เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ มิ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทุกคนเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข ความสุข ความสุขทางโลก เห็นไหม ความสุขที่เขาไปท่องเที่ยวกัน ไปทัวร์รอบโลก เขาไปเที่ยวกันเขามีความสุขของเขา ความสุขแบบนั้น ในทางธรรมะผู้ที่ปฏิบัติคุณธรรมที่จิตใจเขาสูงส่งนะ

๑. เสียเวลา

๒. เสียสุขภาพ

๓. เสียเงินเสียทอง

การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบระงับขึ้นมานะ ความสุขอยู่ในหัวใจของเรา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตสงบมันอยู่ที่ไหนล่ะ? จิตสงบมันอยู่ที่กลางหัวใจของเรา เห็นไหม แล้วเรานั่งอยู่

๑. สุขภาพดีขึ้นมา สดชื่น ออกจากสมาธิมา โอ้โฮ สดชื่นมาก มหัศจรรย์มาก

๒. สุขภาพดี สุขภาพจิตเขาดี เงินทองอยู่เต็มกระเป๋า นี่มันหาได้ที่นี่ไง

พูดถึงเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข ความสุขของใครล่ะ? ว่าความสุขของโลกๆ เขา เขาได้เสพสิ่งใด เขาได้สัมผัสสิ่งใดเขาว่าเป็นความสุขของเขา ถ้าความสุขของเขา เห็นไหม เหมือนเราเลย เวลาเราคิดเราเกลียดหมด เราไม่ต้องการสิ่งใดที่ขัดใจเราเลย เราอยากมีสิ่งใดก็แล้วแต่สมความปรารถนาของเรา สมความปรารถนาของเรา ถ้าสมความปรารถนาของเรานะ เราทำไมไม่ดูความคิดอันนั้นล่ะ? นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับหลานพระสารีบุตร เห็นไหม "ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอนั้นก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง"

เป็นวัตถุ ความคิดเป็นวัตถุอันหนึ่งเลย ถ้าผู้ที่ปฏิบัติ ผู้ที่จิตใจสูงส่ง เขาเห็นของเขา แต่ของเรานี่เราไม่พอใจสิ่งใดๆ ไม่พอใจข้างนอก แต่เราไม่เห็นเลยว่าสิ่งที่เราไม่พอใจอันนั้น นี่สิ่งที่ไม่พอใจอันนั้น อันนี้คือตัวปัญหา ตัวปัญหาคือความคิดเราเองไง ตัวปัญหาคือทิฐิมานะของเรานี่แหละ ถ้าเรากลัว เราเกลียดความทุกข์ เราปรารถนาความสุข แล้วความสุขที่มันตะครุบมันแสวงหากันนั้นน่ะมันตะครุบเงาๆ มันได้ความสุขสิ่งใดมาล่ะ?

ความสุขสิ่งนั้นมันตามตัณหาความทะยานอยาก ตามกิเลสของเราที่มันแสวงหา แล้วมันได้ความสุขจริงไหมล่ะ? มันจะสมความปรารถนาไหม? มันไม่สมความปรารถนาหรอก แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ เรามีสติปัญญาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราปฏิบัติธรรม ทาน ศีล ภาวนา เราจะทำทานร้อยหนพันหน จะมีบุญกุศลมากขนาดไหนก็แล้วแต่นั่นก็ระดับของทาน ระดับของทานคืออามิส อามิสคือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทำคุณงามความดีก็ได้ความดีตอบสนอง คนทำความชั่วก็ได้ความชั่วตอบสนอง ใครทำสิ่งใดก็สิ่งนั้นเป็นผลของทาน

ทาน ศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจปกติแล้วมันก็เริ่มมีความศึกษา มีความค้นคว้าของมัน ถ้าเกิดมีภาวนา นี่ถ้ามีภาวนา ภาวนาเท่านั้น อาหารอยู่เกลื่อนไปหมดเลย สำรับมีวางไปหมดเลย แต่ไม่มีใครเอาอาหารนั้นใส่ปากของตัว คนจะไม่ได้กินอาหารนั้นเลย แต่เห็นอาหารนั้นเต็มไปหมดเลย แต่ไม่ได้กินอาหารนั้นเลย นี่ทำทานๆ แล้วมีอาหารเต็มเกลื่อนไปหมดเลย แต่เราไม่ได้กิน เราไม่ได้ใช้สอยมัน มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีบุญกุศลขนาดไหน ทำบุญกุศลต่างๆ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเวียนว่ายตายเกิดอย่างนั้นแหละ แต่ถ้ามันจะถึงความจริงแล้วมันต้องปฏิบัติ นี่การปฏิบัติบูชาๆ ถ้าปฏิบัติบูชามันจะเข้ามาสู่ใจของตัวแล้ว ถ้าเข้ามาสู่ใจของตัว นี่ความสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตมันสงบได้อย่างไรล่ะ? นี่สิ่งที่ว่ามีความสงบของใจ มันเวิ้งว้างต่างๆ อันนั้นเป็นความคิด ความคิดว่าเวิ้งว้าง ความคิดว่าว่าง นี่เพราะอะไร? เพราะกิเลสมันอิ่มแล้ว กิเลสมันหลอกปรนเปรอมันจนอิ่มหนำสำราญ มันก็นอนหลับไง พอนอนหลับก็ เออ สบายใจ นี่ปฏิบัติธรรมแล้วสบายอย่างนี้

นี่มันเรื่องโลกๆ มันเรื่องโลกๆ มันไม่เป็นสมาธิหรอก ถ้าเป็นสมาธินะ จิตมันไม่เสวยอารมณ์ มันตั้งมั่นของมันด้วยอิสรภาพของมัน ไอ้นี่มันไม่ใช่ ไอ้นี่มันกินอิ่มแปล้ กิเลสมันอิ่มแปล้มันพอใจมันแล้วล่ะ มันก็ให้เราหายใจพักหนึ่ง ก็ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ อย่างนั้นมีกำลังไหม? ว่างๆ อย่างนั้นมีความเข้าใจสิ่งใดไหม? ไม่เข้าใจสิ่งใดก็มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง สัญชาตญาณไง มันว่างๆ อย่างนั้นเป็นประโยชน์อะไรล่ะ?

นี่บอกเรามีคุณธรรม เราปฏิบัติธรรม เราว่ากันไป แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เป็นความจริงเรามีสติ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ความสงบมี ๓ ระดับ ระดับหนึ่งคือสงบชั่วคราว สงบชั่วคราวมันก็ตื่นเต้นแล้ว ตื่นเต้นที่ไหน? ตื่นเต้น เอ๊ะ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ แต่เดิมความคิดของเรามันฉุดกระชากไปหมดเลย แต่คราวนี้ทำไมเราควบคุมความคิดได้ ทำไมเราโต้แย้งได้ ทำไมเรามีปัญญาได้ เราแยกแยะได้ เราแยกถูกแยกผิดได้ เอ๊ะ ทำไมเราเป็นคนดีขนาดนี้

ถ้ามันขณิกสมาธิแค่มีชั่วคราวมันก็ เห็นไหม เรานี่เวลาหน้าร้อนมันมีอากาศร้อนมาก เราก็หาที่ผ่อนคลายของเรา เวลาอากาศมันหนาวเราก็หาเครื่องกันหนาวมาสวมใส่เพื่อความอบอุ่นของเรา นี่ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงเรายังแยกแยะได้ตามฤดูกาลเลย จิตใจก็เหมือนกัน ถ้าความคิด สิ่งที่ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไป อารมณ์มันเปลี่ยนแปลงไป เรามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมามันแยกแยะได้ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิมันแตกต่าง มันแตกต่างก็ว่างๆ ว่างๆ มันไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย

คนมันแบบว่าขาดสติ คนขาดสติแล้วมันไม่รับผิดชอบตัวเอง มันเป็นสมาธิตรงไหน? ถ้ามันรับผิดชอบตัวเองมันมีสติ มันรับรู้ได้ ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง อารมณ์มันเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงมันแยกแยะได้ ฤดูร้อนเราก็หาที่หลบที่ร่มเย็นของเรา เวลาฤดูหนาวเราก็มีเครื่องกันหนาวของเรา จิตใจเวลามันทุกข์มันยาก นี่ขณิกสมาธิมันแยกแยะได้ นี่แยกแยะได้แยกแยะอะไร? ดูสิเวลามันฤดูร้อน ฤดูหนาว นี่มันเครื่องนุ่งห่ม มันเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ มันเป็นเรื่องข้างนอกไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเรามันเรื่องใจของเรา เสื้อผ้าเราเก็บดีมันก็ดี เราเป็นคนเก็บใช่ไหม เวลาหน้าหนาวเราก็เอามาใช้ เวลาหน้าร้อนเราเก็บทับไว้ นี่ใครเป็นคนดูแล เสื้อผ้ามันมีชีวิตไหม? เราเป็นคนต่างหากไปเก็บรักษามัน เสื้อผ้าก็คือเสื้อผ้า

นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์ก็คืออารมณ์ไม่ใช่ใจ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมันก็เกิดขึ้นมาจากใจ เราก็ดูแลรักษามัน แต่ความจริงคือตัวเรา เราต่างหากเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เราต่างหากเป็นคนรับรู้ เราต่างหากเป็นคนรับทราบ เราต่างหากเป็นคนที่ไม่พอใจ เราต่างหากที่เป็นคนมีความสุขความทุกข์ เสื้อผ้าอาภรณ์มันไม่มีความสุขความทุกข์อะไรกับเราหรอก

ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดที่มันเกิดกับเรามันเกิดแล้วมันก็จรไป เวลามันมา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ไปกว้านมันมา แต่ถ้ามีสติปัญญา นี่เราทำความสงบของใจ มันมีสติปัญญา มันแยกแยะของมัน แยกแยะมันแก้ที่นี่ แต่เราไม่ได้แก้ที่นี่ เรากลัวไปหมด กลัวทุกข์ ไม่ต้องการพบสิ่งใดเลย ไม่ต้องการอะไรเลย เสื้อผ้าก็เผาไฟมันทิ้ง เสื้อผ้าเก็บไว้ทำไมล่ะ? เวลาฤดูหนาวคราวหน้ายังได้ใช้มันนะ นี่มันรู้จักเก็บรู้จักรักษา

นี่ก็เหมือนกัน เราไม่พอใจสิ่งใดๆ เลย แต่ไอ้คนนี่มันไม่ดูแลไง ถ้าเรากลับมาดูแลที่ใจของเรา เสื้อผ้าก็คือเสื้อผ้า เครื่องกันหนาวก็คือเครื่องกันหนาว นี่มันก็เกิดจากจิตเรานี่แหละ แล้วฤดูกาลมันก็เปลี่ยนแปลงกันอยู่อย่างนี้ แม้แต่ว่าโลกร้อนๆ อากาศ ภูมิประเทศ สภาวะแวดล้อมมันก็เปลี่ยนแปลงไป นี่ที่เมืองหนาวจะกลายเป็นเมืองร้อน เมืองร้อนจะหิมะตก ก็ว่ากันไป โลกนี้เป็นอจินไตย นี่เรื่องของโลก แต่เวลาเรื่องของใจล่ะ?

ใจเรามีหน้าที่รับผิดชอบนะ เราจะรับผิดชอบหัวใจของเรา ถ้าเรารับผิดชอบหัวใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา สิ่งที่กลัวข้างนอกมันก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ คนเรากลัว กลัวชีวิตมันจะขาดตกบกพร่อง กลัวปัจจัยเครื่องอาศัยมันจะไม่สมบูรณ์ กลัวไปหมด ความกลัวอย่างนั้นมันก็กลัวได้ กลัวได้เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย แต่สิ่งนั้นถ้ามันวิตกกังวลเพราะอะไร? เพราะจิตมันอ่อนแอ ถ้าจิตมันเข้มแข็งขึ้นมา นี่ในเมื่อเรามีหน้าที่การงานของเราอยู่ เราทำสิ่งใดของเราอยู่ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันพอทั้งนั้นแหละไม่ให้กิเลสมันมายุมาแหย่ มันมากระตุ้นให้เราไปตะครุบเอาแต่เงา แต่ความจริงในตัวเองไม่มี

พอความจริงตัวเองไม่มี เห็นไหม เวียนว่ายตายเกิดนี่ใครเวียนว่ายตายเกิด เวลาจิตที่เวียนว่ายตายเกิดใครเป็นคนเวียนว่ายตายเกิดล่ะ? มันไม่มีใครรู้เลย อวิชชามันปิดหัวใจไว้ เวลาทำความสงบของใจเข้ามา เวลามีสมาธิขึ้นมามันตื้นตัน มันตื้นตันมหัศจรรย์นะ แค่เป็นความสุขมันตื้นตันมหัศจรรย์ พอตื้นตันมหัศจรรย์ พอคลายออกจากสมาธิมามันก็ยังเหมือนปกติ เอ๊ะ มันก็ไม่ได้ชำระล้างสิ่งใดไปเลย ทั้งๆ ที่มีความสุขนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสมาธิก็มีตัวตน มีความสำนึกดี สำนึกชั่ว มีความสำนึกแยกแยะได้

นี่คนที่ปฏิบัติเขามีความสุข มีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ มันก็มีความสุขเจือไปกับหัวใจบ้าง ไม่ใช่มีแต่ความทุกข์ เรามีแต่ความทุกข์นะ ชีวิตก็มีความทุกข์อยู่แล้ว มาปฏิบัติก็ทุกข์ยากขึ้นไปอีก นี่ชีวิตก็ทุกข์ยากขนาดนี้แล้วทำไมต้องมาทรมานตนขนาดนั้น การทรมานตน เราว่าทรมานตนไง กิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา เราแก้สิ่งใดไม่ได้เลย แต่เรามาทรมานกิเลสต่างหาก เราเป็นบุรุษอาชาไนย เราเป็นคนที่มีสติปัญญา เขาทำหน้าที่การงาน เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมาก็เพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย เป็นสมบัติสาธารณะ สมบัติของโลก ดูสิรัฐบาลเขามีเบี้ยคนชรา คนชราเขาดูแล รัฐบาลเขายังรับผิดชอบเลย

นี่ก็เหมือนกัน ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็หามาเพื่อเรา ถ้าหามาเพื่อเรา แล้วจิตใจล่ะ? ถ้าจิตใจถ้ามันมีสติมีปัญญา เห็นไหม มันจะรักษาตรงนี้ รักษาเพื่ออะไร? เวลาเวียนว่ายตายเกิด ใครเวียนว่ายตายเกิด เราก็ไม่รู้สิ่งใดเวียนว่ายตายเกิด ก็นี่ถ้าเราเป็นชาวพุทธ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เราได้ชีวิตนี้มาจากพ่อจากแม่ เราก็กตัญญูกตเวที มันเรื่องเครื่องหมายของคนดีเราต้องทำตามหน้าที่ของเรา นี้เป็นหน้าที่ เพราะว่าในทางโลกเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากชาติเกิดจากตระกูลไง แต่ถ้าเวลาทางธรรมๆ

นี่เวลาทางธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากนางสิริมหามายา เกิดจากพระเจ้าสุทโธทนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนาว่าการ ไปเอาพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ ลูกไปแก้พ่อ ลูกอุตส่าห์ไปเปิดหูเปิดตาพ่อแม่ นี่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ให้ชีวิตนี้มา นี่พูดถึงว่าเวลาทางวิทยาศาสตร์ ทางโลกที่พิสูจน์ได้ ผลของวัฏฏะ ผลของบุญกุศล ผลของวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์กันได้ แต่ถ้าเป็นทางธรรมๆ นี่จิตนี้เวียนว่ายตายเกิด เวียนว่ายตายเกิดมาได้อย่างไร?

ถ้าเวียนว่ายตายเกิดมาเรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน หน้าที่การงานเราก็ทำ คนที่หน้าที่การงานทำนะ เขารับผิดชอบทางโลก เวลาเขามาบวชเป็นพระ เขาเป็นนักปฏิบัติเขาก็รับผิดชอบตัวเขาเอง เขาจะมีสัจจะ คนต้องมีความสัจ ความสัจว่าเราจะทำคุณงามความดีเท่านี้ เวลานั่งสมาธิเราสามารถนั่งสมาธิเท่านี้ นี่มีความสัจขึ้นมาเรามีแต่นั่งมากขึ้น เราทำมากขึ้น ถ้าเรามีความสัจความจริงกับตัวเอง

ถ้ามีความจริงกับตัวเอง ดูสิเราก็ห่วงไปหมด เกลียดความทุกข์ไม่ต้องการพบสิ่งใดเลย ว่าสิ่งนั้นเป็นความทุกข์ๆ แต่เรามีความสัจของเรา ความสัจของเราถ้าเราปฏิบัติ นี่ความสุขความทุกข์มันเกิดที่นี่ ถ้ามันทำของเรานะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันจะตื้นตันไง ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ สิ่งที่วิญญาณๆ วิญญาณก็อายตนะ เห็นไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็สัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง อายตนะภายนอกคือว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะภายใน ดูสิมโนวิญญาณ ถ้ามโนวิญญาณมันสัมผัสกัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มโนวิญญาณมันอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกมันไม่สัมผัสกัน พอไม่สัมผัสกัน ดูสิสิ่งที่ไฟฟ้ามีสวิตซ์มันก็สืบต่อไป มันก็ใช้ของมันไปได้ ถ้าสวิตซ์มันตัดแล้วไฟฟ้าก็ดับไป

เวลาจิตของเรา อายตนะภายในถ้ามีสติปัญญารักษามัน มันสงบระงับเข้ามา อายตนะภายในมันไม่สัมผัสกับอายตนะภายนอก มันไม่รับรู้ของมัน นี่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้าอัปปนาสมาธิมันตัดหมด สักแต่ว่ารู้ อายตนะภายในมันอยู่ของมัน มันมีความอบอุ่นของมัน มีความเข้มแข็งของมัน มันมีความนุ่มนวลของมัน มันมีหมดเลย นี่แค่ทำสมาธิ

คนทำสมาธิ คนที่มีสติปัญญา นี่ปฏิสนธิจิต จิตที่ว่าเวียนว่ายตายเกิดมันได้เวียนว่ายตายเกิดมา มันได้ซับสิ่งที่มันประสบการณ์ของจิตนั้นมา เวลาระลึกอดีตชาติไป เขาระลึกอดีตชาติจากข้อมูลจากหัวใจ นี่เวลาเปิดใจขึ้นมามันจะรู้ว่าแต่ละภพชาติที่มามาอย่างไร ที่เขาบอกว่าเกิดมาก็เกิดมาหนเดียว นรกสวรรค์ก็ไม่มี ทุกอย่างก็ไม่มี คำว่าไม่มีของเขา เขาคิดโดยวิทยาศาสตร์ คิดด้วยความจงใจความตั้งใจของเขา คิดแบบว่าผู้ที่มีปัญญา ปัญญาทางโลกไง อย่างสิ่งใดที่พิสูจน์ไม่ได้เขาก็ไม่ควรพูดว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง เพราะเขาพิสูจน์ของเขาไม่ได้

แต่เวลาจิตเราสงบเข้ามา นี่สิ่งที่พิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้ที่ไหน? พิสูจน์ได้ที่ใจของผู้ที่ปฏิบัตินั้น เพราะผู้ที่ปฏิบัตินั้นเขาเปิดข้อมูลในใจของเขา มิติที่เขาได้เวียนว่ายตายเกิดแต่ละภพแต่ละชาติใดมา มันได้สะสมที่นั่น นี้กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นที่อยู่อาศัย ที่อยู่อาศัยเป็นส่วนหนึ่ง แต่จิตที่อยู่อาศัยเป็นสถานที่นั้น สถานที่นั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง ถ้าจิตที่เคยไปอยู่สถานที่ไหน เคยไปอยู่มันต้องรับรู้สิ ความลับไม่มีในโลก เพราะจิตนี้เป็นผู้กระทำเอง เป็นผู้ที่สัมผัสเอง มันก็สัมผัสที่นั่นไง

นี่บุญกุศลที่ว่าเป็นทิพย์ๆ ก็นี่ไง ใครทำสิ่งใดมา พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูสิเวลา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนี่ท่านทำมาๆ ตลอด ถ้ามันไม่ต่อเนื่องมา ถ้ามันขาด มันไม่มีมันขาดช่วง ขาดช่วงพระโพธิสัตว์จะทำมา บุญบารมีมันจะเต็มได้อย่างไร? นี่สิ่งที่ว่า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยท่านทำของท่านมาแต่ละภพแต่ละชาติ แต่ละภพแต่ละชาติ ถ้ามันไม่ต่อเนื่องมามันจะสะสมมาได้อย่างไร นี่ถ้าพูดถึงเวลาจิตสงบแล้วมันไปรู้ไปเห็นของมัน

นี่ที่ว่าในวิทยาศาสตร์เราก็เกิดจากพ่อจากแม่ เวลาว่าเกิดเกิดจากไหน เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก อันนี้มันเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นเครื่องหมาย เป็นเครื่องบอกว่าจิตนี้หัวใจนี้มีคุณธรรม ถึงได้ทำหน้าที่สิ่งนี้ นี่ความทุกข์ความยากภายนอก ความทุกข์ ความยากภายนอกเราก็ปรารถนาแต่ความสุข เกลียดความทุกข์ นี่ภายนอก แล้วภายในล่ะ? ภายในวิตกกังวลไปหมดเลย จิตใจวิตกกังวล เวลาไม่รู้เหนือรู้ใต้ก็ว่านู่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี มันก็เกิดวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันลูบคลำไปหมด แต่เรามีสติปัญญาของเรา เรามีสัจจะของเรา เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบมันสัมผัสได้

นี่ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ปัจจัตตังมันรู้หมด มันเข้าใจของมัน นี่ปัจจัตตังของสมาธินะ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเราไป ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาของเราไป มันแยกแยะของมันจะเกิดวิปัสสนาญาณ วิปัสสนา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง พุทธศาสนาสอนที่ว่าศาสนาแห่งปัญญาๆ ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ ถ้าปัญญาไม่เกิดจากสัมมาสมาธิเขาเรียกว่าโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากสัญชาตญาณ ปัญญาเกิดจากปฏิภาณไหวพริบ นี่ปัญญาอย่างนั้นปัญญาโลกๆ แต่ถ้ามันเป็นปัญญาญาณ ปัญญาที่เป็นสมาธิแล้วมันไม่มีสมุทัยเข้าไปเจือปน ไม่มีน้ำหนักเอียงซ้ายเอียงขวา ไม่มีความสุดโต่งของความรู้สึกของเรา ไม่มีความพอใจความคาดหวังต่างๆ นี่เป็นสมุทัยทั้งนั้นแหละ

เวลามันวางของมันได้มันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันมีเหตุมีผลมันถึงมีความจริง ถ้ามีความจริงขึ้นมา ใจดวงนี้เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่ว่าเราเกิดมาจากไหน เราเป็นอย่างไรมันเข้าใจได้หมด แล้วเข้าใจได้หมดมันก็เต็มหัวใจดวงนั้น ใจดวงนั้นก็เข้าใจใจดวงนั้น คนเราเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข นี่ความสุขความทุกข์มันเป็นสุขเวทนาทุกขเวทนา มันเป็นของคู่ เวลามันชำระล้างขึ้นไป วิปัสสนาญาณชำระล้างมันสำรอกคายของมันออก ความเห็นต่าง ความเห็นต่างกับความเป็นจริง ความต่างๆ กิเลสมันสำรอกคายออกไป

นี่ถ้ามันเป็นวิมุตติสุข วิมุตติสุข สุขของมันสุขแท้จริงมันเป็นอย่างไร มันเกิดที่นี่ เราเกลียดความทุกข์ปรารถนาความสุข ถ้าปรารถนาความสุขจริงเราต้องขยันหมั่นเพียร ถ้าเราปรารถนาความสุขจริงเราต้องขยันหมั่นเพียร เราต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีมรรค มีเครื่องดำเนินหัวใจมันถึงเป็นความจริง เราเกลียดความทุกข์ปรารถนาความสุข แล้วก็อ้อนวอนเอา จินตนาการเอา คาดหมายเอา มันจะไม่ได้ผลอย่างที่เราปรารถนา ถ้าเราปรารถนานะเราต้องมีการกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกที่นี่ เป็นคนชี้ทางเท่านั้น เราเป็นบริษัท ๔ เราอยากได้คุณงามความดีเราต้องปฏิบัติของเรา ทำความจริงของเรา

นี้กิเลสมันก็ยุแหย่ นี่ทำมาหากินก็ทุกข์ยากพอแรงอยู่แล้ว ยังต้องมาทุกข์ยากขนาดนี้อีกหรือ? ทำมาหากินมันก็ทุกข์ยากอยู่แล้วเพราะเราต้องใช้สติปัญญาของเรา แต่เวลาทำความสงบของใจ แค่หายใจเข้าและหายใจออก มีสติลมหายใจเข้าพุท ลมหายใจออกโธ มันจะไปทุกข์ยากตรงไหน งานอย่างอื่นเราก็ทำมาแล้ว ทุกอย่างก็ทำมาหมดแล้ว ไอ้หายใจก็หายใจอยู่ทุกวันๆ อยู่แล้ว แค่มีสติระลึกถึงลมหายใจมันจะเดือดร้อนไปที่ไหนล่ะ?

กิเลสต่างหากมันเดือดร้อน กิเลสมันเดือดร้อนกิเลสมันก็ตีโพยตีพาย กิเลสมันก็หาเหตุหาผลมาบอกว่า เราก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว ทำไมต้องไปทุกข์ยาก มันทุกข์ยากตรงไหน ก็มันหายใจอยู่โดยปกติธรรมชาติอยู่แล้ว แค่มีสติรู้เท่าทันมันเท่านั้นแหละ งานง่ายๆ แต่กิเลสมันบิดเบือน กิเลสมันพลิกแพลงไง อู๋ย ไม่ทำอะไรก็ไม่ได้ๆ เลย มันจะไปอาบเหงื่อต่างน้ำที่ไหน มันจะไปขุดเอาทองที่ไหนล่ะ? แค่ลมหายใจของตัวเอง หายใจเข้าก็นึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่พุทโธ พุทโธ พุทธานุสติดูแลรักษาใจของตัว เดี๋ยวมันจะรู้ว่าทำได้ทำไม่ได้

ถ้ามันทำได้นะหน้าที่การงานก็ทำ เพราะคนมีสติปัญญา คนมีจิตใจที่ชุ่มชื่น จิตใจที่มันมีกำลังนะ หน้าที่การงานเป็นของง่ายๆ หมดเลย ทำได้หมดแหละ แต่เวลากิเลสมันทุกข์มันยากนะ งานเล็กๆ น้อยๆ มันแบกหามไม่ไหว ทำอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างทุกข์ยากหมดเลย แต่ถ้าพอมีสติปัญญา โอ้โฮ งานแค่นี้มันเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะนั่งสมาธิมันหนักกว่านี้ สติปัญญาไล่มามากกว่านี้ กิเลสหลอกเราไม่ได้ นี่ไงไม่ให้กิเลสมันยุมันแหย่ ไม่ให้กิเลสมันบอกว่าแค่นี้ก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว คนพูดอย่างนี้หมด ชีวิตก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว ทำไมต้องหาความทุกข์มาเพิ่มมากขึ้นอีก ไอ้นี่มันทุกข์นิยม

ไม่ใช่ สัจจะนิยม เพียงแต่กิเลสมันบิดเบือน เราไม่ทันมัน มันก็หลอกลวงเรา เห็นไหม นี่ไงเราเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข เราก็ไปอยู่แต่ความสุขความทุกข์ข้างนอก แต่เกลียดความทุกข์ต้องความทุกข์ตรงนี้ ความทุกข์ตรงที่กิเลสมันเบี่ยงเบน ความทุกข์ที่กิเลสมันบังตาเรานี่ ของอยู่กับเรามันบังตาเรา แล้วเราก็ไปปรารถนาข้างนอก ปรารถนาให้คนนับหน้าถือตา ปรารถนาสิ่งบ้าบอคอแตก แต่ไอ้ที่มันทำให้ทุกข์ยากอยู่นี่ไม่มองมันเลยนะ ถ้าเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขเราต้องมีสติปัญญา แล้วย้อนกลับมาชำระล้างสิ่งนี้ได้ สุขทุกข์มันอยู่ที่นี่

โลกธรรม ๘ ติฉินนินทามันมีอยู่โดยดั้งเดิม ใครจะติฉินนินทาเท่าไหร่มันเรื่องของเขา ถ้าจิตใจเรายังอ่อนแอเราก็หวั่นไหวไปกับเขา ถ้าจิตใจเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา ธรรมะเก่าแก่ ลมพัด ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ติฉินนินทามันมีตลอดไป เรามีสติปัญญากับหัวใจของเรา รักษาใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง