เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันพระเนาะ วันพระ เห็นไหม จันทรคติ วันพระ วันโกน วันพระวันโกนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาศัยวันนี้ อาศัยวันนี้ให้เป็นวันทำบุญกุศลไง วันทำบุญกุศล คนเราต้องมีบุญกุศลเพราะอะไร? เพราะคนเราเกิดมามีกิเลส มีอวิชชาคือความไม่รู้ตัวของมัน เพราะความไม่รู้ตัวของมันเราถึงเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดเกิดจากบุญกุศลเพราะเราได้ทำบุญกุศลมา เรามีมนุษย์สมบัติมาถึงได้เกิดเป็นมนุษย์
ถ้าเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นสัตว์ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ยาก พิสูจน์ได้ยาก ถ้าเกิดเป็นสัตว์ ดูสิดูฟาร์มไก่ต่างๆ มันเป็นหมื่นๆ เป็นแสนๆ ตัวต่อวันที่มันต้องโดนเชือด แล้วสิ่งนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นสิ่งใดล่ะ? เวียนว่ายตายเกิดเกิดโดยมนุษย์สมบัติ การเกิดโดยมนุษย์สมบัติ เห็นไหม วันนี้วันพระ วันพระนี่เราทำความชอบธรรม บุญกุศลไง บุญคือความชอบธรรม อกุศลคือความไม่ชอบธรรม
การทำสิ่งต่างๆ ดูสิอำนาจ อำนาจที่เขาแสวงหากันมาแสวงหากันมาด้วยความชอบธรรม ถ้าแสวงหาด้วยความชอบธรรมนะ มันสุจริตยุติธรรม มันอยู่ที่ไหนมันอยู่ด้วยความอบอุ่นนะ แต่อำนาจที่มาด้วยอธรรม ด้วยอธรรมนะ ด้วยการทุจริต อำนาจเหมือนกันแต่อำนาจนั้นอยู่ด้วยความสะดุ้งกลัว อำนาจนั้นอยู่ด้วยความไม่มีความอบอุ่น อยู่ด้วยความวิตกกังวล
เวลาอำนาจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอำนาจเหมือนกองไฟ แท่งเหล็กแดงๆ ทุกคนเข้าไปกอดแทงเหล็กนั้นก็บ่นว่าร้อนๆ ทุกคนก็ต้องแสวงหา แสวงหาเพื่ออะไร? แสวงหาเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง กิเลสของคนก็ต้องการให้คนยอมรับ ต้องการให้คนนับหน้าถือตา โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์ ละสถานะความเป็นกษัตริย์นั้นออกมาแสวงหาโมกขธรรม
โมกขธรรมคือความสุขในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาอยู่ที่โคนไม้ อยู่ที่โคนต้นโพธิ์นั้นตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมไปด้วยสัจธรรม สัจธรรมความจริง ความจริงมันเป็นธรรม เป็นธรรมอยู่ที่ไหนมันก็อบอุ่น ความอบอุ่นของเรามันไม่ยุบยอบไปกับโลกเขา โลกเขาเดี๋ยวฟูเดี๋ยวยุบเดี๋ยวยอบไปกับเขา นี่โลกเขาต้องการการบริหารจัดการ การบริหารจัดการก็คือทางโลกๆ แต่ถ้าเป็นทางธรรมๆ ล่ะ?
ทางธรรม เห็นไหม นี่คบบัณฑิต บัณฑิต เรามีความเสียสละ เรามีจิตใจที่เป็นธรรม มีน้ำใจต่อกัน ไปอยู่ที่ไหนนะมันมีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส นี่เราไปที่ไหนเราช่วยเหลือเจือจานกัน เราให้โอกาสกัน เราคอยดูแลกัน เราเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน ถ้าเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน เรามีน้ำใจต่อกัน สิ่งที่เป็นวัตถุมันเป็นเรื่องปลีกย่อยเลย เป็นเรื่องมาทีหลังเลย แต่ถ้าคนเราบกพร่องในหัวใจ หัวใจมันดิ้นรน หัวใจมันเดือดร้อน มันห่วงไง ห่วงว่าตัวเองจะอยู่ไม่ได้ ห่วงว่าตัวเองยืนอยู่ไม่ได้ ห่วงตัวเองจะไม่มีความอบอุ่น มันแสวงหามาๆ ดูสิเอามาก็ใช้ไม่หมด เอามาแล้วเอามาสะสมไว้ให้มันเน่าเสียหายไป แต่คนใช้เขาใช้ประโยชน์ของเขา
ถ้าคบบัณฑิต สิ่งที่บัณฑิตเขาขาดแคลนบริหารจัดการ ถ้าบริหารจัดการที่ดีเป็นสิ่งที่ดี การบริหารจัดการ บริหารจัดการทางโลกเขามีบริษัทที่ปรึกษา ที่ปรึกษาเขาปรึกษาแล้วเขาบริหารจัดการให้เสร็จเลย เดี๋ยวนี้เพราะว่าวิชาการทางโลกมันศึกษาไม่จบหรอก นี่สิ่งใดศึกษาไม่จบ แต่มันศึกษาจบมันศึกษาที่ในหัวใจของเรานี่ ถ้าหัวใจของเราจบมันจบที่ไหนล่ะ? ถ้ามันจบขึ้นมา ดูสิความชอบธรรมๆ ของเรา ความชอบธรรมเราทำบุญกุศล เรามีอำนาจวาสนาบารมีก็ว่าเราชอบธรรมของเรา ชอบธรรมนี้เป็นอามิส
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์
อานนท์ เธอบอกเขานะบริษัท ๔ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด
การปฏิบัติบูชา ดูสิการกินข้าว การเสพปัจจัยต่างๆ ถ้าเราเสพขึ้นมาเราถึงได้สัมผัสไง นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติบูชาเราเถิด หัวใจมันจะเข้าใจ หัวใจมันจะรับรู้ หัวใจมันจะมีคุณธรรมในหัวใจ นี่ใครต้องไปบอกล่ะ? แต่ถ้าเราบริหารจัดการทางวัตถุ สิ่งต่างๆ ทางโลกที่ว่าเราศึกษาทางโลกๆ มันไม่มีวันจบหรอก มันไม่มีวันจบเพราะมันแตกแขนงไปเรื่อย ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ต่างๆ ขึ้นมา พิสูจน์ขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของชีวิต เพื่อคุณภาพชีวิต ถ้าคุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตมันมีอะไรล่ะ?
คุณภาพชีวิตของเรา เห็นไหม ดูสิคนโบราณของเราอยู่ที่น้ำใสสะอาด อยู่ที่เรือกสวนไร่นาที่เป็นธรรมชาติ นี่อากาศบริสุทธิ์ต่างๆ คุณภาพชีวิตไหม? เดี๋ยวนี้แสวงหากัน ทำพัฒนากันไปจนแสวงหาธรรมชาตินะ ถึงเวลาต้องไปอยู่ป่าอยู่เขา ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ไง นี่สูดอากาศบริสุทธิ์ แล้วหัวใจที่บริสุทธิ์ล่ะ? หัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ หัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์มันเกิดที่ไหนล่ะ? ถ้าหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ นี่ทำบุญกุศลแล้วสิ่งนี้เป็นอามิส อามิสคืออะไร? เพราะมันชักนำให้เรามีศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักร หัวรถจักรก็เราเข้ามาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนก็มีสิทธิศึกษาได้ ทุกคนก็มีการประพฤติปฏิบัติได้ เราก็ปรารถนา เราก็ปรารถนาความพ้นทุกข์ เราปรารถนาหัวใจของเราให้มีความมั่นคงเป็นสุข ถ้าความมั่นคงเป็นสุข ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็แสวงหามาแล้ว ทางโลกเราก็แสวงหามาเพื่อความมั่นคงของชีวิตของเรา แต่หัวใจเรามั่นคงไหมล่ะ? ดูสิอำนาจที่เป็นธรรม อำนาจที่เป็นธรรม อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ไหนมันก็มีความอบอุ่นทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นธรรม เป็นธรรมมันไม่มีเลศนัยไง แต่ถ้าอำนาจที่เป็นอธรรมๆ เราไปหามาทำไม เราทำของเราด้วยความเป็นธรรม
เวลาทางธรรม เห็นไหม เขาบอกว่าคนที่เสียสละเป็นคนโง่ คนที่มีคุณธรรมในหัวใจเขาเป็นคนโง่ คนที่แสวงหา คนที่ทุจริต คนที่เพื่อประโยชน์ของเขาไอ้นั่นเขาเป็นคนฉลาด ไอ้นั่นมันแสวงหาฟืนหาไฟมาใส่ตัว แสวงหาฟืนหาไฟมาใส่ตัวแล้วมันคุ้มค่าไหม? มันคุ้มค่ากับสิ่งที่แสวงหาไหม? แล้วบาปอกุศลที่ในหัวใจมันคุ้มค่าไหม? เพราะมันเวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏฏะ นี่มันยังไปเผชิญข้างหน้าอีกมหาศาลเลย แล้วมันทบต้นทบดอกไปมันสมควรไหม? แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เป็นธรรมมันก็อบอุ่นตั้งแต่ที่นี่แล้ว อบอุ่นที่นี่ แล้วก็ว่าเราเป็นคนโง่
คนโง่ทำไมมันเอาหัวใจมันรอดได้ล่ะ? คนโง่ทำไมมันนั่งอยู่โคนไม้ได้ล่ะ? คนโง่ทำไมเราอยู่ในกระต๊อบห้องหอของเราแล้วมีความอบอุ่นล่ะ? คนโง่ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใส คนโง่ทำไมพี่ ป้าน้าอาในครอบครัวมันอบอุ่นล่ะ? คนโง่ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ? ไอ้คนฉลาดมีแต่ความเดือดร้อนไปหมดเลย ไอ้บ้านแตกสาแหรกขาดนั่นคนฉลาดหรือ? ฉลาดอย่างนั้นมันฉลาดอะไร? ฉลาดเป็นประโยชน์อะไร? นี่อธรรม แต่ถ้าเป็นธรรมนะ อำนาจวาสนาบารมีของคน ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ
ประสบความสำเร็จมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาด้วย เพราะคนมีอำนาจวาสนาถึงมีสติถึงมีปัญญา คนที่มีปัญญาขึ้นมาเราจะบริหารจัดการของเรา เราทำสิ่งใดของเราด้วยปัญญาของเรา ด้วยสติของเรา เราไม่ประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตลอดเวลา นี่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เห็นไหม ดูสิโลกใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท วันคืนล่วงไปๆ เราหายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจโดยไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย ถ้าเรามีสติเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจนี่มันต้องหายใจอยู่แล้ว โดยธรรมชาติของมนุษย์ต้องมีลมหายใจ ลมหายใจเพื่อโลกไง เพื่อความดำรงชีวิตนี้ไง แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธใครเป็นคนนึกล่ะ? ก็จิตเป็นคนนึก หัวใจเป็นคนนึก ถ้าหัวใจเป็นคนนึกมันก็ไม่คิดไปเรื่องนอก ไม่ส่งออกไปแบกหาม ไปเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวมันเอง มันอยู่ที่พุทโธ แล้วพุทโธทำมาหากินอย่างไรล่ะ? ทำมาหากิน เวลาเราทำมาหากิน เวลามันจะแบกหามความคิดมันอีกเยอะแยะไปหมด ทำเสร็จแล้วมันก็ปล่อยวางไว้นั่น แล้วเราก็นึกพุท นึกโธพร้อมกับลมหายใจเข้า-ออก พอจิตมันนึกพุท นึกโธขึ้นมา นี่มันก็จะบริหารจัดการของมัน เห็นไหม นี่มันก็แข็งแรงของมันขึ้นมา ถ้ามันแข็งแรงขึ้นมา สิ่งใดที่กระทบกระเทือนมาหัวใจมันก็แยกแยะได้ อะไรผิดอะไรถูกมันแยกแยะได้
ถ้าแยกแยะได้ นี่เขาว่าคนโง่ๆ คนโง่ทำไมมันแยกแยะได้ คนโง่ทำไมไม่เอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเองล่ะ? ไอ้คนฉลาดๆ ทำไมมันเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวมันเองล่ะ? ถ้าเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวมันเอง นั่นฟืนนั่นไฟ แต่เขามองว่าเป็นประโยชน์ เขามองว่าเป็นคุณสมบัติของเขา ไอ้คนที่ฉลาดเขาเห็นว่าเป็นฟืนเป็นไฟมันเผาลนเรา เราไม่เอาฟืนเอาไฟ เราจะเอาคุณธรรม เราจะเอาความดี เราจะเอาเมตตาธรรม เราจะมีน้ำใจต่อกัน เรามีน้ำใจต่อกัน มีสิ่งใดเราก็เสียสละเจือจานกันไป
นี่สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ทั้งปัจจุบันและเป็นประโยชน์ทั้งอนาคต เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เวลาตายไปแล้วนรกสวรรค์มันมี เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่เราทำคุณงามความดี จิตใจเราไปด้วยความสุข จิตใจเราไปด้วยความอบอุ่น เราจะไปที่ไหนเรามีแต่คนนับหน้าถือตา เราไปที่ไหนเรามีแต่คนกล่าวถึง แต่เราไปที่ไหนมีแต่คนวิ่งหนี ไปที่ไหนมีแต่คนติฉินนินทา นี่แล้วมันไปไหนล่ะ? มันจะไปไหน? ถ้าคนโง่คนฉลาดเขาเลือกกันที่นี่ไง กุศล อกุศล
ฉะนั้น เรามีอวิชชา อวิชชาในหัวใจมันจะเหนี่ยวรั้ง มันจะเอาแต่ตามใจของมัน นี่ตัณหาล้นฝั่ง ตัณหาล้นฝั่ง ถ้าตัณหาล้นฝั่ง แต่คุณธรรมทำไมไม่ล้นฝั่งล่ะ? เขาบอกว่าศาสนาเป็นยาเสพติดๆ ให้มันติดเถอะ มันจะไม่ติดน่ะสิ เพราะอะไร? เพราะเวลาโลกไง เวลามารไง เวลาสิ่งที่มารเขาจะติฉินนินทาเขาก็พูดให้เราไขว้เขวไง ศาสนาเป็นยาเสพติด ใครเสพติดศาสนา เรานั่งสมาธิ ภาวนาทุกวัน เราสวดมนต์ทุกวันเสพติดไหมล่ะ? มันเป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์กับหัวใจของเรา เวลากินอยู่หลับนอนก็กินอยู่ทุกวันทำไมไม่เสพติดล่ะ? เวลากินอยู่หลับนอนก็กินทุกวัน มันก็เสพติด เสพติดทำไมต้องกินล่ะ? กินเพื่ออะไร? กินเพื่อร่างกายมันอยู่ได้ไง
นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันจะพัฒนาของมันขึ้นมา ถ้ามันทำคุณงามความดี กุศลที่ทำมันต่อเนื่องกันไป เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราปฏิบัติกันไม่ได้ผลๆ ก็เพราะว่าการทำไม่เสมอต้นเสมอปลาย การปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี่เพราะมันไม่เสมอต้นเสมอปลายไง ถ้าการปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เห็นไหม การปฏิบัติสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลาย เราชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้า-ออก เราฝึกหัด ดูสิเวลานักกีฬาเขาฝึกหัด เขามีความฟิตของเขา เวลาเขาไม่ฟิตของเขา ร่างกายเขายังถดถอยเลย
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราถ้าความเสมอต้นเสมอปลาย แล้วกิเลสมันคอยทิ่มคอยแหย่ คอยทิ่มคอยตำอยู่ตลอดเวลา แล้วเราไม่มีความระมัดระวังเลยหรือ? ถ้าเราไม่เจริญแล้วจะเอาอะไรมาเสื่อม ถ้าจิตใจเราไม่พัฒนาขึ้นมาจะเอาอะไรมาเสื่อม นี่มันไม่เจริญมันเสื่อมมาตั้งแต่ต้นไง มันล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่ต้นไม่มีสิ่งใดเลย แล้วปฏิบัติก็ล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติไปก็มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ เราทำไม่ได้ๆ เราทำไม่ได้ทำไมความทุกข์มันทำได้ล่ะ? ถ้าทำไม่ได้ทำไมความทุกข์ในใจมันมีล่ะ?
เวลาความทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป โดยธรรมชาติของมันมันก็เกิดขึ้นมา มันแผดเผา มันเผาลนเรา เราอดทนอดกลั้นไว้เดี๋ยวคุ้นชินกับมันก็เบาบางลง พอเบาบางลงเดี๋ยวมันก็หายไป เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นอีกแล้ว ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมันทำไม่ได้ๆ เวลามันบีบบี้เราทำไมมันทำได้ล่ะ?
ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา ไอ้ทุกข์แบบนี้ ไอ้ทุกข์แบบนี้ไม่มีใครมาทำให้เราทุกข์ได้เลย ถ้าหัวใจมันไม่ไปคว้ามา ถ้าหัวใจเราไม่ไปคิดมา หัวใจเราไม่ไปยึดมั่นถือมั่นมา ถ้าหัวใจมันไม่ไปคว้ามามันจะเอาทุกข์มาจากไหนล่ะ? แต่นี้ไปคว้ามันมาเอง คว้ามาเองแล้ว เห็นไหม เหมือนเด็กเลย เด็กเวลามันจุดไฟเผามือมันเอง แล้วมันก็ร้องไห้ฟ้องแม่มัน มันทำอะไรไม่ถูกเลย นี่ต้องให้แม่เอายาทา
นี่ก็เหมือนกัน จิตเหมือนกันมันไปคว้ามาเอง แล้วมาเผาลนตัวมันเองแล้วทำอย่างไรล่ะ? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง สอนว่านั่นเป็นฟืนเป็นไฟใช่ไหม ก็อย่าไปหยิบไปจับมัน แล้วไปหยิบไปจับมันได้อย่างไร? ก็มันเป็นสัญชาตญาณ มันเกิดตลอดเวลา ไม่หยิบไม่จับมันได้อย่างไรล่ะ? ถ้าไม่หยิบไม่จับมันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้กำหนดพุทโธซะ ถ้าจะหยิบจะจับก็หยิบจับด้วยความระมัดระวัง ถ้าหยิบจับด้วยความระมัดระวัง พุทธานุสติ มีสติ ธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น ธรรมชาติที่มันรู้
ถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม พอมันสงบระงับเข้ามา นี่มันรู้จักเก็บรู้จักรักษา มันรู้จักเก็บรู้จักรักษา จิตมันสงบแล้วรู้จักเก็บรู้จักรักษา เวลามันใช้ปัญญาขึ้นมา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี่ปัญญาโลก โลกียปัญญา ปัญญาที่เราใช้มันเป็นปฏิภาณไหวพริบของคน
คนเราเกิดมามีอำนาจวาสนามันจะมีสติมีปัญญาของมัน เวลาจิตสงบเข้าไปแล้ว ถ้ามันจิตสงบแล้ว สงบแล้วเป็นเอกเทศ เป็นอิสระ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมาปัญญามันจะเชี่ยวกราด ปัญญามันชำนาญการ ปัญญามีสัมมาสมาธิรองรับเราจะทึ่ง ทึ่ง อ๋อ ปัญญาอย่างนี้เองที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนา ปัญญาอย่างนี้เองที่มันบอกว่าหยิบจับไม่ได้ ที่ธรรมชาติที่มันเกิดขึ้นมา ธรรมชาติที่มันคิด เราบอกเราจะไม่คิด เราจะแยกแยะ นี่เราแยกแยะไม่ได้ พอจิตมันสงบแล้วมันจับได้ มันแยกแยะได้
แยกแยะได้เพราะอะไร? แยกแยะเห็นการเกิดดับ เกิดขึ้นมาก็เผาลน เผาลนยังเชื่อมันอีก แล้วเชื่อมัน มันเกิดอย่างไร มันเกิดมา อ๋อ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกมันต้องมีรูป รูปมันถึงเป็นความรู้สึกขึ้นมา มันต้องมีเวทนา เวทนามันสุขมันทุกข์ของมัน มันต้องมีสัญญา สัญญาข้อมูลมันถึงจะเกิดขึ้นได้ มันต้องมีสังขารปรุงแต่ง มันต้องมีวิญญาณรับรู้มันถึงเป็นอารมณ์ขึ้นมา
นี่ถ้าจิตเป็นสมาธิ มีสติมันจับได้มันพิจารณาอย่างนี้ เห็นไหม แต่เดิมเราบอกความคิดมันก็เป็นสัญชาตญาณ มันก็แก้ไขไม่ได้ เราจะไม่คิดเลยมันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันจะเป็นไปไม่ได้หรอก มันก็ต้องคิดโดยธรรมชาติของมนุษย์ เทวดายังต้องคิด พรหมก็ยังต้องสัมผัส เราก็ต้องรู้สึกนึกคิดมันเป็นธรรมดาของมัน นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมดาไง แต่ถ้ามันมีสัจจะ มีความจริงขึ้นมาในหัวใจ เราฝึกหัดของเราขึ้นมา มันเป็นกุศลไง เป็นธรรม แต่ถ้าเป็นอกุศลมันคิดเข้าข้างตัวเองไปหมดแหละ มันคิดเข้าข้างว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้ปฏิบัติแล้วรู้ สิ่งนี้เป็นความสุข ความระงับของเรา
อำนาจวาสนาบารมีอย่างหนึ่งนะ เวลามันเกิดมรรคญาณ มันเกิดธรรมจักร เกิดสัจธรรมในหัวใจนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ อำนาจวาสนาบารมีบางคน เห็นไหม ดูสิ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ดูสิพระสีวลีเป็นผู้ที่มีลาภรองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุคตะคนเข็ญใจที่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ไม่เคยกินข้าวอิ่มแม้แต่มื้อเดียวเลย เป็นพระอรหันต์เหมือนกันทำไมอำนาจวาสนาไม่เหมือนกันล่ะ? เพราะอริยสัจ เป็นพระอรหันต์จากอะไรล่ะ? เป็นพระอรหันต์จากอริยสัจ เป็นพระอรหันต์จากมรรคญาณ แต่อำนาจวาสนาบารมีของคนมันแตกต่างกัน
นี่ก็เหมือนกัน เชาวน์ปัญญาของคนมันแตกต่างกันๆ แต่มันแตกต่างกันแล้วเราก็ต้องมีสติมีปัญญาของเรา รักษาหัวใจของเราเข้ามาสู่สัจธรรมอันนี้ ถ้าเข้ามาสู่สัจธรรมอันนี้ เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน เราก็ได้ทำบุญกุศลเรื่องของทาน เรื่องทำทานเพื่ออำนาจวาสนาบารมีของเรา เพื่อจิตใจเราอบอุ่น จิตใจเราได้เสียสละแล้วมันเป็นกุศลในหัวใจของเรา นี่เรื่องของทาน เรื่องของศีล ศีลคือความปกติของใจ ใจเราก็ไม่ดิ้นรนแส่ส่ายกันจนเกินไปนัก
ใจของเรา เราก็รักษาดูแลของเรา แล้วถ้าเกิดพุทโธ พุทโธ เกิดสมาธิ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเกิดภาวนาของเรา เกิดฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ปัญญาที่เกิดขึ้นมาในหัวใจอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาที่เราฝึกหัดขึ้นมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี้วางเป็นสาธารณะ วางไว้เพื่อชาวพุทธ นี่เป็นชาวพุทธเราก็เดินผ่านไปผ่านมากัน เห็นไหม คนที่ประพฤติปฏิบัติก็หัวหกก้นขวิดประพฤติปฏิบัติของเราไป ชาวพุทธที่เขาไม่สนใจเลย เขาไม่สนใจเลยเขาก็เดินไปเดินมาของเขา เขาก็ผ่านไปผ่านมาของเขา เขาก็บอกว่าพวกนี้ พวกที่มาปฏิบัติเวลาเขาล้นเหลือ เวลาเรานี่เราทำมาหากินเรายังทำมาหากินไม่พอคุ้มปากคุ้มท้องเรา ทำไมพวกนี้เขาสละทิ้ง เขามานั่งภาวนากันทำไม
ชาวพุทธที่เขาเดินเหยียบย่ำไปเหยียบย่ำมาเขาก็หาแต่วัตถุ แต่หาว่าเพื่อดำรงชีวิต แต่ของเรานี่ดำรงชีวิตแล้วเราก็ดำรงชีวิตได้ของเรา ดูสิภิกษุเราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เสียสละวิชาชีพ เสียสละอาชีพทั้งหมดมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นนักรบ รบกับอะไร? รบกับความรู้สึกนึกคิดของตัว รบกับกิเลสของตัว ความรบกับกิเลสของตัว
นี่ปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยบริษัท ๔ บริษัท ๔ เขาหวังบุญกุศลของเขา เขาเสียสละทานของเขา เพื่อบุญกุศลของเขา บุญกุศลให้นักรบได้ดำรงชีวิตขึ้นมา นี่บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งเอามาเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา เราจะต่อสู้กับกิเลสของเรา เราจะรบกับกิเลสของเรา เราเป็นนักรบ แม้แต่พระก็ต้องมีอาชีพ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราก็เหมือนกัน เราก็มีอาชีพหาเงินหาทองมาเพื่อความมั่นคงของชีวิตของเรา หาเงินหาทองมาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา
ปัจจัยเครื่องอาศัยก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเลี้ยงชีพในปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา มีอำนาจวาสนา ทรัพย์สมบัติเป็นทรัพย์สมบัติของโลก มันเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา แต่เวลาเป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่เป็นจริง ถ้าเป็นสติก็สติของเราจริงๆ ถ้าเราฝึกหัด เรารู้ขึ้นมานี่ก็เป็นสติจริงๆ ถ้าเป็นสมาธิ จิตเราเคยเป็นสมาธิแล้ว อ๋อ จิตของเรามันเป็นสมาธิได้ จิตของเรามีความรู้สึกอย่างนี้ ได้สัมผัสสัมมาสมาธิได้ เห็นไหม
สิ่งนี้มันก็เกิดจากจิต นี่จิตเราสัมผัสของเราขึ้นมาเอง ถ้าเกิดปัญญา เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาชำระล้างกิเลส เราเกิดขึ้นมาเราจะเห็นแตกต่างเลย เห็นแตกต่างว่าสิ่งที่เราทำเรื่องโลกๆ นี้เป็นโลกียปัญญา เป็นสัญชาตญาณ เป็นอำนาจวาสนาบารมี เป็นพันธุกรรมของจิต จิตแต่ละดวงมันมีอำนาจวาสนาแตกต่างกันไป มันเลยคิดแตกต่างกันไป แต่เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วเป็นสัมมาสมาธิ เป็นสากล สากลที่ออกฝึกหัดใช้ปัญญา
ปัญญาของคน จริตนิสัยเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม สติปัฏฐาน ๔ ใครมีความถนัดทางไหนก็แยกแยะไปทางนั้น แยกแยะไปทางนั้นมันก็เป็นอริยสัจ มันก็เป็นมรรค เวลามันชำระล้างกิเลส มันสมุจเฉทปหานขึ้นมาแล้วมันก็เป็นอกุปปธรรมเหมือนกัน อกุปปธรรมเหมือนกันเพราะอริยสัจมีหนึ่งเดียว คำว่าอริยสัจมีหนึ่งเดียว ความที่เป็นมรรคญาณมีหนึ่งเดียว แต่วิธีการ จริตนิสัย ความชอบ นี่ความชำนาญ อำนาจวาสนา คนที่สร้างสมมา ความถนัด ความต่างๆ อย่างนี้มีครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้คอยแนะคอยบอกเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเราไง
เราเกิดมาพบพุทธศาสนาเราต้องเอาอริยทรัพย์ด้วย หลวงตาท่านสอนว่าคนเกิดมามี ๒ ตา ตาหนึ่งคือตาโลก ตาหนึ่งคือตาธรรม ตาหนึ่งคือตาโลก ทางโลกเราก็ขวนขวายของเราขึ้นมา ตาธรรมเราต้องสงสารหัวใจของเรา สงสารว่าจิตนี้มันจะเวียนว่ายตายเกิด แล้วเวียนว่ายตายเกิดมันจะมีสมบัติสิ่งใดไป ทางโลกเขาทำทานๆ ก็เพื่อเหตุนี้ไง ถ้าเกิดได้เกิดดี กุศลพาให้เกิดดี กุศลพาให้เกิดมาประสบความสำเร็จในชีวิต นี่กุศลพาเกิด โลกเขาหวังพึ่งกัน แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาข้ามพ้นดีและชั่ว ข้ามพ้นจากดีและชั่ว เกิดอริยสัจ เกิดสัจจะความจริงในหัวใจของเรา
นี่อำนาจโดยธรรม อำนาจโดยธรรม อธรรมคืออวิชชา ธรรมะคือวิชชา มันจะแข่งขันต่อสู้กันในใจของเรา เราต่างหากเป็นคนเลือก เรามีสติปัญญาเราคัดเลือกแยกแยะอะไรผิด อะไรถูกแล้วทำของเราขึ้นไปมันจะมีรสของธรรมนะ มันจะมีความสุข ความสงบ ความระงับถ้าประสบความสำเร็จ ถ้ามันทำแล้วมันล้มลุกคลุกคลานมันจะเกิดความทุกข์ ชีวิตนี้ก็ทุกข์แล้วเป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริงแล้ว เรายังต้องมาทุกข์ทรมานกับความเพียร ทุกข์ทรมานกับการบังคับตนเอง
อ้าว ทุกข์อย่างนี้เราพอใจจะทุกข์ เราพอใจเพื่อจะต่อสู้กับมัน เราจะต่อสู้กับกิเลสไง ต่อสู้กับพญามารในใจของเรา เห็นไหม นี่นักรบ พระมาบวชก็มารบ มาต่อสู้กับกิเลส เรานักปฏิบัติเราก็จะรบกับกิเลสของเรา รบกับพฤติกรรมของเรา รบกับความคิดของเรา เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย เรื่องหมู่คณะนั่นมันเป็นของสัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ เราแสวงหาสิ่งที่เป็นสัปปายะ คนที่มีมุมมองมีทฤษฎีมีความเห็นคล้ายคลึงกันอยู่ด้วยกันมันจะไม่แบ่งแยก ไม่มีการโต้แย้ง นี่มันทำให้การปฏิบัติสะดวกขึ้น
เราแสวงหาสิ่งนี้ไง เราแสวงหาสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัยภายนอก แต่เราก็ดูใจของเรา ปฏิบัติใจของเรา สัปปายะเราก็แสวงหาแล้ว จิตวิเวก กายวิเวก ถ้ากายวิเวกแล้วต้องพยายามให้จิตวิเวก จิตวิเวกแล้วจะมีความสุขความสงบ วันพระๆ นี่ฟังธรรมๆ ก็ตอกย้ำในใจเรา ฟังธรรมก็เพื่อให้มันตื่นตัว ฟังธรรมอย่าให้จิตมันเศร้า มันหงอย มันเหงา จิตไม่ให้กิเลสมันครอบงำ มันเศร้า มันหงอย มันเหงา เราจะอาจหาญ เราจะรื่นเริง เราจะเผชิญหน้ากับมัน เผชิญหน้ากับความเครียด เผชิญหน้ากับความหดหู่ เผชิญหน้ากับความเศร้าหมองในหัวใจ เผชิญหน้ากับมัน
เมฆหมอกเวลามันผ่านพ้นไป แสงพระอาทิตย์แสงจันทร์มันจะสว่างไสว นี่เมฆหมอกอยู่ในหัวใจของเรา อวิชชาตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เราพยายามต่อสู้กับมัน ทำให้หัวใจเราสว่างไสว ผ่องแผ้ว มันมีความองอาจกล้าหาญ ให้รื่นเริงในการประพฤติปฏิบัติ ให้รื่นเริงกับความรู้สึกของเรา ให้รื่นเริงในหัวใจดวงนี้ เอวัง