เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ก.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะ เวลาฟังธรรม ฟังธรรมคือสัจจะ สัจจะความจริง ความจริงมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด สัจจะความจริงเรามองได้แต่ทางโลกๆ เขาบอกตอนนี้เขากินเจกัน กินเจเพื่อสุขภาพไง ถ้ากินเจ กินผักกินหญ้า กินผักกินหญ้าเพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง พอร่างกายแข็งแรง สิ่งนี้เป็นคุณงามความดี

คุณงามความดีของเขา โลกเขาเห็นของเขาอย่างนั้นก็เป็นความดีของเขา แต่เวลาความดีแล้ว ทางโลกเขาก็ตีมูลค่าเป็นเศรษฐกิจ ถ้ามันมีการกินเจ มีเงินหมุนเวียนเป็นหมื่นๆ ล้าน แต่ถ้าเขาไม่กินเจแล้วเงินไม่หมุนเวียนหรือ มันก็หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เขาตีเป็นค่า นี่ค่าทางโลกของเขา แต่เวลาทางที่เขากินเจเขาบอกว่า ถ้ากินเจจะให้สะอาดบริสุทธิ์ต้องรักษาหัวใจด้วย ถ้าทำใจให้สะอาดบริสุทธิ์มันจะได้บุญเต็มๆ ไง บุญของเรา เรามากินผักกินหญ้า กินผักกินหญ้าเพื่อละชีวิตของคนอื่นเขา แล้วเรากินเพื่อสุขภาพร่างกายของเรา แล้วถ้าเรารักษาหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันดีขึ้น เรากินเจด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ด้วยหัวใจ ถือศีล กินเจ

ฉะนั้น ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดถึงเวลาอาหารอันบริสุทธิ์ ถ้าอาหารบริสุทธิ์ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง สิ่งที่เราไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง เจาะจงเฉพาะเรา ให้ทำตัวเป็นผู้เลี้ยงง่าย สิ่งใดก็ได้ที่มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจของเรา

เขาบอกว่ากินเจเพื่อมีบุญกุศลต้องให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ จิตใจต้องมีศีลมีธรรมขึ้นมาเพื่อหัวใจ

สิ่งใดๆ ก็มุ่งสู่ใจทั้งนั้นแหละ มุ่งสู่ความสุข ความสงบ ความระงับความจริงอันนั้น แต่ความสุข ความสงบ ความระงับ ความจริงอันนั้นลูกศิษย์กรรมฐาน ถ้าลูกศิษย์กรรมฐานไม่ถือมงคลตื่นข่าว สิ่งใดที่เขามีความสนุกรื่นเริงกันทางโลก ถ้าผิดศีลผิดธรรมของเรา เราจะไม่ทำ มีการละเล่น มีการฟ้อนรำที่ไหน เขามีมหรสพสมโภช เราถือศีล ๘ เราก็ไม่ไปกับเขา เราไม่ไปกับเขา สุขภาพเราก็ดีอยู่แล้ว เราไม่เสียเงินเสียทองด้วย แล้วจิตใจของเราไม่ต้องไปซึมซับสภาพสิ่งต่างๆ ให้มันมาเศร้าหมองด้วย

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติกันขึ้นมา เราก็บอกว่าถือพรหมจรรย์ๆ มันแห้งแล้งๆ

มันแห้งแล้งมาจากไหนล่ะ แห้งแล้งเพราะอะไร เพราะกิเลสมันขับไส กิเลสมันโต้แย้ง กิเลสมันแสดงตัว กิเลสมันจะเอาแต่ตามใจตัวของมัน แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันแห้งแล้งที่ไหน มันมีแต่ความสุขไง “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

จิตสงบ จิตสงบระงับ ความสุข เห็นไหม เราไปแสวงหาความสุขต่างๆ ขึ้นมาก็เพื่อว่าจะเป็นความสุขของเรา ถ้าความสุขของเรา สุขนั้นมันสุขมาจากไหน

ทางโลกเรา ดูระบบเศรษฐกิจ เราทำสิ่งใดก็เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าประสบความสำเร็จในชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นะ เตือนสติไว้ตลอดเวลา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งที่เราแสวงหามาเพื่อชีวิตนี้ เพื่อโลกปัจจุบันนี้ เห็นไหม สุคโตๆ ปัจจุบันเป็นสุข อนาคตมันก็จะเป็นสุขไง ถ้ามันแสวงหามาเพื่อปัจจุบันนี้ๆ แล้วปัจจุบันนี้ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วจะมีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราไปล่ะ

มันสมบัติสาธารณะนะ ถ้าสมบัติสาธารณะ ถ้าเราใช้สอยเพื่อประโยชน์กับเรา เราก็ได้เพื่อประโยชน์กับเรา เราไม่ใช้สอยเพื่อประโยชน์กับเรา สิ่งนี้ก็ต้องตกไปสู่ทายาท สู่ทายาทของเรา เราก็ต้องตายของเรา เวลาเราตายไป สมบัติสาธารณะที่หาไว้ เวลาเกิดมามีบุญกุศล มีเชาวน์มีปัญญา ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จของเรา เราเกิดมาแล้วขาดตกบกพร่องของเรา ทำสิ่งใดมันก็ขาดตกบกพร่องของเรา นี่กรรมเก่า

กรรมเก่าคือการกระทำมา มันมีที่มาที่ไปไง ต้นทุนๆ ต้นทุนการเกิด เวลาคนเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเหมือนกัน เกิดมาแล้วมีสภาพเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราต้องมีสิทธิเสมอภาคของเราไง นี่ต้นทุนของการเกิด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด ดีเพราะการกระทำต่างหากล่ะ คนเราไม่ได้ดีเพราะชาติดี เพราะการเกิด ถ้าคนเกิดดี ผู้ที่เขามีชาติมีตระกูลของเขา ลูกหลานเขาต้องเป็นคนดีทั้งหมดสิ ลูกหลานของเราดีก็มี ถ้ามันมีเวรมีกรรมของเขา เขาก็ผิดพลาดของเขาไปมันก็มี แต่ถ้ามีการกระทำนะ คนทุกข์คนเข็ญใจ คนที่มีเขามีวาสนาบารมีของเขา ถ้าเขากระทำดี เขาทำคุณงามความดีของเขา คนเราดีเพราะการกระทำ การกระทำ เห็นไหม

ถ้าเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีลของเรา ศีลเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ศีลของเรา เรามีเจตนา เจตนาเราดี จะทำผิดพลาดสิ่งใดไป กรรมเก่า-กรรมใหม่ เราจะไม่ทำสิ่งผิดพลาดอะไรเลย เพราะเรายังขาดสติอยู่ สติเรายังไม่สมบูรณ์ เราก็จะมาศึกษากันอยู่นี่ไง เรามาศึกษา เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ไง เราจะค้นเพชรนิลจินดาจากหัวใจของเรานี่ไง เขาค้นหาเพชรนิลจินดาจากสังคม จากโลก จากร้านค้า สิ่งนั้นมันก็เป็นธุรกิจของเขา ดูสิ เวลาการโฆษณาประชาสัมพันธ์ พอเราเห็นแล้วเราก็อยากได้อยากดีไปกับเขา แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา จำเป็นหรือ ความดีๆ มันอยู่ที่นี่

ดูสิ เขาบอกว่า เขาต้องสังคมๆ เขาต้องผิดศีลบ้างเพื่อสังคมของเขา

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ สังคมขนาดไหน ใครๆ ก็แย่งกันอังคาสด้วยมือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แย่งกันๆ นะ แย่งกันต่อเมื่อคนที่เขามีศรัทธาความเชื่อนะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอยู่กับพราหมณ์ พราหมณ์เขานิมนต์ไว้จำพรรษา แล้วมารดลใจให้เขาลืมซะ แล้วข้าวยากหมากแพงด้วย ไม่มีใครใส่บาตรเลย

พระอานนท์ไปบิณฑบาตมานะ เห็นไหม “ภิกษุทำของดิบให้สุกเองไม่ได้” พอดีเขาเลี้ยงม้ามา หน้าฝนเขาก็พักไว้ ฉะนั้น เขาคิดในใจของเขาไงว่าพวกพราหมณ์เขาให้ม้าเขากินวันละเท่าไร ภิกษุมาบิณฑบาตเขาก็ให้เท่านั้น กินข้าวกล้องไง เขาเตรียมข้าวกล้องมาให้ม้าของเขา เขาให้ภิกษุ ๑ แล่งเท่ากัน พระองค์หนึ่งก็ให้ ๑ แล่งก็ฉันอิ่ม นี้ภิกษุทำอาหารสุกเองไม่ได้ พระอานนท์มานะ เอาหินมาบด บดให้ข้าวเป็นแป้ง ให้เป็นผง แล้วถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ฉันอย่างนั้น

พระโมคคัลลานะทนไม่ไหว ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเหาะไป จะเหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าแล้วพระที่เขาไม่มีฤทธิ์ทำอย่างไรล่ะ

ผมจะจับมือ จะจับมือต่อๆ กัน แล้วผมพาเหาะไปให้หมดเลย นี่พูดกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วถ้าอย่างนั้นมันทำแล้วผิด ไม่ให้ไป ไม่ให้ไป พระโมคคัลลานะขออีก ขอจะพลิกทวีปเลย

แล้วประชาชนอยู่นี่ทำอย่างไร

ผมจะเอามือผมแผ่ออกมาเป็นทวีปเลย แล้วเอาประชาชนวางไว้บนมือผมก่อน แล้วผมก็จะพลิกทวีปขึ้นมาเพื่อกินง่วนดิน กินดินสอพอง

พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่อนุญาต ทนเอาๆ ไง

นี่พูดถึงว่าใครๆ ก็แย่งกันอังคาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยมือ ใครๆ ก็แย่งกันจะทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลากรรมมันให้ผลอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ ทำอย่างไรก็ไม่ให้ ฉันข้าว ฉันแป้ง ว่าอย่างนั้นเถอะ บดให้มันแห้ง ใช้หินบด แล้วมาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พรมน้ำเอา ทำให้สุกไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ ออกพรรษาแล้ว พราหมณ์ที่นิมนต์ไว้นึกได้ ไปขอขมาลาโทษองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปขอขมาลาโทษนะ แล้วนิมนต์ไปฉันในวังของเขา นี่เวลากรรมมันให้ผล เราจะบอกว่าเราจะสมบูรณ์พูนผลอยู่ตลอดเวลามันเป็นไปได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระนะ เวลาพระไปวิเวกกลับมา ไปโดนผีหลอกมา ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปขอของดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ระลึกถึงพุทโธ ให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายังสู้ผีไม่ได้ให้นึกถึงธัมโม ถ้ายังสู้ผีไม่ได้ให้นึกถึงสังโฆ แล้วให้กลับไปใหม่ ให้กลับไปอยู่ป่าใหม่ ให้กลับไปอยู่ป่าใหม่

เวลาใครทุกข์ใครยาก ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยพุทธกาล อยู่ในพระไตรปิฎกทั้งนั้นแหละ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ทำมาๆ ทำเพื่อใคร? ทำเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เราจะได้ทรัพย์สมบัติมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราได้สมบัติมาก เราทำบุญกุศลของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา

ทำคุณงามความดีเพื่อคุณงามความดี ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดีแน่นอน แต่ทำผิดพลาดสิ่งใด เวลากรรมมันให้ผลมันต้องเป็นแบบนั้น ถ้าให้เป็นแบบนั้นนะ เรามีสติมีปัญญายับยั้ง แล้วมีสติปัญญาทำคุณงามความดีของเรา เราไม่ไหลไปกับมัน

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เป็นพระอริยบุคคล พระโสดาบันไม่ถือมงคลตื่นข่าว จะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ดูสิ เวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐี เวลาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลมากมายมหาศาลเลย เวลาน้ำท่วมไง สมัยโบราณเขายังไม่มีธนาคาร ข้าวของเงินทองใส่ไหแล้วฝังไว้ในดิน น้ำเซาะไปหมดเลย มันก็หมดน่ะสิ พอหมดขึ้นมา พวกเทวดาที่อยู่ซุ้มประตู “ทำบุญมาก ว่าทำบุญได้บุญ ตอนนี้ทำบุญจนไม่มีจะกินแล้ว”

เพราะจากเศรษฐีนะ คนจนในอินเดียสมัยโบราณเขากินข้าวกับน้ำผักดอง น้ำผักดองกับข้าวกินด้วยกัน “ทำบุญๆ ได้บุญอย่างไร” จะยุแหย่ไง อนาถบิณฑิกเศรษฐีนิ่ง ไม่สน ถึงเวลาพระอินทร์ไปบังคับให้เทวดาที่ไปเพ่งโทษอนาถบิณฑิกเศรษฐีต้องไถ่โทษของตัวเอง พอไถ่โทษของตัวเอง ไปเอาสมบัติที่มันลอยไปกับน้ำ เอาคืนกลับมาให้อนาถบิณฑิกเศรษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐีกลับมาร่ำรวยเหมือนเดิม

เวลามันทุกข์มันยากมันมี พระอริยบุคคลทุกข์ยากขนาดไหนเขาไม่ไหลไปกับกระแสโลก ไม่ไหลไปกับกระแสโลกเพราะอะไร เพราะว่าเขามีอริยทรัพย์ เขามีจิตใจของเขา เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา ถ้าหลักเกณฑ์ เราทำอย่างไร ของเราลุ่มๆ ดอนๆ ลุ่มๆ ดอนๆ จิตใจเรายังเป็นปุถุชน จิตใจเรายังเร่ร่อนอยู่ เวลาความทุกข์กระทบเราก็ไหลไปกับความทุกข์นั้นเลย เวลามีความทุกข์มา “เห็นไหม ทำดีแล้วได้ดีที่ไหน ทำดีๆ ไม่เห็นได้ดีเลย”

ทำดีมันต้องได้ดีอยู่แล้ว หนึ่ง มันสะอาดบริสุทธิ์กับเราไง ถ้าเราทำคุณงามความดี ใครจะชี้มาว่าเราทำชั่วล่ะ มันจะทำชั่วอย่างไร มันก็โลกธรรม ๘ คือนินทา คือเขาใส่ความ ถ้าใส่ความก็เรื่องของเขา เพราะความจริงก็คือความจริง ความจริงสักวันมันต้องเจอแน่นอน ความจริงมันต้องพิสูจน์ได้แน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้นแหละ ขอให้เราจริงเถอะ

ทีนี้จิตใจปุถุชนเรายังไม่จริง เราก็มีความทุกข์ไง “โอ้โฮ! ทำดีแล้วทุกข์ขนาดนี้ ทำดีแล้วทุกข์ขนาดนี้”

ทำดี ถ้าทำดีแล้วทุกข์ขนาดนี้นะ ถ้าไม่ทำมันมากกว่านี้อีก เพราะว่าถ้าเราไม่มีคุณงามความดีเป็นหลักประกัน เวลาเขาบอกคนนี้เลวๆ เขาเชื่อหมดเลย เพราะเราเลวจริงๆ เราทำอยู่แล้ว พอชี้มาก็เห็นใช่ไหม ถ้าเราทำดีๆๆ ของเรา ใครบอกคนนี้เลวๆ คนมันต้องเห็นน่ะ “เอ๊! เขาว่าคนนี้มันเลว ทำไมมันดีล่ะ” เห็นไหม ความดี ความสุจริตมันคุ้มครอง

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะมันคุ้มครองเรานะ ถือศีล ผู้ถือศีล ศีลสะอาดบริสุทธิ์ ศีลธรรมจะคุ้มครองเรา คุ้มครองด้วยสัจจะ คุ้มครองด้วยความจริง แต่ไม่ได้คุ้มครองปากของคน ปากของคนคุ้มครองมันไม่ได้ ปากของคนมันจะพูด เกิดมามันมีขวานมาเล่มหนึ่ง มันถากเขาไปทั่ว มันก็จะถากคนอื่น แต่มันไม่ถากกิเลสมันนะ เวลากิเลสมันไม่รู้จักดู กิเลสมันไม่รู้จักแก้ไข แต่มันเที่ยวจะไปถากคนอื่น จะเอาชนะคนอื่น นี่ไง เวลาจิตใจมันส่งออก เห็นไหม

ถ้าเราทำคุณงามความดี นี่ลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์กรรมฐานนะ โลก เราอยู่กับโลกโดยที่ไม่หวั่นไหวไปกับโลก เราก็ต้องอยู่กับโลก มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์แยกอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก พระที่ว่าเก่งๆ ออกไปอยู่ป่าอยู่เขา ถ้าครูบาอาจารย์อยู่ป่าอยู่เขาแบบพระอัญญาโกณฑัญญะท่านก็อยู่เขาตลอดชีวิตเลย อยู่ป่าอยู่เขาแล้ว ดูสิ เวลาความเจริญมันเข้าไป เราไปอยู่ป่าๆ ความเจริญมันเข้ามาเอง ไม่ได้ไปหาเขา เขามา

ถ้าไปหาเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขามา มันเป็นความจริงว่าเขาต้องมา เขามาของเขาเพราะอะไร? จิตใจมันเรียกร้อง จิตใจทุกคนก็ต้องการความดีใช่ไหม จิตใจทุกคนเวลาทำบุญกุศลก็อยากให้ทรัพย์สมบัติของตัว ได้คุณงามความดีของตัว ถ้าคุณงามความดีของตัวมาจากไหนล่ะ ถ้ามันมาลงใจที่ไหน เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าควรทำบุญที่ไหน

“ควรทำบุญที่เธอพอใจ ถ้าเธอพอใจ” เพราะกิเลสมันร้ายนัก ถ้ามันศรัทธามันมีความเชื่อ มันพอใจ มันอยากทำ พอมันอยากทำ เลือกไปเลือกมามันไม่ทำเลย

“ควรทำบุญที่ไหน”

“ควรทำบุญที่เธอพอใจ ที่พอใจ ที่ศรัทธาเอาที่นั่นเลย”

“แต่ถ้าผลล่ะ” เขาถามพระพุทธเจ้า “แล้วจะเอาผลล่ะ”

ผลก็ต้องวัดกันที่เนื้อนา ถ้าเนื้อดินมันดี พืชผลมันก็เจริญงอกงาม นี่พูดถึงว่าควรทำบุญที่ไหน ควรทำบุญที่เธอพอใจ เราทำบุญของเรา การเสียสละนี้เป็นวัตถุ แต่สิ่งที่ได้มาคือนามธรรม สิ่งที่ได้มาคือหัวใจอันยิ่งใหญ่ หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่แข็งแรง

ถ้าหัวใจที่มันอ่อนแอ หนึ่ง มันสละไม่ได้อยู่แล้ว มันอ่อนแอ มันไม่มีที่พึ่ง มันยืนตัวเองไม่ได้ ตัวเองรักษาตัวเองไม่ได้แล้วมันจะไปสละทานอย่างไร แต่ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งนะ คนที่เป็นบุญกุศล ดูสิ เศรษฐีสมัยพุทธกาลเขาวัดกันที่หน้าบ้าน หน้าบ้านจะมีโรงทาน ใครเป็นเศรษฐีเขาจะมีโรงทานหน้าบ้าน เขาวัดกันที่การเสียสละ เขาวัดกันที่ใครจิตใจกว้างขวาง ที่เสียสละ เศรษฐีสมัยพุทธกาลเขาวัดกันที่นั่นนะ ใครเป็นเศรษฐีเขาจะมีโรงทานหน้าบ้าน คนทุกข์คนจนคนเข็ญใจเขาได้มาพึ่งพาอาศัย เขาวัดกันที่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ เขาวัดกันจิตใจที่เป็นธรรม เขาวัดกันที่นั่น

ฉะนั้น ถ้าเศรษฐีสมัยพุทธกาลเขาทำอย่างนั้น ในสมัยปัจจุบันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เราทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าใครทำได้ เขาทำเพื่อประโยชน์กับเขา ใครมีปัญญา ใครแสวงหาสมบัติของตัวได้อย่างไรจะได้อย่างนั้น นี่พูดถึงว่าฟังธรรมๆ นะ

โลกเขาปรารถนาคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ แต่ความดีของคน ดูสิ วุฒิภาวะของคนสูง ต่ำ ถ้าสูงมันก็ทำ ดูพระเราสิ เขาบอกว่าพระเอาเปรียบมากเลย นั่งอยู่โคนไม้ไม่เห็นทำอะไรเลย

โอ้! เอาหัวใจไว้นี้สุดยอด เพราะถ้าเอาหัวใจของตัวเองไว้ไม่ได้ จะไปสอนเขาได้อย่างไร แล้วถ้าไม่มีมรรคญาณ ไม่มีมรรคสามัคคี ไม่มีการกระทำ จะไปบอกเขาอย่างไร

เวลาหัวใจ เวลากิเลสมันเหยียบย่ำ เวลากิเลสมันมีกำลัง พระเวลาบวชใหม่ๆ บวชใหม่ๆ ก็มาจากโยมนั่นล่ะ พระก็มาจากฆราวาส พอบวชมา จิตใจก็จิตใจฆราวาส มันเป็นแต่ว่าเป็นสมมุติสงฆ์ ได้บวชมาเป็นสถานะของพระ ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่จิตใจมันยังมีกิเลสอยู่นี่ ไปนั่งอยู่โคนไม้หัวใจมันจะระเบิด มันนั่งไม่ติด ที่มันนั่งอยู่โคนไม้ๆ มันนั่งง่ายหรือ

แต่ถ้ามันทำได้ พอทำได้ รั้งหัวใจได้มันจะเห็นโทษแล้ว ถ้ามันเครียด มันฟุ้งซ่านเป็นแบบนี้ เรามีสติ เรายับยั้งมัน เราฝืนมันเป็นแบบนี้ เพราะประสบการณ์อันนั้น เป็นสมาธิเป็นอย่างไร ถ้ามันมีปัญญา ปัญญาอย่างไร เอาอันนั้นแหละ

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนี้มันทุกข์ยากขนาดนี้ ใจดวงนี้มีการกระทำขนาดนี้ แล้วใจของโยมจะเป็นอย่างไร ใจของโยมมันก็ทุกข์ยากอย่างนี้ เวลาเขาทำ เวลาเขามีประสบการณ์อย่างไร เขาทุกข์ยากอย่างไร คอยบอกเขา ถ้าตรงนี้ๆ เป็นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเรามีประสบการณ์ เพราะเราเคยเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา แล้วใจของเรามันก็คึกคะนองเหมือนกัน ยิ่งมีคนมาส่งเสริม ยิ่งมีคนมาสรรเสริญนะ ว่าวเชือกขาดเลย มันควบคุมไม่ได้ มันไปเลยนะ

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญาของมันนะ โลกธรรม ๘ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นั่นเป็นสมบัติของเขา เขามาทำบุญกุศลนั่นก็บุญของเขา เราเป็นเนื้อนา ได้แต่ฟางข้าว ใครทำบุญแล้วเขาก็เก็บเกี่ยวเอาแต่ข้าวของเขาไป ไอ้ข้าวที่ตกอยู่ที่นา เราได้แค่นั้นน่ะ เขาทำบุญกุศลก็บุญของเขา ถ้ามีสติมีปัญญามันจะยับยั้งอย่างนี้

แล้วจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ก็ใจดวงนี้แหละ มันทำอย่างนี้แหละมันถึงจะบอกเขาได้ ถ้ามันไม่ทำอย่างนี้ เวลาเขาถามนะ อ้างพระไตรปิฎก ตำราว่าอย่างนั้น แล้วตำราว่าอย่างไรล่ะ อืม! ก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกันตำราว่าอย่างนั้นนะ ตำราว่าอย่างนั้นน่ะ แล้วว่าอย่างไรล่ะ ก็ตำราว่าอย่างนั้น เพราะมันไม่มีคุณธรรมในใจไง

ทำมาเพื่อใจนี้ ทำมาเพื่อเรา ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนสติเรา เตือนสติเรา เราทำเพื่อคุณงามความดี ความดี ดีนอก-ดีใน ดีนอกคือกระแสสังคม ดีในคือดีในหัวใจของเรา จะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาองค์เดียว สตฺถา เทวมนุสฺสานํ สอนทั้ง ๓ โลกธาตุ เอวัง