เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะ เห็นไหม นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คำว่าบัญญัติไว้จะเอาอะไรมาบัญญัติถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมา การตรัสรู้มันต้องมีการต่อสู้กับกิเลส การต่อสู้กับกิเลส วิธีการอันนั้น วิธีการอันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติไว้ นี่ธุดงควัตรๆ หลวงตาท่านเห็นนะ ท่านบอกว่าสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่นเราเริ่มต้นเข้าพรรษาก็พระถือธุดงค์เกือบทั้งวัด สุดท้ายแล้วถอยไปๆ เลิกไปๆ จนเหลือท่านองค์เดียวกับหลวงปู่หล้า อันนี้มันฝังใจท่านมาก เพราะอะไร? เพราะคนทำมันไม่จริงไม่จังไง

ถ้าคนเราทำไม่จริงไม่จัง ทำเล่น ของเล่นๆ เห็นไหม สมมุติบัญญัติๆ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สมมุติบัญญัติ กฎหมาย กฎหมายบัญญัติแล้วใครจะทำหรือไม่ทำ นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ๆ แต่เราจริงจังแค่ไหนล่ะ? ถ้าเราจริงจังแค่ไหน ทำจริงก็ได้ของจริง ถ้าทำเล่นก็ได้ของเล่นๆ เพราะเราเล่น จิตใจเราอ่อนแอกันเอง เราไม่มีความมุมานะ ไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความเข้มแข็งนี่กิเลสมันก็ล่อมันก็หลอกไง ดินพอกหางหมู ดินพอกหางหมู หางหมูถ้ามันได้แกว่ง มันได้ทำความสะอาด ดินจะพอกหางหมูไม่ได้

จิตใจของเราก็เหมือนกัน จิตใจของเราถ้ามันเข้มแข็งของมัน ถ้ามันมีสติปัญญาของมันรักษาของมัน มีสติมีปัญญา เห็นไหม สิ่งใดมันจะพอกพูนหัวใจอันนี้ไม่ได้ กิเลส นี่สนิมมันเกิดจากเหล็ก กิเลสมันก็เกิดจากใจ กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอาศัยอยู่บนที่ไหน นี่กิเลสมันอาศัยอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก สิ่งมีชีวิตไง หัวใจนี้เป็นสิ่งที่มีธาตุรู้ไง กิเลสมันก็พอง เวลามันอยู่บนสิ่งที่มีชีวิตนี่เหมือนกาฝาก เวลาต้นไม้มันโตมันก็โตด้วย พอต้นไม้มันเล็กมันก็เล็กด้วย ต้นไม้มันตาย กาฝากมันก็ตาย นี่ไงแต่ต้นไม้มันตาย แต่จิตมันเคยตายไหมล่ะ จิตมันไม่เคยตาย

สิ่งที่ไม่เคยตาย สิ่งที่มันพอกพูนอยู่บนหัวใจนี้ นี่กิเลสมันครอบงำมันอยู่ ถ้ามันไม่จริงไม่จัง กิเลสมันก็มีอำนาจมากกว่า ถ้ามีอำนาจมากกว่า เห็นไหม นี่มันถึงทำเล่นๆ ไง ทำเล่นๆ กิเลสมันก็งอกงาม แต่ถ้าทำจริงล่ะ? นี่เราพยายามสลัดมัน ต้นไม้มันสลัดทิ้งใบของมันนะ ถ้ามันขาดน้ำขึ้นมา มันรู้ว่ามันจะรอดของมัน มันสลัดใบทิ้งเลยเพื่อรักษาลำต้นไว้ ต้นไม้มันยังมีปัญญา มันยังมีความรู้สึกนึกคิด มันยังรักษาตัวมันเองได้ แต่ของเราล่ะ? ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้แล้ว แล้วให้เราทำตามๆ ทำไมมันทำไม่ได้ล่ะ? นี่มันทำไม่ได้ ถ้าคนทำจริงมันก็ได้ความจริงขึ้นมา แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหนล่ะ? ความจริงขึ้นมา เวลาเราผิดพลาดไปเราเสียใจไหม? เวลาเราผิดพลาดไป ทำสิ่งใดไปเราเสียใจ สิ่งใดที่ทำผิดไปแล้วนึกถึงทีหลังน้ำตาไหล สิ่งนั้นไม่ดีเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราธุดงค์ของเรา ธุดงค์นะถ้ามันเป็นผู้ที่หัดใหม่ พระก็เหมือนพระ เขาก็มองเป็นธรรมดา เราเคร่งของเรา เราไม่ปลีกแยกไปในการบิณฑบาต ได้บ้างไม่ได้บ้างก็แล้วแต่อำนาจวาสนา เวลาจะมาขบฉันนะ ธุดงค์ใหม่ๆ นะ นี่เราทำคุณงามความดี เราทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ คนที่เขาอยู่โดยปกติของเขา เขาอยู่ด้วยความสุขความสงบความดีงามของเขา ทุกคนนับหน้าถือตาเขา นี่กิเลสมันคิดทั้งนั้นแหละ มันจะกัดกินหัวใจไง มันจะทำให้เราเลิกไง ไปทำกับเขาดีกว่า แต่เราทำไปสิ ทำของเราไป ทำของเราไป

นี่กลิ่นของศีลหอมทวนลม ความดีงามมันจรรโลงหัวใจ ถ้าสิ่งใดที่มันกัดกร่อนหัวใจ เวลามันผ่านไปแล้วมันภูมิใจ นี่ไงสิ่งที่ภูมิใจมีธรรมๆ มีธรรมมันภูมิใจใช่ไหม? ถ้าเราแพ้ใจตัวเราเอง เราแพ้ใจตัวเราเอง เวลาเราคิดเราเสียใจทั้งนั้นแหละ นี่เราถามตัวเองสิ เราตั้งใจทำอะไรแล้วมันผิดพลาดมาเราเสียใจไหม? นี่เราตั้งใจ สัจจะๆ วันนี้วันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษาวัฒนธรรมของชาวพุทธ เขาเลิก เขางดเหล้า งดบุหรี่ เขางดของเขาได้ ๓ เดือน ออกพรรษานี่ตกเบิกเลย นี่ไงทำไมเขาไม่งดต่อไปล่ะ?

นี่ถ้ามันมีสติมีปัญญามันคิดของมันได้ ถ้าคิดได้ เราเลิกได้ พฤติกรรมของเราทั้งนั้นแหละทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย พฤติกรรมของเราทั้งนั้นแหละ ถ้าพฤติกรรมของเรา นี่แล้วพฤติกรรมเราทำแต่สิ่งที่ดีๆ ขึ้นมา สุขภาพกาย ถ้าสุขภาพกายสมบูรณ์ เราทำสิ่งใดมันก็สะดวกใช่ไหม? แล้วสุขภาพจิตล่ะ? นี่สุขภาพจิตเราบอกอ่อนแอ คิดอะไรก็คิดไม่ได้ จะมีสติปัญญาด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ ทางธุรกิจ บริษัทที่ปรึกษาปรึกษาเขาซะ เสียตังค์ปรึกษาเขาเพื่อความสะดวกของเรา นี่ไอ้ปรึกษาเขา เห็นไหม เสียตังค์ด้วย ส่งออกด้วย

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนรู้หมด พูดจานี่ฉะฉานนะ แสดงธรรมนี่ฉะฉานมากเลย แต่ให้ทำจริงๆ ทำไม่ได้ แล้วไม่รู้ว่าทำอย่างไรด้วย แต่เวลาพูดทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ? อ้าว ก็พระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนั้น ตำราว่าไว้อย่างนั้น แล้วตัวเองทำอะไรล่ะ? ก็ไม่รู้ ไม่รู้คืออวิชชา เพราะความไม่รู้ของเราทำให้ทำจริงทำจัง ถ้าทำจริงทำจังเราจะได้ความจริงขึ้นมาเพราะเราอ่อนแอ ชาวพุทธเราอ่อนแอมาก

คำว่าอ่อนแอ คำว่าอ่อนแอๆ ที่ไหน? อ่อนแอที่หัวใจไง อ่อนแอ ถ้าบอกเข้มแข็งไปเป็นทิฐิมานะ สัมมาทิฏฐิ ทิฐิที่ถูกต้อง ถ้าเราไม่มีสัมมาทิฏฐิ ทิฐิที่ถูกต้อง แล้วยืนตามทิฐิของเรา เราจะล่วงพ้นด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะมันต้องมีสัมมาทิฏฐิ ถ้าความมีทิฐิเราจะไหลไปตามได้อย่างไร? ด้วยความเกรงใจเขาไง นี่ความเกรงใจเขา เอาใจเขา แล้วเดี๋ยวเขาก็ให้เอาใจเรา เดี๋ยวเราก็จะนอนให้เขาเอาใจ นี่เพราะอะไร? เพราะเราอ่อนแอไง แต่ถ้าเราเข้มแข็งของเรา เราเข้มแข็งของเรา เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งดำรงชีวิตแค่หยอดล้อเกวียน ชีวิตมีเท่านี้ พอดำรงชีวิตเท่านั้นแหละ ดำรงชีวิตไว้ทำไมล่ะ? ดำรงชีวิตให้มันเศร้าหมองใช่ไหม? ดำรงชีวิตให้มันทุกข์ยากใช่ไหม?

ดำรงชีวิตไว้เพื่อความผ่องแผ้ว ดำรงชีวิตไว้เพื่อความกระจ่างแจ้ง แล้วถ้ามันกระจ่างแจ้ง เห็นไหม ดูสิครอบสามโลกธาตุ สามโลกธาตุ ดูสิทำไมถึงครอบสามโลกธาตุ แม้แต่โลกมนุษย์เรายังงงอยู่นี่ เชื้อโรคมันมาจากไหน? เกิดมาทำไม? แล้วอยู่ทำไม? แต่มันพิจารณาไปแล้ว นี่ผลของวัฏฏะ ปฏิสนธิจิต เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมลงมาแล้วเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามันมีผลของมันมันเกิดนรกอเวจี นี่มันครอบสามโลกธาตุ ถ้ามันสามโลกธาตุ จิตเป็นผู้เกิด เพราะมันไม่รู้มันถึงได้เวียนว่ายตายเกิด เพราะมันตาบอด เพราะตาบอดมันต้องขับเคลื่อนไป ถ้ามันตาดีไม่เดิน ไม่ไป

ทำไมถึงไม่ไปล่ะ? ไม่ไปเพราะอะไร? เราต้องไปเพราะอะไร? เพราะเราหิว เรากระหายเราต้องไป เราหิวกระหายเราต้องไป เราต้องหาดำรงชีวิตใช่ไหม? แต่ถ้าคนมีสติปัญญา แค่ดำรงชีวิต แม้แต่อดอาหาร พระเราอดอาหาร ๗ วัน ๑๐ วันอยู่ได้สบายๆ เลย ถ้าอยู่ได้สบายๆ เพราะอิ่มในธรรมไง อิ่มในธรรมอิ่มด้วยปัญญาไง เวลาอดอาหาร อดนอนผ่อนอาหารเพื่ออะไร? อดนอนผ่อนอาหารไม่ให้ธาตุขันธ์ทับจิต นี่เรารักษามันนะ รักษาร่างกาย นี่พลังงานเหลือใช้เขาต้องเข้าฟิตเนสกันนะ พยายามลดมัน

นี่ก็เหมือนกัน พระมันกินมากอยู่มาก ธาตุขันธ์ทับจิตมันง่วงเหงาหาวนอนนะ แต่ถ้ามันผ่อน มันดึงพลังงานที่มันสะสมไว้ออกมาใช้ พอดึงพลังงานที่สะสมออกมาใช้ชีวิตก็อยู่ของมันได้ เห็นไหม แล้วร่างกายมันปลอดโปร่งมาก มันตัวเบานะ แล้วนั่งสมาธิ อดอาหาร ๗ วัน ๑๐ วันให้มันนั่งหลับดูสิมันจะหลับไหม? ก็มันหิวอยู่นี่ท้องมันร้องจ็อกๆๆ อยู่นี่มันจะหลับได้ไหม? แต่พอมีสติปัญญามันไล่ไปเลย กระเพาะหิวหรือ? ลำไส้หิวหรือ? ปากหิวหรือ? หิวไม่ได้ นี่กระเพาะมันหิวกระหายไม่ได้ มันขาดอาหารมันก็ร้องของมันเป็นธรรมดา แต่มันมีความรู้สึกอะไร? มันไม่มีความรู้สึกอะไร แล้วใครเป็นคนหิวล่ะ? ความรู้สึกไง จิตมันต้องการไง

ถ้าจิตมันต้องการ ถ้าสติปัญญามันไล่ไปนี่เอ็งไม่เกี่ยว เอ็งไม่ใช่ปาก เอ็งเป็นนามธรรม เอ็งไม่มีกระเพาะรับรู้ นี่พอปัญญามันไล่ไปๆ มันปล่อยหมด ความหิวนี้มันหายหมดเลยนะ หิวๆ อยู่นี่ ๗ วัน ๘ วัน เวลามันหิวกระหาย เวลาพิจารณาไปแล้วมันปล่อยหมดเลย มันโล่งหมดเลย นี่ไงรสของธรรมไง ดื่มธรรมไง พอดื่มธรรมขึ้นมา หิวกระหายแล้วมันไปไหนล่ะ? เวลามันหิวนี่หิวมากๆ เวลาปัญญามันไล่ไปเลย มันแยกแยะไปเลยอะไรหิว เส้นเลือดหิว ผิวหนังหิว กระเพาะอาหารหิว อะไรหิวไล่ไปเลย ไล่ไปเลยถ้ามีสติมีสมาธินะ มันทัน แต่ถ้าไม่มีสติสมาธินะ ก็หิวเพราะไม่ได้กินข้าวไง ก็หิวเพราะอยากได้ไง ก็ถ้าไปกินก็จบไง นี่ปัญญาแบบโลกๆไง ปัญญาแบบโลกๆ

เขาบอกว่า สิ่งมีชีวิตต้องอาศัยอาหาร ใช่ อาหาร ๔ กวฬิงการาหารอาหารคำข้าวเป็นของมนุษย์ วิญญาณาหารอาหารของเทวดา ผัสสาหารอาหารของพรหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกจิตนี่เวียนว่ายตายเกิด เกิดในชาติใดเกิดในภพใดเขาต้องดำรงชีวิตด้วยอาหาร ต้องมีอาหารในภพในชาตินั้น เกิดในภพชาติใดใช้อาหารอย่างใด ดำรงชีวิตอย่างไร อยู่ของเขาอย่างไร ถ้าจิตเราสงบเข้ามา นี่ครอบสามโลกธาตุๆ มันรู้ไปหมด มันรู้มันเห็นไปหมด แล้วมีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่มันยังเวียนว่ายตายเกิด เพราะสัมมาสมาธิจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส แล้วจะทำอย่างไรที่ไม่ให้มันครอบงำมันไปล่ะ?

นี่ถ้าเราทำจริงทำจังนะมันจะเข้าไปได้ คนที่ปฏิบัติจริงปฏิบัติจัง ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีอย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามี แล้วพระอนาคามีเป็นที่ไหน? เป็นที่ชื่อใช่ไหม? สลักหน้าผากไว้เลยฉันเป็นพระอนาคามีแต่หัวใจมันเศร้าหมอง เป็นพระอนาคามีมันเป็นด้วยหัวใจ ถ้าหัวใจมันเป็น นี่อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าควบคุมหัวใจนั้นได้ ถ้าเราควบคุมหัวใจนั้นได้ เราควบคุมหัวใจเราได้ใครจะมาชักนำเราไปได้ ใครจะมาหลอกลวงเราได้ ถ้าจิตใจเรามีจุดยืนใครจะมาหลอกลวงเราได้ แต่เพราะจิตใจเราเร่ร่อน เราอยากเป็นพระอรหันต์ เราอยากมีมรรคมีผล ใครพูดสิ่งใดก็เชื่อเขาไปๆ

กาลามสูตร พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ฟังไว้ ฟังไว้เป็นคติ เป็นคติธรรมแล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติเอาตามความเป็นจริงของเรา ให้เชื่อในการประพฤติปฏิบัติของเรา ให้เชื่อความเป็นจริงในใจนี้ ให้เชื่อสิ่งที่กระทำขึ้นมานี้ นี่ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น แม้แต่อาจารย์ก็อย่าเชื่อ ฉะนั้น เวลาเราพูดธรรมะ ใครมาหาบอกไม่เชื่อหรอก เออ เอ็งฉลาด ถ้าเอ็งเชื่อกูนี่เอ็งโง่ฉิบฉายเลย เพราะอะไร? เพราะมันเป็นวุฒิภาวะ เป็นความเห็นของกู มึงรู้อะไรด้วยล่ะ? แต่ในเมื่อคนไข้มาหาหมอ หมอก็ให้ยา บอกวิธีการ บอกต่างๆ แล้วเอ็งต้องทำขึ้นมาให้มันเป็นแบบนั้น

ธรรมะเป็นแบบนี้ พระพุทธเจ้าบอกไว้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้สงฆ์ปกครองสงฆ์กันเอง กระจายอำนาจ ให้ทุกคนมีอำนาจ ไม่ให้อำนาจไว้กับที่ใคร นี่กระจายอำนาจ แล้วสิทธิของเราล่ะ? หัวใจของเราล่ะ? เอาหัวใจฝากไว้กับใคร ทำไมเอาหัวใจไปฝากไว้คนอื่น ทำไมหัวใจไว้อยู่กับตัวเรา ทรัพย์สมบัติในบ้านดูแลรักษาอย่างดีเลย กลัวขโมยมาลักเอาไป แต่หัวใจไปแขวนไว้กับคนอื่นเลย ใครพูดอะไรก็เชื่อเขาเลย ทำไมเราเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกของเราไปไว้ที่คนอื่น ทำไมไม่เอาความรู้สึกอันนี้ไปไว้ในหัวใจของเรา ทำไมไม่เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราล่ะ? เรามีสติปัญญารักษาสิ เราพยายามพัฒนาขึ้นมาสิ

ถ้าเราพัฒนาขึ้นมา นี่พุทธศาสนาสอนที่นี่ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นี่ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราศึกษามา ใครจะศึกษามีการค้นคว้ามามากขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าจะมีมรรคมีผลต้องนั่งสมาธิภาวนา มันจะเกิดขึ้นมาจากมรรค เกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงในหัวใจ ถ้าเกิดขึ้นในหัวใจเราต้องทำเองทั้งนั้น เราหวังพึ่งก็หวังพึ่งได้บุญกุศล หวังพึ่งคนชี้นำ

ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนแสวงหา ทุกคนฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนชี้นำ ปฏิบัติอย่างไร ทำอย่างไรจะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณ อนาคตังสญาณเพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไม่เป็นที่สิ้นสุด แล้วถ้าไม่มีที่วันสิ้นสุด จิตนี้มีอวิชชามีตาบอดอยู่มันต้องไปเกิดอีกจุตูปปาตญาณ แล้วอาสวักขยญาณที่มันมาสำรอกคายกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติด้วยบารมีของท่านเอง แล้วนี่จุตูปปาตญาณ เวลาคนตายแล้วเกิดไหนๆ มันรู้ของมัน รู้โดยชัดเจน โดยตาของใจ แต่ท่านไม่พูด ท่านไม่พูด ไม่มีความจำเป็นไม่พูด ท่านจะให้เหมือนหมอเลย หมอคนเจ็บไข้ได้ป่วยมาก็ให้ยาตามนั้น ให้ยาตามนั้น แต่นี้เพียงแต่การเผยแผ่ธรรมมา ๔๕ ปีมันกว้างขวางมาก มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยมาหลากหลายมาก ก็จดจารึกมาในพระไตรปิฎก แล้วเราก็ไปอ่านกัน ไปศึกษา ไปค้นคว้ากัน แต่เราเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า แล้วเราบอกว่าธรรมะ พุทธพจน์ๆ

ใช่ พุทธพจน์ แต่ท่านพูดกับใคร ท่านพูดกับนักปฏิบัติไปอย่างหนึ่ง ท่านพูดกับศรัทธาทั่วไปอย่างหนึ่ง ศรัทธาทั่วไปก็พยายามเอาใจไว้ในตัวของเรา อย่าเอาหัวใจเราไปฝากไว้ที่คนอื่น แล้วเวลามีศรัทธาความเชื่อแล้วค้นคว้า ค้นคว้าได้ที่ไหน? ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ทำความสงบ ๔๐ วิธีการนะถ้าจิตสงบขึ้นมาแล้วจิตสงบ เพราะจิตสงบแล้วเป็นเอกเทศของเรา เป็นสิทธิ์ของเรา เป็นสิทธิ์ เป็นสิทธิ์ของใจทุกๆ ดวงนะ พุทธะ คนเราเกิดมามีพุทธะเพราะมีธาตุรู้ มีความรู้สึก นั้นพุทธะเป็นของของเรา

ถ้าของของเรา แต่เวลาความคิดไม่ใช่ของของเรา ความคิดเกิดจากพุทธะนั้น ความคิดเกิดจากพลังงาน นี่พลังงานเป็นของของเรา แล้วพลังงานนี้เวียนว่ายตายเกิดมันเป็นพันธุกรรม พันธุกรรมใครสร้างมามากสร้างมาน้อยมันก็เป็นความชอบ ความชอบความยึดมั่นถือมั่นของคนไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันพอจิตสงบแล้วก็ต้องไปแก้ตามนั้น ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาสอนกรรมฐานท่านสอนเฉพาะบุคคล คนใดก็แก้ตามนั้น เพราะเจ็บไข้ได้ป่วยมันไม่เหมือนกัน คนเจ็บไข้ไม่เหมือนกันจะใช้ยาชนิดเดียวกันรักษาได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้

นี่คนเจ็บไข้ได้ป่วยมาขนาดไหนก็รักษาอาการตามนั้น อาการตามนั้น แล้วถ้าใครติดขัดก็พยายามดึงออกมา ถ้าใครลุ่มหลงไปเลยก็ชักกลับมาให้เข้าสู่มรรค ถ้าใครยังทำความสงบของใจไม่ได้เลย เขายังไม่มีสิทธิ์เลยเพราะตัวของเขาเองเขาไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าเขาทำความสงบของใจของเขาไม่ได้ เหมือนกับสิทธิเลือกตั้ง อายุไม่ถึงไม่มีสิทธิ์เลือก นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตทำความสงบของเขาไม่ได้ วุฒิภาวะของเขาไม่ถึง เขาทำความสงบยังไม่ถึง เขาไม่สามารถจะแสวงหา เขาไม่สามารถจะชำระคายของเขาออกไปได้เพราะเขาหาใจเขาไม่เจอ เขาไม่มีสิทธิ์ เขาคนต่างด้าว เขาไม่มีสิทธิ์ในประเทศนี้

นี่ก็เหมือนกัน ชาวพุทธๆ หาใจของตัวเองไม่เจอ ทำสมาธิไม่เป็น เอาสิทธิอะไรมา เอาสิทธิของโลกไง สิทธิของโลกคือสิทธิความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์เกิดมาเพราะมีเวรมีกรรมถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็อ้างสิทธิเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องตายหมด เพราะอันนี้เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม เพราะมีพันธุกรรม กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสะระโณ มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เพราะเราทำมา เราทำของเรามาเราถึงมานั่งกันอยู่นี่ แล้วเพราะอันนี้เป็นบุญกุศลแล้วมันจะหมดไป หมดไปเพราะเวลาอายุขัยมันหมดไป นี่อ้างสิทธิความเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้อ้างสิทธิความเป็นธรรม

ถ้าสิทธิความเป็นธรรม จิตมันสงบแล้วความเป็นธรรมเพราะอะไร? เพราะเรารู้ มันเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม เห็นไหม เป็นสิทธิ์เพราะมันถูกต้องและดีงาม ตรัสรู้เองโดยชอบ บรรลุธรรมโดยชอบ แต่ปัจจุบันนี้บรรลุธรรมโดยจินตนาการ บรรลุธรรมโดยสัญญาอารมณ์ เพราะอะไร? เพราะอ้างอิงๆ นี่ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนเราไว้ ถ้าเราจะจริงจัง ทำสิ่งใดให้ความเป็นจริง เราจะได้จริงขึ้นมา สมมุติบัญญัตินะ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นบัญญัติ สมมุติคือคำพูดสมมุติของเรา แล้วถ้าบัญญัติไว้ นี่บัญญัติเป็นบาลี

นี่สมมุติบัญญัติๆ มันเป็นสมมุติบัญญัติ เราไม่จริงเราก็ลูบๆ คลำๆ ทำสักแต่ว่า แล้วก็มีแต่เอาลมปากมาโม้กัน แต่ถ้าเราทำจริงๆ ทำจริงเพื่อหัวใจ หัวใจจะสื่อกับใครล่ะ? หัวใจจะสื่อกับครูบาอาจารย์นะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้ามันสื่อออกมา คนเคยผ่าน เคยเป็นมันฟังออก มันรู้หมดแหละ คนไม่เคยผ่านไม่เคยเป็นมันก็โม้ไง โม้ไง สัญญาอารมณ์ทั้งนั้น แต่เป็นสัญญาอารมณ์ เห็นไหม สิ่งนั้นเพราะเขาทำไม่จริง ทำไม่จริงเป็นแบบนั้น ทำไม่จริงคือลูบๆ คลำๆ ทำแบบลูบๆ คลำๆ แล้วเราก็เป็นวัฒนธรรม เป็นประเพณีวัฒนธรรมเท่านั้น

ถ้าคนทำจริงรสชาติมันเข้มข้น มันซาบซึ้ง มันออกมาจากใจ ก็ใจเท่านั้นมันเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี่ แต่ไม่ดูแลมัน มันถึงไปตะครุบเงา เอาแต่ความรู้สึกนึกคิดของมัน แต่ถ้ามันสำรอก มันคายของมัน นี่ทำจริงๆ มันจะได้ของจริงไง เพราะทำไม่จริง ถ้าทำจริงมันต้องได้จริง แล้วสิ่งที่เราทำอยู่นี่ สมมุติบัญญัติมันเป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรม เห็นไหม วัฒนธรรมของชาวพุทธ วัฒนธรรมของท้องถิ่น มันจะมีวัฒนธรรมพื้นถิ่นทั้งนั้นแหละ

นี่ก็เหมือนกัน อริยประเพณีก็ประเพณีของพระอริยเจ้า ท่านทำของท่านอย่างนั้น ฉะนั้น เรามาแล้วเรามาทำบุญกุศล แม้แต่จะต้องปีนบันได ปีนบันไดนะ เพราะสิ่งนี้เรามองแล้ว แหม มันวุ่นวาย มันไม่มีค่าอะไรเลย ของเล็กน้อย นั่นแหละ นี่มันทำเล่น ทำเล่นไง เอาความสะดวก เอาความสบาย กิเลสตัวใหญ่ๆ ตัวอ้วนๆ ใครมาก็ต้อนรับขับสู้กันด้วยกิเลสไง ต่างคนนี่สบายดีไหม? สบายดีหมดแหละ ไม่กล้าพูดกลัวมันจะขายหน้า แต่ถ้าเป็นความจริงเหมือนจะต้องปีนบันได เห็นว่าของเล็กน้อย ที่นี่ทำอะไรก็วุ่นวายไปหมดเลย นั่นล่ะเขาจะให้ทุกคนสำนึกของตนเอง

สำนึกของตนเองมันเป็นสิทธิ์ไง มันเป็นสิทธิ์ของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเป็นฝ่ายพลาฯ เป็นฝ่ายแสวงหาบุญกุศล ภิกษุ ภิกษุณีเป็นนักรบ นักรบรบกับอะไร? รบกับกิเลสของตัว ถ้าทำความจริง ทำจริง ทุกคนทำหน้าที่ตามหน้าที่ทำจริงแต่ละหน้าที่ของคน ศาสนานี่มันจะตรวจสอบกัน แล้วมันจะเจริญงอกงามไปทุกๆ ส่วนเลย แต่ถ้าทำเล่นๆ นะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาก็มานั่งสุมหัวกัน ปฏิสันถารๆ ธรรมะฝากไว้ในตู้พระไตรปิฎก แล้วก็เปิดหัวใจตนไม่เป็น เพราะว่าตู้พระไตรปิฎกก็ศึกษามาเป็นวิธีการ เวลาจะเปิดพระไตรปิฎกก็เปิดจากหัวใจ เพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ เปิดออกมาด้วยปัญญา

นี่มันจะเกิดความงอกงาม หน่อของพุทธะมันจะเกิด มันมีคุณงามความดีไปหมดเลย ถ้าทำจริงจะได้ของจริง ทำเล่นจะได้ของเล่น เอวัง