เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมเนาะ วันนี้วันพระ เราทำบุญกุศลเพื่อความสุข ความสงบ ความร่มเย็น ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ไม่ต้องการ ความทุกข์ไม่ต้องการให้ได้ยินเลย พระในสมัยพุทธกาลนะ เขาทำบุญกุศลแล้วเขาบอกว่าขอให้คำว่า ไม่มี ไม่ให้ได้ยิน ไม่มี คำว่า ไม่มี ชีวิตเขาสมบูรณ์พูนสุขของเขา เขาสมบูรณ์พูนสุขของเขานะ เวลาเป็นเด็กขึ้นมาเขาไปเล่นทอยสกา เล่นการพนัน ใครแพ้ต้องเสียขนมไง เขาเล่นไม่ดี เสียตลอดๆ เขาให้แม่เอาขนมไปให้เขาๆ ตลอด ต้องเอานั่นไป เพราะเขาเล่น เขาเสีย สุดท้ายแล้วขนมมันหมด เขาบอกขนมมันหมดนะ เขาไปถึง พอเล่นเสียก็บอกแม่อีกว่าไปเอาขนมมา บอกว่าขนมมันไม่มี พอไม่มี เอาขนมไม่มีมา นี่เขาไม่เข้าใจไง เขาไม่เข้าใจ ก็เอาฝาชีครอบไป ฝาชีครอบไปแล้วก็ส่งไปนะว่าขนมมันไม่มี เพราะมันไม่มีแล้ว
ทีนี้บุญของเขา พอบุญของเขาขึ้นมา เทวดาก็เนรมิตให้เป็นอาหารทิพย์ ขนมทิพย์ไง เวลาไปเปิดเข้า โอ้โฮ! เขาไปกิน ทำไมมันอร่อยขนาดนี้ ขนมไม่มีทำไมมันอร่อยขนาดนี้ นี่พ่อแม่ไม่รักเรา ถ้าพ่อแม่รักเรานะ พ่อแม่ต้องทำขนมไม่มีให้กินตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทำไมตอนเล็กๆ ก็กินขนมมาตลอดมันไม่มีอะไรอร่อยขนาดนี้เลย ขนมไม่มี พอพูดอย่างนั้น พอลูกมาต่อว่าแม่ โอ้โฮ! แม่ได้คิดเลยนะ ลูกเรามีบารมีมาก เพราะว่าพ่อแม่ไม่มีอะไรไปให้ แต่ลูกมันได้กินขนม ขนมนั้นเขายังได้กินของเขา อันนั้นบุญกุศล
เราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ เราต้องการบุญกุศลของเรา เราต้องการที่พึ่งอาศัยของเรา เราก็ปรารถนาทำบุญกุศล รักษาศีล ภาวนาขึ้นมาเพื่อให้หัวใจเรามีที่พักที่อาศัย เวลามันสุขมันทุกข์ขึ้นมามันสุขมันทุกข์ที่ใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาจิตของเรามันมีสติมีปัญญา มันถึงรักษาจิตของตัวเองได้ ใจของเรามันต้องมีสติปัญญารักษาใจของเรา ถ้าใจของเราไม่มีสติปัญญา กิเลสตัณหามันครอบงำ มันคิดไปเองไง คิดไปเองว่าสิ่งนั้นก็ดีสิ่งนี้ก็ดี เราปรารถนาของเรานะ เราปรารถนา
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าปรารถนาแล้ว แต่เราไม่ต้องทำมาหากินกันเลยหรือ เราจะรอให้สิ่งนี้มันลอยมาจากฟ้าหรือ...มันไม่ใช่ เวลามันไม่ใช่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ ถ้าเป็นศาสดา เข้าใจทั้งโลกนอกและโลกใน โลกนอกคือโลกที่พึ่งอาศัยนี้ไง โลกในก็โลกในหัวใจของเรานี่ไง ในเมื่อคนเราเกิดมามันก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัยคนก็ต้องมีหน้าที่การงานกันทั้งนั้นแหละ การทำหน้าที่การงานของเรา สิ่งที่เราทำมาหากินอยู่นี่ไม่ใช่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งนี้มันเป็นหน้าที่ หน้าที่เพราะอะไร เราต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเรา ถ้าเราเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเรา บุญกุศลมันจะทำให้ประสบความสำเร็จ จังหวะและโอกาสมันจะสมดุลของมันพอดี
คนเรามีปัญญามากๆ แต่ทำสิ่งขึ้นมาแล้วตลาดมันยังไม่มี สิ่งนั้นทำมาแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ บุญกุศลๆ บุญกุศลคือจังหวะและโอกาสไง ถ้าจังหวะและโอกาส มันทำไมมันเกิดมาสมดุลของมันพอดีล่ะ ทำไมของเรา ทำของเราดีกว่าด้วย ทำไมมันไปไม่ได้ อันนี้สิ่งที่หน้าที่การงานก็คือหน้าที่การงาน กิเลสตัณหาความทะยานอยากคือว่าสิ่งที่ทำงานจบแล้วมันไม่จบไง เวลาสิ่งที่เราทำหน้าที่การงานของเราแล้วมันคิดของมันไปไม่จบๆ นั่นล่ะมันไม่จบ แต่ถ้ามันจบล่ะ มันจบมันจบอย่างไร
ถ้ามันจบ คนเราทำบุญกุศลก็ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่ความสุขของเรา ความสุขจากข้างนอก บุญกุศลมันมา เวลาคนภาวนาๆ เวลาธรรมมันผุดๆ ความคิดมันเกิดขึ้นมันมหัศจรรย์นะ เวลาสิ่งใดที่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจมันมหัศจรรย์ นั่นมันยืนยันถึงวาสนาของคน บางคนทำเกือบเป็นเกือบตายไม่เคยมีสักที ไม่เคยเจอสักที ไม่เคยพบสักที ถ้าไม่เคยพบสักที เวลาจิตมันสงบมันก็สงบไปเฉยๆ อย่างนั้นแหละ
พระอรหันต์เวลาสิ้นกิเลสไปแล้ว สุกขวิปัสสโก เขาว่ามันแห้งแล้ง ไม่ได้ทำบุญญาธิการมามาก แต่คนที่มีอภิญญา ทำต่างๆ มา เขาทำมาเหมือนกัน ทำมานั่นแหละอำนาจวาสนาบารมี แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อริยสัจ สัจจะความจริง มันเกิดปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ที่บอกว่าที่เราปฏิบัติกันอยู่นี้เราใช้ปัญญาๆ ของเรามันเป็นโลกียปัญญาทั้งนั้นแหละ มันเป็นปัญญาของกิเลส ปัญญาของกิเลสมันคืออะไร ปัญญาของกิเลสมันมาจากไหน
ปัญญาของกิเลสก็คือความคิดเรานี่ไง เพราะความคิดของเรามันมีอวิชชา มันมีความไม่รู้ในตัวของมันเอง ถ้าความไม่รู้ในตัวของมันเอง ถ้ามันคิดขึ้นมามันไปตรึกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับเรา เราดูทางวิชาการ เราค้นคว้าทางวิชาการ เรารู้ไปหมดเลย เรารู้ไปหมดเลย รู้แล้วพิสูจน์ไหม รู้แล้วตรวจสอบไหม รู้แล้วทำได้จริงไหม
มันต้องทำได้จริงขึ้นมาไง ถ้ามันทำได้จริงขึ้นมา อันนั้นที่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาอันนั้นมันถึงจะเท่าทันหัวใจของตัวไง ถ้าปัญญามันจะเท่าทันหัวใจของตัว เราจะรื้อค้นๆ อย่างไร ถ้ารื้อค้นอย่างไรมันต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบเข้ามาแล้วมันจะเข้าไปสู่ต้นขั้ว ต้นขั้วควบคุมบัญชี ถ้าต้นขั้วควบคุมบัญชี บัญชีมันควบคุม แต่เวลาความคิดมันคิดออกมา มันคิดจำนวนของมันเท่าไรมันคิดออกไป
มันย้อนกลับมาที่นี่ เราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์นะ เราทำบุญกุศลของเรา แล้วเราก็มอง เวลาเราอยากบวชพระบวชเจ้า บวชไปแล้วเราจะได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ เวลาพระบวชมาแล้วพระก็ต้องมีเครื่องอาศัยเหมือนกัน ต้องมีเครื่องอยู่ ถ้าไม่มีเครื่องอยู่ พระไม่มีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ ความคิดมันมีของมันไปตลอดแหละ ถ้าความคิดมันมีของมันไปตลอด เวลาบวชเรามีศรัทธาความเชื่อ เราก็บวชของเรามา เวลาบวชขึ้นมาเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาได้สถานะของความเป็นพระมา ถ้าได้สถานะความเป็นพระมา ดูสิ กฎหมายคุ้มครอง กฎหมายรองรับ เรามีสิทธิตามสถานะของกฎหมาย แต่บวชมาแล้ว แล้วใจเราล่ะ มีเครื่องอยู่ไหม
ถ้ามีเครื่องอยู่ เขามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเป็นเครื่องอยู่ ถ้าเป็นเครื่องอยู่ขึ้นมาแล้วฝึกหัดภาวนา นี่งานของพระ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่งานของพระ แล้วจะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาได้อย่างไรยังไม่รู้เรื่อง เวลาบวชมาแล้วเขาให้ศึกษา เวลาศึกษาขึ้นมา นวโกวาท สอบนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก สอบแล้วเขาสอบให้มีความรู้ ความรู้เวลาได้รับใบประกาศมาแล้วก็แขวนไว้ที่ข้างฝา เราเดินจงกรมลงในสมาธิภาวนา เราทำขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องมีเครื่องอยู่ไง
นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นฆราวาส เราปรารถนาความสุข แล้วความสุขมันต้องมีสติปัญญาไง ทรัพย์สมบัติที่หามามันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ย้ำตรงนี้ ปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็ต้องปากกัดตีนถีบ เราหามา คนเรามีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน เวลาปัจจัย ๔ เราหามาเพื่อดำรงชีวิต แต่เวลาความสุขจริงๆ ขึ้นมา ดูสิ คนทำหน้าที่การงานแล้วเกษียณแล้วเขาก็อยากมีบ้านสวน อยากจะมีที่มีวามสุข จะมีความร่มเย็น เขากลับไปหาธรรมชาติทั้งนั้นแหละ เขากลับไปหาความร่มรื่น เขาจะกลับไปหาที่นั่น นี่เพราะเขามีความคิดของเขาอย่างนั้น ถ้ามีสติปัญญาอย่างนั้นนะ
สิ่งที่เราทำมา เราเกิดมาไง เกิดมา กำเนิด ๔ เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ กำเนิดมันต้องเกิดอยู่แล้ว สิ่งที่มันมีมันเป็นสัจจะมันเป็นความจริงอย่างนั้นแหละ เราพิสูจน์ได้หรือไม่ได้ เรายังพิสูจน์ไม่ถึงต้นเหตุนั้นเราก็ยังสงสัยๆ อยู่ ก็เป็นความสงสัย ถ้าเราพ้นจากความสงสัยก็เป็นพระอรหันต์น่ะสิ ถ้าพระอรหันต์ขึ้นมา เวลาพระอรหันต์ขึ้นมา เวลาเขาจะประพฤติปฏิบัติของเขา เราเป็นฆราวาส เราก็อยากมีความสุข ความสุขของฆราวาสไง ความสุขของฆราวาส กามคุณ ๕ ได้สิ่งใดสมความปรารถนา เรามีความสุขของเรา เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเที่ยวเล่นอยู่ความสนุกตลอดเวลา มันก็มีความสนุกเพลิดเพลินไปกับโลกเขา มีวันหนึ่งไปดูเขาเล่นละครกันอยู่ มันไม่สนุกเลย มันหงอยเหงา มันเบื่อหน่ายไง เราจะหาทางออก เราจะหาทางออก สัญญากันนะ ก็เลยไปบวชกับสัญชัย ไปบวชแล้ว นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ ปฏิเสธไปหมดเลย ปฏิเสธแล้วมันก็ยังอยู่ของมันอยู่อย่างนั้นแหละ
ไปเห็นพระอัสสชิ การเคลื่อนไหวอย่างนั้น นี่การเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหว การเดิน การคู้ การเหยียดเขามีสติของเขา มีสติ คนมีสติมีปัญญาเขาดูออก มันน่าเชื่อถือ ตามไป ตามไป พอฉันข้าวเสร็จแล้วถาม ท่านบวชกับใคร
เราบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างไร
เราเป็นผู้บวชใหม่ ผู้บวชใหม่
พระอรหันต์นะนั่น เราเป็นผู้บวชใหม่ เราไม่มีปัญญากว้างขวางที่เราจะอธิบายให้ได้มากหรอก
ไม่ต้องอธิบายมากหรอก หน้าที่อธิบายเป็นหัวข้อมา ท่านมีปัญญาท่านแทงทะลุเอง
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปชำระที่เหตุนั้น
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีปัจจัยทั้งหมด เราเกิดมานั่งกันอยู่นี่มันก็มีเหตุมีปัจจัยมาทั้งนั้นแหละ มาทำบุญก็ขับรถมา ขับรถมาจะมาถวายอาหารก็ต้องแสวงหามา สิ่งที่แสวงหามามันก็ต้องมีเงินมีทองแลกเปลี่ยนมา มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นแหละ ถ้ามันมีที่มาที่ไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาวขึ้นไป พระสารีบุตรแทงทะลุเลยนะ เป็นพระโสดาบัน ไปบอกพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเป็นโสดาบัน
ทั้งที่หาความสุขๆ ไง เวลาเป็นฆราวาสก็มีความสุข ลูกเศรษฐี มีความสุข มีความรื่นเริงไป มีทุกอย่างพร้อม ก็ว่ามีความสุขๆ แต่ถึงเวลามันเบื่อ มันเบื่อนะ พอมันเบื่อขึ้นมา เพราะอะไร เพราะมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ของมันซ้ำซาก ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก เวลาการเกิดการตาย เราเกิดตายมากี่ภพกี่ชาติแล้วล่ะ เราจะเชื่อไม่เชื่อมันก็เป็นความเชื่อ เป็นสิทธิของเรา มันเป็นสิทธิ์ ใครจะเชื่อไม่เชื่อนี่เป็นสิทธิ์เลย ไม่เชื่อก็ได้ ไม่มีใครไปบังคับหรอก แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ ถ้าความจริงวันยังค่ำ ถ้าเรามีโอกาสเราจะตรวจสอบของเรา ถ้าเราตรวจสอบของเรา ทำไมต้องตรวจสอบล่ะ หน้าที่การงานเราก็มีของเรา ทุกอย่างมันพร้อมแล้วเราก็พอใจ เราก็พอใจ
คำว่า พอใจ หมายความว่า มันทำให้เรามีโอกาส มีเวลาได้คิดไง ถ้ามีโอกาส มีเวลาได้คิดนะ ถามว่าเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากพ่อจากแม่นี่ไง เกิดมาจากไหน แล้วพ่อแม่เกิดมาจากไหนล่ะ ถ้าเรามีครอบครัวเราก็มีลูกมีเต้าของเราไป เราเกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม อยู่ทำไม แล้วมันจะไปไหนต่อ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามเวลาไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วมันคิดได้ไง นี่ขนาดของเราศาสนาเรามีอยู่โดยที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมนะ แล้ววางไว้ชัดเจนมาก แต่ว่าเราไปมองในสังคม สังคมเขาจะเชื่อไม่เชื่อมันเรื่องของเขา ความเป็นไป ในเมื่อสังคมมันก็มีดีมีเลวปนกันทั้งนั้นแหละ มันไม่มีที่ไหนจะดีหมดหรือเลวหมดหรอก ถ้าเรามีสติปัญญา เราเลือกคัดแยกของเรา
แล้วถ้าเราศึกษาธรรมะ ถ้ามันไม่ดีจริง มันไม่ดีจริง ดูสิ คนที่มีชื่อเสียง มีศักยภาพทางสังคม ทำไมเขาเชื่อล่ะ ทำไมเขาพยายามของเขาล่ะ เขาไม่มีปัญญาเลยใช่ไหม ถ้าเขามีปัญญาขึ้นมา เขาแสวงหาอะไร ถ้าแสวงหาอะไร ถ้าเราคิด เห็นไหม มันเป็นโอกาสไง ถ้าเราไม่แสวงหา เราไม่พยายามของเรา เหมือนกับเราปฏิเสธโอกาสของเรา เรามีโอกาสนะ มันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของชาวพุทธ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราไม่เข้มแข็ง ไม่แก่กล้า ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงได้ เราจะไม่นิพพาน
สั่งสอนอบรมมาจนเข้มแข็งๆ ก็สืบต่อกันมา มันเป็นสมบัติของเราไง อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร เราก็มาบวช บวชเพื่ออะไร บวชเพื่อ ๒๔ ชั่วโมงนี่ไง เรามีครูบาอาจารย์ที่ดี เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ดีท่านเปิดโอกาสให้เราภาวนาใช่ไหม ถ้าเปิดโอกาสให้ภาวนา ภาวนาไปเลย
ทีนี้ถ้าเราไปเห็นสังคม สังคมที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เขาก็คิดเหมือนเรา เพราะพระก็มาจากคน พระมาจากคนพระก็คิดไง ก็คิดกันได้แค่สังคมไง คิดได้สภาวะแวดล้อมไง โอ้โฮ! หรูหรา ฟู่ฟ่า ไปไหนนั่งเครื่องบินกันแล้ว มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเลย เพื่ออะไร เพื่อให้เขาเห็นศักยภาพ นี่ไง มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ จิตมันส่งออก มันไปอยู่ข้างนอกหมด ตัวเองไม่มีค่า จิตใจเราไม่มีค่าใช่ไหม จิตใจของเรามันมีคุณค่าไหม เวียนว่ายตายเกิดมันอยู่ที่ไหน เวลานั่งอยู่นี่มันมาจากไหน แล้วมันจะไปอยู่แล้วยังไม่รู้สึกตัวอีกหรือ
ถ้ารู้สึกตัวขึ้นมา มีสติ สิ่งที่มีคุณค่าคือความรู้สึกของเรา สิ่งที่มีค่าคือปฏิสนธิจิต เพราะเรามีปฏิสนธิจิต เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังมีความรู้สึกนึกคิดอยู่ มันถึงได้เสนอไง เสนอให้เราแสวงหาไง นี่ไง โอกาสของเราๆ ไง แล้วคนที่ไม่สนใจก็คือปฏิเสธไง โดนกิเลสครอบงำ โอ้โฮ! มีศักยภาพ โอ้โฮ! มีปัญญา พวกที่ไปวัดคือคนโง่ทั้งนั้นแหละ ไอ้พวกนี้ไอ้พวกมีปัญหา บ้านของตัวก็มีความสุข ติดแอร์ มันไม่อยู่ มันไปแสวงหาอะไรก็ไม่รู้ของมัน
นั่นเวลากิเลสมันครอบงำมันอวดว่ามันรู้นะ ก็ของของเรา บ้านก็บ้านของเราอยู่แล้ว สมบัติก็สมบัติของเราทั้งนั้นแหละ เรามีสติปัญญาเราก็ใช้สอยมัน เราใช้สอยเพื่อประโยชน์นะ คนที่มีปัญญา ข้าวของเงินทองเป็นประโยชน์หมดล่ะ คนที่ไม่มีสติปัญญา ข้าวของพอมีแล้ว ไปเล่นการพนันขันต่อ เสียคนไปก็เพราะไอ้ข้าวของเงินทองนั่นแหละ
แต่ถ้าคนมีสติปัญญานะ ข้าวของเงินทองเราก็ใช้ประโยชน์ของเรา ไม่ให้ร่างกายเราเสียหายไปใช่ไหม แล้วยังใช้สร้างประโยชน์ขึ้นมาอีก แล้วเราวางมันไว้ก่อน เราจะทำอริยทรัพย์ เราอุ่นใจ เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย เราจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ วางมันไว้ ไม่ต้องไปแบกรับมัน ไม่ต้องไปหนักหน่วง วางไว้ แล้วเรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ชีวิตนี้มาจากไหน เกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร ตายแล้วจะไปไหน จะเอาเงินไปด้วยหรือเปล่า เงินเวลาตายไปแล้วกูเอาไปด้วย กูจะเอาไปใช้ชาติหน้า แล้วมันจะเป็นไปจริงไหมล่ะ
เวลาไปมันขึ้นไป บุญบาปพาไป ถ้าเห็นว่าบุญบาปพาไปแล้ว โอ้โฮ! มันจะเห็นของมันเลยล่ะ หลวงตาท่านบอกว่าถ้ามีการเปิดโลกธาตุนะ ตั้งแต่สวรรค์นรกเห็นกันแบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงจากดาวดึงส์ เปิดโลกธาตุ นี่คือบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีจาตุรงคสันนิบาตหนหนึ่ง เป็นอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงจากดาวดึงส์มาทุกคนเห็น ทุกคนปรารถนาอยากเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์พันลึกมาก แล้วก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์กัน แล้วก็ไปไม่รอด เพราะว่ามันต้องสร้าง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมีมาขนาดนั้นมันถึงจะเป็นหัวหน้า เป็นที่เปิดโลกธาตุให้บริษัท ๔ ได้เห็น ได้เห็นศักยภาพของศาสดา ได้เห็นความเป็นไปของศาสดาเพื่อความมั่นคงในใจนั้นน่ะ เพื่อความยึดมั่น แล้วเราก็ไม่เห็น เราไม่ได้เกิดสหชาติร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฉะนั้น สิ่งที่เวลาเปิดขึ้นมาแล้วเราจะเห็นเลยว่าเห็นสัจจะ เห็นโดยอำนาจวาสนาบารมีของศาสดาไง แต่มันไม่เข้าใจในความเห็นของเรา แต่ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อแล้วเราปฏิบัติของเรา ถ้าปฏิบัติของเรา เราจะรู้เราจะเห็น เราสงสัยสิ่งใดมันจะปลดออกหมดแหละ ถ้ามันปลดออกไม่ได้ ความสงสัย นิวรณธรรมมันกางกั้นแม้แต่สมาธิเลย
ถ้ามันมีปัญญา มันแยกมันแยะของมัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามาได้ ถ้าวิปัสสนาไป ยกขึ้นวิปัสสนามันจะเห็นเลย อ๋อ! ภาวนามยปัญญามันเป็นอย่างนี้เอง ธรรมจักร จักรที่มันเคลื่อน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วประกาศธรรมจักร เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป จักรมันเคลื่อนแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธัมมจักฯ จักรมันเคลื่อน แล้วเวลาปัญญาเรามันเคลื่อน ภาวนามยปัญญามันเคลื่อนในใจ เราจะเห็นว่าจักรมันเคลื่อนอย่างไรเลย นี่ไง มรรคญาณๆ มรรคมันเป็นอย่างนี้เองๆ กิจจญาณ สัจจญาณ มันต้องมีกิจจญาณ สัจจญาณในหัวใจของตัว
ถ้าในหัวใจของตัว ดูสิ ครูบาอาจารย์เราเวลาสนทนาธรรมกัน เวลาพูดออกมาแล้วเหมือนกันๆ เพราะมันรู้ มันเห็นเหมือนกันไง เพราะมันมีจักร แต่ของเรามันมีโลกียปัญญา มันมีแต่กงจักรไง กงจักรมันจะทำลาย มันบีบบี้สีไฟหัวใจ ความคิดมันขับถ่ายในใจมีแต่ความทุกข์ความยาก
แต่ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันเกิดขึ้นจากจิตสงบ เกิดขึ้นจากต้นขั้ว เกิดขึ้นมาจากฐีติจิต เกิดขึ้นมาจากตัวตนของเรา เพราะตัวตนของเรามันเวียนว่ายตายเกิด เวลาเราเข้าไปสู่ตัวตนของเรา จะเข้ามาได้มันปล่อยวางความคิดความรู้สึกของมันเข้ามา เวลามันฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญา เห็นไหม ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร มันรู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันทุกๆ อย่างหมดเลย นี่รู้เท่าทันนะ แล้วมันต้องรู้ทะลุปรุโปร่งจนสมุจเฉทปหาน สำรอกไง มันคายไง คายสังโยชน์ คายสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็นผิด ความเห็นผิด ความรู้ผิด ความยึดมั่นถือมั่นผิด มันสำรอกมันคายของมันออกไปน่ะ นี่ไง พอมันคายออกไปแล้ว ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันจะรู้ของมันมันจะเห็นของมัน มันต้องรู้ต้องเห็นสิ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมามันก็สงสัย พอมันสงสัยมันก็เร่ร่อน
แต่ถ้ามันเป็นจริง ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ นี่มันมีคุณค่าไง เนื้อธรรม สัจธรรม ถ้าเนื้อธรรม สัจธรรมมันมีอยู่แล้ว สิ่งเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ มันของภายนอกแล้ว ฉะนั้น วัดวาจะฟู่ฟ่าหรูหราขนาดไหนมันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้นแหละ มันสร้างขึ้นมาแล้วมันก็ต้องบำรุงรักษา แต่เวลาเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา ดูสิ เป็นที่พึ่งอาศัยของสังคมมันก็ต้องมีที่พึ่งอาศัยเพื่อนั่งสมาธิภาวนา เพื่อคุ้มหัว สิ่งที่เราไว้คุ้มหัวกันฝนกันแดด เราก็ดูแลรักษาไป แต่เราดูแลรักษาเพื่อจะเอาหัวใจ จะดูแลหัวใจ จะรักษาหัวใจ จะสำรอกจะคายกิเลส เห็นไหม
ฟังธรรมๆ ตอกย้ำๆ ตรงนี้ เราจะไม่ส่งจิตออกไป ไปอาศัยอย่างอื่น ไปอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยสิ่งต่างๆ ให้จิต ให้บริกรรมพุทโธ มันก็เป็นพุทธานุสติ ถ้ามีสติปัญญาย้อนกลับมา แล้วพอมันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาในตัวของมันเอง แล้วมันสำรอกมันคายของมันเอง ถ้ามันสำรอกมันคายของมันเอง สัจธรรมอันนี้มันจะกังวานกลางหัวใจนั้น เป็นสันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเองโดยชอบ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ แต่นี้เราศึกษาชอบ จำชอบ ครูบาอาจารย์เทศน์มาจำของเขามาชอบ แล้วก็คิดว่าใช่ๆ มันจำมาชอบ มันไม่ได้ปฏิบัติชอบ ให้มันเป็นความจริง รู้เอง เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้เองโดยชอบ มันจะเป็นสมบัติของเรา แล้วมันจะยั่งยืน ไม่มีการหลงลืม ไม่มีการว่ามันจะอยู่ที่ไหน มันสถิตอยู่กลางหัวใจดวงนั้น เอวัง