เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o มิ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สิ่งมีชีวิต มันปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ สิ่งที่มีชีวิต ถ้าปรารถนาความสุข ทำไมไม่ทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อชีวิตเราล่ะ ทำสิ่งที่ดีๆ ดีๆ มันจืดชืดไง แต่ถ้าไปตามกระแสโลก กินเหล้าเมายามันสนุกครึกครื้นของมัน แต่เวลามาถือศีล ถือธรรม โอ๋ย! มันจืดชืดๆ มันจืดชืดมาจากไหน ไอ้สิ่งนั้นมันบำรุงกิเลส ถ้าบำรุงกิเลส เห็นไหม ดูสิ เวลาคนเสพจนติด ติดแล้วต้องหามาปรนเปรอมัน แต่ของเรา เราถือศีลของเราเพื่อชีวิตอบอุ่นของเรา ความอบอุ่นของเรา

สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เขาจับมาเรียงกันมันก็เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา แต่ชีวิตเรา ดูสิ หน่อแห่งพุทธะ เวลามันเกิดมา สิ่งมีชีวิตกว่ามันจะเติบมันจะโตขึ้นมา ต้นไม้ใบอ่อนกว่าจะเติบจะโตขึ้นมาเราต้องดูแลมันขนาดไหน การดูแลรักษาอย่างนี้มันเติบโตขึ้นมาเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่เวลามันเกิดขึ้นมา ต้นไม้ที่มันเกิดขึ้นมา ลำต้นที่มันสวยงามที่เป็นประโยชน์มันหาได้น้อย ไม้เบญจพรรณ ไม้สิ่งต่างๆ มันมีเยอะไง

ฉะนั้น แม้แต่ชีวิตเราเกิดมาก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งมีชีวิตเราเกิดมา เราต้องปากกัดตีนถีบเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราเกิดมากับโลก เราต้องอยู่กับโลกแน่นอน ถ้าอยู่กับโลกแล้ว โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้มันไม่เจริญเติบโตหรอก ดูความเจริญทางเศรษฐกิจ ความเจริญต่างๆ ถึงที่สุดแล้วมันต้องถึงขาลง มันมีขาขึ้นขาลงเป็นธรรมดา โลกนี้เป็นอนิจจัง นี่เราอยู่กับโลกนะ เราก็ปากกัดตีนถีบเพื่อดำรงชีวิตของเราทั้งนั้นแหละ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ มันไม่ต้องไปลงทุนลงแรงอะไรเลย หายใจเข้าก็นึกพุท หายใจออกก็นึกโธ มีสติสัมปชัญญะ หัวใจเป็นนามธรรมมันอยู่กับเรา จะลงทุนลงแรงมาจากไหน เพราะมันเวียนว่ายตายเกิด จิตเวียนว่ายตายเกิดของมันอยู่แล้ว ถ้าเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมาแล้วมันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากยุแหย่มันให้มันมีแรงปรารถนา มันปรารถนาอะไรล่ะ เราปรารถนาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมันเป็นหน้าที่การงานของเรา สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับการดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไมล่ะ

ดำรงชีวิต เห็นไหม ชีวิตนี้มีค่าๆ มีค่าถ้ามันมีสติ มีปัญญา สิ่งใดมันจะมีสุขกว่าจิตสงบล่ะ เวลาจิตเราสงบ จิตเรามีสติปัญญานะ มันเห็นคุณค่า แล้วมันเห็นคนอื่นทำสิ่งใดมันสลดสังเวชไง ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่มีสติ ดูสิ กินเหล้าเมายา กระดกอะไรเข้าไปน่ะ กระดกสิ่งต่างๆ เข้าไปมันฟืนมันไฟทั้งนั้นแหละ แล้วกระดกเอายาพิษเข้าไปในร่างกายทำได้อย่างไร ทำได้อย่างไร

แต่เวลามันเป็นเภสัชนะ เวลาเขาเข้าเครื่องยา เขาเข้าเครื่องยาต่างๆ อันนั้นมันเป็นส่วนผสม อันนั้นเขาเห็นประโยชน์กับมัน เห็นประโยชน์กับมัน แต่เรากระดกเข้าไปๆ มันมีแต่สารพิษ มันมีแต่ทำลายสุขภาพของร่างกาย แล้วเขาทำได้อย่างไร เขาทำได้อย่างไร แต่โลกสรรเสริญกัน

แต่เวลาเราถือศีล เรามาถือศีลกัน เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เวลาคนตาย ธาตุ ๔ ธาตุ ๔ มันไม่มีชีวิต มันเจริญเติบโตของมันได้ไหม มันรอแต่วันเน่าวันเปื่อยของมันไป แต่ถ้าเรามีชีวิตของเราอยู่ มีพลังงาน มีธาตุไฟ ธาตุไฟมันเผาผลาญอยู่ มันดูแลรักษาอยู่ ร่างกายนี้ก็เจริญเติบโตไป รักษาร่างกายนี้ไว้ รักษาร่างกายนี้ไว้เพราะอะไร

เวลาจิต เวลามันเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขาเป็นกายทิพย์ๆ เป็นกายทิพย์ของเขา เราเกิดเป็นมนุษย์มีกายกับใจๆ เราต้องมีพ่อมีแม่ไง เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากเวรจากกรรม นี่สายบุญสายกรรมเราถึงเกิดจากพ่อจากแม่ เทวดา อินทร์ พรหมของเขา เขาเกิดด้วยโอปปาติกะ เขาเกิดด้วยบุญของเขา โอปปาติกะเกิดเลย เขาไม่ต้องมีพ่อมีแม่ เขาเกิดจากกรรม ไอ้เรามันเกิดจากกรรมเหมือนกัน เพราะทุกคนอยากเกิดจากพ่อแม่ที่มั่งมีศรีสุข ทุกคนเกิดมาอยากจะมีศักยภาพทางสังคม ทำไมเรามาเกิดกับพ่อแม่เราล่ะ

เราเกิดกับพ่อแม่เราเพราะเรามีบุญ มีกรรมต่อกัน สายบุญสายกรรม ถ้าไม่มีสายบุญสายกรรมมาเกิดไม่ได้ มันมาไม่ได้หรอก ที่มันมาได้มันต้องมีสายบุญสายกรรมด้วยกัน ถ้าสายบุญสายกรรมด้วยกัน เห็นไหม “อภิชาตบุตร” บุตรที่ดีกว่า ทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับพ่อกับแม่ เกิดมาแล้วครอบครัวเจริญรุ่งเรือง เกิดแล้วครอบครัวอบอุ่น ถ้าบุตรเสมอพ่อแม่ เกิดมาก็ปากกัดตีนถีบเหมือนเรา เพราะเราเกิดมาเราก็ทุกข์เราก็ยากเหมือนกัน เวลาเกิดมามีแต่เวรแต่กรรม เกิดมามีแต่เอาแต่ใจตัว มีแต่เอาแต่ความเห็นของตัว พ่อแม่มีความทุกข์ความยากไปทั้งนั้นแหละ แต่ก็เกิดเป็นลูก เพราะเป็นลูกเป็นสายบุญสายกรรม เพราะมีเวรมีกรรมต่อกัน แล้วทำอะไรมา เราทำอะไรมาถึงมาเจออย่างนี้ มันก็ทำร่วมกันมานะ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ คนที่เวียนว่ายตายเกิดไม่เคยเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้องกันเลยไม่มี ที่เวียนตายเวียนเกิด ไม่รู้ชาติใดชาติหนึ่ง ถ้าชาติใดชาติหนึ่งเราทำสิ่งนี้แล้ว เราเกิดมาในปัจจุบันนี้ นี่ปัจจุบันธรรม ถ้าปัจจุบันธรรมนะ ดูสิ เวลานั่งสมาธิภาวนา เวทนาทุกคนไม่ต้องการปรารถนา ทุกคนต้องการปรารถนาความสงบระงับ ทุกคนปรารถนาความสุข แต่นั่งสมาธิไปมันมีแต่เวทนา พอนั่งไปนะ จิตสงบ จิตเราพอใจอยู่พักหนึ่ง เดี๋ยวเวทนามันมาแล้ว เวลามันไม่สมความปรารถนา แต่มันมา มันมาเพราะอะไร มันมาเพราะว่ามันเป็นสัจจะ สัจจะมันเป็นแบบนั้น มันเป็นแบบนั้นเพราะอะไร เพราะมันรับรู้ไง

สิ่งที่ดีๆ มันรับรู้ไม่ได้ ความสงบระงับรับรู้ไม่ได้ เวลาพุทโธๆ มันก็เบื่อหน่ายของมัน เวลามันเจ็บ เวลามันไม่พอใจมันชอบรับรู้เหลือเกิน จิตมันชอบรู้ แล้วก็บอกเราไม่ต้องการ เราไม่ต้องการ เราอยากได้วิชชา วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เราอยากได้วิชชา เราไม่อยากได้อวิชชา เวทนาที่มันเจ็บมันปวดอยู่นี่ มันจริงๆ ต่อหน้าเรานี่เป็นอวิชชา อวิชชาเพราะอะไร เพราะมันไม่รู้ ไม่ประสีประสา มันถึงไปเสวย มันถึงไปจับไปต้องไง แต่ถ้ามันเป็นวิชชา มันเป็นเช่นนี้

ในเมื่อเรานั่งของเราอยู่ สิ่งต่างๆ ถ้ามันพุทโธๆ ของเราไป เราต้องการความสงบ เราต้องการคุณงามความดีของเรา เราต้องปรารถนาความดี แต่เวลามันเกิด มันเจ็บ เพราะอะไร เพราะมันมีของมัน เห็นไหม สุขเวทนา ทุกขเวทนา เวทนาถ้ามันเป็นความพอใจ มันเป็นความสุขของมัน เราก็พอใจของมัน มันก็เป็นความสุขเวทนา ทุกขเวทนา เพราะตัณหาความทะยานอยากมันขับไส มันไม่ต้องการ มันก็เป็นทุกขเวทนา แล้วอุเบกขาล่ะ เวลาอุเบกขาขึ้นมา ถ้ามันวางเฉยได้มันก็เป็นอุเบกขา อุเบกขาแล้วเดี๋ยวมันไปไหนอีกล่ะ ถ้าอุเบกขา อุเบกขามันไม่มีสติปัญญาของมัน มันก็ลงไปสุขไปทุกข์อีก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทางโลกเขา สิ่งที่ทำลายสุขภาพเขา เขากินทำไม เขาหาทำไม เขากรอกเข้าปากเขาไปทำไม มันเป็นสิ่งที่มันทำลายสุขภาพ แล้วเขาไปเอาทำไมล่ะ

เวลาของเรานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะคือน้ำจืดสนิท รสชาติจืดสนิท ให้ประโยชน์กับร่างกาย แต่สิ่งนี้เวลามันมีอยู่ทั่วไป คนก็ไม่เห็นคุณค่าของมัน แต่ถ้าเป็นสุราเมรัย โอ้โฮ! คนชอบ คนชอบกันนักเลย ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเสพเวทนา มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วไปชอบมันทำไม เวลามันสุขเวทนา น้ำจืดสะอาดเย็นดีมันให้ผลกับจิต ทำไมมันไม่เอาล่ะ แล้วอุเบกขาๆ จะเลือก จะไปทางไหน

เรามีสติปัญญา ถ้ามันมีสติปัญญามันจะเลือก มันจะแยกมันจะแยะ มันจะคัดเลือกของมัน คัดเลือกของมัน มันต้องมีปัญญาไง การทำทานของเขาก็ต้องมีปัญญาของเขา เพราะเขามีปัญญาของเขา เขาแสวงหาของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์กับเขา เพราะเขามีปัญญา

ถ้าเขาไม่มีปัญญา ดูสิ เราเห็น สิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเป็นไปเขาก็ทำกัน เขาก็ตื่นกระแสกันไป มันเป็นไปได้อย่างไร ทำไมวุฒิภาวะเขาอ่อนด้อยขนาดนั้น เพราะอะไร เพราะเขาไม่ได้ฝึก เพราะเวรกรรมของเขา เพราะว่าจริตนิสัยของเขา จริตนิสัยของเขานะ มันตามกระแสไง ธาตุมันชอบอย่างนั้นล่ะ มันชอบอย่างนั้น ไม่ใช้สติ ไม่ใช้ปัญญาเลย ก็บอก “อ้าว! ก็คนไปเยอะแยะ ก็คนเขาตื่นเต้นกัน”...ก็คนตื่นเต้น คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก

เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาสัญชัย เห็นไหม “โลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก”

“มีคนโง่มาก”

แล้วเราเป็นคน เรามีสติปัญญา คนโง่มาก แล้วคนโง่เป็นกระแสไป แล้วไปเชื่อคนโง่ได้อย่างไรล่ะ แต่เราจะเป็นคนฉลาด ฉลาดก็อยู่คนเดียว ฉลาดก็ชนกลุ่มน้อย ฉลาดก็ไม่รู้จะหวังพึ่งกับใคร คนฉลาด อันนั้นมันเรื่องโลกๆ นะ แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราฉลาดกับตัวเราเอง เราเลือก เราแยกแยะของเราเอง เราคัดเลือกของเราเอง เห็นไหม ทานยังต้องมีปัญญา

แล้วถ้าถือศีล ถือศีลแล้วไม่ต้องทำสิ่งใดเลย มีสติปัญญากับเรา มีสติปัญญาพร้อมกับความรู้สึกอันนี้ ความปกติของใจ ความผิดพลาดมันก็มีของมันเป็นธรรมดา แต่เราไม่มีเจตนา เราไม่ทำสิ่งใดให้มันผิดพลาดไป ความพลั้งเผลอของคนมันมี เวลาถือศีลขึ้นมามันเกร็งไปหมดเลยนะ ถ้าไม่ถือศีลอยู่สุขสบายนะ พอถือศีลทำอะไรไม่ได้แล้ว ขยับอะไรไม่ได้เลย กลัวผิดๆ มันยังไม่ทำอะไรไปกลัวผิดแล้ว

เราไม่มีเจตนาจะทำ จิตใจของเรามีความเมตตา เราไม่คิดเบียดเบียนใคร เราไม่ได้คิดฉ้อโกงใคร เราไม่คิดต่างๆ สิ่งนี้มันไม่มีโทษแล้ว เห็นไหม ถ้าถือศีลก็มีปัญญา ปัญญาก็รู้เท่าทันตัวเองนี่แหละ รู้เท่าทันความคิดเรานี่แหละ ความคิดมันจะวิตกกังวล “แหม! เราถือศีลแล้วนะ เราทำอย่างนั้น” มันเกร็งไปหมด เห็นไหม

แล้วทำสมาธิ ถ้าเรามีสติ มีความปกติของใจเข้ามา มีปัญญาเข้ามา นี่มีปัญญาตั้งแต่ทาน มีปัญญาตั้งแต่ศีล เวลามันทำความสงบของใจมันจะมีสมาธิ สัมมาสมาธินะ เพราะสัมมาสมาธิมันมีสติปัญญาแล้วมันตื่นเต้น มันตื่นเต้น อืม! จิตของเราเป็นได้ขนาดนี้ เวลาทุกข์เวลายาก เวลานั่งแล้วมีแต่เวทนา มีแต่ความทุกข์ความยาก มันทุกข์ยากมาตลอดเลย เวลามันจะลงสมาธิ อ้าว! ดันไม่เข้าใจอีกมันลงมาอย่างไร มันลงไปแล้วมันตื่นเต้น ถ้าเรามัวแต่เข้าใจอยู่ จิตมันหยาบๆ แต่พอมันชำนาญ มันพุทโธๆๆ จนละเอียดเข้ามา เราก็พุทโธของเราไปเรื่อย เราตั้งสติไว้ พุทโธ อย่าระแวง อย่าสงสัย พุทโธของเราไปเรื่อย ซื่อสัตย์ ความจริงกับพุทโธ พุทธานุสติ พุทโธของเรา จิตของเรา พลังงานมันเป็นอย่างนั้น โดยเหตุโดยผล โดยข้อเท็จจริงของมัน มันต้องสงบเข้ามา

แต่นี่มันจะสงบเข้ามาเราก็ตื่นเต้นสักทีหนึ่ง สงบเข้ามาก็สงสัยสักทีหนึ่ง ไปกวนมันอยู่เรื่อยเลย ไปคอยกลัวแต่จะไม่รู้ว่าสมาธิเป็นแบบใดไง กลัวว่าสมาธิมันลงไปแล้วจะเป็นมิจฉา สมาธิจะไม่เป็นของเรา...ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก ถ้ามันลง ตั้งสติไว้ มันลงไป มันจิตสงบ จิตมันสงบโดยสัจจะ ความสุขมันเกิดขึ้น ความสุขเกิดขึ้น เวลามันคลายอออกมาก็เสียดายแล้วเสียดายอีก เราก็ภาวนาของเราบ่อยครั้งเข้า พอบ่อยครั้งเข้ามันชำนาญในการเข้าและการออก อ๋อ! พอมันพุทโธอย่างนี้ เรารักษาไว้อย่างนี้มันจะลงสมาธิ ถ้าเราพุทโธอย่างนี้ปั๊บ พอเราเคย ดูสิ เวลาเราทำอาหาร เคยเปิดฝาหม้อเรื่อยเลย สุกหรือยัง สุกหรือยัง สมาธิหรือยัง สมาธิหรือยัง ไปห่วงอยู่นั่นล่ะ นั่นแหละตัวร้าย

ทิ้งมันไปหมดเลย โลกนี้มีเรากับพุทโธเท่านั้น โลกจะถล่มทลายช่างหัวมัน เวลาทำสมาธินะ โลกจะถล่มทลาย โลกมันจะย่อยสลายไป ไม่สน

นี่มันมีข้อแม้ไง โลกถล่มทลายไม่สน เว้นไว้แต่เวลาสงสัย เปิดฝาหม้อนี่แหละ เว้นไว้แต่สงสัย มันก็สงสัยไปเรื่อยล่ะ มีสัจจะทุกเรื่องเลย แต่กิเลสมันก็เปิดช่องของมันไว้

โลกจะถล่มทลาย ไม่สนเลย พุทโธอย่างเดียว พอมันสงบได้ มันเข้าได้ พอมันเข้าได้นะ คนเราไม่เคยทำสิ่งใดประสบความสำเร็จเลย เขาไม่เชื่อว่าสิ่งนั้นมี คนเราทำสิ่งใดประสบความสำเร็จสักหนหนึ่ง สิ่งนั้นมีแล้ว มันไม่เคยเป็นมันก็ว่าสิ่งนั้นไม่มี แต่มันเคยเป็น สิ่งนั้นมี ถ้าสิ่งนั้นมี สิ่งนั้นมีเพราะอะไร สิ่งนั้นมีเพราะเรากระทำ ถ้าเรากระทำได้แล้วหนหนึ่ง หนที่ ๒ เรากระทำได้อีกไหม

หนที่ ๒ ทำได้ หนที่ ๑ ทำได้ ทำได้เพราะว่าเรามีสัจจะ เรามีความเข้มแข็งของเรามันก็เป็นไปได้ แต่หนที่ ๒ ละล้าละลังก็เป็นอย่างนั้นอีก ละล้าละลังจนทุกข์จนยาก เออ! ไม่เอาแล้ว เราพุทโธอย่างเดียว มันก็ลงได้อีก พอลงได้อีก สิ่งนี้เราชำนาญในวสี ชำนาญในวสีเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ทำไม่ได้มันเข็ด มันขยาดไง ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งหมดเลย ทำอะไรไปแล้วเหมือนกับเสียเปล่า แต่ไม่เสียเปล่า ไม่เสียเปล่าเพราะอะไร ไม่เสียเปล่าเพราะทำความดีบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานั่งสมาธิภาวนากัน เทิดทูนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทำทานร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นหนหนึ่ง

เป็นร้อยหนพันหน เราบูชาใคร ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา นี่เราทำทานเป็นหมื่นๆ ครั้ง ที่ทำสมาธิได้อย่างนั้น สิ่งนั้นเพราะอะไร เพราะคุณภาพไง สิ่งมีชีวิต ต้นไม้มันเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่มีวิญญาณครอง มันยังเจริญเติบโตขึ้นมาได้เพราะเขาดูแลมันดี จิตใจของเราถ้ามันเจริญเติบโตขึ้นมาด้วยภาวนามยปัญญา เติบโตมาด้วยเรามีคุณธรรม มันเติบโตมาได้ เห็นไหม ถ้ามันเติบโตมาได้ ชีวิตเราจะเหลวไหลไหม ชีวิตเราจะสำมะเลเทเมาไหม ชีวิตของเราจะมีเป้าหมายไหม ถ้ามีเป้าหมาย เป้าหมายมันคืออะไร? เป้าหมายคือว่าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา

นี่ใจเรามันอยู่ในอำนาจของกิเลสไง แม้แต่ตัวเองก็สงสัยในตัวเอง แม้แต่ตัวเองก็ไม่มีความมั่นใจตัวเอง นี่เป็นเพราะว่าเราเป็นชาวพุทธนะ เรามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราถึงมีสะพานเดินกัน เราถึงทำทาน เราถึงมีศีล เราถึงหัดภาวนากัน เพราะเรามีเป้าหมายของเรา มีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนะ แต่ตัวเองยังเป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่ถ้าทำสมาธิ จิตมันสงบเข้ามา มันมีที่พึ่ง มีที่พึ่งเพราะอะไร เพราะเป็นสัจจะ เป็นความจริงที่เกิดขึ้นมาจากใจของเรา

ถ้ามันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา กระแสสังคมเขาจะรุนแรงขนาดไหน “สมาธิไม่ต้องทำ ใช้ปัญญาไปเลย ทางลัดสั้น ครูบาอาจารย์องค์นั้นก็สอนเยิ่นเย้อ ครูบาอาจารย์องค์นั้นก็สอนแล้วมันเสียเวลา สู้ของเราไม่ได้ เราทำลัดสั้นแล้วเราก็เหมือนกันเลย” ทุกคนพอเจอหน้ากันก็ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ เหมือนกัน...ขี้ลอยน้ำ มีแต่ขี้ลอยน้ำกันไป ความจริงไม่มีสักคน เพราะอะไร เพราะถ้าเราทำสมาธิได้มันประกาศกลางหัวใจไง

เราทำมาเกือบเป็นเกือบตาย เราทำมาทุกข์ยากขนาดนี้ ถ้าจิตใจมันอ่อนแอนะ จิตใจคนที่อ่อนแอ พอเราทำมาเกือบเป็นเกือบตาย พอเขามาเสนอแนวทางลัดสั้น แนวทางที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แนวทางที่เป็นขี้ลอยน้ำ อยากจะไปกับเขา ทั้งๆ ที่เรามีเงินมีทองนะ ทั้งๆ ที่เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญานะ แต่เวลาใครมายุมาแหย่ ถ้าไม่มีจุดยืนมันก็จะไปกับเขา แต่ถ้าเรามีจุดยืนของเรา จุดยืนเพราะอะไร จุดยืนเพราะเราทำมาเกือบเป็นเกือบตายขนาดนี้ กว่ามันจะเป็นได้จริงขนาดนี้ แล้วว่าลัดสั้นๆ ลัดสั้นมาจากไหน มันจะมีมาได้อย่างไร

ถ้ามีมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ใครจะมีปัญญาดีกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะมีอำนาจวาสนาเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นได้จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกจะบอกไว้เลยนะ ในพระไตรปิฎกนี้อ่านนะ อ่านเสร็จแล้ววางไว้ แล้วเราไปลัดสั้นกัน ลัดสั้นจะเข้ามาหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สะดวกนะ มันมีไหม? มันไม่มีเลย ถ้ามันไม่มีเลย ทำไมเราเชื่อกันอย่างนั้นล่ะ

ถ้าเราเชื่ออย่างนั้นนะ เราวางสิ่งนั้นไว้ กระแสสังคม ถ้ามีสติปัญญา เวลาบ้านถ้ามีคนอยู่ มันมีความสะอาด บ้านนั้นจะมีคนรักษาดูแล จะซ่อมจะแซมบ้านนั้น จะดูแล้วมันไม่เสื่อมโทรม บ้านไหนเป็นบ้านที่เรามีบ้านหลายหลังเราก็ซื้อบ้านไว้ ดูแลบ้านไว้ แล้วก็ล็อกกุญแจไว้ ฝุ่นผงมันจะเกาะเลย เพราะมันไม่มีคนอยู่ ไม่มีคนคอยทำความสะอาดมัน แล้วถ้าเกิดมีโจรมีภัยมันเข้ามางัดมาแงะ บ้านหลังนั้นมันก็งัดแงะไปหมด

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าจิตของเรามีสติปัญญาในร่างกายของเรา บ้านนี้มีเจ้าของ บ้านนี้มีเจ้าของ ร่างกายนี้ จิตใจนี้มีสติปัญญาเป็นเจ้าของ มันดูแล มันรักษา มันไม่ปล่อยให้สกปรกโสโครก มันไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาฉกชิงวิ่งราวมันไป แต่บ้านนี้บ้านร้าง หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลากรรมฐานท่านเอ็ดนะ “ซากศพเดินได้”

คนเดินดีๆ นี่แหละ นักกรรมฐานเดินอยู่นี่ ท่านบอกว่าศพเดินได้ ศพเดินได้เพราะอะไร เพราะมันไม่มีสติ เดินไปแบบขอนไม้ไง เดินกันไปแบบซากศพเดินได้ ซากศพคือบ้านร้างไง มันไม่มีสติมีปัญญาอยู่ในตัวไง นี่มีบ้านหลังหนึ่งแล้วปล่อยไว้ ปล่อยมันเร่ร่อน มันไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนคอยดูแลมัน เห็นไหม เหมือนซากศพเดินได้ ศพเดินได้ ศพเดินได้

แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ ไม่ใช่ศพ คน แล้วไม่ใช่คนธรรมดาด้วยนะ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติเสียด้วย เป็นผู้มีสติปัญญาเสียด้วย เคลื่อนไหวไป มีสติปัญญา สายตาคล้อยลงต่ำ ไม่วอกแวกวอแว การเคลื่อนไหวไป เพราะอะไร เพราะการเคลื่อนไหวไปนี้มีสติรักษาหัวใจไว้ ไม่ส่งออก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ดูแลสิ่งใด ไม่ไปเกาะเกี่ยวสิ่งใด เราจำเป็นจะต้องเดิน จำเป็นต้องดำรงชีวิต เราก็รักษาหัวใจของเราไว้ รักษาใจไว้อยู่ในหัวอกของเรา เวลาเรารักษาไว้ ไปไหนเราเคลื่อนไหวมีสติปัญญาตลอด เวลาเข้าทางจงกรมเราก็ต่อเนื่องไปเลย เวลาเรารักษาไว้ เวลาเรานั่งสมาธิรักษาไว้

ไอ้นี่มันปล่อยคิดไปร้อยแปดเลย หัวใจอย่างกับไฟเลยนะ เข้านั่งสมาธิ นั่งไปแล้ว อู๋ย! ร่างกายนั่งนิ่ง จิตใจมันเผามันไหม้ มันทุกข์ยากไปหมดเลย เพราะอะไร เพราะซากศพเดินได้ เวลาเดินไปอย่างกับซากศพ ไม่มีเจ้าของ แล้วเวลานั่งสมาธิแล้วเราจะไปตามมันกลับมาไว้กลางหัวอก

แต่ถ้าเรามีสติปัญญารักษาไว้ตั้งแต่ต้น หลวงตาท่านสอน สอนว่าให้พุทโธไว้ พุทโธนี้เหมือนกับโคกับควาย เราผูกเชือกไว้ เวลาเราจะใช้เราก็ไปจับเชือกนั้นมา เพราะเราพุทโธๆ เรามีสติปัญญาตลอด กับโคควายที่เขาเลี้ยงปล่อย เขาเลี้ยงไว้ในป่า เวลาเขาจะใช้สอยมันนะ เขาต้องเข้าป่าเข้าเขาไปหา “ควายอยู่ไหน ควายอยู่ไหน” จะเอามันมาใช้งาน

นี่เหมือนกัน วันๆ ไม่เคยดูแลมันนะ แล้วเวลานั่งสมาธิก็จะใช้มันไง พอนั่งสมาธิ เอามันมาเลย มันมาไหมล่ะ แต่ถ้าเรามีสติปัญญารักษาของเราอยู่ เราผูกเชือกไว้ให้มันกินหญ้า กินน้ำอยู่ที่บริเวณของมัน เวลาจำเป็นต้องใช้เราก็ไปจับเชือกมา เราก็ได้วัวได้ควายของเรามา

จิตใจก็เหมือนกัน เราดูแลรักษาของเราไว้ ดูแลรักษาหัวใจของเราไว้ เพราะเรามาเพื่อหัดภาวนา อัตตสมบัติ สมบัติประจำหัวใจ สมบัติประจำตน เรามีจิตใจ จิตใจเราต้องมีอัตตสมบัติ มีศีลมีธรรมเป็นสมบัติของใจ เอวัง