เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ เม.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันพระวันโกน วันทำบุญกุศลของเรา ถ้าวันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ เราเป็นคนประเสริฐหรือยัง ถ้าเรายังไม่เป็นคนประเสริฐ เราพยายามทำตัวให้เราประเสริฐ ทำตัวให้เราประเสริฐขึ้นมา ประเสริฐในความเห็นของเราไง ประเสริฐในความเป็นจริงของเรา ไม่ใช่ประเสริฐของใคร

ทางโลกเขา ความเห็นของมนุษย์แตกต่างหลากหลาย เป็นจริตนิสัยของคน มุมมองของคนมันแตกต่างกัน นี่ความเห็นของเราไง ถ้าความเห็นของเรา ถ้าเห็นทางโลกมันก็ไปกับทางโลก ทางโลก ความเจริญรุ่งเรืองทางโลก เราก็อยากประสบความสำเร็จในชีวิต จะอาบเหงื่อต่างน้ำขนาดไหนมันก็เรื่องโลกๆ ไง อาศัยกันแค่ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีสติปัญญา ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็พาหาอยู่หากินได้ แต่ความเป็นไปในหัวใจสิ

ถ้าความเป็นไปในหัวใจของเรา ถ้าความเป็นไปในหัวใจของเรา ความประเสริฐของเราประเสริฐที่นี่ ถ้าประเสริฐที่นี่ คนเราถ้าทำคุณงามความดีของเรา ทำความเป็นจริง ถ้าทำจริง ทำจริงมันต้องได้ความจริงของเรา ไม่ใช่ทำเล่น คนที่ทำเล่น ทำจับจด ทำสิ่งต่างๆ ทำแล้วมันไม่ได้ประสบความสำเร็จ แม้แต่ทางโลกนะ ทางโลกถ้าคนขยันหมั่นเพียรทำด้วยความมุมานะ ความมานะบากบั่นของเขา เขาทำสิ่งใดถึงจะไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็ได้ทำของเขาแล้ว ได้ทำสุดความสามารถของเขา แต่ถ้าทำจับจด ทำเล่น การทำเล่นก็ได้ของเล่นๆ ทั้งนั้นแหละ ถ้าทำความเป็นจริงล่ะ ถ้าทำความเป็นจริงเราต้องทุ่มเทไง เราทุ่มเททำความเป็นจริงของเรา เรามีมานะ มีความพยายาม มีความบากบั่นของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ความเพียรชอบ เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ

ทีนี้ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เราบอกเราทำความจริงของเราแล้ว เราก็ได้ทำจริงของเราแล้ว เราไม่ได้ทำเล่น เราทำความจริงของเรา

ทำความจริงของเราขนาดไหน เห็นไหม มันมีสมุทัย มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเข้ามาเจือปนด้วย สมุทัยมันเจือปนเข้ามา เห็นไหม ความเห็นของเราคือสมุทัย ความเห็นของเรามันไม่เป็นความจริง ทั้งๆ ที่เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎีนั่นล่ะเป็นความจริง แต่ความเห็นของเรามันพิจารณาไปแล้ว มันวินิจฉัยไปแล้วมันวินิจฉัยเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างตัวเองเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยรู้จริงเห็นจริงอย่างนั้น

เวลาบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา มันก็เอาปัญญาของเราไง ใครมีการศึกษามาทางใดมันก็ตีความตามความรู้ความเห็นของตัว มุมมองของตัวก็ตีความตามความรู้ความเห็นของตัว

แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ ความจริง เห็นไหม อริยสัจมีหนึ่งเดียว ใครจะมีมุมมองอย่างใด ใครจะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างใด ใครจะมีวิชาชีพอย่างใด เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริงของมัน ถ้าเกิดขึ้นตามความเป็นจริงของมัน เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดขึ้นมาด้วยความจริงของเรา

ความจริงของเรา เราเริ่มต้น เห็นไหม เริ่มต้นด้วยความมุมานะ ความวิริยอุตสาหะ ต้องทำจิตใจของเราให้สงบเข้ามาก่อน สงบเพื่อเหตุใด? สงบขึ้นมาเพื่อไม่ให้สมุทัยมันเจือปนเข้ามาไง

สมุทัยคือความเห็น คือเห็นแก่ตัว ความเข้าข้างตัวเอง ความคาดความหมาย แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือโลกๆ มันเหนือจินตนาการ มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์จนเราคาดไม่ถึง พอเราไปเจอสิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง สิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นขึ้นมา เราก็ไปตื่นเต้นกับมัน เห็นไหม นั่นน่ะสมุทัย

สมุทัย เพราะ “นี่ใช่ สิ่งนี้ ธรรมะเป็นแบบนี้ ธรรมะเป็นความจริงอย่างนี้ ธรรมะเป็นความว่างอย่างนี้ ธรรมะเป็นความสุขอย่างนี้”...ความสุขอย่างนี้ความสุขเพราะมันปล่อยวางไง พอมันปล่อยวาง ปล่อยวางแล้วมันทำอย่างไรต่อไปล่ะ

การปล่อยวางๆ เห็นไหม ดูสิ เวลาคนอาบเหงื่อต่างน้ำทุกข์ยากมา ถ้าเขามีความสบายใจของเขา คิดว่าทำงานเสร็จแล้ว เขานั่งทอดธุระของเขา เขานั่งสบายใจของเขา เขาเหม่อลอยของเขา เขาทอดอารมณ์ อย่างนั้นเขาก็สบายเหมือนกัน เขาก็มีความสบายเหมือนกัน เขาทำงานเสร็จแล้ว ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาวางแล้ว ทอดธุระแล้ว อย่างนี้มันก็เป็นการเสร็จงานของเขา แล้วนี่เป็นธรรมไหมล่ะ? มันไม่เป็นธรรมหรอก มันไม่เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะมันไม่มีสติไม่มีปัญญา มันไม่วินิจฉัยว่าอะไรถูกอะไรผิด มันไม่วินิจฉัยว่าทำหน้าที่การงานมา ทำเรื่องทางโลกไง ว่าอาบเหงื่อต่างน้ำมาเสร็จแล้วก็สบายใจ สบายใจแล้วทำอย่างไรต่อล่ะ เพราะมันเวียนว่ายตายเกิด นี่โลกียปัญญา ปัญญาของโลกไง ถ้ามันสบายก็สบายแค่นี้ไง

ฉะนั้น เวลาเราว่าเราทำจริงทำจังของเรา เวลาเราทำจริงทำจัง ความจริง จริงขนาดไหนล่ะ จริงโดยสมุทัย จริงโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำความสงบของใจเข้ามา แม้แต่คฤหัสถ์นะ เวลาไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ ไปเทศนาว่าการกับพวกคฤหัสถ์ เห็นไหม เทศนาเรื่องของทาน เรื่องให้เขาเสียสละของเขา ถ้าทำทานของเขาแล้วเขาจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ ถ้าเกิดบนสวรรค์มันจะมีบุญกุศล มันจะมีความสุข ความสุขก็ให้ถือเนกขัมมะ เราไม่อยู่ในกามคุณ อยู่ในสิ่งต่างๆ ที่กามคุณเป็นของคู่ ถือเนกขัมมะ ถือพรหมจรรย์ จิตใจควรแก่การงานแล้วถึงเทศน์อริยสัจ

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าเอาธรรมะ “สติปัฏฐาน ๔ ด้วยการปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔”...สติปัฏฐาน ๔ ของใคร มือมันสกปรก ความรู้ความเห็นของเรามันยังเข้าข้างตัวเองอยู่ แล้วสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ มันก็สร้างภาพทั้งนั้นแหละ แล้วก็บอกว่าทำจริงทำจัง ล้มลุกคลุกคลาน ทำจริงทำจัง...นี่เพราะขาดผู้นำที่ดี

ถ้าผู้นำที่ดี เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามามันไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ ทำความสงบของใจเข้ามามันเป็นสมถะ มันทำความสงบของใจ มันไม่ใช่วิปัสสนา มันไม่เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา ทำไมมีกรรมฐาน ๔๐ ห้อง ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการคฤหัสถ์ อนุปุพพิกถา ต้องให้เขาทำทานก่อน

ทำทานเพื่อให้จิตใจมันยอมรับความเห็นต่าง ถ้ามันไม่ยอมรับความเห็นต่าง ทิฏฐิไง ทิฏฐิความเห็นเราเป็นอย่างนี้ ใครมาเสนอความเห็นต่างจากเรา เราไม่ยอมรับ แล้วถ้าทิฏฐิมันเป็นแบบนี้ ความเห็นของเรามันเป็นแบบนี้ มานะทิฏฐิของเราเป็นแบบนี้ ถ้าทำมามันก็ต้องประสบความสำเร็จมาบ้างแล้วสิ สิ่งที่เรามีทิฏฐิขนาดนี้ เรามีความเห็นขนาดนี้ เราวินิจฉัยแล้วว่าถูกต้องๆ ของเรา แล้วปฏิบัติมา ความจริงของเรา มุมานะบากบั่นขนาดไหนแล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ ถ้ามันไม่เป็นความจริงทำไมไม่วางสิ่งนี้ล่ะ

ดูสิ เขาสอยเข็ม สอยไม่เข้าๆ รูเข็มมันมีหรือเปล่า รูเข็มมันตันหรือเปล่า แล้วด้ายของเรา ปลายมันฟูไหม เราจะทำอย่างไร นี่สอยเข็มแล้วสอยเล่า สอยไม่เข้า เราก็ตะบี้ตะบันอยู่อย่างนั้น มันทำไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ทิฏฐิมานะมันเป็นแบบนี้ ทิฏฐิมานะความเห็นของเรา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็ตีความความเห็นเรานี่แหละ พอมันตีความตามความเห็นเรา ดูสิ คนอาบเหงื่อต่างน้ำมา ได้พักผ่อนมันก็มีความปล่อยวาง มันก็สบายของมันทั้งนั้นแหละ นี่ก็เหมือนกัน เราจะมีความเห็นของเราขนาดไหน ศึกษามาขนาดไหน ถ้าเราจินตนาการไปแล้ว เราทำของเราไปแล้วมันก็ปล่อยวางเป็นธรรมดา ปล่อยวางเป็นธรรมดาแล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ มีครูบาอาจารย์ของเรานะ พื้นฐาน เบสิกทำให้มันดี เบสิกของเรา พื้นฐานของเราให้มันมั่นคงขึ้นมา ถ้าพื้นฐานมันมั่นคงขึ้นมา เดี๋ยวก้าวไปข้างหน้ามันจะก้าวเดินของมันไปได้ ถ้าพื้นฐานไม่มี ทำสิ่งใดก็จับจดจับวางว่าเป็นความเพียรชอบ เรามีความอุตสาหะแล้ว

แต่ถ้าพื้นฐานเราดี เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ มรณานุสติก็ได้ อานาปานสติก็ได้ ทำสิ่งใดก็ได้ ทำความสงบของใจเข้ามา แม้แต่เราใช้ปัญญา ปัญญาที่พิจารณา เขาเรียกปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาพิจารณาให้มันปล่อยวางเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา ถ้ามีสติมันเป็นสมถะ ถ้ามีสติมันเป็นสมาธิ มันปล่อยวางคือสมาธิ ปล่อยวางคือจิตมันปล่อยวางทิฏฐิมานะ ปล่อยวางหมด

ถ้ามันมีทิฏฐิมานะ มันยึด “นี่ความเห็นเรา นี่ความรู้เรา” มันปล่อยวางไม่ได้ แต่ถ้ามีสติปัญญามันไล่ความคิดเรานั่นน่ะ สิ่งที่คิดที่ยึดที่มั่นอยู่นี่มันเป็นความจริงหรือ ถ้าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เรื่องอริยสัจ อริยสัจก็เป็นอริยสัจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรายังไม่มีความจริง ถ้ายังไม่มีความจริง มันพิจารณาแล้วมันปล่อยวางไหม ถ้ามันเห็นตามความเป็นจริง มันปล่อยวาง พอมันปล่อยวาง มีสติไหม ถ้ามีสติ การปล่อยนั้นปล่อยเข้ามาเพื่ออะไร ปล่อยมาเพื่อเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น ปล่อยเข้ามาสู่จิตเดิมแท้ ปล่อยเข้ามาเพื่อสัมมาสมาธิ ปล่อยเข้ามาเพื่อตัวตนของเรา

ถ้าปล่อยเข้ามาแล้ว แต่ความเห็นผิด ว่า “ทำความเพียรชอบ ทำคุณงามความดี ทำเต็มที่แล้วมันเป็นธรรมๆ”...เป็นธรรมมันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นเพราะอะไร เพราะความเห็นผิด เห็นว่าสิ่งนี้มันเป็นปัญญา สิ่งนี้เป็นวิปัสสนา มันทำงานเสร็จแล้วไง คนทำงานเสร็จแล้วจะทำงานต่อไปไหม คนทำงานเสร็จแล้วมันก็จะนอนตีแปลงอยู่นั่นน่ะ เพราะมันทำงานเสร็จแล้วไง ก็เราใช้ปัญญามาแล้วไง

แต่ถ้ามันมีผู้นำที่ดี สิ่งนี้มันเป็นเบสิก มันเป็นพื้นฐาน มันจะมาลบล้างทิฏฐิมานะ ความยึดมั่นถือมั่นของตัว ถ้ายึดมั่นถือมั่นของตัว ยึดในอะไร? ยึดในความเห็นผิด ยึดในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง เพราะรูป รส กลิ่น เสียง พอมันคิดขึ้นมามันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึก มันก็ยึดมั่นของมัน ถ้ามันปล่อยวาง มันเทียบเคียงได้กับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

แต่ถ้ามันมีปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางแล้วมันมีสติ มันมีความสุข มันมีความปล่อยวาง มันมีผู้ปล่อย มันมีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ เห็นไหม เดี๋ยวมันก็เสวยอีก ก็พิจารณาต่อเนื่องไปจนกว่ามันมั่นคง มันมั่นคงขึ้นมา มันตั้งมั่นไง พอมันตั้งมั่น เห็นไหม ดูสิ ของเรา เราหยิบ เราจับ เราฉวยของสิ่งต่างๆ มา แล้วก็จัดตั้งไม่เสร็จสักที ย้ายซ้าย ย้ายขวา ย้ายซ้าย ย้ายขวา ไม่เสร็จสักที

แต่ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมา ก็วางตรงนี้ จบแล้ว พอวางตรงนี้ จบแล้ว มันก็สบาย จัดเสร็จแล้ว จัดเสร็จแล้วเราก็ปล่อยวาง ปล่อยวาง นี่ไง มันมีสติมันมีปัญญาอย่างนี้ไง ถ้ามันไม่มีสติปัญญามันก็จับอยู่นั่นน่ะ นี่ย้ายของ ในบ้านจัดของไม่เสร็จสักที ย้ายอยู่นั่นล่ะ ย้ายอยู่นั่นล่ะ ย้ายไปย้ายมา อารมณ์ไง จับอันนั้น จับอันนี้ จับอันนู้น จับไปเรื่อย แล้วมันก็บอกมันทำถูกๆ ไง

ถ้ามีสติปัญญา มันเห็นโทษของมัน ถ้าเราพอใจ เราวางตรงไหนมันพอใจมันก็เสร็จแล้วล่ะ ถ้าไม่พอใจ เราก็ย้ายที่ใหม่ ไม่พอใจอยู่นั่นน่ะ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ พอมันปล่อยวาง เห็นไหม แล้วผู้ที่จัดเสร็จแล้วใครล่ะ ใครเป็นคนจัดเสร็จ? เราใช่ไหม แล้วเราจะได้พักผ่อน แล้วพักผ่อนแล้วเราจะทำหน้าที่การงานอย่างไรต่อไปล่ะ เราทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ในบ้านเราทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เราจะทำงานอะไรล่ะ

จิตมันสงบแล้ว เวลามันออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจะเกิดวิปัสสนาตรงนั้น วิปัสสนาตรงนั้นมันพิจารณาของมันไป นี่ไง ว่าเราทำความจริง เราไม่ได้ทำเล่น คนทำเล่นล้มลุกคลุกคลาน คนทำเล่นๆ มันถึงไม่ได้ความจริงมา เราจะทำความจริง เราจริงจังของเรา เราทำความจริง...จริงจังโดยสมุทัย จริงจังโดยสมุทัยที่มันเข้ามาเจือปน มันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ไง ก็จริงจังๆ...จริงจังด้วยทิฏฐิไง จริงจังไม่เป็นมรรคไง

ถ้าเป็นมรรคนะ ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เวลามันเห็นจริงของมัน พิจารณาไปด้วยสัจจะความจริง สัจจะความจริงนะ ธรรมะ สัจธรรมที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์ที่ ๔ สัจธรรมมันมีของมันอยู่ แต่สติปัญญาเราเข้าไม่ถึง แต่พอจิตเราสงบแล้วมันมีสัมมาสมาธิ เวลามันเข้าไปรื้อไปค้นของมัน สัจธรรมมันเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าสัจธรรมเป็นจริง ถ้าพิจารณาไปแล้วเวลามันเป็นไตรลักษณ์ เห็นไหม เป็นไตรลักษณ์คืออะไร

ดูเวลาพิจารณากาย กายมันพุมันพอง มันย่อยสลายของมันไป ทำไมมันถึงย่อยสลายล่ะ? มันย่อยสลายเพราะจิตมันมีสมาธิ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะจิตมันมีสมาธิ สมาธิ สิ่งที่เห็นนี้มันเป็นนิมิต มันเป็นสิ่งที่เห็นกาย มันพิจารณาไป มันเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์มันแปรสภาพของมันไป พอแปรสภาพของมันไป มันลึกซึ้งกว่า กับที่ว่าเราจัดบ้านของเรา อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องหน้าที่การงานของเราไง ในเมื่อคนมีบ้าน คนเราเกิดมาก็ต้องมีบ้าน มีรถ มีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัยก็เพื่อดำรงชีวิต

คนมีชีวิตมันก็มีความคิดเป็นธรรมดา สิ่งมีชีวิตมันก็มีความคิด ความคิดมันก็มีอารมณ์มันไป มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกๆ เขา แล้วเราก็พิจารณาของเรา มันปล่อยวางมาๆ ปล่อยวางถ้ามีสติก็เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสติมันก็มิจฉาไง “นี่เป็นธรรมๆ” นี่เป็นมิจฉา เห็นไหม แล้วเราบอกว่าเราทำจริง ไม่ได้ทำเล่น

ทำเล่นๆ ทำแล้วไม่จริงจังของเรามันก็ได้ผลความไม่จริงมา แต่ถ้าทำจริงจังของเรานะ ทำจริงของเราแต่มันไม่เป็นความจริงตามธรรม มันเป็นความจริงที่เราคิดว่าจริง นี่ไง สมุทัย ถ้าเป็นสมุทัย นี่คืออะไรล่ะ ก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นไหม รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สิ่งที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความรู้ของเรา เรารู้ไม่รอบคอบ นี่อวิชชาทั้งนั้นแหละ อวิชชาคือความไม่รู้ไง ไม่รู้ก็คือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไง พอรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จิตมันเป็น จิตมันมีกำลัง พอจิตมันมีกำลัง มันพิจารณาไปแล้วมันเวิ้งว้าง “โอ้โฮ! อันนี้มันเป็นธรรมๆ”...มันก็จะยอมจำนนอยู่กับสมุทัยอยู่อย่างนั้นแหละ นี่ด้วยอำนาจวาสนาของคนนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระโพธิสัตว์ ทศชาติ บำเพ็ญเพียรมาขนาดไหน เพราะบำเพ็ญเพียร คำว่า “บารมีๆ” บางคนไม่มีบารมี ไม่มีบารมีเพราะอะไร เพราะเขาไม่ได้สร้างสมของเขามา เขาเห็นแก่ตัว เขาเห็นแก่ได้ของเขา ไม่มีคนนับหน้าถือตาเขา แต่คนที่เขาทำคุณงามความดีของเขา ทำทิ้งเหว คือทำแล้วไม่หวังสิ่งใดเลย เขาจะเกิดบารมี เพราะคนเขาไว้ใจ ปากต่อปากพูดไป คนนั้นก็มีบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา นี่บารมีของท่าน ท่านสร้างสมมามาก สร้างสมของท่านมา เห็นไหม ดูสิ สละชีวิตๆๆ มาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ท่านสละของท่านมาทั้งนั้นแหละ ท่านทำของท่านมา

เวลาท่านจะมาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เพราะมันมีอำนาจวาสนา มันมีบารมี ใครจะเยินยอสรรเสริญนะ ทุกคนยกย่อง ทุกคนเชิดชู ท่านไม่ฟังใครเลย ท่านทำของท่านมาเอง ของเราทำมาเอง เงินทองเราหามาเอง จะให้คนมาบอกว่าเงินทองนี้มันมีประโยชน์ ก็เราทำมาทั้งนั้นแหละ เราหาของเรามาเองทั้งนั้นแหละ เราจะต้องไปให้ใครมายกย่องสรรเสริญ นี่คนมีบารมี จิตใจมันก็ไม่วอกแวกวอแว จิตใจมันก็มีหลักไง ถ้าคนไม่มีบารมี มันต้องการให้คนยกย่องสรรเสริญมัน จนต้องจ้างคนประชาสัมพันธ์ จ้างคนมาจัดฉาก จ้างคนมานะ จ้างคนให้คนมายอมรับเรา เออ! เอาเงินไปจ้างเขาว่าเราเป็นคนดี

แต่ธรรมะไม่เป็นแบบนั้น จะดี-จะชั่วใจเรารู้ ความลับไม่มีในโลก เราทำความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรานะ เวลามันสำรอกมันคายออกไปแล้ว ถ้ามันคายจริงๆ แล้ว หาอย่างไรก็หาไม่เจอ ถ้าเราหาไม่เจอนะ ถ้าความจริงของเราในหัวใจของเรา ถ้ามั่นคงของเรานะ ในเมื่อเราหาความขาดตกบกพร่องของเราไม่ได้ ใครมันจะหาได้ล่ะ แต่โลกธรรม ๘ หาความขาดตกบกพร่องไม่ได้ เขาก็ติฉินนินทาว่าคนคนนั้นไม่มีหมู่ไม่มีคณะ ไม่มีสังคม

สังคม ใครเป็นคนไปหามัน เราไปห่วงว่าเราจะไม่มีสังคม ให้สังคมเป็นใหญ่ไง ให้สังคมบอกว่าต้องทำอย่างนั้นๆ แล้วเราก็เป็นขี้ข้าเขาไง แต่ถ้าเรามีบารมี สังคมมันเกิดมาจากอะไรล่ะ ถ้าเราหาความขาดบกพร่องของเราไม่ได้ ใครจะหาได้ แต่สังคมมันหาได้ สังคมมันยังนินทาได้อยู่ มันนินทาแน่นอน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เขาจ้างคนมาด่า เทวทัตจ้างนายธนูมาฆ่า เพราะเทวทัตอยากปกครองสงฆ์ จ้างนายธนูมายิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จ้างนายธนูมายิงคนที่มายิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จ้างนายธนูมาเก็บเป็นชั้นๆ ตัดตอน ๔-๕ หน แล้วสุดท้ายทำไม่ได้เลย

คนที่จะมายิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนขอบวช บวชแล้วประพฤติปฏิบัติด้วย แล้วคนที่จะยิงต่อไป ทำไมไม่มาสักที เอ๊ะ! รอนานก็เลยลองไปดู พอเข้าไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการบวชหมด ทั้งๆ ที่มีอกุศลนะ ตั้งใจมาฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเอาบวชหมดเลย แล้วเป็นพระอรหันต์ด้วย

ถ้ามันทำจริงมันเป็นจริงอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจมาฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ทั้งๆ ที่เทวทัตจ้างมา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับใจของเขา นี่ความดีของใครล่ะ ถ้าเราทำความดีของเรา ทีนี้ในหัวใจของเรามันมีกิเลสใช่ไหม มันมีกิเลสอวิชชาใช่ไหม มันก็ตีความของมันไป รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่รู้ นี่อวิชชาทั้งนั้นแหละ แล้วก็ตีความหมายในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฉะนั้น พอบอก “เราทำจริงแล้วทำไมมันไม่ได้จริง”

มันทำจริงแล้วแต่กิเลสมันยังไม่จริง ความไม่จริง กิเลสมันปลิ้นปล้อน กิเลสของเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อให้กิเลสของเรามันเบาบางลง ถ้าทำขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิก็แนบแน่นขึ้น สมาธิมั่นคงขึ้น แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาไป

เราจะต้องปากกัดตีนถีบ เราจะต้องพยายามทำของเราเพื่อให้จิตใจของเรามันได้รับรสของธรรม จิตใจเรามันจะเป็นเนื้อธรรม มันจะเป็นธรรมความเป็นจริงขึ้นมาของมัน แล้วถ้าเป็นความจริงของมันขึ้นมาแล้วมันจะสงสัยอะไร มันจะเข้าใจเลยว่าทำไมเมื่อก่อนล้มลุกคลุกคลาน แล้วทำไมคนอื่นเขาปฏิบัติถึงล้มลุกคลุกคลาน เพราะเราได้ผ่านวิกฤติอันนี้มาไง ถ้าเราได้ผ่านวิกฤติ ล้มลุกคลุกคลานเป็นอย่างไร เวลามันถูกต้องดีงามเป็นอย่างไร เวลามันเป็นโลกียปัญญา มันซาบซึ้ง มันดีงาม ดีงามอย่างไร

เวลามันเป็นภาวนามยปัญญาพูดไม่ถูกเลย พูดไม่ได้ รู้จำเพาะตน เอาออกมาไม่ได้เลยล่ะ แต่ผู้รู้กับผู้รู้เข้าใจกันนะ ไม่ใช่พูดไม่ได้ปั๊บเราก็พูดของเราจนคนอื่นเข้าใจไม่ได้ อันนั้นมันโรงพยาบาลศรีธัญญาน่ะ ไอ้ที่พูดแล้วรู้ไม่ได้นั่นโรงพยาบาลศรีธัญญา

แต่นี่พูดได้ เพราะผู้รู้กับผู้รู้เขารู้กันได้

ทำความจริงอย่างนี้ เราพยายามมุมานะของเราอย่างนี้

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีอำนาจวาสนา เพราะมีสติปัญญา มีสติปัญญารื้อค้น เห็นไหม ในทางการวิจัย ในวิชาการทางโลกเราก็ศึกษาได้ เราเข้าใจได้ แต่ในทางธรรม เห็นไหม ธรรมะ “เธอจงมีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย”

หัวใจของเรามันยังเข้าไม่ถึงไง ทั้งๆ ที่เราศึกษา ตู้พระไตรปิฎกนี้ทางโลก ตู้พระไตรปิฎกก็ทฤษฎี เราศึกษาได้ เราเข้าใจได้ นี่ปรัชญา เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องตรรกะ เข้าใจได้ทั้งนั้นแหละ แต่สัจธรรมเข้าใจไม่ได้ สัจธรรมเข้าใจไม่ได้ เห็นไหม ทำความเพียรชอบ เข้าให้ได้ เข้าถึงความจริงให้ได้ ถ้าเข้าถึงความจริงได้ อันนั้นเป็นธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะในหัวใจของเรา ใจของเราจะเป็นเนื้อธรรม เอวัง