เทศน์เช้า วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ธรรมะเพื่อสิ่งมีชีวิต เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกไปเทศนาว่าการ เห็นไหม เอาใจคนๆ เราเอาน้ำใจของคน เราไม่เอาสิ่งใดมีประโยชน์เลย สิ่งมีชีวิตไม่มีวิญญาณครองมันก็เจริญเติบโตของมันโดยธรรมชาติของมัน สิ่งมีชีวิตมีจิตวิญญาณครอง สัตว์เดรัจฉานของมัน มันต้องเกิดตามเวรตามกรรมของเขา วาระของเขา เขาเกิดมานี่แสวงหา การแสวงหาสัตว์นักล่านะ ถ้าเขาล่าได้เขาก็ได้อิ่มปากอิ่มท้องของเขา เขาล่าไม่ได้ เห็นไหม ถ้าเขาล่าไม่ได้เขาต้องหิวกระหายของเขาไป ถ้าเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็ต้องตายไป เขาตายของเขาไปนี่เวียนว่ายตายเกิด
เราเกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐมีกายกับใจๆ ไง ถ้ามีกายกับใจ หัวใจเวลามันดิ้นรน เวลาดิ้นรนมันดิ้นรนของมัน มันมีความเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ถ้ามันเป็นกุศลล่ะ? สิ่งที่มันสงบร่มเย็นของมันในหัวใจ นี่มันต้องเกิดอยู่แล้วไง ผลของวัฏฏะมันต้องเวียนว่ายตายเกิดไง แต่การเวียนว่ายตายเกิด เวียนว่ายตายเกิดด้วยบุญกุศลมันก็ขับส่งให้หมุนไปในวัฏฏะ แต่เวลาเราศึกษาธรรมๆ เราประพฤติปฏิบัติกัน เราจะต้องชนะหัวใจของเรา
ถ้าเราชนะหัวใจของเรานะ ธรรมชาติของกิเลส ธรรมชาติของน้ำ น้ำไหลลงต่ำ นี่ธรรมชาติของกิเลส กิเลสมันไหลลงต่ำอยู่แล้ว กิเลสมันเห็นแก่ตัวมาตลอดเวลา นี่ธรรมชาติของบุญ ธรรมชาติของบุญ บุญคือความร่มเย็นเป็นสุขของใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจมันขัดแย้งมาตลอดเวลา แล้วถ้าจิตใจของคน เห็นไหม เราไปวัดไปวากัน ไปประพฤติปฏิบัติกันก็ชั่วครั้งชั่วคราว พอปฏิบัติไปแล้วมันไปจนตรอก นี่เลิกดีกว่า เรากลับไปใช้ชีวิตปกติของเราดีกว่า นี่กิเลสมันไหลลงต่ำ ลงต่ำเพราะอะไร?
ชีวิตพรหมจรรย์ ชีวิตพรหมจรรย์ ชีวิตของเราอยู่ด้วยความเป็นพรหมจรรย์ ชีวิตของโลกเขา ชีวิตครองเรือนของเขา ชีวิตคู่ ชีวิตคู่ของเขา เขาคิดว่ามีความร่มเย็นเป็นสุขของเขา เขามีความอบอุ่นในบ้านเรือนของเขา มีความอบอุ่นในบ้านเรือนของเขานี่ก็เป็นบุญกุศลของเขา แต่บุญกุศลขนาดไหน นี่ผลของวัฏฏะๆ เวียนว่ายตายเกิดไง นี่กิเลสมันไหลลงต่ำ ถ้าเป็นธรรมล่ะ? ธรรมะ เห็นไหม พรหมจรรย์ๆ พรหมจรรย์เราอยู่โดยสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา สะอาดบริสุทธิ์ถ้าเราทำของเราไปไม่ได้ล่ะ? ถ้าเราทำของเราไปไม่ได้เพราะเหตุใดล่ะ?
เพราะเหตุใด ดูสิความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ความเพียร เห็นไหม เวลามีความเพียรมา มีความทุกข์ความยากความลำบากลำบนของเรา มันจะลำบากลำบนขนาดไหน นี่ชีวิตในทางโลกเขาก็ลำบากของเขา เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราลำบาก ลำบากเพราะเราเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราไง เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา นี่เราต้องมีสติ มันเป็นนามธรรม มันเป็นวัตถุธาตุ ของสิ่งใดที่มันระเกะระกะเขาจัดเข้าที่เข้าทางมันก็เรียบร้อย
จิตใจของเรามันระเกะระกะ จิตใจของเรามันขัดแย้ง เราจะจัดให้มันเรียบร้อยทำไมมันเรียบร้อยไม่ได้ล่ะ? ทั้งๆ ที่เราเป็นคนจัดเอง เราเป็นคนจัดวางเองทำไมเราทำไม่ได้ล่ะ? ถ้าเรามีสติสมบูรณ์ เรามีสติของเรา มีสติฝึกหัดของเรา เห็นไหม นี่เราจะเป็นบุรุษอาชาไนย คนที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามีความจริงได้เป็นบุรุษอาชาไนยนะ ดูสิงานทางโลกที่เขาแข่งขันทางธุรกิจ น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จ อย่างมากก็พอดำรงชีวิตของเราอยู่ได้ในสังคมเท่านั้นแหละ น้อยคนนักที่ประสบความสำเร็จ เขาทำของเขามา
นี่ก็เหมือนกัน เวลาบุรุษอาชาไนย การประพฤติปฏิบัติ งานในทางธรรม งานในทางธรรมนะ นี่มันความรู้สึก ความรู้สึกมันเข้าข้างตัวเองตลอด เราทำดีทั้งนั้นแหละ มันประสบความสำเร็จทั้งนั้นแหละ มันเป็นคุณงามความดีของเราทั้งนั้นแหละ ทำไมมันปล่อยให้เป็นแบบนี้ จนมันท้อใจ เห็นไหม พอกิเลสมันยุมันแหย่มันไหลลงต่ำ นี่มรรคผลมันคงจะไม่มีแล้วแหละ คำว่าไม่มีนะ หรือถ้ามี ถ้ามีเราก็ไม่มีวาสนา วาสนาเรามีเท่านี้ เราทำของเราไม่ได้เท่านี้ นี่มันไหลลงต่ำ กิเลสมันชักนำให้ไหลลงต่ำทั้งนั้นแหละ แต่เรามีสติปัญญาขนาดไหนนี่เราทวนกระแส เราจะทวนกระแสเข้าไป
ทวนกระแสเราก็มีความเพียรชอบ มีความเพียรชอบ มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ อุตสาหะที่ไหนล่ะ? อุตสาหะที่ความเพียรไง ถ้าความเพียร ความอุตสาหะมันอยู่ที่นี่ไง เราไม่คาดการณ์ที่ไปอนาคตไง แล้วคาดการณ์ไปที่อนาคต เราไม่อยู่กับความเพียรไง ดูสิดูอย่างพระอานนท์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเธอจะเป็นพระอรหันต์ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีสังคายนา ถึงเวลาก็มีสังคายนาจริงๆ ถ้าตอนนั้นเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นใครจะรู้ได้อย่างไร? เพราะเหตุการณ์มันยังไม่เกิด เวลาเหตุการณ์มันเกิดขึ้นมาแล้วนะเขาจะมีสังคายนา เธอจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์วันนั้น ก็คิดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราจะได้เป็นพระอรหันต์วันนี้ นี่ก็เร่งความเพียรใหญ่เลย
ความเพียร เห็นไหม นี่มันไม่เป็นปัจจุบัน เราทำความเพียรก็เหมือนกัน เราคาดการณ์ไง มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะได้ผลประโยชน์อย่างนี้ เราคาดการณ์ว่าจะเป็นที่เราพอใจไง นี่มันส่งออกไป เหมือนพระอานนท์ พระอานนท์ก็คาดการณ์ไป สุดท้ายพระอานนท์บอกว่า เออ เราพักก่อนดีกว่า เราปล่อย พอปล่อยแล้วมันก็เป็นปัจจุบัน มันเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวไง มันเข้ามาเป็น เพราะเราคาดไป ความคาดความหมายอารมณ์สอง นี่มันส่งออกไปอีกตำแหน่งหนึ่ง มันส่งออกไปข้างนอก มันไม่เป็นตัวมันเอง เพราะความคิด ความคิดไม่ใช่จิต พอจิตมีความคิด มันคิดแต่คำที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ไง
เธอจะเป็นพระอรหันต์อีก ๓ เดือนข้างหน้า
ก็เราจะเป็นพระอรหันต์วันนี้ แล้วเวลาคิดก็คิดกันไป ใช้ปัญญาก็ปัญญาที่ความคิดนี่ไง มันไม่ย้อนกลับมาเป็นตัวของมันเองไง ถ้าย้อนกลับตัวมันเอง เห็นไหม เราจะพักผ่อนก่อนดีกว่า พอพักผ่อนมันปล่อยหมด ย้อนกลับมาตัวเราเอง นี่สิ่งที่มันจะทวนกระแส ทวนกระแสกลับเข้าไป นี้คนไม่ทวนกระแส เราคิดว่าการส่งออกเป็นการทวนกระแสนะ การคิดส่งออกเป็นการทวนกระแส เพราะเราคิดว่าความคิดของเรา ถ้ามันเป็นการส่งออก ส่งออกก็ต้องไปคิดเรื่องวัตถุข้าวของ ก็ต้องไปคิดเรื่องวัตถุข้าวของเงินทอง นี่เรื่องส่งออก ไอ้วัตถุข้าวของเงินทองมันอยู่ข้างนอก แต่ความคิดมันคิดอยู่กับเรานี่แหละ คิดถึงข้าวของเงินทองมันคิดอยู่กับเรา แต่ถ้ามันปล่อยที่ความคิดเรา ข้าวของเงินทองก็กองอยู่ที่เก่า มันก็วางลง วางลงมันก็เป็นตัวมันเอง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาขึ้นมาจะได้อย่างนั้น คาดการณ์อย่างนั้น ความหมายของเรา เราต้องการไง เราต้องการมันก็เลยทุกข์ เพราะเราต้องการ เราแสวงหาของเรา เราพยายามทำของเรา เราก็เลยทุกข์เลยยากของเรา ถ้ามันทุกข์มันยาก นี่บุรุษอาชาไนย ถึงเวลานักปฏิบัติต้องเป็นบุรุษอาชาไนย ต้องมีความเข้มแข็ง มีความกระทำของเรา ถ้าบุรุษอาชาไนยของเรา ดูสัตว์อาชาไนยมันเลือกกิน กินแต่ยอดหญ้า กินน้ำที่ตาน้ำ กินที่สะอาดของมัน นี่สัตว์อาชาไนย
ถ้าสัตว์อาชาไนยมันจะได้ผลตอบสนองหัวใจสมควรอย่างนั้น ถ้าเวลากิเลสมันไหลลงต่ำ ก็มนุษย์เหมือนกัน เขาก็ทำเหมือนกัน แล้วนี่ดูสิความเจ้าเล่ห์ของครูบาอาจารย์ที่ไม่มีคุณธรรม นี่ลัดสั้น ต้องทำอย่างนี้ ความเพียรทำขนาดนี้มันยังไม่ได้มันจะลัดสั้นตรงไหน ถ้าลัดสั้นมันก็ไหลลงไป ไหลลงต่ำทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันมีความเพียรชอบ แต่ถ้าเขาเป็นขิปปาภิญญา เขาปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายแล้วเป็นอย่างนั้นหรือ?
นี่ดูสิคนเป็นเศรษฐีโลก เขาทำธุรกิจอย่างนี้เป็นเศรษฐีโลก คนทำตามหมดเลย มันจะเป็นเศรษฐีโลกได้ที่ไหนล่ะ? มันก็เป็นเฉพาะเศรษฐีโลกที่โอกาสของเขา โอกาสของเขา จังหวะของเขามาถึงของเขาพอดี เขาทำแล้วประสบความสำเร็จของเขา มันก็เรื่องของเขา ไอ้เราจะทำอย่างนั้น โอกาสอย่างนั้นมันจะมีซ้ำสองซ้ำสามไหม? มันก็บุญ นี่กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมของบุคคลเขาก็ทำของเขามา เขามีโอกาสของเขา จังหวะของเขามันเป็นสิ่งที่เขาทำมาเขาก็ได้ประโยชน์ของเขา เราทำมาระดับนี้ แล้วเราจะเอาให้ได้อย่างนั้น คิดให้ได้แบบนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ลัดสั้นๆ เราไปคาดไปหมายเอาเองไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติของท่านประสบความสำเร็จ เรื่องการภาวนาที่ขิปปาภิญญานั่นก็เรื่องของท่าน มันมีได้ไง แต่มันไม่ใช่ว่าเอาอย่างนั้น แล้วเราจะเอาอย่างนั้น แต่เวลาพระกัสสปะถือธุดงค์จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา ๘๐ เท่ากัน
นี่ทำไมเธอยังต้องสังฆาฎิปะชุนอยู่อย่างนั้น นี่ถือธุดงควัตรไง ธุดงควัตรถือผ้าบังสุกุล ถ้ามันชำรุดเสียหายก็ต้องปะต้องชุน เพราะถ้ามันขาดจนขนาดที่ว่าเม็ดถั่วเขียวผ่านได้มันขาดครอง นี่จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา เธอเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เธอทำอย่างนั้นทำไม?
นี่ขอแลกเลย ขอแลกด้วย เอาสังฆาฏิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแลกกับพระกัสสปะ นี่เป็นเพราะจะเชิดชูไง เชิดชูพระกัสสปะว่าเลิศในทางถือธุดงควัตร พระกัสสปเลิศในทางธุดงควัตร ทั้งๆ ที่เป็นพระอรหันต์นะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า เธอทำทำไม?
ข้าพเจ้าทำไว้เพื่อเป็นคติแบบอย่างให้กับอนุชนรุ่นหลังที่ได้ทำตาม
ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านทำของท่านมา นี่เป็นประโยชน์ ท่านยังคิดถึงเป็นคติแบบอย่างกับอนุชนรุ่นหลังที่จะประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องกันมา ผู้ที่เป็นแบบอย่างอย่างนี้ทำไมไม่ทำบ้างล่ะ? เวลาคนที่อยู่ในร่องในรอย อยู่อริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้าที่ประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราไม่เอาครูบาอาจารย์แบบนี้เป็นคติเป็นตัวอย่างล่ะ? ทั้งๆ ที่ท่านสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคติเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แต่เวลาที่พาหิยะที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ก็ท่านทำของท่านมา แต่ท่านได้เป็นเอตทัคคะเป็นแบบอย่างไหม? แบบอย่างมันไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ทำความเพียรชอบ ความวิริยะอุตสาหะ แต่กิเลสมันอยากลงต่ำทั้งนั้นแหละ
ธรรมชาติของน้ำมันไหลลงต่ำ กิเลสก็พาไหลลงต่ำ ธรรมะนี้ทวนกระแส ถ้าทวนกระแสเราเป็นผู้เลือกไง เราเป็นผู้ที่มีสติปัญญาว่าเราจะเลือกทางไหน ถ้าเราจะเลือกทวนกระแสเราก็ต้องมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะของเรา แล้ววิริยะอุตสาหะของเรามันทำแล้วมันไม่ได้ นี่ภาวนาไม่ได้สิ่งใดเลย มันได้ประสบการณ์ ปฏิบัติบูชา ดูสิบุญกิริยาวัตถุ สิ่งที่เขาอยู่กันสะดวกสบายของเขานี่เป็นเรื่องของเขา เรามานั่งสมาธิภาวนาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เห็นไหม บุญกิริยาวัตถุ
เขาไปวัดไปวากัน ดูสิประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของชาวพุทธ ไปวัดไปวาเขาได้บุญของเขา ยกมือไหว้พระก็ได้บุญของเขา แม้แต่ผ่านยกมือไหว้ สาธุ คิดถึงพุทโธมันก็ได้บุญของเขา แล้วนี่เรานั่งปฏิบัติบูชามันจะไม่ได้อะไรมันเป็นไปได้อย่างไร? ก็เราปฏิบัติบูชาอยู่นี่ ถ้าเราปฏิบัติบูชามันก็ได้ของเราสิ บุญกิริยาวัตถุมันได้อยู่แล้ว เราเอาร่างกายนี้เอาจิตใจนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องได้บุญอยู่แล้ว ถ้ามันได้บุญแล้ว ปฏิบัติบูชาเพื่อมีปัญญา มีปัญญา เห็นไหม ปัญญาที่มีสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันตัวเอง
ดูสิคนที่เขาไม่มีศีลของเขา นี่เขาสนุกเพลิดเพลินไปชีวิตประจำวันของเขา ของเราถ้ามีศีล ๘ ห้ามดูการละเล่น การฟ้อนรำ ห้ามดูหนังดูละคร ห้าม เพราะไอ้นั่นมันไปเติมเชื้อไฟ มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันไปกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของคน นี่แล้วพอใครไปดูอิน อู้ฮู น้ำตาไหลน้ำตาร่วง นั่นล่ะมันทุกข์ยากทั้งนั้นแหละ เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติของท่าน เวลาน้ำตาร่วงน้ำตาร่วงล้างภพล้างชาติ ไอ้นี่ไปดูหนังดูละครขึ้นมาแล้วน้ำตาร่วงน้ำตาไหล น้ำตามันอาลัยอาวรณ์ มันผูกพัน นี่ถ้าถือศีล ๘ เขาห้าม นี่ไงเขาไม่ให้ทำ
ดูสิเวลาถ้าเขาไม่มีศีลมีธรรมของเขา เขาก็สนุกเพลิดเพลินกับชีวิตของเขา ไอ้เราก็บอกว่าเราเป็นคนแห้งแล้ง เขามีความสุขของเขา โดยธรรมชาติของกิเลสนะ หลวงปู่เจี๊ยะก็เป็น หลวงตาก็เป็น ปฏิบัติอยู่ในป่า ถึงคราวสงกรานต์เขาไปเล่นสงกรานต์กัน เขาร้องเพลง ขับนำกันไป เดินจงกรมอยู่มันยังคิดเลย มนุษย์เขาเกิดมาเขาก็ยังมีความสุขอยู่บ้าง เขายังขับกลอนร้องรำทำเพลงกัน ไอ้เรามันเป็นสัตว์ทุกข์สัตว์ยาก ดูสิมาเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่ในป่า เดินจงกรมไปมันได้ยินเสียง พอได้ยินเสียงเพราะเรามีกิเลส กิเลสยังไม่จบสิ้น มันก็คิด
นี่หลวงปู่เจี๊ยะก็เป็น หลวงตาก็เป็น ครูบาอาจารย์เราเป็นมาทั้งนั้นแหละ นี่เป็นมา เพราะที่ยังปฏิบัติอยู่มีกิเลสใช่ไหม? คนมีกิเลสมันก็มีความคิดธรรมดา เพราะกิเลสมันยุมันแหย่ แล้วเราปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตาท่านเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว นี่เวลาหลวงตาท่านยังมีชีวิตอยู่ ขณะว่าเกสาของท่านโกนออกมามันจะเป็นพระธาตุอยู่แล้ว เวลาท่านเผาไปแล้วเขาบอกว่าไม่เป็นเพราะมันยังเป็นอัฐิอยู่ มันไม่เป็นพระธาตุ ส่วนที่เป็นมันเป็นไปแล้ว มันเป็นตั้งแต่มีชีวิตอยู่นั่นแหละ แล้วส่วนที่มันยังไม่เป็นเดี๋ยวมันก็เป็นไปข้างหน้า อยู่ที่เวรที่กรรมของคนที่ถือไว้ มันมีเวรมีกรรมของคนที่เก็บไว้
มันมีเวรมีกรรมทุกๆ อย่าง มันมีเวรมีกรรมที่ว่าจิตมันฟอกๆ ตรงไหนก่อน ในร่างกายของมนุษย์ฟอกตรงไหนก่อน ตรงไหนมันจะเป็นก่อนจะเป็นหลัง มันมีเวลาของมันทั้งนั้นแหละ มันมีเรื่องเวรเรื่องกรรมมันเข้ามาเป็นปัจจัย หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็สำเร็จของท่านไปแล้ว นี่แต่เวลาท่านเล่าเอง ทั้งหลวงตา ทั้งหลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้เราฟังเอง ว่านี่เวลาเขาขับกล่อมกันมามันก็ยังคิด มันก็ยังคิด มันก็ยังน้อยใจ นี่เวลาปฏิบัติเป็นอย่างนั้นแหละ แล้วในปัจจุบันนี้ที่เราปฏิบัติกันอยู่ กิเลสไหลลงต่ำๆ เราน้อยใจไหม?
เวลาภาวนาเราน้อยใจไหม? เราก็น้อยใจ แล้วครูบาอาจารย์ก็เป็นอย่างนี้ นี่ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติของกิเลสมันยุแหย่ ธรรมชาติของน้ำมันไหลลงต่ำ ธรรมชาติของมันเป็นแบบนี้ แล้วถ้าไม่มีใครไปรู้จักมันเลย เราไปคุ้นเคยกับมันนะ พอธรรมชาติเป็นอย่างนี้ เออ จริง นี่เราเป็นคนอย่างนี้ เราเป็นคนอย่างนี้ มันเชื่อไง มันเชื่อกับอารมณ์ความคิดอย่างนั้นไปแล้วก็ไหลลงไปเลย แต่ถ้ามันมีวาสนาบารมี ตั้งแต่พระนาคิตะ ตั้งแต่หลวงตา ตั้งแต่หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็คิดมุมกลับ
ไอ้ของอย่างนี้ หลวงตาท่านเล่าให้ฟังนะ ไอ้ของอย่างนี้เราไม่เคยหรือ? ก่อนบวชเราก็เล่นฟ้อนรำมากับเขา ถ้ามันจะดีมันก็ดีไปแล้ว นี่ถ้าเราดี เพราะเราก็เคยทำ ขณะก่อนบวชเราก็เคยเล่นกับเขา สงกรานต์ สงกรานต์งานรื่นเริงใครไม่เคยประสบมันก็ประสบมาทั้งนั้นแหละ แล้วถ้ามันดีมันก็ดีไปแล้ว แต่ทำไมขณะที่เราเป็นคฤหัสถ์ เรายังไม่ได้บวชเราก็ทำมาแล้วมันก็ไม่ดี เพราะถ้าดีเราจะมาบวชทำไม เพราะมันไม่ดีเราถึงได้สละมันถึงได้ทิ้งมันมา แล้วนี่พอเรามาประพฤติปฏิบัติ เราจะทุกข์จะยากมันก็ประเพณีของพระอริยเจ้า ประเพณีของการประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องมีความมุมานะ มีความบากบั่นมันถึงเป็นสัมมาทิฏฐิ
ถ้ามันเอาความสะดวกสบาย มันจะเป็นความเพียรชอบมาจากไหน ถ้าความเพียรชอบมันก็ต้องมีความวิริยะ มีความอุตสาหะใช่ไหม นี่ถ้ามีปัญญาพลิกอย่างนี้ นี่ปัญญามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม สัตว์อาชาไนย เพราะมันมีความอาชาไนยของมัน มันมีกำลังของมัน มันถึงมีปัญญาของมัน มันถึงลบล้างไอ้กิเลสที่มันจะชักนำไป มันจะลบล้างไอ้น้ำที่ไหลลงต่ำ เห็นเขาขับกล่อมร้องรำกันมา โอ๋ย มีความสุขเนาะ ทุกคนมีความสุขเลย
ไอ้เรามันสัตว์ทุกข์สัตว์ยาก โอ๋ย ต้องมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา มาทุกข์มายากอยู่นี่ อู๋ย เท้าอ่อนหมดเลย เดินจงกรมเดินไม่ไหว แต่ถ้ามันมีปัญญามันพลิกกลับขึ้นมา มันพลิกกลับขึ้นมามันทำของมันได้ ถ้าทำของมันได้มันก็มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มันก็ภาวนาของมันต่อเนื่องกันไป นี่ถ้ามันมีปัญญาเป็นอย่างนี้ มันเป็นสัตว์อาชาไนยอย่างนี้ นี่พูดถึงธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต ธรรมชาติของกิเลสมันก็อยู่บนภวาสวะ บนภพ บนหัวใจของสัตว์โลก แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ นี่เราก็เป็นสิ่งมีชีวิต ครูบาอาจารย์ท่านปรารถนา ปรารถนาหัวใจของสัตว์ ปรารถนาหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันมีสติมีปัญญามันคัดแยก เพราะธรรมชาติของมัน มันต้องมีขั้วบวกขั้วลบมันถึงมีพลังงาน
นี่ก็เหมือนกัน เพราะมันต้องมีกิเลส ต้องมีธรรมะมันถึงแยกดีแยกชั่ว แล้วถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม นี่เรามีสติปัญญา เราใช้ปัญญาของเราพิจารณาของเรา สัตว์ประเสริฐๆ ผู้ประเสริฐ เราอยากเป็นผู้ประเสริฐหรือเราอยากเป็นผู้ทุกข์ผู้ยากล่ะ? เราก็อยากเป็นผู้ประเสริฐ แล้วผู้ประเสริฐทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ล่ะ? ผู้ประเสริฐทำไมเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่นี่ ไอ้ผู้ที่เขาอยู่กับโลก อันนั้นเขาเก็บไว้ในใจไง ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจเป็นแบบนี้ แล้วก็มีความสามารถกันแค่นี้ มีแต่ความเศร้าหมองในหัวใจแค่นี้ ก็เก็บมันไว้ภายใน ยิ้มแย้มแจ่มใส
นี่เวลาทักทายกันนะ สบายดีหรือ? สบายดีหรือ? ก็สบายทั้งนั้นแหละ ใครจะตอบว่าไม่สบาย ก็ตอบว่าสบายทั้งนั้นแหละ แต่เก็บครอบงำมันไว้ เพราะเขามีอำนาจวาสนาบารมีกันอย่างนั้น สังคมเขาอยู่กันอย่างนั้น เราแยกออกมาถือพรหมจรรย์ เราแยกออกมามีศีลมีธรรม เราจะเอาความจริงของเรามันต้องทุกข์ต้องยาก ต้องมีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีความกระทำของเรา เพื่อจะเป็นผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐประเสริฐในหัวใจ แล้วหัวใจนี่นั่งสมาธิ ภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาก็เพื่อเอาหัวใจของเรา ถ้าได้หัวใจของเราแล้วมันจะได้เป็นประโยชน์กับเรา นี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนหัวใจของเรา เอวัง