เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ พ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ หัวใจต้องการคุณธรรมไง ฟังธรรมะเพื่อปลุกปลอบหัวใจนะ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าเวลาฟังธรรมแล้วขนลุกขนพอง นั่นล่ะคนนั้นมีวาสนา มีวาสนาเพราะมันทิ่มแทงหัวใจไง แต่ถ้ามันฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นน่ะ ฟังธรรมอย่างนั้นมันฟังแบบว่าน้ำรดหัวตอ ถ้าน้ำรดหัวตอมันจะไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดเลย

เวลาเราทำบุญกุศล สิ่งที่ทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา ถ้าเพื่อหัวใจของเรา เขาบอกว่ามาวัดมาวามีแต่คนสูงอายุ สังคมสูงอายุๆ สังคมสูงอายุมันมาจากไหนล่ะ มันมาจากผู้ที่ผ่านราตรีมาไง ผ่านวันผ่านคืนมามันถึงจะมีอายุขัยขึ้นมา ถ้ามีอายุขัยขึ้นมา เป็นผู้มีประสบการณ์ในชีวิตต่างหาก ถ้าผู้มีประสบการณ์ในชีวิตนะ ในทางโลกเวลาเขาสมัครงานกัน เขาต้องการผู้มีประสบการณ์เพื่ออะไร เพื่อเขาจะได้ทันโลก

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่มีประสบการณ์ๆ มันเป็นขยะ มันเป็นขยะในหัวใจ ถ้าเป็นขยะในหัวใจ สิ่งที่ขยะในหัวใจ ถ้าเราไม่รู้สิ่งใดเลยมันก็สบายใจ ถ้ามันรู้สิ่งใดขึ้นมา เรารู้ๆ แต่เรารู้แล้วถ้าเราเอามาใช้เป็นประโยชน์กับเราไง เราใช้เป็นประโยชน์กับเรา

ชีวิต ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาเกิดขึ้นมา เวลาเด็กน้อยขึ้นมา วัยทำงาน วัยรุ่น ชีวิตมันแจ่มใสมาก ชีวิตมันมีโอกาสมาก มันเพ้อฝันของมันไปไง ถ้าคำว่า “เพ้อฝัน” เพ้อฝันมันไม่เป็นความจริง

แต่ถ้าเขาทำหน้าที่การงานของเขา ประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา เขาเป็นความจริงของเขา แล้วความจริงของเขา คนก็ปรารถนาประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งนั้น ถ้าคนปรารถนาความสำเร็จในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตของเขาก็มีคุณค่า ชีวิตของเขาก็มีความสุข

ถ้าคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา ชีวิตของเขาก็มีคุณค่าเหมือนกัน ชีวิตเขามีคุณค่าเหมือนกัน คนเหมือนกัน แต่ทำไมเขามีแต่ความทุกข์ล่ะ มีแต่ความทุกข์ความเผาลนในหัวใจล่ะ ความทุกข์ความเผาลนในหัวใจ สิ่งนั้นมันก็คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง แล้วเวลาคนประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่เขามีความสุขของเขามันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากหรือเปล่าล่ะ

มันเป็นบุญกุศลมันก็เป็นกิเลสเหมือนกันนั่นแหละ แต่มันเป็นบุญกุศล เป็นคุณงามความดี แต่เวลาบาปอกุศล เวลาสิ่งที่ให้เกิดขึ้นมามันมีแต่ความเผาลนในหัวใจมันก็เป็นบาปอกุศล มันก็ชีวิตเหมือนกัน ชีวิตมีคุณค่าเหมือนกัน ถ้าชีวิตมีคุณค่าเหมือนกัน เพียงแต่เราจะใช้ข้อมูลสิ่งใดมาเป็นประโยชน์กับชีวิตของเราไง

ถ้าเราใช้ข้อมูลสิ่งใดเป็นประโยชน์กับชีวิตเรา มันเตือนเรานะ มันเตือนเรา เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ในวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธเรา พอแก่พอเฒ่าขึ้นมา เราไปวัดไปวากันเพื่อเตรียมตัว เราทำเพื่อสมบัติของเรา ชีวิตของเรา เราผ่านชีวิตของเรามา ตั้งแต่เกิดมาทำหน้าที่การงานมาตลอดชีวิต แล้วตลอดชีวิตแล้วเราต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า เราจะมีสิ่งใดเป็นเสบียงกรังของเราไปไง แล้วพูดอย่างนี้เขาก็บอกว่าศาสนาพุทธก็เขียนเสือให้วัวกลัว ถ้าพูดถึงชาติหน้า ชาตินู้น ชาติต่อๆ ไป

ถ้าชาติหน้า ชาตินู้น จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นสิทธิ์ เป็นสิทธิ์เลย จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ถ้าเราศึกษากัน เราประพฤติปฏิบัติกันตามความเป็นจริง เวลาคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา เขาทำสิ่งใดมา เขาทำสิ่งใดมาชีวิตของเขาถึงราบรื่นขนาดนั้น เราทำสิ่งใดมา ชีวิตเกิดมาเหมือนกัน ทำไมเราทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ ประชาธิปไตยเราก็ต้องการความเสมอภาคๆ ความเสมอภาคเป็นคนบัญญัติขึ้นมาไง แต่กรรมมันให้ผล เวลากรรมให้มา ดูสิ เราไม่ชอบ ประชาธิปไตยเราไม่ชอบ แต่เขาบังคับให้ชอบ ไอ้เราชอบก็บอกบังคับให้ไม่ชอบ ประชาธิปไตยหรือ

มันเป็นบุญเป็นกรรมที่เราสร้างของเรามา ถ้าเราสร้างของเรามา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนบุพเพนิวาสานุสติญาณ สิ่งที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต่อยอดมาตั้งแต่พระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมา สร้างคุณมา เสียสละมาทุกภพทุกชาติขึ้นมาเพื่อปรารถนา ปรารถนาเพื่อจะเป็นศาสดาไง

เราเป็นสาวก-สาวกะได้ยินได้ฟัง ผู้ที่มีร่องมีรอยให้เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ คือไฮเวย์ คือถนนอันเอก มัคโค ให้เราก้าวเดินไป เราก้าวเดิน เราไปตามชีวิตแบบนี้ หรือเราจะก้าวเดินตามชีวิตของเราไปแบบวิทยาศาสตร์ ไปแบบโลกที่เขาว่ากัน แล้วก็บอกว่าเขียนเสือให้วัวกลัว เขียนเสือให้วัวกลัว

เขียนเสือให้วัวกลัว เวลาพูดมันก็พูดแต่ปาก แต่เวลาพูด นักปฏิบัติขึ้นมาเขาวัดกันด้วยภูมิธรรม วัดกันด้วยภูมิธรรม ทำสมาธิได้ไหม ทำสมาธิแล้วทำไมมันลุ่มๆ ดอนๆ ทำไมพวกที่ขิปปาภิญญาเขาฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเขาถึงเป็นพระอรหันต์ไป ไอ้เราฟังครูบาอาจารย์ พระไตรปิฎก ไม่ได้ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว มันก็มีธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เย ธมฺมาฯ ที่ว่าพระสารีบุตรฟังพระอัสสชิทีเดียวก็เป็นพระโสดาบัน ไอ้เราก็ท่องปากเปียกปากแฉะ พระไตรปิฎกก็อ่านจนทะลุเลย แต่ทำไมเขาฟังหนเดียวเขาเป็นพระอรหันต์เลยล่ะ พระสารีบุตรฟังพระอัสสชิทีเดียวเป็นพระโสดาบันเลยล่ะ เป็นเพราะอะไรล่ะ เป็นเพราะเขาสร้างของเขามา เห็นไหม นี่ไง เวลาปฏิบัติเขาวัดกันตรงนี้ไง วัดกันตรงนี้

ประชาธิปไตยๆ เราก็ว่าประชาธิปไตย เราก็เรียกร้องเอา

ใครทำใครได้ไง เขาทำของเขามา เราทำของเรามาอย่างนี้ เราทำของเรามา เรามีอำนาจวาสนาได้เกิดเป็นมนุษย์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก ทางวิทยาศาสตร์ก็บอกมนุษย์มันเยอะแยะไปหมดเลย มนุษย์มันจะล้นโลกอยู่แล้วมันแสนยากตรงไหนล่ะ

เวลามันแสนยาก การเกิด จิตวิญญาณมันมหาศาลนะ จิตวิญญาณนี้มหาศาลเลยล่ะ การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์มันมีกฎหมายคุ้มครอง มีที่ไหนเขาทุกข์เขายาก เราจะช่วยเหลือเจือจานกัน ที่ไหนมีภัยพิบัติปั๊บ คนรู้คนเห็นเขาจะช่วยเหลือเจือจานกันทันทีเลย มนุษย์มันเห็นค่า มองตาใสๆ ความทุกข์ใจ มนุษย์จะช่วยเหลือกันตรงนี้ แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์ ทีนี้เกิดเป็นมนุษย์แล้วเรามีสิทธิเสรีภาพ สิทธิเสรีภาพคือทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ ทำดีทำชั่วนี้ผลของเราแล้วนะ ผลของเราคือมโนกรรมไง มโนกรรมคือความคิดไง ความคิดคิดดีก็ได้ คิดชั่วก็ได้ไง

ถ้าเราคิด เราคิดทางโลก ดูสิ ทางโลกเขาต้องมีธรรมาภิบาลๆ เขาให้คิดเป็นธรรมๆ คิดด้วยความเสมอภาค คิดให้เห็นอกเห็นใจกัน อย่าเบียดเบียนกันจนเกินไปนัก นี่ธรรมาภิบาลๆ แล้วถ้าความคิดเราถ้ามันคิดดีขึ้นมา แหม! เรามีความสุข มีแต่ความแจ่มใส โลกสวยงาม โลกสวยเลยล่ะ แต่เราคิดถึงอคติ คิดแล้วมันเป็นความทุกข์ไง มันเป็นไฟเผาลนหัวใจเลย

ศาสนา ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง เพราะเราคิดเอง เราคิดเอง เราคิดเองทำไมเราคิดอย่างนี้ล่ะ ทำไมมันเป็นฟืนเป็นไฟเผาลนหัวใจเราล่ะ เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ทำบุญกุศลก็ทำแล้ว ทุกคนก็บ่นทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ บุญมันคืออะไรล่ะ

บุญมันมีเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา มีสติปัญญามันก็ยับยั้งได้ มันยับยั้งสิ่งนี้มันยับยั้งของมันได้ ถ้ายับยั้งของมันได้ สิ่งที่ว่าฉลากยา เวลาเราอ่านพระไตรปิฎก เราศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ทฤษฎีทั้งนั้นแหละ เอายามาก็อ่านฉลากยา โอ๋ย! คุณสมบัติ คุณภาพมันมหาศาลเลย เปิดขวดยาไม่เป็น เปิดไม่เป็น ไม่ได้ใช้เลย

นี่ก็เหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญา ดูสิ ทำบุญกุศลๆ บุญกุศลอยากประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วก็ตะกายด้วยความคิด ความคิดมันก็ตะกายมีแต่ความทุกข์มาเผาลนตัวเอง แต่ถ้าเราวางหมดเลย เราทำหน้าที่การงานของเรา เราทำด้วยสติปัญญาของเรา เราทำในปัจจุบันนี้คุณงามความดีของเรา เราทำของเรา เราใช้สติปัญญาของเรา เราใช้ความเพียรของเรา ความวิริยอุตสาหะของเรา คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ

คนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา เขาเพียรของเขา เขามีสติปัญญาของเขา เขาใคร่ครวญของเขา ถ้ามันผิดพลาดไป ล้มลุกคลุกคลานเขาก็เริ่มต้นของเขาใหม่ เขาทำของเขาไป เขาไม่ยอมแพ้ของเขา คนที่ประสบความสำเร็จของเขา เขาก็ล้มลุกคลุกคลานมาเยอะแยะไปหมด ไอ้เราก็เห็นแต่เวลาเขาประสบความสำเร็จ เวลาเขาล้มลุกคลุกคลานเราก็ไม่เห็นไง เวลาเราล้มลุกคลุกคลานเราก็มาทุกข์มายากของเราไง เวลาจิตใจก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไป เวลามันคิดขึ้นมา สิ่งที่มันคิดขึ้นมาเราก็ยับยั้ง เราก็ไม่อยากให้มันเกิด ทำไมมันเกิดล่ะ

ต้นไม้แต่ละเผ่าพันธุ์ มันพันธุ์ใดก็แล้วแต่มันก็ให้ผลตอบสนองเป็นพันธุ์ของมัน ความคิดของเรามันคิดมาจากอะไรล่ะ? มันมาจากอวิชชาความไม่รู้ ไม่รู้คิดได้อย่างไรล่ะ อ้าว! ดูสิ เวลาเราใช้ไฟในบ้าน เวลาเราไม่รู้ว่าไฟมันมีหรือไม่มี ทำไมไฟมันช็อตเราล่ะ ทำไมไฟมันช็อตเรา

นี่ก็เหมือนกัน ไม่รู้คิดได้อย่างไรล่ะ อ้าว! ไม่รู้มันเกิดจากธาตุรู้ ธาตุรู้ อวิชชาครอบงำมันไว้ด้วยความไม่รู้ แต่มันมีพลังงานของมันเพราะมันมีจิต มีภวาสวะมีภพ ถ้ามีภพขึ้นมา ความคิดเกิดจากไหน? ก็เกิดจากจิต แล้วจิตมันเวียนว่ายตายเกิด สร้างคุณงามความดี นี่พันธุกรรมของมัน ถ้าคนมันคิดดีๆ ก็คิดมาจากพันธุกรรมที่ดี สะสมสิ่งที่ดีมา คนที่สร้างคุณงามความดีมามันคิดแต่สร้างคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ

แต่ถ้าจิตใจของเรามันคิดบวกคิดลบ มันมีทั้งบวกทั้งลบในหัวใจล่ะ เราก็พยายามฝึกฝนของเราสิ ที่เรามาฝึกฝนๆ กันที่นี่ไง ฝึกฝนที่นี่ ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา จิตมันสงบได้โดยธรรมชาติของมัน สิ่งใดมันเกิดขึ้นต้องดับเป็นธรรมดา ความคิดเกิดขึ้นต้องดับทั้งหมด แต่มันดับแล้วมันเกิดอีกน่ะสิ มันสันตติ มันดับไปแล้วมันก็คิดอีกๆ คิดไม่จบ ก็ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ เพราะมันคิดไม่จบเราถึงมีคำบริกรรม เราถึงมีปัญญาใคร่ครวญรักษาหัวใจของเรา

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอ หมอดูแลรักษาหายก็กลับมาบ้าน แล้วถึงที่สุดเวลาไปหาหมอ หมอบอกว่าโรคชรา โรคชราหมดการรักษา โรคชราก็ต้องไปตามอายุขัย นี่ไง เวลาหมอรักษาไง

ไอ้นี่ธรรมะรักษาไง เรามีสติปัญญารักษาใจของเราไง ถ้าใจของเรา เรารักษาของเราสิ หมอที่ไหนจะรักษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น ธรรมโอสถๆ มาจากไหนล่ะ ธรรมโอสถมันก็มีแต่ชื่อ ดูสิ ในตำรับตำรามันก็เป็นชื่อยาทั้งนั้นแหละ สติมันเป็นอย่างไรล่ะ สติก็ไม่คิดอะไรเลย อ้าว! สติมันทันเลยนะ โอ้โฮ+ คิดอย่างนี้มันไม่ดี สติมันเกิดแล้ว เออ! สติมันเกิด

สัจธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคตไง นี่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจ ถ้าเราขยันหมั่นเพียรของเรานะ ถ้ามันสงบระงับเข้ามาได้ ถ้าสงบระงับเข้ามาได้เราก็มาประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ของเรา มาอยู่วัดอยู่วา มาประพฤติพรหมจรรย์ หาทรัพย์สมบัติของเรา

ทำทานร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง เรามาอยู่วัดอยู่วา เราถือศีล ๘ ของเรา เรามีศีลของเราด้วยความสงบปกติของใจ ถ้าใจมันปกติได้ ถ้าใจไม่ปกติ เราก็ขังมันไว้ก่อน เอาตัวมาขังไว้ที่วัด แต่ใจมันคิดถึงบ้าน จะคิดสิ่งไหนก็พยายามดึงมันกลับมา เราจะประพฤติพรหมจรรย์ของเรา เราปฏิบัติเพื่อทรัพย์ในใจของเรา เรามาอยู่วัดอยู่วาก็เพื่อความสงบระงับ เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นั่นล่ะตัวจริง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเขาพยายามลดภาษี ไปลดหย่อนภาษีได้ จะให้ไปท่องเที่ยวกันรอบโลก ของเราๆ เราจะเข้าไปสู่หัวใจของเรา เข้าไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไประลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากำหนดพุทโธๆๆ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจของเรา

เวลาพุทโธ จิตมันสงบขึ้นมา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัมผัสกับหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างกลางหัวใจของเรา เรามาพุทโธๆ เพื่อเหตุนี้ไง เราพุทธะพุทโธ รักษาหัวใจของเรานี่ไง

ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำๆ ตอกย้ำ พูดทุกวัน ไอ้คนฟังก็ฟังทุกวันเหมือนกัน แต่ฟังแล้วเราฟังเพื่อเหตุอะไร ถ้ามันลังเลสงสัย “มันไม่จริง หลวงพ่อโกหก”

หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ บอกว่าท่านเทศนาว่าการแล้วปฏิบัติไป ถ้ามีข้อคลางแคลงสงสัย ถ้าท่านพูดแล้วไม่เชื่อฟัง ท่านจะพาไปอุทธรณ์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพูดอย่างนั้นเลยนะ

“หลวงพ่อโกหก หลวงพ่อโกหก”

ใครโกหก ใครโกเจ็ดล่ะ อ้าว! เราโกหก โยมโกเจ็ด โยมโกหกมากกว่า

เราทำให้จริงขึ้นมาสิ ถ้ามันจริงขึ้นมานะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา สิ่งที่เป็นจริงๆ ขึ้นมา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เขาไปท่องเที่ยวกันรอบโลก ไอ้เราใช้กำหนดพุทโธๆ ให้จิตมันสงบเข้ามา แล้วถ้าคนมันมีอำนาจวาสนา เวลามันไปของมันนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏวน จิตมันจะสืบต่อ มันจะค้นคว้า มันไปเห็นความมหัศจรรย์ แล้วก็บอกว่าเวลาภพ เวลาชาติ เวลาเวียนว่ายตายเกิดเขียนเสือให้วัวกลัว เขียนเสือให้วัวกลัว

ใครเขียน กิเลสมันเขียนหรือธรรมะมันเขียน ถ้ากิเลสมันเขียนมันเขียนอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าธรรมะมันเขียนนะ มันสงบเข้ามา เราเป็นคนรู้คนเห็น เห็นไหม พุทธะๆ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันไปรู้ไปเห็น ใครเป็นคนเขียน ถ้ากิเลสมันเขียน กิเลสมันเขียนมันก็เขียนให้เราล้มลุกคลุกคลานไง แต่ถ้าธรรมะมันเขียนขึ้นมาสิ มันมีสติปัญญาขึ้นมาสิ มันเป็นจริงขึ้นมาสิ ใครเขียน ใครเขียนเสือ กิเลสเขียนหรือธรรมะเขียน

เราพยายามพุทโธๆ เรามีสติมีปัญญาเพื่อให้ใกล้ชิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎก แม้แต่ภิกษุอยู่ฟากตะวันตกของทวีปถ้าประพฤติปฏิบัติตามเรา เหมือนอยู่ใกล้ชิดเรา คนที่จับชายจีวรเราไว้ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม เหมือนห่างไกล เหมือนห่างไหล

จับชายจีวรไว้ อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนิดติดกันเลย แต่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้ทำ เหมือนห่างไกล ผู้ที่อยู่ฟากตะวันตกเขาประพฤติปฏิบัติตาม จะอยู่ห่างไกลขนาดไหนเหมือนอยู่ชิดติดเรา

นี่ไง พุทธะๆ พุทโธ เรากำหนดของเรา เวลาเรารู้เราเห็นขึ้นมา เห็นไหม เขาไปกันไปอินเดียกัน ไปอินเดียกัน เราไม่ต้องไป เราพุทโธที่นี่ พุทธะๆ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีชีวิตด้วย มีความรู้สึกด้วย มีความสุขด้วย แล้วมันแจ่มแจ้งด้วย มันแจ่มแจ้งตรงไหน

แจ่มแจ้งที่ว่าไม่ลังเลสงสัยอีกแล้ว มันมีอยู่จริง โอ้โฮ! เราได้สัมผัสจริงๆ ไม่ต้องให้ใครมาชักนำเลย มันเป็นจริงเลย นี่สันทิฏฐิโก รู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง มันรู้ขึ้นมากลางหัวใจเลย แล้วธรรมะเขียนๆ เขียนอย่างนี้ไง ฟังธรรมๆ เพื่อตอกย้ำนี่ไง แล้วมันมีสิทธิเสรีภาพไง เพราะเรามีสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของเราเพราะเรามีหัวใจ เรามีจิต เราเวียนว่ายตายเกิด เรามีสิทธิ์

เขาบอกว่าเขาสละสิทธิ์ นี่ไม่ได้สละสิทธิ์หรอก กิเลสมันขับไส กิเลสมันจะเขียน เขียนเสือให้วัวกลัว เขียนให้จิตใจอยู่ในอำนาจของมัน จะขยับอะไรก็ไม่กล้าเลย จะทำอะไรกลัวไปหมดเลย กลัวนู่นกลัวนี่ กลัวไปหมดเลยนะ เขาว่าเขียนเสือให้วัวกลัว นี่กิเลสมันเขียนให้จิตมันกลัว กลัวแล้วอยู่ใต้อำนาจมัน ล้มลุกคลุกคลาน ยืนขึ้นมาไม่ได้เลย ถ้ามันยืนขึ้นมาได้เลย มันทำตัวมันเองได้ มหัศจรรย์

หลวงปู่มั่นท่านพูดเอง จิตนี้มหัศจรรย์นัก ดีก็ดีสุดๆ เวลามันร้ายมันร้ายสุดๆ เลย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมันเป็นไปได้หลากหลาย จิตนี้เป็นได้หลากหลาย เป็นได้ทุกอย่าง เป็นได้ทุกๆ อย่างเลย แล้วเราดูแลรักษา เราพยายามทำให้มันดีขึ้นๆ

เราอยู่กันโคนไม้ อยู่กันในป่าในเขา ทำไมเราอยู่กันได้ล่ะ ทำไมเขาหาแต่ความสุขของเขา เพื่อชีวิตของเขาด้วยคุณภาพชีวิต ทำไมเขายิ่งมีความทุกข์ล่ะ เราเวลาปฏิบัติเราก็มีความทุกข์เหมือนกัน ถ้ากิเลสมันมีอยู่มันต้องเอาตบะธรรมแผดเผามัน เราต้องมีสติปัญญาแผดเผามัน สู้กับมัน สู้กับมัน มันคือใครล่ะ? มันก็คือมาร มารในใจเรานั่นแหละ แล้วทำเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะ

ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ทำได้ มันดีมาจากภายใน ดีมาจากมโนกรรม ดีมาจากจิตใต้สำนึก คนที่มันดีมาจากจิตใต้สำนึก เราปรารถนาคนอย่างนั้น แล้วเราก็อยากเป็นคนอย่างนั้นด้วย เพราะถ้ามันดีมาจากจิตใต้สำนึก มันดีมาจากจิตใต้สำนึกมันก็มีสุขมาจากจิตใต้สำนึกเหมือนกัน ถ้ามันดีมาจากจิตใต้สำนึกมันก็มีความสุข มีความพอใจ มีความอบอุ่นมาจากจิตใต้สำนึก ถ้ามันไม่ดีมาจากจิตใต้สำนึกมันก็มีแต่ความเร่าร้อน มันก็มีแต่ความแผดเผา

เราพยายามทำของเรา ให้ธรรมะเขียน เขียนด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความเพียรของเรา ความเพียร ความวิริยอุตสาหะจะทำให้จิตใจนี้รอดพ้นจากอำนาจของมาร เอวัง