เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ มิ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ฟังธรรมะตอกย้ำทุกวันๆ ไง อานิสงส์ของการฟังธรรม สิ่งที่ลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยนะเราเคลียร์สิ่งที่เป็นปัญหาความสงสัยได้ ความสงสัย พอความสงสัยให้ถึงที่สุดแล้วจิตใจมันผ่องแผ้ว คำว่าผ่องแผ้วคือว่าไม่มีความลังเลสงสัยไง ถ้ามีความลังเลสงสัย เห็นไหม ความสงสัย วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส พอมันสงสัยขึ้นมามันก็ลูบคลำ พอลูบคลำ สิ่งที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ฟังแล้วมันก็เข้าใจ แต่สิ่งที่เรามีความสงสัยอยู่ สิ่งที่มีความสงสัยอยู่มันเคลียร์ปัญหานั้น ถ้าเคลียร์ปัญหาได้นี่ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อประโยชน์ของหัวใจเรานะ

คนมีกายกับใจ แม้แต่ปุถุชนเราก็มีความรู้สึกนึกคิด เราก็มีร่างกายเหมือนกัน พระอรหันต์ก็มีกายกับใจเหมือนกัน หัวใจของท่าน ท่านปฏิบัติของท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านเข้าใจเรื่องของร่างกาย ความร่างกาย ร่างกายมันเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา เรื่องของจิตใจ จิตใจมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำเป็นธรรมดา แล้วได้ชำระล้าง ได้ชำระล้างด้วยมรรคญาณ ด้วยสำรอกคายมันออก มันมีกายกับใจเหมือนกัน ปุถุชนคนเราก็มีกายกับใจเหมือนกัน แต่เราแบกรับภาระ

นี่ขันธมารๆ ขันธ์ก็เป็นมาร ความรู้สึกนึกคิดก็เป็นมาร ความเป็นมารมันกดถ่วงหัวใจตลอดเวลา พอชราคร่ำคร่าเราก็มีความทุกข์ใจ ความรู้สึกนึกคิดมันก็บีบคั้นหัวใจของเรา พระอรหันต์ท่านสำรอกคายกิเลสออกหมด ขันธ์ก็เป็นภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์เป็นขันธ์ที่บริสุทธิ์ ขันธ์บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ขันธ์บริสุทธิ์เพราะมันไม่มีตัณหาความทะยานอยากไง มันไม่ไปคาดไปหมายสิ่งนั้นไง ถ้ามันไม่ไปคาดหมายสิ่งนั้นนะ ถ้าร่างกายมันชราคร่ำคร่าไป มันก็ชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดาที่เราเข้าใจแล้ว นี่เราเข้าใจ เราเห็น เรารู้เท่า

นี่ฟังธรรมๆ จนมันเข้าใจ เวลาวิปัสสนาญาณจนสำรอกคายกิเลสออกไปแล้ว มันเข้าใจรู้ตามความเป็นจริงของร่างกายนั้น ร่างกายนั้นมันแปรสภาพของมันเป็นธรรมดา นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็เป็นธรรมดาของมัน สำรอกคายมันออกไปแล้ว ถ้าสำรอกคายมันออกไปแล้วก็มีกายกับใจเหมือนกัน แต่มีกายกับใจเหมือนกัน มีกายกับใจ ผู้ที่รู้แจ้ง ผู้รู้แจ้งเขาไม่มาแบกรับภาระให้มันกดถ่วงหัวใจ นี่อยู่กับมันไปถึงวันเวลาที่มันสละธาตุขันธ์นี้ไป คืนกลับสู่ธรรมชาติ คืนธาตุ ๔ นี้กลับไปสู่โลก แต่หัวใจมันพ้นจากมาร มารจะครอบงำมันไม่ได้ ถ้ามารครอบงำไม่ได้มันพ้นไป

นี่ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมเพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่ประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับโลก คำว่าประโยชน์กับโลกนะ เราเกิดมาแล้วเรามีชาติเรามีตระกูล เราก็จะประสบความสำเร็จทางชีวิต เราทำสิ่งใดเราก็จะประสบความสำเร็จ เรามีบุญกุศล มีแต่ความสุขความพอใจของเรา ความสุขความพอใจของเรา ถ้าคนมีบุญแล้วมันมีอำนาจวาสนา มันทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ พอประสบความสำเร็จสิ่งใดมันก็สมความปรารถนา แต่ถ้าเรามีเวรมีกรรม

นี่มีเวรมีกรรม เห็นไหม คนชั้นกลางๆ ทำประสบความสำเร็จก็มีบ้าง ทำอะไรขาดตกบกพร่องไปก็บ้าง แต่คนทุกข์คนจนปากกัดตีนถีบทำสิ่งใดแล้วมันก็ไม่พออยู่พอกิน ไม่พออยู่พอกิน จิตใจของคนกิเลสมันบีบคั้นอย่างนี้ บีบคั้นอย่างนี้ ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เห็นไหม ความบีบคั้นๆ บีบคั้นนี้เพราะอะไรล่ะ? บีบคั้นเพราะหัวใจเราบีบคั้นเอง บีบคั้นเพราะความวิตกกังวลของเรา นี่ที่ว่าความมั่นใจๆ ของคน มันไม่มั่นใจมันเพราะอะไรล่ะ? มันไม่มั่นใจเพราะมันสงสัย มันไม่มั่นใจเพราะมันไม่รู้ พอไม่รู้มันถึงสงสัย มันถึงบีบคั้นหัวใจของเรา พอมันบีบคั้นหัวใจมันก็กิเลสของเราทั้งนั้นที่มันบีบคั้นหัวใจของเรา

ถ้าฟังธรรมๆ ก็ฟังเพื่อเราไง คนอยู่ในสังคมก็ฟังธรรมด้วยกันเหมือนกัน เขาก็ฟังกับเราทุกๆ คน แต่ฟังแล้วเขาก็ตีความของเขาไปต่างคนก็ต่างหลากหลายของเขาไป แต่ของเราเราฟังเพื่อเรา เราฟังเพื่อเรา สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์กับใครก็เป็นประโยชน์กับเขา แต่ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับหัวใจของเรา เอาสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม นั่นมันใจของเขา เขาทำสิ่งใดมันเป็นบุญเป็นบาปของเขา แต่ถ้าเราทำมันเป็นบุญเป็นบาปของเรา

ถ้าเราทำเป็นบุญเป็นบาปของเรา เห็นไหม เราทำแต่คุณงามความดีของเรา นี่แม้แต่ปากกัดตีนถีบ มันจะมีความทุกข์ทนเข็ญใจ มันจะบีบคั้นขนาดไหนเราก็ทำคุณงามความดีของเรา เราก็บากบั่นของเราไป เพราะเราทำของเรามาอย่างนั้นนะ แต่ถ้าเราทำของเรา เรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา มันพัฒนาของมันขึ้นไป มันดีขึ้นไปเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นไป จนมันมั่นคงขึ้นมาดีกว่านั้นก็ได้ ถ้ามันดีกว่านั้นก็เกิดจากการกระทำของเราไง เกิดจากการกระทำของเรา ถ้าเกิดจากการกระทำของเรา เรามีความมั่นใจของเรา เราทำของเราก็ประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรา เราทำที่นี่

แม้แต่ทางโลกมันก็เป็นเรื่องโลกธรรม ๘ มีติฉินนินทา มีความสรรเสริญนินทา มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้น ถ้ามีอยู่อย่างนั้น โลกเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าโลกเขาเป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าเรามีสติมีปัญญาเราก็เข้าใจโลก โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ไม่ตรัสรู้มันก็มีของมันอยู่โดยดั้งเดิม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมันก็ยังมีของมันอยู่ แล้วถ้ากิเลสมันไปยุไปแหย่ ไปกลัวขึ้นมามันยิ่งมีกำลังมากขึ้น แต่ถ้าเรามีธรรมของเราในหัวใจ พระอรหันต์ก็เหมือนเรานี่แหละ พระอรหันต์ก็มีกายกับใจเหมือนเรานี่แหละ แต่กายกับใจของเรามันทุกข์มันยาก

นี่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน เห็นไหม แต่เวลาพระอรหันต์ก็มีกายกับใจเหมือนกัน แต่ถ้าปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ ทำไมนิพพาน ๑ อีกล่ะ? นิพพาน ๑ พระอรหันต์เป็นนั่นไง ถ้าพระอรหันต์ไปแล้วมันพ้นทุกข์ไปไง แล้วมันไปจากไหนล่ะ? มันก็ไปแบบเรานี่แหละ ไปจากคนนี่แหละ เพราะคนเกิดมาต้องมีกิเลสทั้งนั้น ถ้าคนไม่มีกิเลสจะเกิดมาไม่ได้ แต่พอเกิดมาแล้วก็คนเท่ากัน แต่ทำไมท่านถึงพ้นของท่านไปได้ ท่านพ้นของท่านไปได้เพราะท่านมีบารมี

คำว่า บารมี เห็นไหม ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่เชื่อการยุยงส่งเสริม ไม่เชื่อใครมายกย่องสรรเสริญ ไม่เชื่อๆๆๆ เพราะอะไร? เพราะเราทุกข์ เอ็งจะส่งเสริมกูขนาดไหนกูก็ทุกข์ เอ็งจะยกย่องขนาดไหนกูก็ทุกข์ เรากลับมาดูใจของเราเอง มันจะสุขมันจะทุกข์เราเป็นคนทำเองใช่ไหม แต่ถ้าเราขาดสติเราไม่ได้ทำเองนะ ดูสิคนที่เอะอะมะเทิ่งอยู่ในปัจจุบันนี้เพราะอะไรล่ะ? โทษเขาไปทั่ว โทษคนนู้น โทษคนนี้ แต่ไม่ดูใจของตัวเลย ไปโทษแต่คนอื่น แล้วใจที่มันเดือดร้อนอยู่นี่ทำไมไม่ดูมันล่ะ?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรม พ่อแม่สอนลูกมา สังคมเราก็ซับซ้ำกันมา สังคมชาวพุทธก็มีนักขัตฤกษ์เราก็ทำบุญกุศล นี่วัฒนธรรมประเพณี ไอ้นั่นประเพณีของพุทธศาสนา ประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ นี่มันสังคมวัฒนธรรม แล้วสังคมวัฒนธรรมมันก็เป็นสังคมของชาวพุทธ เวลาพระเราบวชมาเขาเรียกว่าอริยประเพณี ธุดงควัตรเป็นอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าดำรงชีวิตแบบนี้ ฉันหนเดียว ฉันอาสนะเดียว ถือผ้า ๓ ผืน นี่อริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า แล้วมันจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ?

มันเป็นขึ้นมาได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใจดวงนั้นเป็นผู้สำรอกคายกิเลสจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นแบกรับภาระ มีความทุกข์ความยากจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นไปกว้านสิ่งต่างๆ เข้ามาทับถมใจดวงนั้น เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน วัฒนธรรมประเพณีก็ให้ย้อนกลับมาดูใจเราไง ประเพณีวัฒนธรรม เราเป็นบัณฑิต เรายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน เราถามสารทุกข์สุขดิบต่อกัน

นี่เราถามถึงการภาวนา ใครภาวนาแล้วได้คติธรรมมาเอามาบอกกันเพื่อเป็นแนวทาง ใครมีช่องทางก็ช่วยส่งเสริมกัน ช่วยบอกกัน ฉันภาวนาอย่างนี้แล้วฉันไปได้ ฉันภาวนาอย่างนี้แล้วฉันติดขัดไปหมดเลย ฉันติดขัดเพราะฉันทำอย่างไรฉันถึงติดขัด ทำไมเธอทำอะไรไม่ติดขัด นี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง มงคลเพราะอะไร? เพราะการขวนขวายหาทางออกแต่ละบุคคลขวนขวายมาด้วยกันทุกๆ คน ทุกคนต้องขวนขวาย ขวนขวายไปแล้วใครไปเจออุปสรรคอย่างใด ใครไปเจอวิกฤติอย่างใด ชีวิตของคนมันไม่เหมือนกันใช่ไหม มาบอกกล่าวกัน มาบอกกล่าวกัน

นี่อย่างนี้ไม่ใช่โลกธรรม ๘ ไม่ใช่สรรเสริญนินทา สรรเสริญกัน นินทากัน ยกย่องกัน ก็เชื่อเขาๆๆ ...ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ แต่เวลาปฏิบัติฟังเขาทำไมล่ะ? อ้าว นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติด้วยกัน เรามีวิชาชีพเดียวกัน เรามาคุยวิชาชีพของเรา ใครจะโกหกใครได้เพราะเราทำมาด้วยกัน นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติด้วยกัน ถ้าเอ็งปฏิบัติมาแล้วเอ็งมาขี้โม้ โม้สิ่งที่เกินกว่าเหตุไป ผู้ที่ปฏิบัติเขาปฏิบัติมาเขารู้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เขาก็ว่านี่ขี้โม้ ขี้โม้ก็ผิดศีล ทุศีล

ต้นคดปลายตรงไม่มี เริ่มต้นก็โกหกมาแล้ว เริ่มต้นก็บิดเบือนมาแล้ว ความบิดเบือนมันจะไปตรงได้ไหม? แผนที่มากาง เขาอ่านแผนที่กัน ไอ้นี่ก็ชี้ไปบนอากาศเลย แผนที่ของฉันมันอยู่บนอากาศ ไม่มีร่องมีรอย ฉันพูดของฉันไม่มีเหตุมีผล ฉันพูดไปเรื่อยบนอากาศ แต่แผนที่มันอยู่ในพื้นที่นั้น พิกัดนั้น มันต้องไปตามนั้น ถ้าไปตามนั้นคนทำเขารู้ เขาไม่ใช่ขี้โม้ ไอ้คนขี้โม้ นี่มันถึงเป็นสรรเสริญนินทา เป็นโลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ เก่าแก่มาตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ตรัสรู้แล้วก็ยังมีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วมันก็ยังมีของมันอยู่ สรรเสริญนินทากันไปเรื่อย

นี่เราถึงไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว เราไม่เชื่อสิ่งนั้น เราจะเชื่อความจริงของเรา นักปฏิบัติปฏิบัติเพื่ออะไร? ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำดวงใจของเรา เห็นไหม พระอรหันต์ก็ไปจากปุถุชนเรานี่แหละ ปุถุชนก็คือคนหนาด้วยกิเลสนี่แหละ แต่ท่านมีสติปัญญาของท่าน ท่านพยายามเข้มงวดกับหัวใจของท่าน เข้มงวดกับความคิด ความคิดมันไปกว้านเอาความทุกข์ความยากมา เข้มงวด เข้มงวดมีสติยับยั้งมันๆ ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติแล้ว ทำสมาธิขึ้นมาสมาธิมันก็มีเอกภาพ

เอกภาพคืออะไร? เอกภาพคือมารมันเกาะไม่ได้ สัมมาสมาธิคือมารมันเกาะไม่ได้ กิเลสมันเกาะไม่ได้ เกาะไม่ได้คือมันเอกภาพ มันมีความสุขของมัน มันมีความสุขของมันแล้วมันออกใช้วิปัสสนาญาณของมัน สำรอกคายกิเลสของมันออก นี่เขาทำของเขาก็อย่างนี้ ถ้าเขาทำ เขาทำแล้วเป็นประโยชน์ของเขาอย่างนี้ ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำตรงนี้ไง ฟังธรรมนี่ก็วิธีการทั้งนั้นแหละ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิธีการ บอกแนวทาง มันเป็นแนวทาง แล้วเราก็บอกแนวทาง มรรคโคบอกทางกันใหญ่เลย แล้วทางอยู่ไหนล่ะ?

นี่ทางในใจ ใจมันเดินไปไหน ความคิดมันเดินมาอย่างไร? ความคิดมันเกิดอย่างไร? แล้วความคิดมันไปตู่เขา มันไปยึดมั่นถือมั่น มันไปกว้านเอาที่เขาติฉินนินทามาทับถมใจมัน มันไปเอามาทำไม? นี่เราบอกมรรคโคทางอันเอก ทางอันเอกไปเอายาพิษมาทำไม? ทางอันเอกไปเอาสิ่งที่เผาลนใจมาทำไม ทำไมทางอันเอกมันไม่ไปเอาแก้วแหวนเงินทองมา ทางอันเอกทำไมมันไม่เอามรรคผลมา ทำไมไปเอาแต่คำติฉินนินทาเขามา ทำไมไปเอาสิ่งที่เขาติฉินนินทามาเหยียบย่ำหัวใจของมัน

ถ้ามันฉลาด มันฉลาดมันต้องไปเอาความดีมาสิ ถ้าความดีมา ถ้ามันไม่มีมารครอบงำมันฉลาด มันออกวิปัสสนา มันออกแยกแยะของมัน ถ้าแยกแยะของมัน มันสำรอกมันคายของมัน มันคายของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันมีเหตุมีผล มันเป็นไปได้ ถ้าคนเป็นไปไม่ได้จะพูดได้อย่างไร? เงินหนึ่งร้อย เงินหนึ่งพัน เงินหนึ่งหมื่น มันจำนวนเท่าไหร่? เงินจำนวนหนึ่งร้อย หนึ่งพัน หนึ่งแสน หนึ่งหมื่น หนึ่งล้าน มันมีจำนวนแตกต่างกัน เงินเหมือนกัน เงินบาทเหมือนกันนี่แหละแต่มันจำนวนแตกต่างกัน

โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรคมันถึงแตกต่างกัน เงินเหมือนกันแต่จำนวนมันไม่เหมือนกัน เงินเหมือนกันแต่สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา มันแตกต่างกัน คนเป็นกับคนเป็นเขาพูดกันเขารู้แจ้งไง มันโกหกกันไม่ได้หรอกถ้ารู้จริง แต่! แต่ในปัจจุบันนี้มันถือมงคลตื่นข่าวไง คนรู้จริง คนรู้จริงเขามีหิริ มีโอตตัปปะ เขาจะเก็บไว้ในใจ อย่างคนที่ร่ำรวย คนที่มีเงินมีทองเขาจะเก็บทรัพย์สินของเขาไม่ให้พวกโจรมหาโจรมันมาปล้นมาชิง คนที่มีคุณธรรมในใจเขาไม่พูดออกไป เพราะพูดออกไป ไอ้คนที่เขาฟังไม่รู้เรื่องเขาไม่รู้หรอก

นี่ของเรา เห็นไหม ของเราของจริงทั้งนั้นเลย พอพูดออกไปเขาบอกคนนี้คนบ้า แต่ของเขานี่นะมันมีแต่ของจอมปลอม มีแต่มูตรมีแต่คูถ มีแต่กลิ่นเหม็น เขาบอกว่านี่หอม ชื่นใจ มันหอมแมลงวัน แมลงวันมันชอบ ที่ไหนเขามีเสียงครึกครื้น ที่ไหนเขามีการปฏิบัติ คือเห่อกันไป เห่อกันไป ไปนั่นน่ะ นั่นแหละเขาไปกันอย่างนั้น ถ้าเขาไปกันอย่างนั้น นั่นล่ะกลิ่นหอมของเขา แต่ถ้าคนมีความละอาย มีความเกรงกลัว มีหิริ มีโอตตัปปะนะเขาเก็บไว้ในใจ ฉะนั้น เราถึงไม่รู้ไง เราถึงไม่รู้ แต่คนรู้กับคนรู้เขารู้กัน ถ้ารู้กัน สิ่งที่รู้กันเพราะอะไร? ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ความมงคลของชีวิต

ฉะนั้น ฟังธรรมๆ เพื่อเป็นมงคลชีวิตกับเรานะ เตือนหัวใจของเรา เราก็มีสิทธิ ดูสิเราทำงานขนาดนี้ เราก็ปากกัดตีนถีบกันนี่ คนอย่างเราจะมีอริยผลหรือ? อ้าว ลองปฏิบัติดูจะมีหรือไม่มี สิทธิ์เป็นสิทธิ์ของทุกๆ คน เป็นสิทธิ์ของพุทธะ เป็นสิทธิ์ของหัวใจไง พุทธะคือผู้รู้ เรามีความรู้สึกไหม? เป็นสิทธิ์ของพุทธะ เป็นสิทธิ์ของความรู้ มนุษย์มีความรู้ไหม? มนุษย์มีความรู้สึกไหม? ถ้ามนุษย์มีความรู้สึก มนุษย์นั้นมีสิทธิ์ เป็นสิทธิ์ของความรู้อันนั้น เป็นสิทธิ์ของความรู้ของเรา เราถึงเป็นสิทธิ์ของเรา เราจะทำหรือไม่ทำ เราจะขวนขวายหรือไม่ขวนขวาย เราจะเอาอริยทรัพย์หรือเราจะเอาคำสรรเสริญเยินยอ

กระดาษนี่เห็นไหม เวลาตายไปแล้วเขาเผาไปให้ แบงก์กงเต๊ก แบงก์จริงๆ เขาไม่เผาให้นะ เขาเผาให้แบงก์ปลอมๆ ด้วย เอาแต่ของปลอมๆ เอาเป็นของสมมุติ เอาเป็นของที่โลกเขาให้ค่า แต่อริยทรัพย์ไม่มีใครรู้จัก แต่เรามีความรู้สึก ความรู้สึกมันจับต้องได้ ถ้าความรู้สึกนี่ ดูสิเรามีความสงสัยใช่ไหม ถ้าเรารู้จริงมันจะสงสัยไหม? มันสำรอก มันคายไอ้พวกนี้ออกไป แล้วใครไม่รู้ ใครไม่รู้บ้างว่าที่เราสงสัยแล้วเราสลัดมันทิ้งใครไม่รู้ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สิทธิของเรา เราทำได้ พระอรหันต์ก็ไปจากปุถุชน พระอรหันต์ก็ไปจากเรานี่แหละ พระอรหันต์ก็ไปจากมนุษย์นี่แหละ

นี่พระอรหันต์ เห็นไหม สำรอกคายออกมีกายกับใจเหมือนกัน แต่ไม่มีเวรไม่มีกรรม ไม่มีมาร ไม่มีสิ่งใดๆ เลยเพราะท่านพ้นไปแล้ว แต่พวกเรานี่ทุกข์ยาก แบกหาม ติดข้อง พยายามศึกษา เรามีสิทธินะ เป็นสิทธิ์ของเรานะ ไม่มีใครรอนสิทธิ์เราได้ด้วย ไม่มีใครมาฉกฉวยของเราได้ด้วย เพราะมันเป็นความรู้สึกในหัวใจของเรา ใครปล้นชิงไม่ได้ด้วย แต่เราจะพามันไปทำอะไรล่ะ? เราจะพาไปทำคุณงามความดี หรือเราจะพาไปกว้านเอาเวรเอากรรม เอาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผามัน เป็นสิทธิ์ของเราที่เราจะเลือก เอวัง