เทศน์เช้า วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ โยมมาทำบุญ เห็นไหม โยมมาทำบุญถวายทานเพื่อเป็นบุญกุศล เวลาทำบุญกุศลให้ธรรมเป็นทานมันประเสริฐที่สุด ให้ธรรมคือให้ความเข้าใจ ให้วิชาการ ให้วิชาการ ฟังธรรมๆ ก็วิชาการของใจไง แต่ทุกคนจะถือทิฐิมานะว่าตัวเองมีความสุขมีความฉลาด ตัวเองมีความรู้ความฉลาด ความฉลาดนั้นฉลาดโดยอวิชชา ฉลาดโดยกิเลส เพราะคนเกิดมามีอวิชชาในหัวใจทั้งนั้น นี่จิตเวียนว่ายตายเกิดเพราะมีอวิชชามันถึงพาเกิดไง ทุกคนก็ถือตัวถือตนว่าเป็นผู้ที่ฉลาด ไม่ยอมลงไง ไม่ยอมลงคือไม่ยอมเปิดใจฟัง
ถ้าไม่ยอมเปิดใจฟัง เห็นไหม ดูสิน้ำรดหัวตอ น้ำรดหัวตอ ฟังธรรมๆ ทุกวันก็ฟังธรรมไป แต่ถ้าเราฟังธรรมนะ ถ้าเราเปิดหัวใจของเรา เวลาธรรมะ ธรรมะคือสัจจะความจริงที่มันเข้าไปทิ่มแทงกิเลสคืออวิชชา คือความไม่รู้ สิ่งที่ปกครองหัวใจขนลุกขนพองนะ ถ้าขนลุกขนพองเพราะมันเปิดใจไง ถ้าเปิดใจสิ่งนี้เป็นธรรม ดูสิเรากินอาหารเราเปิดปาก เราอ้าปาก เราตักอาหารเข้าปากได้ อาหารเข้าปากได้เราจะเคี้ยวเราจะกลืนเข้าไปในกระเพาะอาหารของเราได้
จิตใจที่มันเปิดขึ้นมา สัจธรรม สัจจะเป็นความจริง ความจริงสิ่งที่ใกล้ตัวเป็นความจริงตลอดเวลา แต่เรามองข้ามกันไปไง เรามองว่าความจริงอยู่บนอวกาศนั่น เราจะแสวงหามรรค ผล นิพพาน เราจะทำให้สุดยอดไปเลย ความสุดยอดของเราเลย นี่ทุกคนมาวัดมาวาก็เพื่อปรารถนาคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ ถ้าปรารถนาความดี ความดีของเราไง ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ความสุขๆ ความสุขของเรา ทำบุญกุศลเราคิดว่าก็จะเป็นบุญกุศลของเรา จะต้องให้ได้ดั่งใจเหมือนของเรา แต่มันอยู่ที่เจตนาไง
นี่วัตถุทานมันเป็นเครื่องแสดงออกของน้ำใจเท่านั้นแหละ น้ำใจ นี่ใจ น้ำใจ คำว่าหัวใจๆ ไง หัวใจที่มันมืดบอด มันไม่ลงใคร มันทิฐิมานะมันก็ว่ามันอยู่เหนือขอบฟ้า มันมีอำนาจวาสนามันยึดครองโลก แต่ยึดครองโลก ยึดครองโลกมันยังหลงตัวมันเองยึดครองโลกได้อย่างไร? เพราะหลงตัวเองถึงยึดครองโลกใช่ไหม เพราะหลงตัวเองใช่ไหม ตัวเองถึงมีทิฐิมานะใช่ไหม แต่ถ้ามันเปิดหัวใจของมัน มันจะไปยึดครองโลกได้อย่างไรล่ะ?
ดูสิเวียนว่ายตายเกิด ปฏิสนธิจิตมันเวียนว่ายตายเกิดสามโลกธาตุ มันเองมันต้องไปเสวยภพเสวยชาติในสามโลกธาตุ มันจะไปยึดครองโลกมาจากไหน? ตัวเองยังยึดครองไม่ได้ ตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองจะไปยึดครองใคร เห็นไหม แล้วก็ยึดถือ ยึดว่าความดีๆ จะเป็นบุญกุศลของเรา บุญกุศลของเรา นี่ความดีของเราเป็นความดีของเรา สิทธิเสรีภาพเป็นของเรานะ ความเป็นสิทธิ์ของคน แต่คนทั้งประเทศ คนทั้งโลกเขาก็มีสิทธิ์เหมือนกัน คนที่เขามีสิทธิ์เขาก็มีสิทธิ์เหมือนกัน แล้วเขามีสติมีปัญญาด้วย เขามีสติปัญญา เขาอ่อนน้อมถ่อมตน เขามีศักยภาพ เขามีความสามารถขนาดไหน
อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้านะ พระอริยเจ้าเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เขารู้ขนาดไหน เขาเห็นตัวตนของตัวเอง เขาทำลายอวิชชาในใจของตัวแล้ว แล้วเขาอ่อนน้อมถ่อมตนเพราะอะไร? เพราะเขาขำไง เขาหัวเราะเยาะพวกทิฐิมานะสุดขอบฟ้านั่นน่ะ มาถึงก็จะมาแสดงตนนั่นน่ะ มันแสดงไปหาใครล่ะ? ตัวเองไม่รู้จักตัวเอง แต่อยากแสดงตนให้คนอื่นรู้จัก ตัวเองไม่รู้จักตัวเองแต่แสดงตนให้คนนับถือ ตัวเองยังนับถือตัวเองไม่ได้เลย นับถือตัวเองได้มันจะสำนึก เราทำสิ่งใดผิดพลาดไปสิ่งนั้นไม่ดีเลย กระทบกระเทือนใคร
ดูสิเวลาออกพรรษา มหาปวารณา เราทำสิ่งใดผิดพลาดไปโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ความผิดพลาดด้วยความไม่เข้าใจก็ดี ขอให้อโหสิกรรมต่อกันเถิด นี่เราทำไปโดยที่ไม่มีเจตนาก็ดี ทำไปนี่แล้วมหาปวารณา เห็นไหม มหาปวารณาทั้งที่เราไม่รู้ตัว นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้นะ วางธรรมวินัยไว้นี่ ๑ พรรษา ถ้าคนจำพรรษาด้วยกันแล้ว ออกพรรษาแล้วมันต้องมีการกระทบกระเทือนกันเป็นธรรมดา เพราะคนเรานี่จริตของคนมันไม่เหมือนกัน ให้ขอขมาลาโทษกัน ให้ขอขมาลาโทษกันนะ สิ่งนั้นเป็นสัจธรรม สิ่งนั้นเป็นสัจธรรมโดยที่เราไม่รู้ตัว
มหาปวารณา คนที่เขามีคุณธรรม อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของคนรู้ คนที่เขารู้ เขารู้ๆ ในเรื่องหัวใจของเขา ไอ้เรื่องสิ่งที่เราแสวงหากันมานี่มันเป็นวัตถุทาน วัตถุ เห็นไหม วัตถุเป็นที่พึ่งอาศัย ดูสิเราเกิดมามีธาตุ ๔ ทุกคนเวลาเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม คนเกิดมามีศีลมีธรรม เกิดมารูปงาม เกิดมามีสติปัญญา นั่นมันเกิดมาจากไหน? ก็จากกรรมของเขา จากการกระทำของเขา จากใจของเขา เพราะใจเขาเกิดขึ้นมามันถึงมีธาตุ ๔ มันถึงมีร่างกายนี้ เราก็มองกันที่ร่างกายนี้ เข้าใจกันที่ร่างกายนี้เท่านั้นแหละว่าร่างกายคน คนนี้มีรูปร่างดี คนนี้รูปร่างไม่ดี
รูปร่าง เห็นไหม คนอัปลักษณ์แต่เป็นพระอรหันต์เยอะแยะไป ในสมัยพุทธกาล ดูสิอัปลักษณ์ขนาดไหน คนเตี้ย คนถ่อย คนเตี้ยคนค่อมเขาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระอรหันต์มันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ในหัวใจของร่างกายที่พิกลพิการนั้น แต่ถ้าพระอรหันต์ที่พุทธะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สิ่งที่เป็นกิริยา เป็นอาการ ๓๒ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีใครเสมอเหมือน อันนั้นเพราะอะไร? เพราะว่าสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล
ดูสิ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างมาขนาดนั้น สร้างมาขนาดนั้น บุญกุศลส่งเสริมมาขนาดนั้น เพราะบุญกุศลส่งเสริมมาขนาดนั้น ดูสติปัญญา สติปัญญาคนยกย่องสรรเสริญ ไปประพฤติปฏิบัติ ดูสิเจ้าลัทธิต่างๆ ยกย่องสรรเสริญทั้งนั้นแหละ ยกย่องสรรเสริญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องการให้คนยกย่องสรรเสริญทั้งนั้นแหละ แต่เวลาเขายกย่องสรรเสริญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมีความรู้เสมอเรา เสมอศาสดา เสมอผู้นำ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธเขายกย่อง แต่ตัวเองปฏิเสธเพราะอะไร? เพราะไม่เป็นความจริง เพราะมีอำนาจวาสนาบารมี มีปัญญา ไอ้พวกเราต้องการไง ไอ้พวกเราต้องการ ต้องการให้คนยอมรับไง แล้วกิเลสมันยอมรับไหม? ถ้ากิเลสไม่ยอมรับมันทุกข์อยู่นี่ ในหัวใจใครทุกข์อยู่ ถ้าใครทุกข์อยู่ เราให้กิเลสมันจูงจมูก กิเลสมันจูงหัวใจ จูงไปแล้วมันก็ตีไป มันก็โบยไป มันก็โบยหัวใจนี้ไป แล้วเราก็เชื่อมัน เราก็ตามมันไป นี่ไอ้ความเจ็บปวด ไอ้โดนแส้ไอ้นี่คือธรรมะ ไอ้เลือดซิบๆ อันนี้สุขนะ อันนี้พอใจนะ
มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ไม่เป็นความจริง เห็นไหม เรามีสติปัญญา เรามาวัดมาวามาเพื่ออะไร? เรามาวัดมาวาเพื่อความดีของเรา แล้วความดีของคนอื่นเขาล่ะ? ถ้าความดีของคนอื่น ดูสิคนเรามีชราภาพ มีเด็ก มีผู้ใหญ่ คนที่เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว คนที่เขาเคลื่อนไหวได้ก็ให้เขาไปก่อน ไอ้เราผู้เฒ่าผู้แก่ นี่คนที่มีน้ำใจเขาหลีกทางให้ ไอ้นั่นเขามีน้ำใจ ไม่ดันเข้าไปอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าดันเข้าไป ทุกคนปรารถนาความดีทั้งนั้นแหละ ความดีก็คือความดีของเรา เพราะอะไร? เพราะเราเชื่อ เรามีสติมีปัญญานะ
คนเกิดมา ดูสิเกิดมาสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมา แล้วเวลาไฟไหม้บ้านไหม้เรือนขึ้นมามันก็ไหม้ไปหมดเลย นี่เราเกิดมาตั้งแต่เกิดนะ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เราเกิดจากพ่อจากแม่มานะ แต่เรามีสติปัญญาเรามาทำทานของเรา ไฟมันไหม้มา ไหม้วัฏฏะมาตลอดเวลา คนเราอายุขัยมันต้องสิ้นไปข้างหน้า นี่อายุขัยมันกินกลืนไปตลอด ไฟมันเผาผลาญร่างกายมาตลอด นี่ชราคร่ำคร่าไป แล้วเรามีสติปัญญาเราเอาทรัพย์สมบัติของเราออกมา สิ่งนี้เรามาสละทานๆ เอาทรัพย์สมบัติออกจากเรือนของเรา นี่ใครขนทรัพย์สมบัติออกจากเรือนได้เท่าไหร่ คนนั้นเขาจะมีทรัพย์สมบัติของเขามากมายขนาดนั้น ใครไม่เคยเอาทรัพย์สมบัติออกจากเรือนเลย มันก็ไหม้ไปกับเรือนนั้นไง
ทิฐิมานะก็รักษาไว้ ก็ดูแลไว้ ก็เป็นของเราๆ เวลาตายไปมันก็ไหม้ไปหมดไง แต่นี่เรามีสติปัญญา เราเอาทรัพย์ของเรามาฝากไว้ในศาสนา เราเอาทรัพย์ของเรามาฝังดินไว้ ฝังดินไว้เพื่ออำนาจวาสนาบารมีของเราไปข้างหน้า นี่มีทานแล้วก็มีศีล มีศีลคือความปกติของใจ ถ้ามีศีลแล้วเขาสงบระงับใช่ไหม? มาทำบุญกุศลมันก็สงบเสงี่ยมใช่ไหม ทำความสงบนี่ไม่ใช่ตลาดนัด ไอ้นี่มันที่อยู่ของผู้ทรงศีล ผู้ที่มีศีลมีธรรมใช่ไหมเราถึงจะไป ถ้าไม่มีผู้ทรงศีลทรงธรรมเราจะไปไหม?
นี่เราจะเอาทรัพย์ของเราออกจากเรือนๆ คนที่ฉลาดเขาจะเอาทรัพย์ของเขา เนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญที่ดี เขาหว่านเขาไถเนื้อนาที่ดี เราก็แสวงหาเนื้อนาที่ดี เขาก็แสวงหาที่นี่กัน พอแสวงหาที่นี่กัน ถ้าที่ไหนเนื้อนาที่ดี ทุกคนมันก็ต้องประดังกันที่นั่นใช่ไหม ถ้าประดังที่นั่น ถ้าเราเป็นคนที่มีน้ำใจใช่ไหมเราก็หลีกทางให้เขา นี่ไงทางโลกเขา ดูสิผู้เฒ่าผู้แก่นะ ในรถเมล์เขาเห็นผู้หญิง เห็นผู้เฒ่าผู้แก่เขายังลุกให้เลย เขาเป็นฆราวาสเขายังลุกให้กัน เขาไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมเขายังลุกให้ เขายังให้สิทธิ์กันเลย
แล้วเรานี่เราเป็นนักปฏิบัติที่มีธรรมในหัวใจ ของอย่างนี้เราเจือจานกันได้ แต่ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่นะ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่สะดวก นี่เราก็รอ มันมีน้ำใจต่อกันนะทุกอย่างมันจะดีไปหมด ถ้าที่ไหนมีธรรม ถ้าธรรมมันแทรกเข้าไปในใจดวงใด ใจดวงนั้นมันจะมีคุณธรรมไปทั้งนั้นแหละ ทำสิ่งใดมันจะเป็นประโยชน์ไปหมดเลย แต่ถ้ามันมีทิฐิมานะ ฉันทำความดี ฉันทำความดีนะ ทำความดีมันจะแหกไป ฉันทำความดีนะ ฉันทำความดี
นี่ใช่มันเป็นสิทธิ์ คนอื่นเขาก็ทำความดีเหมือนกัน ไม่ใช่เราทำดีคนเดียว แล้วความดีที่ยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านี้ ทาน ศีล ภาวนา เวลาจะแสวงหาเรามาทำบุญกุศลของเราเพื่ออะไรล่ะ? สิ่งนี้เป็นวัตถุที่จับต้องได้ ดูสิเวลาเราสวดมนต์สวดพร ตัวอักษรเราก็ท่องจำได้ พุทโธ พุทโธ เราก็ท่องจำได้ มันเป็นตัวอักษรที่เราเห็นได้ แล้วใจของเรามันเป็นนามธรรม เราจะค้นคว้ากันที่ไหนล่ะ?
นี่ก็เหมือนกัน แม้แต่เราทำทานของเรา วัตถุทาน จิตใจของคนที่เขาไม่ทำกันก็มหาศาลนะ ในศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ในศาสนาทุกศาสนาสอนให้เจือจานกัน ความเจือจานกันระดับของทาน ทานแล้วเขาให้มีศีล มีศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติแล้วทำสิ่งใดมันก็ทำด้วยความอบอุ่น ทำด้วยความมั่นใจ ถ้าทำด้วยความมั่นใจ ถ้าเราจะเอาสุขเอาความดีไปมากกว่านี้ล่ะ? เอาความดีมากกว่านี้ นี่มีทาน ศีล ภาวนา ถ้าภาวนาๆ ภาวนา
ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดสมาธิหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดปัญญาภาวนามยปัญญาหนหนึ่ง
แล้วปัญญาอย่างเรา ปัญญากิเลสพาใช้มันดาบสองคมไง ถ้าไม่มีมีดเลยมันก็ทำอะไรไม่ได้ แต่มีดเขาเอาไว้ใช้เพื่อประโยชน์ ไม่ใช่ฟันตัวเอง ฟันตัวเองคือทำลายตัวเอง ดูสิทานคือการเคลื่อนไหว เวลาทำปกติของใจมันสงบนิ่ง พอสงบนิ่งแล้วถ้าเกิดปัญญามันจะเคลื่อนไหวอย่างไร? ถ้าเคลื่อนไหวมันเป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันเกิดขึ้นที่ไหน? ถ้ามันเกิดขึ้นที่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านจะคอยดูแล
ฉะนั้น พอคอยดูแล เห็นไหม เขาต้องการความสงบสงัด สัปปายะ ๔ คนที่ประพฤติปฏิบัติเขาแสวงหานะ แสวงหา หมู่คณะเป็นสัปปายะ คือทิฐิมานะความเห็นเหมือนกัน เรานักปฏิบัติด้วยกัน เวลานักปฏิบัติด้วยกัน เวลาทำข้อวัตรเราจะขวนขวายรีบทำของเรา ทำเสร็จแล้วเราจะเข้าสู่ที่สงบสงัดเพื่อภาวนาของเรา ทุกคนเสมอกันด้วยทิฐิมานะ ทุกคนแสวงหาอย่างนี้มันก็ไม่กระทบกระเทือนกัน แต่ถ้าทุกคนทิฐิมันไม่เสมอกันใช่ไหม
นี่ระดับของคนที่อยากภาวนาอยากทำความสงบ เขาก็อยู่ในความสงบของเขา ไอ้คนที่อยากจะทำคุณงามความดี เราจะทำคุณงามความดี เราจะพัฒนา เราจะทำความสะอาด โครมครามๆ ไปกระเทือนคนอื่นโดยไม่รู้ตัวเลย ทั้งๆ ที่ถือว่าเป็นความดีของตัวนั่นน่ะ แต่ความดีของตัวมันหยาบกว่าเขา ถึงเวลาข้อวัตรเขาทำของเขาเสร็จแล้ว เสร็จแล้วเขาทำความสงบของใจของเขา ถ้าทำความสงบของเขา เวลาปัญญาเขาเกิดขึ้นมา นี่เขาจะไม่เข้าไปใกล้ที่นั่นเลยนะ คนเข้าไปจิตกว่าจะสงบได้ กว่าเขาจะใช้ปัญญา
เวลาถ้าจิตมันสงบ อุปจารสมาธิ เวลาจิตสงบแล้วมันได้ยินเสียง คนเดินไปเดินมา คนเคลื่อนไหวมันได้ยินของมัน พอได้ยินเพราะอุปจาระ อุปจาระคือจิตมันสงบแล้วมันออกทำงานของมันได้ ถ้าอัปปนามันสักแต่ว่าไม่ได้ยินเลย พอไม่ได้ยินแต่มันมีสติลึกซึ้งกว่านั้น เห็นไหม ฉะนั้น เสียงที่กระทบกระเทือนเขาไม่หวั่นไหว แต่คนที่ได้อุปจาระ นี่มันได้ยินอยู่ พอได้ยินอยู่ เขาทำงานอยู่ภายใน
คำว่างานภายในคือมันพิจารณาของมันอยู่ อย่างเช่น ดูสิทางการแพทย์เขากำลังผ่าตัดอยู่ เขากำลังแก้ไขอวัยวะ เขาจะเปลี่ยนหัวใจ เขาจะเปลี่ยนตับเปลี่ยนไตกันอยู่ แล้วเรานี่เราทำเสียงกระทบกระเทือนเขา แล้วเราเปิดให้อากาศเข้าไปมันต้องปลอดเชื้อ แล้วก็เอาเชื้อโรคเข้าไป หมอที่เขากำลังรักษา หมอที่เขากำลังทำผ่าตัดอยู่นั่นน่ะเขาพะว้าพะวัง ไอ้มือก็จะทำ ไอ้ห่วงว่าเชื้อโรคมันจะเข้ามามันก็ห่วง อาการอย่างนั้นเขาจะทำงานได้สะดวกสบายไหม?
ภาวนามยปัญญา เวลาปัญญามันเกิดขึ้น ดูสิปัญญานี่เราโลกียปัญญา โลกียปัญญาคือโลกทัศน์ นี่โลกียปัญญาเกิดจากใจ เกิดจากความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดเกิดจากใจ โลกียปัญญา มันเกิดจากโลก เกิดจากภพ เกิดจากหัวใจของเรา ความคิดเกิดจากที่ไหน? คอมพิวเตอร์คนต้องเขียนโปรแกรมมันถึงมีข้อมูลของมัน แล้วความคิดมันเกิดบนที่ไหน? วัตถุมันเกิดความคิดได้ไหม? เขาว่าต้นไม้มีความรู้สึก ต้นไม้มันยังมีความคิดได้ ต้นไม้มีความรู้สึกเพราะมันมีชีวิตแต่มันไม่มีจิตวิญญาณครอง ไปปลูกไว้มันจะหนีหาอากาศ มันจะหนีหาของมัน มันก็มีความรู้สึกของมัน แต่ความคิดมันคิดได้ไหม?
แล้วความคิดของเรา ความคิดที่มันเกิดดับๆ เกิดดับที่ว่าเรามีความคิด เรามีปัญญาอยู่มันปัญญาของใคร? มันปัญญาของกิเลสทั้งนั้นแหละ มันเป็นปัญญาของอวิชชา ทั้งที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังพูดพุทธพจน์อยู่นี่ พุทธพจน์เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราพูดจากปากสกปรกของเรา พูดออกมาจากความรู้สึกเรา ความรู้สึกเราเป็นอะไร? เป็นอวิชชา เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำอยู่ ถ้าเราพูดออกมา พูดธรรมะๆ นี่ไง
นี่ไงความคิดๆ แม้แต่คิดธรรมะมันก็เป็นกิเลส แต่ถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา จิตมันสงบมันไม่มีสมุทัย คือไม่มีตัณหาความทะยานอยากคือความอยากได้อยากดี ความผลักไสความที่ไม่ต้องการ ถ้ามันมีความอยากได้อยากดี มีความปรารถนาต้องการ นั้นคือตัณหา นั้นคือสมุทัย ถ้าสมุทัยมันครอบงำหัวใจอยู่ หัวใจคือกิเลส ฉะนั้น ความคิดที่เกิดจากการแสวงหา ความคิดเกิดจากการผลักดัน คือไม่พอใจไง ถ้าไม่พอใจอะไร นี่พุทธพจน์อันนี้เขียนกันมาเอง มันไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก อรชุนมันเขียนขึ้นมา นี่เวลาไม่พอใจผลักไสแล้ว แต่ถ้ามันถูกใจนะ โอ้โฮ อันนี้พระพุทธเจ้าสอนเราเอง อันนี้พระพุทธเจ้าบอกเราเอง
นี่ไงความคิดอย่างนี้มันเกิดจากสมุทัยนี่ไง สมุทัยมันเจือปนขึ้นมา ความคิดอย่างนี้มันถึงเกิดขึ้น ถ้าความคิดเกิดขึ้น เราพุทโธ พุทโธทำความสงบของใจเข้ามา นี่ความคิดอย่างนี้ความคิดเขาเรียกโลกียปัญญา ความคิดเกิดจากโลก ความคิดเกิดจากที่สติปัญญาเราไม่เท่าทัน ความคิดเกิดจากการขับดัน การขับดันของคนที่หยาบ คนที่กลาง คนที่ละเอียด คนที่หยาบคือคนที่หยาบๆ มันก็ความคิดของมันก็ต่อต้าน ความคิดอย่างกลางๆ ความคิดอย่างกลางๆ ก็ความคิดรับได้รับไม่ได้ ความคิดอย่างละเอียดมันนุ่มนวลของมันนะ โอ้โฮ ฉันเป็นคนพิเศษ ฉันเป็นคนดี
คนดีก็อวิชชาทั้งนั้นแหละ ยึดถือตัวตนทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันพุทโธ พุทโธ นี่จนมันสงบระงับเข้ามา จิตเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิ เห็นไหม มันเป็นสมาธิ ทุกคนปรารถนาความดี ความดีของสำนึกปฏิบัติก็เป็นกันอย่างนี้ แล้วจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าใช้ปัญญาไม่เป็นมันเกิดจากจิต เกิดจากอวิชชาเหมือนเดิม แต่ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาออกจากสัมมาสมาธิถ้ามันออกไปได้ ออกไปได้กับออกไม่ได้ ออกไม่ได้อะไร? เพราะคนเราติดในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ติดอยู่ตรงนี้
ถ้ามันติดอยู่ มันติดอยู่เพราะอะไร? ติดอยู่เพราะเรายังไม่รู้แจ้ง ติดเพราะเรายังไม่มีธรรมโอสถเข้าไปชำระสะสางว่าสิ่งที่มันเกิดมาเป็นเราเพราะบุญกรรมเราเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เพราะมันมีการเกิด พอมีการเกิดคือมีอวิชชา เพราะมีการเกิดมีแรงขับไส มีเชื้อ มีความไม่รู้ตัวมันถึงได้เกิด นี่เราพิจารณาแยกแยะของมัน แยกแยะของมันพิจารณามันแยกแยะออกไป แยกแยะออกไป แยกแยะออกไปนี่เรื่องทิฐิมานะมันยึดมั่นถือมั่น มันคาดหมาย มันหวังว่าเป็นเรา พิจารณาแยกแยะของมันไป นี่คือภาวนามยปัญญา
ปัญญาอย่างนี้ที่เกิดขึ้น ที่ว่าหมอผ่าตัดในห้องปลอดเชื้อ เขาทำกันอย่างนี้ ถ้าจิตสงบแล้วเป็นอุปจารสมาธิ นี่มันออกรู้ได้ออกพิจารณาของเขาได้ แล้วถ้าเขาใช้ปัญญาของเขาอยู่อย่างนี้ เขาใช้ปัญญาของเขาอยู่อย่างนี้ เขาต้องการความสงบสงัด เขาต้องการครูบาอาจารย์คอยชี้นำของเขา แล้วเราทำความกระทบกระเทือนไปหาเขา สำนักปฏิบัติเพราะทุกคนเขาปฏิบัติกันทั้งนั้นแหละ ยิ่งเวลากลางคืนสงบสงัดเขาต้องการเวลาอย่างนั้นน่ะ แล้วเราทำส่งเสียงไปกระเทือนเขาก็เชื้อโรคไง
นี่ที่ห้องปลอดเชื้อเราส่งเชื้อไวรัสเข้าไปไง อีโบล่าเข้าไปแปะเลยไง ให้ผ่าตัดเอาอีโบล่าไปด้วย เวลาเข้าผ่าตัด ตอนนี้เขามีความห่วงมาก ติดเชื้อๆ แล้วเราก็จะเอาเชื้อของเรา ว่าเป็นความเห็นของเรา เป็นความดีของเรา ก็เราทำความดี ก็ทำความดีแล้วมันผิดตรงไหนล่ะ? เพราะมันไม่รู้ ไม่รู้มันก็กระเทือนกันไปหมด
นี่ก็เหมือนกัน ทุกคนปรารถนาความดี เกลียดความชั่ว แต่ความดีของเรานะเราเก็บไว้เป็นธงนำในใจ เพราะใจของคนละเอียดเขาก็ทำคุณงามความดีที่ละเอียดลึกซึ้งของเขาไป อย่างเช่นครูบาอาจารย์ของเราท่านนั่งสงบๆ ท่านนั่งเฉยๆ หายใจเข้า หายใจออก นั่นล่ะทำความดีของท่าน ท่านพิจารณาธรรมของท่าน กิ่งแขนงของธรรม ใจมันจะออกวิหารธรรม พิจารณาเพื่อความสงบระงับ เพื่อความสุขของใจ นี่ครูบาอาจารย์ที่ใจท่านเป็นธรรม ไอ้พวกเราต้องแบกหามนะ อยากจะมีความสุขต้องทองคำ ๕ ตัน แบกกันมาเลย ๕ ตันถึงจะมีความสุข ต้องเงิน ๒๐ ล้าน หาจนตาย แต่ครูบาอาจารย์ท่านหายใจเข้าหายใจออกของท่าน วิหารธรรมท่านมีความสุขของท่าน ท่านทำของท่าน นี่ความดีของคนมันแตกต่างกันอย่างนี้
ฉะนั้น เราบอกว่าทำความดี อย่าคิดว่าทำความดีแล้วจะเอาความดีนี้เหยียบย่ำคนอื่น ไม่ได้ ความดีของใครก็เป็นความดีของคนนั้น คนที่หยาบๆ มันก็หยาบๆ คนที่ปานกลางก็ปานกลาง คนที่สงบละเอียดระงับเขาก็ดูแลใจของเขา เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ในเมื่อสังคมรวมกันมันก็มีเรื่องเป็นธรรมดา ฉะนั้น มันอยู่ที่ภาวะผู้นำ ผู้นำที่ดี ผู้นำจะรักษาปกป้อง รักษาปกป้อง ดูสิเวลาเข้าห้องผ่าตัดมันจะกี่คนล่ะ? คนมีเจ็บไข้ได้ป่วยหนักเขาถึงเข้าห้องผ่าตัด แล้วคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดาเยอะแยะไป
นี่ก็เหมือนกัน คนที่ภาวนาถึงวิกฤติ ภาวนาถึงที่สุด คนที่เขากำลังต่อสู้กันมันมีกี่คนล่ะ? แล้วใครจะดูแล ใครจะปกป้อง ศาสนทายาทใครจะคุ้มครองดูแล นี่ครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงตรงนี้นะ ใครจะดูแล ดูสิลูกเราหลานเรา เราก็อยากปกป้องอยากดูแล นี่ก็เหมือนกัน สังคมสงฆ์ สังคมปฏิบัติใครจะดูแล ใครจะรักษา เพื่อเกิดศาสนทายาท เพื่อเกิดความมั่นคงของกรรมฐาน เพื่อเกิดความมั่นคงของหัวใจ เพื่อเกิดความมั่นคงของหัวใจที่มันได้สัมผัสธรรมจริงๆ เราอย่าเอาความรู้สึก เราอย่าเอาแต่ความพอใจของตัว แล้วคิดว่าอย่างนั้นถูกต้องๆ ศึกษาก่อน ศึกษาวิเคราะห์วิจัยว่ามันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ทำตามนั้นเพื่อประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับตัวเราด้วย เอวัง