสามัคคีกัน พิธีกรรมก็ทำเพื่อให้ความรื่นเริงกัน ฉะนั้น ถ้าพิธีกรรมมันเป็นศาสนพิธี ศาสนธรรม ศาสนพิธี พิธีกรรมต่างๆ เขาหล่อหลอมขึ้นมาเพื่อให้คนมีศรัทธามีความเชื่อ ถ้ามีความเชื่อนะ เวลาเรามาสนใจในพระพุทธศาสนา “มรรคผลนิพพานก็เป็นเรื่องของพระ ศีลธรรมจริยธรรมก็เรื่องของพระ เวลาสังคมมีความขัดแย้งกัน พระไม่สอน พระวางมือ พระไม่รับผิดชอบสังคม สังคมกระทบกระเทือนกันไป” นี่ไปโทษพระไง

มรรคผลนิพพานเขาไว้ให้กับพระ ทำสิ่งใดก็ยกให้พระทำ เราไม่ต้องทำไง

เราไม่ต้องทำเราก็ไม่ได้ ถ้าเราอยากได้ เรามาทำบุญกุศล คนที่เขาไม่ทำก็บอกว่า “โอ้โฮ! พวกนี้มีเวลาว่างเนาะ แหม! หาเวลา อุตส่าห์ขวนขวายไปทำบุญกัน ทำไมเขามีเวลาว่างมาก” นี่เขาคิดว่าเขาอยู่ของเขา สุขสบายของเขา แล้วเขาเป็นคนดีของเขา ทุกคนจะบอกว่า “ฉันก็เป็นคนดีแล้ว ทำไมต้องไปวัดล่ะ” ดีของใครล่ะ

ถ้าดีของธรรม จิตใจมีการเสียสละ จิตใจของเรานึกถึง ดูสิ เวลาในชาติในตระกูลของเรา พ่อแม่พี่น้อง ญาติพี่น้องในบ้านเดียวกัน คิดถึงกัน ระลึกถึงกัน มีความกตัญญูกตเวที พ่อแม่กับลูกมีความเข้าใจกัน บ้านเมืองมีความสุขทั้งนั้นแหละ นี่ไง เขาบอกว่าเขาเป็นคนดีแล้ว คนดีอะไร ดีตัวเขาไง ดีเห็นแก่ตัวไง ดีหาอยู่หากินแต่ปากคนเดียวไง ไม่คิดถึงคนอื่นเลยไง แล้วบอกว่าเป็นคนดีๆ แล้วคนดีคิดถึงคนอื่น “คนนั้นเวลาว่างมาก คนนี้เขาคิดอะไรไม่รู้ เขามีเวลาของเขา” นี่จิตใจคนตระหนี่ถี่เหนียวคิดแบบนั้น นี่ไง ความดี ความดีของใคร

“ฉันเป็นคนดี ทำไมต้องไปวัดล่ะ ไปวัด ไปทำไม แล้วไปวัด ไปทำไม” ไปวัดก็ไปเจอศาสนพิธี พิธีกรรม

แต่เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านบอก ไปวัดเพื่อวัดใจของเรา ข้อวัตรปฏิบัติ วัดเขามีกติกาของเขา เราเข้าไปในที่ของผู้ทรงศีล วัดเป็นอาราม เป็นที่อยู่ของผู้ที่ไม่มีอาราม ผู้ไม่มีบ้านไม่มีเรือนเขาก็อยู่จำศีลของเขาในวัดของเขา วัดเป็นที่อยู่ทรงศีลของเขา เราเข้าไปเราก็ต้องเคารพสถานที่ของเขา “ก็สถานที่ ทำไมต้องไปเคารพ อิฐหินปูนทรายไปเคารพทำไม อิฐหินปูนทรายต้องเคารพด้วยหรือ”

อิฐหินปูนทรายไม่ต้องเคารพหรอก อิฐหินปูนทรายเขาทำถนนที่เราผ่านมา ถนนคอนกรีตมันก็อิฐหินปูนทรายเหมือนกันนั่นล่ะ เราก็เหยียบย่ำมันมาอยู่แล้ว อิฐหินทรายปูนเราเหยียบย่ำมันมา รถเราวิ่งมาบนถนนหนทางมันก็อิฐหินทรายปูนเหมือนกัน เราทำไมต้องไปเคารพอิฐหินทรายปูนล่ะ

เราไม่ได้เคารพอิฐหินทรายปูน เราเคารพศีลธรรม ในเมื่อเราเป็นคนดี จิตใจเรามีวัฒนธรรม เราเข้าไปที่ทรงศีล ศีลคือความปกติของใจ ศีลคือความสงบระงับ เขาต้องการความสงบระงับ เขาอุตส่าห์หลีกเร้นมา หลีกเร้นสังคมมาเพื่อหาความสงบระงับของเขา เรามาวัดมาวา เราควรเคารพสิทธิของเขา เคารพความสงบ เราเคารพ เห็นไหม นี่เคารพสถานที่ เราไม่ได้เคารพอิฐหินทรายปูนหรอก เราเคารพสิทธิของเขา เราเคารพสถานที่ ดูสิ ที่สงบระงับ ครูบาอาจารย์ท่านไปเที่ยวป่าเที่ยวเขาของเขา ที่ไหนที่แรงๆ แรงๆ คือว่าที่เจ้าที่แรง เจ้าที่แรง เขาก็มีของเขานะ บอกว่าเจ้าที่แรงๆ ก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อก็ไปทำตามใจของตัว

เราอยู่ในป่านะ มันมีพวกชาวบ้านเขามาทำบุญกุศลของเขา แล้วผู้หญิงเขาไปหยอกเล่นกัน เวลาเขากลับไป ขาดไปคนหนึ่งหาไม่เจอ เป็นลูกของผู้ใหญ่บ้าน เขาเกณฑ์ทั้งหมู่บ้านเขาหานะ ในป่านั้นหาอย่างไรก็ไม่เจอ หาอย่างไรก็ไม่เจอ หาอย่างไรก็ไม่เจอ เขาระลึกได้ เขาก็จุดธูปเทียนขอขมาลาโทษ พอพวกเขาหาอีกที นั่งจ้องม่องอยู่นั่นน่ะ นั่งอยู่นั่นน่ะ มันบัง ไม่เห็น เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่ เราบอกว่าไม่มีๆ

ไม่มีเพราะเราไม่ปฏิบัติไง ไม่มีเพราะเราไม่เห็นไง ถ้าเราเห็นของเรานะ เราเคารพสถานที่ ที่ไหนเจ้าที่เจ้าทาง เราเคารพของเรา เขาบอกว่า “ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ สอนต้องเป็นวิทยาศาสตร์สิ วิทยาศาสตร์มันก็เป็นธาตุ ๔ มันจะมีอะไรของมันไป”

นี่ผลของวัฏฏะนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สิ่งที่อยู่ของจิตวิญญาณ ที่อยู่ของสัตว์โลก มันมีของมัน ถ้ามีของมัน รัฐธรรมนูญรับรองไว้ สิทธิเสรีภาพของการนับถือศาสนา เราจะทำอย่างไรก็ได้ สิทธิเสรีภาพของเรา สิทธิเสรีภาพของเราน่ะของใคร

ถ้าสิทธิเสรีภาพของรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ สิทธิเสรีภาพ เราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องบังคับตัวเราๆ บังคับตัวเราเพราะอะไร บังคับตัวเพราะมันมีอวิชชา เพราะมันมีความไม่รู้ในใจของเรา

ถ้ามีความไม่รู้ในใจของเรา เห็นไหม ที่ไปวัดไปวา ไปทำบุญกุศล ข้อวัตร วัดใจเรา ถ้าใจใครยิ่งใหญ่ ใจใครคับแคบ ใจใครเล็กน้อย ใจใครยิ่งใหญ่ทำสิ่งใดก็ทำได้เพราะใจมันยิ่งใหญ่ มันทำได้หมดเลย เพราะหัวใจมันโต ถ้าหัวใจมันเล็กนะ หัวใจมด มันเห็นแก่ตัวของมัน แล้วไปอยู่ไหนก็ติดขัดไปหมด นู่นไม่ได้ นี่ไม่ได้ ไม่ได้ทุกอย่างเลย นี่หัวใจมันคับแคบ ถ้าหัวใจมันโตขึ้นมา เห็นไหม มนุษย์เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทั้งนั้น คนที่ประพฤติปฏิบัติเขาต้องการความสงบระงับทั้งนั้น แล้วบอกเราก็พูดเสียงเบาๆ เราก็ทำเพื่อประโยชน์ของเรา นี่คนดีๆ ไง คนดีมันจะกระทบกระทั่งกัน คนดีมันจะกระเทือนกัน

ถ้าคนดีของเรา สิ่งใดที่มันไปกระทบกระเทือน สิ่งใดที่เราไม่ชอบ คนอื่นก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ ถ้าเราไม่ชอบ จิตใจเรายิ่งใหญ่ บุญกุศล เขาว่าการให้ทางกัน คนเดินสวนกันบนสะพาน สะพานที่คับแคบ เราหลีกให้เขา นั่นล่ะบุญแล้ว นี่การให้ แต่ถ้าจิตใจมันคับแคบ ไม่ได้ ฉันคนยิ่งใหญ่ เอ็งต้องหลบไป เอ็งต้องหลบไป เดี๋ยวทะเลาะกัน แต่ถ้าเราหลบให้เขาซะ จิตใจเรายิ่งใหญ่ เขาบอกคนนี้ไม่มีศักดิ์ศรี คนนี้ยอมคน

เราไม่ได้ยอมเขา เรายอมธรรมะ เรายอมสัจจะ เรายอม เรายอมเพราะอะไร เพราะจิตใจเรายิ่งใหญ่ ถ้าจิตใจคับแคบมันไม่ยอม มันว่ามันเก่งน่ะ โอ๋ย! มันเดินผ่านได้ ทุกคนต้องหลีกให้เราหมดเลย โอ๋ย! เก่งมากเลย ลับหลังเขานินทาหมดเลย ลับหลังเขาบอกคนคนนี้เลวมาก ลับหลัง บารมีมันไม่เกิด มีแต่โทษ

ถ้าบารมี เห็นไหม เราหลบให้เขา พอเขารู้ทีหลัง โอ้โฮ! คนคนนี้เขายิ่งใหญ่มาก เขามีศักยภาพมาก เขายังหลบให้เราเลยนะ โอ๋ย! มันสะเทือนใจนะ มันย้อนใจ เห็นไหม เพราะจิตใจคนยิ่งใหญ่ ถ้าจิตใจคนยิ่งใหญ่มันทำสิ่งใดมันก็ทำได้ ถ้าจิตใจคนมันคับแคบ จิตใจคนมันเห็นแก่ตัว มันทำสิ่งใดไม่ได้

แล้วบอกว่ารัฐธรรมนูญรับรอง รัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพการนับถือศาสนา อ้างรัฐธรรมนูญเชียวนะ อ้างรัฐธรรมนูญเข้ามาเพื่อทิฏฐิของตัว อ้างรัฐธรรมนูญเข้ามาเสริมทิฏฐิให้มันใหญ่ขึ้น ทิฏฐิให้ใจมันเป็นใจมด ใจคับแคบเบียดเบียนคนอื่นไง

แต่ถ้าเป็นธรรม เห็นไหม หัวใจมันยิ่งใหญ่ เราเสียสละ แม้แต่สัตว์เรายังให้มันไป อ้าว! สุนัขไปก่อน เดี๋ยวเราเดินตามหลังก็ได้ เราต้องผ่านของเราไป ถ้าจิตใจมันยิ่งใหญ่ นี่ไง คนดีๆ มันดีที่ไหนล่ะ

ทีนี้การนับถือศาสนา ความเชื่อของเรา เราเชื่อมา เชื่อตั้งแต่ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา ระดับของภาวนา สิ่งต่างๆ มันส่งเข้าไปสู่ฐีติจิต สิ่งต่างๆ มันส่งเข้าไปสู่ เพราะปฏิสนธิจิต เพราะเรามีอวิชชา เพราะความไม่รู้ถึงได้เกิดมานั่งกันอยู่นี่ เวลาเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ เกิดเป็นเราแล้วเราถึงรู้ เกิดเป็นเราแล้วเราถึงรู้ เพราะอะไร เพราะเราขาดสติ เราขาดปัญญา เพราะเราไม่รู้จักตัวเราเอง สิ่งที่เราทำมาๆ สิ่งที่ทำมาก็พิธีกรรมไง ก็ส่งออกไปอยู่ที่นั่นหมดไง แล้วตัวเองก็ไม่รู้จักตัวเองไง

นี่ทำบุญกุศล เราทำเพื่อหัวใจของเราที่ยิ่งใหญ่ไง ถ้ามันยิ่งใหญ่ขึ้นมาแล้วเราเสียสละของเราแล้ว เราวางแล้ว มันสละไปแล้วก็จบแล้ว ตั้งใจจะให้ ขณะให้ ให้แล้ว ผู้ที่รับไปแล้วถ้าเป็นผู้ทรงศีลเขาทำประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ถ้าทำประโยชน์แล้ว เราดูหัวใจเรา ถ้าจิตใจมันสงบเข้ามา มันกลับสงบเข้ามา เรามีสติระลึกคำบริกรรมไว้ เรามีสติมีปัญญาไว้ มันจะเกิดศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้ต้องไปค้นในพระไตรปิฎกไหม อ่านพระไตรปิฎกก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นคว้ามาจากไหนก็เป็นทฤษฎีทั้งนั้นเลย

แต่ถ้ามันระลึกรู้ มันแทงหัวใจ นั่นล่ะปัญญาของเรา ปัญญาของเราคือมันรั้งเราไว้ได้ไง ปัญญาของเราคือมันรั้งอารมณ์เราไว้ได้ มันรั้งความรู้สึกนึกคิดไว้ได้ นั่นล่ะคือปัญญาของเรา ที่ไปจำมาๆ มันก็อปปี้มา ภาพมาว่าปัญญาๆ...สัญญาทั้งนั้น จำธรรมพระพุทธเจ้ามานี่ซาบซึ้ง จำธรรมคนอื่นมามันสุดยอดทั้งนั้นเลย แต่มันเป็นประโยชน์อะไรกับเราล่ะ

ทัพพีขวางหม้อไง เขามีแกงไปทำบุญ เขาทำบุญกุศลกัน ทัพพีก็ไปด้วย เวลาเขาตักอาหารใส่บาตร ทัพพีมันก็ตักด้วย เวลาพระฉันเสร็จแล้วทัพพีมันก็ไม่ได้กิน เวลาโยมเขากินข้าวเสร็จ เขาไปล้างนะ ทัพพีมันก็ไม่ได้กินอะไรเลย นี่ทัพพีขวางหม้อไง นี่ก็เหมือนกัน ไปจำมาๆ ก็ทัพพีนั่นน่ะมันได้อะไรมันมา

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าพูดถึงว่าอ้างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเขาก็สิทธิเสรีภาพไม่ให้คนเบียดเบียนกัน แต่ขณะที่ว่าสิทธิของเรา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เราเห็นธรรม เห็นตถาคตนะ จิตถ้ามันสงบเข้ามา เรามีสติปัญญาเข้ามา เราจะเห็นเลยนะ สิ่งที่มันขึ้นมาได้มันขึ้นมาได้เพราะอะไร จิตใจขึ้นมาได้อย่างนี้เพราะอะไร ขึ้นมาได้เพราะมีศรัทธามีความเชื่อ พอมีศรัทธาความเชื่อมันก็ค้นคว้าของมัน ถ้าค้นคว้าของมัน ปฏิบัติของมันขึ้นมา ถ้าปฏิบัติขึ้นมา แล้วปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติที่พิธีใช่ไหม ถ้าปฏิบัติที่พิธี ถ้าทำพิธีอยู่นั่นมันก็ยังนั่งอยู่นั่นล่ะ ยังไม่กลับมา จิตใจมันยังอยู่นั่นเลย จิตใจมันยังอยู่เราประเคน-ไม่ประเคนอยู่นั่น จิตใจมันยังอยู่ตั้งแต่ตอนเช้านั่น ไอ้นี่มันอยู่ปัจจุบันนี้ เห็นไหม

ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามันมีคำบริกรรม พุทโธเดี๋ยวนี้ มีปัญญาอบรมสมาธิเดี๋ยวนี้ ถ้าจิตมันสงบเดี๋ยวนี้มันก็เป็นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ ท่านบอก “ศีล สมาธิ ปัญญา” ถ้าเรามีศีล เรามีสมาธิ แล้วเราเกิดปัญญาขึ้นมา นั่นมันเป็นของใคร ต้องให้ครูบาอาจารย์เทศน์สอนไหม ต้องให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้บอกไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใครทรงคุณธรรมขนาดไหน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพยากรณ์ว่าใช่หรือไม่ใช่ มันเกิดจากอะไร? เกิดจากการกระทำของเราใช่ไหม เราทำของเราขึ้นมา นี่ไง ถ้าเราทำของเรา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา ทำความจริงของเราขึ้นมา

ที่ว่ารัฐธรรมนูญรับรองๆ รับรองเพื่อเป็นกรอบเฉยๆ รับรองเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องมีกติกาไว้ มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์ เห็นไหม ดูสิ นกมันไม่มีกฎหมายของนก กฎหมายเราเขียนของคน คนที่เกี่ยวเนื่องกับนก นกที่เลี้ยงกัน นกที่สิทธิขโมยกัน ลักกัน นั่นกฎหมายเกี่ยวกับคน นกมันไม่มีกฎหมายของมัน ดูสิ มันบินไปเป็นอิสรภาพของมัน นี่นกป่า เราเองต่างหากไปดักมัน จับมันเอามาขังไว้

สัตว์มันมีสิทธิเสรีภาพของมัน มันจะไปไหนของมันก็ได้ มันอยู่ใช้ชีวิตของมันในอิสรภาพของมัน มนุษย์ต้องมีกฎหมาย นี่มนุษย์โง่กว่าสัตว์ เพราะมนุษย์เป็นคนเขียนขึ้นมา มนุษย์รอนสิทธิ์ของตัวเอง แล้วมนุษย์เขียนกฎหมายขึ้นมา แล้วกฎหมายนั้นก็บังคับมนุษย์นั้นเองไง สัตว์มันไปธรรมชาติของมัน เห็นไหม

จิตใจถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา มันเป็นอิสรภาพ เสรีภาพอย่างนั้น ธรรมและวินัยๆ วินัยคือข้อกฎหมายที่บังคับไว้ บังคับให้พระอยู่ในร่องในรอย ศีลธรรมจริยธรรมมันก็เป็นสิ่งที่ต้องการให้สังคมสงบระงับ สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข ใครที่คิดแปลกแยก คิดเห็นแก่ตัว กฎหมายบังคับใช้ไม่ให้ทำแบบนั้นๆ ธรรมและวินัยก็เหมือนกัน วินัยบังคับพระไว้ ต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ ต้องมีข้อบังคับ บังคับไว้ จิตใจมันคิด อาบัติของจิตมันไม่มี แต่อาบัติมีการกระทำ ถ้าการกระทำครบองค์มันถึงเกิดอาบัติขึ้นมา ถ้าจิตมันคิดของมัน มันแส่ส่ายของมัน มันคิดตลอดของมัน เห็นไหม แล้วเวลาคิดมา คนที่วิตกกังวลก็บอกอยู่ไม่ได้ๆ เพราะจิตมันดิ้นมาก จิตมันทำอะไรไม่ได้เลย โอ๋ย! มันดิ้นรนไป

รักษาใจตัวเดียวได้ไหม รักษาใจตัวเดียวได้ไหม รักษาใจตัวนั้นไว้ ถ้ามีสติปัญญารักษาใจตัวนั้นไว้ มันไม่มีการกระทำมันก็ไม่มีอาบัติ อาบัติมันเกิดจากการกระทำของเรา ทำผิดถึงเป็นอาบัติ ถ้าทำถูกล่ะ ทำถูกมันเป็นธรรม เป็นธรรมก็ส่งเสริม ส่งเสริมหัวใจไง ส่งเสริมอำนาจวาสนาบารมีไง ที่ว่าคนที่มีบารมีๆ คนนี้มีทรัพย์สมบัติมหาศาลเลย แต่ไม่มีบารมี ไม่มีบารมีเพราะเขาไม่รู้จัก เขาไม่ทำของเขา บารมีมันเกิดมาจากไหน? บารมีมันเกิดจากฟ้า บารมีไม่เกิดจากไหนหรอก เกิดจากกำมือเรานี่แหละ บารมีเกิดจากการกระทำ เกิดจากเรานี่แหละ เราทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว

กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของคุณงามความดี แล้วทำดี คนจะมีบารมีเขาไม่เอะอะมะเทิ่ง เขาไม่เรียกร้อง คนที่ไม่มีเขาเรียกร้อง คนมีบารมีเขาอยู่ในบ้านของเขา ทุกคนสรรเสริญ ดูสิ คนที่เป็นรัฐบุรุษ ทุกคนคิดถึงนะ ทุกคนคิดถึงคุณงามความดีของเขา เขาหาความร่มเย็นเป็นสุขกับรัฐนี้ แล้วเราได้มาอาศัยรัฐนี้อยู่ เราคิดถึงคุณงามความดีของเขา เขาอุตส่าห์ปกครอง รัฐบุรุษเขาคิดอย่างนั้น เพราะเขาไม่มีบารมีไง เขาไม่ได้คิดถึงทรราช ทรราชมันเอารัดเอาเปรียบของมัน เขามีแต่สาปแช่ง นี่ไง บารมีเกิดตรงนี้ไง บารมีเกิดจากการกระทำ เราทำของเราขึ้นมา ถ้าเราทำของเรา เราทำประโยชน์กับเรา ฉะนั้น เราทำคุณงามความดีไม่ต้องเรียกร้อง เราพูดบ่อยมากว่าทำดีทิ้งเหวๆ เพราะเราเจอในพระไตรปิฎกแล้วชอบมาก

ฉะนั้น เวลาคนที่โต้แย้งไง แล้วที่เขาลักเด็กไป แล้วเขาบังคับให้เด็กเป็นขอทาน เรายังส่งเสริมเขาหรือ นี่เขาถามเรามานะว่าทำบุญทิ้งเหว เจอใครก็ทำๆ

ทำบุญทิ้งเหว ทิ้งเหวเพราะว่าถ้าจิตใจมันติดข้อง จิตใจเราทำแล้วมันกังวล ทิ้งเหวซะ แต่ขณะที่จะทำต้องมีปัญญา ทาน การทำทานก็ต้องมีปัญญา รักษาศีลก็ต้องมีปัญญา การใช้ปัญญา ยิ่งปัญญาในปัญญาเลย ต้องละเอียดมากขึ้น

ฉะนั้น เราจะทำทาน ถ้าเราว่าเป็นการทุจริต เราก็ไม่ร่วมกับเขาอยู่แล้ว เราจะเข้าไปอยู่ในวังวนของเขาหรือ เราไม่ทำอย่างนั้น แต่ถ้าทำอย่างนั้น ถ้าเรารู้ว่าทุจริต ถ้าเราอยากจะสร้างบารมี เราแจ้งตำรวจเลย เราเป็นคนบอกเบาะแสเลย

ถ้าบอกว่า ถ้าเขาบังคับเด็กให้มาเป็นขอทานแล้วเราจะมาช่วยเขา ทำบุญทิ้งเหวอย่างนี้มันจะได้บุญจริงหรือ นี่เขาถามมา

ทำบุญทิ้งเหว หมายความว่า กิเลสในใจของเรามันครอบงำ กิเลสมันทำแล้วมันทำให้เราร้อนทั้งนั้นแหละ ศรัทธาพระองค์นี้มาก พอไปทำ พอทำเสร็จแล้วเขาร่ำลือว่าพระองค์นี้ไม่ดี โอ๋ย! ทุกข์เลย โอ๋ย! ไปทำบุญกับพระไม่ดี โอ๋ย! ทุกข์มากเลย เห็นไหม ไม่ทิ้งเหว ถ้าทิ้งเหวมันก็จบไปแล้ว เราทำไปแล้วเรามารู้ทีหลัง รู้ทีหลังเราก็ไม่ทำอีก มันจะเป็นอะไร นี่ทิ้งเหว ทิ้งเหวคือไม่ให้หัวใจนี้มันมาคับข้องอีก ไม่ให้หัวใจนี้มากระตุ้น ก็ทำมาแล้ว ทำมาแล้วไปทุกข์อะไร นี่ทำมาแล้วก็มาแบกหามไว้ ไปทบทวนเลยนะ เมื่อปีที่แล้วไปทำบุญอะไรไว้ แล้วก็จะไปทบทวนว่าถูกหรือผิดไง นี่ไม่ทิ้งเหวแล้ว

ถ้าทิ้งเหว ทำบุญทิ้งเหว ทิ้งเหวแบบนี้ไง ทิ้งเหว ทำบุญแล้ว บุญก็คือบุญ ไม่ไปติดข้องกับมัน นี่ไง เป็นปัจจุบันตลอดไป แล้วทำบุญหัวใจอย่างนี้ นี่พูดถึงวัฒนธรรมประเพณี เรานับถือศาสนาสิ่งใดเราต้องมีปัญญา เราแยกแยะของเรา แล้วถ้าจิตใจมันสูงขึ้นๆ นะ จิตใจสูงขึ้น สุดท้ายแล้วนะ เราจะนั่งเฉยๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สิ่งที่เราบูชาด้วยอามิสเราก็ขวนขวายมา เพราะเราไม่มีสิ่งใดเป็นบุญกุศล เราก็ขวนขวายสิ่งที่เป็นอามิสขึ้นมาถวายทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา ถ้าจิตใจเราสูงขึ้น สิ่งนั้นเราก็ทำขึ้นมา ทำแล้วเราไม่ติดข้องมัน ทำแล้วสิ่งนั้นก็เป็นบุญกุศล เป็นอามิสใช่ไหม เราจะปฏิบัติบูชา เราอยากได้อริยทรัพย์ เราอยากได้รสชาติของธรรม เราอยากให้จิตใจของเราได้สัมผัสธรรม ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีความสุขๆ มันเป็นแบบใด เราต้องการตรงนี้ เราต้องการสัจธรรมอันนี้ ทำบุญกุศลแล้วเราทำให้เป็นความจริงขึ้นมาเพื่อหัวใจของเรา รักษาหัวใจนี้เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง