เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะต้องฟังตอกย้ำ ตอกย้ำให้หัวใจมันมีที่พึ่งอาศัยนะ เวลามันเร่ร่อน มันเดือดร้อนแล้วมันไม่มีที่พึ่งอาศัย ถ้าฟังธรรมๆ ถ้าคนฟังธรรม คนเราเวลาทุกข์เวลายากก็คิดว่าพยายามจะเอาตัวรอด พยายามจะหาทางออกให้ได้ แต่เวลาไปฟังธรรมขึ้นมา พอฟังธรรมขึ้นมา จิตใจมันผ่องใส จิตใจมันสบาย สิ่งที่เป็นความทุกข์ความร้อนมันมีทางออกได้ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง

แต่เราคิดว่าฟังธรรมมันเป็นคำเตือน คำเตือนคำชี้แนะมันจะมีประโยชน์อะไรกับเรา ตอนนี้เรากำลังทุกข์ยากมาก เห็นไหม คนเรา คุณสมบัติของคนมันไม่เหมือนกัน ความถนัดของคนไม่เหมือนกัน ใจของคนก็ไม่เหมือนกันนะ สิ่งที่ว่าไม่เหมือนกัน สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ คนเห็นว่าเป็นประโยชน์มากเขาจะได้ประโยชน์มาก คนใดเห็นว่าเป็นประโยชน์น้อย เขายังไม่ได้ใช้ประโยชน์ของเขา เขายังไม่ได้ประโยชน์ของเขา

แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว ความถนัดของคน คุณสมบัติของคนมันแตกต่างกัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ถ้าสมาธิคือสมาธิอันเดียวกันนั่นแหละ ถ้าเวลาเกิดใช้ปัญญา ถ้าเกิดเป็นปัญญาขึ้นมา คนที่ใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนาขึ้นมา มันจะเห็นคุณค่าเลย ทำไมครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงค่าของน้ำใจๆ ไอ้เราทางโลกเราบอกวัตถุสำคัญกว่า ปัจจัยเครื่องอาศัยสำคัญกว่า มันสำคัญมาก มันสำคัญเพราะว่าเรามีสิ่งนั้นแล้วเราถึงจะมีความสุข

ความสุขมันเป็นอามิส มันได้แล้วมันพอใจ มันได้แล้วพอใจ แล้วมันไม่มีวันจบวันสิ้น เวลาเราอยากได้ อยากได้เพื่อสนองตัณหาความทะยานอยาก เวลาพระออกบิณฑบาตเพื่อดำรงชีวิต เวลาพระที่ออกบิณฑบาต เวลาเขาขาดตกบกพร่อง มันมีสมัยพุทธกาลมันมีพระองค์หนึ่ง เวลาบวชใหม่ไปอยู่ข้างหลัง เวลาคนใส่บาตรมาๆ ใส่ไม่ถึง นี่พระเขาปรารถนาดี วันนี้ไม่ได้ใช่ไหม พรุ่งนี้ให้อยู่ข้างหน้า ไอ้โยมที่เขาใส่บาตรเขาก็ปรารถนาดีไง เมื่อวานใส่บาตรแล้วไม่ถึงข้างหลัง วันนี้ข้างหน้าไม่ใส่ จะไปใส่ข้างหลัง มันสับเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ เราอยากช่วยเหลืออยากเจือจาน เรื่องของวัตถุๆ ไง ร่ำลือมาก ทุคตะเข็ญใจร่ำลือมาก จนพระสารีบุตรไปดูว่ามันจริงหรือเปล่า มันจริงหรือเปล่า แล้วก็จริงๆ ถามว่าบิณฑบาตมามันไม่พอฉันหรือ

ก็บอกว่า มันเต็มบาตรทุกวันเลย แต่เวลาฉันไปๆ มันหายไปเอง ไม่เคยอิ่มข้าวเลย

ฉะนั้น พระสารีบุตรบอกว่าเอาบุญของพระสารีบุตรนะ พระสารีบุตรจับบาตรไว้ จับบาตรไว้เลย เพราะจับบาตรไว้ ด้วยบุญของพระสารีบุตร อาหารนั้นก็อยู่ในบาตรนั้นแหละ วันนั้นฉันข้าวจนอิ่มได้ พอฉันข้าวจนอิ่มได้ คืนนั้นก็นิพพาน ท่านเป็นพระอรหันต์นะ

จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน การทำบุญกุศลของคนไม่เหมือนกัน ดูสิ เวลาเราร่ำลือกัน ชาวพุทธเรา เวลาไปทำบุญ อยากทำบุญ คาถาสวดมนต์ก็สวดพระสีวลี พระสีวลีอุดมสมบูรณ์มาก พระสีวลีทำสิ่งใดสมความปรารถนาๆ แล้วสมความปรารถนามันได้มาอย่างไร

หลวงตาท่านพูดบ่อย พระสีวลีท่านเป็นหัวหน้า เวลาใครทำบุญที่ไหนเขาจะเชิญพระสีวลีไปเป็นประธาน คนที่เป็นประธานเขาก็ต้องดูแล เขาต้องรับผิดชอบ ที่ไหนเขาทำคุณงามความดี จะเชิญไปเป็นหัวหน้าๆ เวลามาบวชนะ รองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าเรื่องลาภสักการะ

เวลาเราจะทำบุญเราทำบุญอย่างนั้น ทำบุญแล้วอยากให้สมความปรารถนา เวลาทำบุญเขาอธิษฐานว่า คำว่า “อด” คำว่า “ไม่มี” ขอให้ไม่มีกับชีวิตเรา เราจะอุดมสมบูรณ์ นี่พูดถึงเวลาเขาอธิษฐานกัน อธิษฐานอย่างนั้น ถ้าอธิษฐานอย่างนั้นเพราะเราคิดอย่างนั้นไง

แต่เวลาเราบวชแล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องการอะไรล่ะ เราต้องการลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเท่านั้นแหละ จิตของเรามันมีคุณค่ามาก จิตของเรามีค่าถ้ามันเกาะลมหายใจได้นะ ลมหายใจถ้ามันหยาบ ลมหายใจถ้าละเอียด เราจะเห็นคุณค่าของมันเลยล่ะ เราจะเห็นคุณค่าของน้ำใจเลย แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามา คุณค่าของน้ำใจๆ เราปรารถนาสิ่งนี้ แล้วถ้าเกิดปัญญาญาณขึ้นมา ปัญญาที่เกิดขึ้นมา

เราศึกษามามากนะ ดูพระเราสิ ศึกษามา เรียนบาลีทุกอย่าง ไวยากรณ์จบหมด แปลพระไตรปิฎกได้ เรียงความได้ ทุกอย่างได้หมดเลย แต่ก็ยังสงสัยในตัวเอง เราศึกษามาก เราเรียนมาก เราค้นคว้ามาก เราว่าเรามีปัญญามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษา แล้วเรามาใคร่ครวญๆ ปัญญาเกิดจากจินตนาการ เวลาปัญญามันเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดจากจิต เกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดจากปัญญาการค้นคว้าของหัวใจ นี่เราไปเห็นปัญญาอย่างนั้นมันจะแตกต่างกันเลย

เราค้นคว้ามามาก เราศึกษามามาก เราทำวิจัยมามาก เราก็เข้าใจว่าเราเข้าใจๆ ทำไมมันไม่เหมือนกันเลย ทำไมอันนี้มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ล่ะ ทำไมอันนี้ เห็นไหม ค่าของน้ำใจๆ นี่ไง ค่าของน้ำใจ ถ้าใครทำสัมมาสมาธิได้ ใครทำความสงบของใจได้ ใจมีคุณค่า ใจมันจะรื้อค้น ใจมันจะขวนขวาย มันจะมีการกระทำ แต่นี้เวลาเราต้องการความอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยมันอยู่นอก

เวลาพระกรรมฐานเขาใช้คำว่า “จิตส่งออก” จิตส่งออกนะ เราเอาหัวใจไปแปะไว้ตรงนั้นนะ ธรรมดาสิ่งที่รู้ มันแค่รู้ ความรู้สึก จิต เวลามันคิดมันส่งออกแล้ว เขาเรียกว่า “เสวย” เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติขึ้นมาก็เสวยอารมณ์ ดูสิ เวลาเราจะคิด ความคิดมันเกิดความคิด แต่เราไม่มีสติพอ เรารู้ที่ความคิดนั้นไง นี่มันส่งออกแล้ว พอมันส่งออก ทีนี้ส่งออกเป็นความคิด ความคิดคิดถึงเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย มันส่งออกไปนู่น มันส่งออกไปนู่นน่ะ

แล้วคิดดูสิ เวลาเราได้ยินคำติฉินนินทามันมาจากไหน มันมาจากไหน เสียงมันมาจากข้างนอก เสียงมันมาจากคนอื่นใช่ไหม ถ้ากรรมฐานเขาบอกว่ามันไร้เดียงสา ทำไมไปกว้านเอามา ทำไมอยู่ดีๆ เราไปกว้านเอาฟืนเอาไฟเข้ามา เวลาเราอยู่บ้าน เราต้องมีเซฟทีคัต เราต้องมีสิ่งป้องกันไฟไหม้ แต่นี้ไปดึงไฟเข้ามาเลยนะ ไฟขอให้ไหม้บ้านฉัน ขอให้ไหม้ ใครต้องการให้ไฟไหม้บ้านเราบ้าง มีแต่คนจะป้องกัน แต่นี้ทำไมเราไร้เดียงสา ทำไมไปเอาเสียง เอาติฉินนินทาไปกว้านมันมาล่ะ เวลาเราไปกว้าน ไปกว้านสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟมาใส่ใจเรา ใครเป็นคนไปเอามา เราไปเอามาทั้งนั้นแหละ

แต่ถ้าเรามีสติ เรามีสติมันเซฟทีคัตแล้ว มันตัดแล้ว มันมีสติ สิ่งนั้น เสียง เสียงดีก็ได้ เสียงติฉินนินทาก็ได้ เสียงชื่นชมก็ได้ เสียงสักแต่ว่าเสียง เรามีสติปัญญา เราคัดเลือกเอาไง เราจะคัดเลือกเอาสิ่งที่ดีๆ เข้าบ้านเราไง เราคัดเอาแต่ของดีๆ ของไม่ดีเราไว้นั่น ของไม่ดีเราปัดทิ้ง แต่มันปัดไม่ได้น่ะสิ ของดีๆ เก็บไว้ แต่ของไม่ดีอย่าขุดคุ้ยมันอีก

ในกรรมฐานเราเขาเรียกว่าส่งออก จิตส่งออกๆ ฉะนั้น เวลาส่งออก เราเอาจิตไปไว้ที่ไหนล่ะ ไปไว้ที่เสียง ไปเอาไว้ที่ติฉินนินทา ทำไมไม่ไปเอาไว้ที่เขาชมล่ะ ทำไมไม่เอาจิตเราไปไว้สิ่งที่ดีๆ ล่ะ เพราะอะไร เพราะเรายังขาดการฝึกฝนไง ถ้าเรามีสติปัญญา เรามาฝึกฝนของเรา เราฝึกฝนของเรา ทำความสงบของใจเข้ามา อ๋อ! ถ้าใจสงบแล้วมันมีความสุขอย่างนี้ มันมหัศจรรย์อย่างนี้ น้ำใจมันเป็นอย่างนี้ นี่จิตสงบ

จิตสงบแล้วถ้าไม่มีอำนาจวาสนา สงบนั้นก็เป็นความสุข ความสุขแล้วมันก็คลายตัวออกมา คลายตัวออกมาก็เสวย มันก็เป็นสัญชาตญาณของเรานี่แหละ แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ สงบแล้วถ้าคลายตัวออกมามันก็เป็นสามัญสำนึกของโลก มันก็เป็นเรื่องโลก แต่ถ้าเราจิตสงบแล้วเรารำพึง เราน้อมไปสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้เราก้าวเดิน สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม

อ้าว! จิตสงบแล้วทำไมต้องมีจิตอีกล่ะ จิตมันสงบแล้ว จิตสงบแล้วนะ จิตสงบจิตก็เป็นตัวตนเราแล้ว จิตก็มีค่าแล้ว ทำไมต้องมีกาย มีเวทนา มีจิตอีกล่ะ

เวลาจิต จิตของใคร เวลาจิต สิ่งที่รู้มันธรรมชาติที่รู้ รู้อย่างนั้น แล้วรู้นี่มันรู้อะไร รู้แล้ว เหมือนของเราเก็บอย่างดี เราพับเก็บไว้ในกำปั่นแล้วไม่เคยเปิดมาดูเลย แล้วใครจะไปดูแลมันล่ะ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่รู้มันก็รู้โดยตัวมันเอง แต่ถ้าจิต กาย เวทนา จิต ธรรม จิตเศร้าหมองจิตผ่องใส ใครเป็นคนค้นคว้า

เวลาจิตที่มันออกวิปัสสนา ออกค้นคว้าในสติปัฏฐาน ๔ มันเป็นคุณธรรม เขาว่าอริยสัจๆ บอกว่าสิ่งที่เป็นมรรคกับสิ่งที่ไม่เป็นมรรค สิ่งที่เป็นโลกมันไม่ใช่มรรค ดูสิ เวลาเราศึกษากันแล้ว สัมมาอาชีวะ อ้าว! เลี้ยงชีพชอบนะ ทำอาชีพสะอาดบริสุทธิ์เลย

อาชีพนี้มันเลี้ยงปาก มันเป็นฆราวาส มันเป็นธรรมะของฆราวาสเขา

แต่ถ้ามันเป็นอริยสัจ เป็นสัจจะความจริงที่เป็นมรรคนะ จิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วจิตมันไปเห็น ถ้าจิตไปเห็น จิตไปรื้อค้นของมัน รื้อค้นได้อย่างไร

เวลาพูดนะ มันเป็นคำพูดเดียวกัน กาย เวทนา จิต ธรรม เราก็จินตนาการได้ แต่ถ้าจิตสงบแล้วไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นนี้ เพราะมันเป็นอริยสัจ มันเป็นมัคโค มันเป็นทางอันเอก มันเป็นธรรมจักร ธรรมจักรที่ว่าเวลาไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ กามสุขัลลิกานุโยค มัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมามันจะทำได้อย่างไร มันทำอะไรไม่ได้ มันเกิดญาณ เกิดญาณหยั่งรู้ เกิดปัญญา เกิดความกระจ่างแจ้ง เกิดอย่างไร มันจะมหัศจรรย์ สิ่งที่มหัศจรรย์ที่มันเกิดขึ้นมามันเกิดได้จากจิตไง

เราถึงว่าน้ำใจๆ ค่าของน้ำใจ ใจนี้สำคัญมาก แต่ใจที่สำคัญต้องให้จับให้ถึงว่าเป็นใจแท้ๆ คือความรู้สึกของเรา แต่ถ้าเรายังจับใจของเราไม่ได้ เราไปจับที่ความคิด ความคิดมันเกิดจากจิต พอเกิดจากจิต จิต อวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ดีรู้ชั่ว มันไปตามความคิดเรา แล้วสิ่งใดถ้ามันเข้าทางกิเลสมันไปหมดเลย ถ้าสิ่งใดเป็นประโยชน์นะ มันเป็นประโยชน์ มันขัดเกลากิเลส

ดูสิ เวลาเราประพฤติปฏิบัตินั่งสมาธิภาวนา มันนั่งแล้วมันก็ขบมันก็เมื่อย ทำไมเราไม่นอนให้สบายๆ ล่ะ ทำไมเราต้องมาทรมานตนล่ะ เราทรมานตนก็ทรมานกิเลสไง กิเลสมันอยากนอน กิเลสมันอยากสุขสบายของมัน ถ้าอยากนอน เห็นไหม ดูสิ พระเรา หลวงตาท่านพูดบ่อย ถ้าเราจะสุขสบายนะ ท่านก็บอกว่าหมูไง หมูเขาเลี้ยงดูอย่างดีทั้งนั้นแหละ เลี้ยงไว้ กรรมฐานเป็นหมูใช่ไหม

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะดัดแปลงตัวเราเอง ถ้าเราจะดัดแปลงเรา ถ้าเราดัดแปลงเรา ถ้ากิเลสเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา ถ้าเราดัดแปลงเราก็ดัดแปลงกิเลสไง เวลาจิตมันสงบไปแล้วนะ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วมันเป็นอะไรล่ะ

มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันไม่ลำเอียง พอไม่ลำเอียงแล้ว เรามีสติฝึกฝนให้มากขึ้นจนจิตตั้งมั่น จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้วน้อมไป ถ้าน้อมไปมันจะเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่ทางมรรค เข้าสู่สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ แต่ถ้าเราไม่มีสติยับยั้งไว้มันจะไหลไป เห็นไหม มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิเหมือนกัน เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะมันมีอวิชชา มิจฉาเพราะความไม่รู้ เพราะไม่รู้มันก็ไหลของมันไป พอไหลของมันไป มันสัจจะ มันเป็นความจริงอย่างนั้น มันเป็นความจริงอย่างนี้เพราะว่าพญามารมันครอบคลุมอยู่อย่างนั้น

แต่เวลาจิตสงบแล้วถ้าเรารำพึงไป ตรงนี้เป็นทางสองแพร่ง ทางหนึ่งคือทางโลก ทางหนึ่งคือทางธรรม ถ้ามันไหลออกไป มันไปสู่มิจฉา มันอยู่ทางโลก ทางโลกก็ความไม่เข้าใจ เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้ มันจะไหลไปทางนั้น แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะน้อมนำมา รำพึง ถ้าไม่เห็นให้รำพึง รำพึงคือคิดในสมาธิ

เขาบอกสมาธิคิดไม่ได้ เพราะความคิดเป็นความทุกข์

แล้วเวลาจิตมันสงบ เพราะมันความทะลุความคิดนั้นไป มันวางความคิดมันถึงเป็นเอกเทศ มันถึงเป็นสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิ ขณิกสมาธิมันชั่วคราว อุปจารสมาธิ สมาธิที่วงรอบ สมาธิที่รับรู้ได้ อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ละเอียด สมาธิที่คิดไม่ได้เลย สมาธิที่สักแต่ว่ารู้เลย สมาธิ อันนั้นไม่ได้

แต่ถ้ามันถอยออกมา สมาธิมันมีตั้งหลายระดับ ถ้ามันเป็นอุปจารสมาธิ อุปจาระ อุปจาระคือจิต อุปจาระคือความรับรู้ในตัวมันเอง คือความรับรู้ที่วงรอบของมัน อุปจาระคือฌาน ก็เหมือนกับความคิดกับจิต อุปจาระเพราะมันคิดได้ พอจิตเป็นสมาธิแล้วรับรู้เสียงได้ จิตเป็นสมาธิยังใช้ปัญญาได้ ตรงนี้ วิปัสสนามันเกิดตรงนี้ ถ้าตรงนี้มันเกิดวิปัสสนาไปมันจะเกิดปัญญาขึ้นมา นี่ค่าของน้ำใจๆ ไง

ศึกษาก็ศึกษา ศึกษาเป็นแนวทาง ศึกษาเป็นธรรมวินัย แต่มันยังไม่รู้แจ้งยังไม่รู้จริงในการกระทำ ถ้ารู้แจ้งรู้จริงในการกระทำ เวลาจิตสงบแล้วมันก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เพราะด้วยกิเลสมันครอบงำไง ด้วยวุฒิภาวะของเราไง วุฒิภาวะของจิตมันยังไม่สูงส่งพอ วุฒิภาวะของจิตมันยังไม่เป็นอริยทรัพย์ มันไม่เป็นอัตตสมบัติของจิตดวงนั้น มันก็อาศัยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยสัจธรรม อาศัยฟังธรรม อาศัยครูบาอาจารย์

แต่ถ้ามันทำของมันได้นะ มันมีอัตตสมบัติ มันมีสมบัติประจำตัวของมัน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เกิดปัจจัตตัง เกิดสันทิฏฐิโก มันถึงเกิดความ...จะบอกว่าอหังการ ไม่ใช่ เกิดความจริง เกิดองค์ความรู้ ไม่หวั่นไหวไปกับอะไรทั้งสิ้น โลกจะแตก เขาจะร่ำลือขนาดไหนนั่นมันเหยื่อ ไม่ไปกับเขาหรอก เพราะความจริงเป็นความจริงอย่างนี้ เวลาเขาพูดมันไม่เหมือนที่เราเห็นเลย สิ่งที่เราเห็นมันสัจจะ มันความจริง มันซึ่งๆ หน้า เวลาเขาพูด เขาพูดอะไรกันก็ไม่รู้ มันเป็นข่าวลือ เป็นความร่ำลือของเขา เป็นกระแสนะ แล้วก็ไปกัน แต่เรารู้จริงเห็นจริง เราจะไปกับเขาไหม

นี่ไง ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงความจริงมันมั่นคง แล้วความเป็นจริงนี้เกิดขึ้นได้กับหัวใจของเรา เกิดขึ้นได้จากหัวใจของเรานะ แล้วตอนนี้หัวใจของเรามันยังไม่มั่นคง หัวใจของเรามันยังหวั่นไหวอยู่

ฉะนั้น เราเกิดมาแล้ว...ใช่ เกิดมาเป็นมนุษย์มันมีประเพณีวัฒนธรรม มีพ่อมีแม่ มีปู่มีย่า มีตามียาย เราอยู่ในชาติตระกูลเราก็ดูแลของเรา กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เราเป็นคนดี คนดีเรากตัญญู เราดูแลรักษาของเรา แต่เวลาจะเอาธรรมะ สัจธรรม ข้ามทั้งดีและชั่ว ที่ว่าดี ดีอะไร แต่ถ้าเป็นสัจธรรม พระในบ้าน พระในใจ

พระในบ้านก็พ่อแม่ของเรา พระอรหันต์ในบ้าน แล้วพระในใจเราล่ะ ขึ้นมาได้หรือยัง ถ้าดูแลพระในใจของเรา เราจะสร้างพระในใจของเรา อัตตสมบัติ เป็นสมบัติประจำหัวใจดวงนั้น เอวัง