เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เราตั้งใจมาทำบุญกุศล เห็นไหม เวลาพระธุดงค์ เวลาออกพรรษาแล้วเขาแบกกลดแบกบริขารเข้าป่าเข้าเขา เขาเข้าไปทำไม? เขาเข้าไปค้นหาใจของตัว ค้นหาพระในใจ เวลาค้นหาพระในใจค้นหากันที่ไหน เราว่าค้นหาพระในใจของเรานะ เราก็ค้นในตู้พระไตรปิฎก ตู้พระไตรปิฎกก็เป็นแผนที่ไง แผนที่ชี้มาให้เราค้นหาใจของตัว ถ้าใจของตัว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันอยู่กลางหัวใจเรานี่แหละ แต่ทุกคนหามันไม่เจอ

ดูสิ บวชพระบวชเจ้ามา บวชพระมาก็เป็นสมมุติสงฆ์ บวชพระมาเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เวลาจะค้นคว้ากันจริงๆ ต้องออกป่าออกเขา ออกป่าออกเขาไปทำไมล่ะ ทำไมไม่ค้นหาตัวเองล่ะ ไปหาหมอ หมอมันก็ผ่าเปลี่ยนหัวใจไง มันผ่าอกเลยนะ แล้วมันเปลี่ยนหัวใจให้ใหม่ แล้วเปลี่ยนหัวใจให้ใหม่มันก็เป็นคนเดิมนั่นแหละ เพราะความคิดมันไม่ได้เปลี่ยน แต่เวลาเราค้นหาตัวเราเอง เวลาเราหนีร้อนมาพึ่งเย็น

เวลาหนีร้อนนะ เราตอนเด็กๆ เราฟังอาม่าเล่าบ่อยว่าเวลาเข้ามาจากเสื่อผืนหมอนใบ เสื่อผืนหมอนใบเวลาเข้ามาปากอ่าว เรารอดตายๆ เรารอดตายเพราะมันเห็นความอุมดสมบูรณ์ไง มันรอดตายเพราะมันเห็นความอุดมสมบูรณ์ มันมีป่าเขา มีแต่ความขยันหมั่นเพียรเท่านั้นแหละที่เราจะเอาชีวิตเรารอดได้ นี่เวลาผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟัง เล่าให้ฟังว่ามันมาอย่างไร แล้วมันกินใจมาตลอด นี่เวลาหนีร้อนมาพึ่งเย็น

เวลาหนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ เราอยู่กับโลก โลกเขาต้องมีการแข่งขัน เวลาการแข่งขัน ประเทศชาติไหนมีการศึกษา มีนักวิทยาศาสตร์ มีการค้นคว้านวัตกรรมใหม่ๆ ประเทศชาตินั้นเจริญ เจริญเพราะมีการศึกษา มีการศึกษา มีการแข่งขันเพื่อความเจริญ มันไปเจริญทางโลก หลวงตาท่านบอกมันเจริญทางวัตถุ มันเจริญทางอิฐหินปูนทราย แต่มันก็ต้องเจริญ เพราะคนเราต้องมีที่พึ่งอาศัย สัตว์มันยังมีรวงมีรัง มนุษย์เป็นผู้ที่ฉลาด เราต้องสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างที่อยู่อาศัย มันก็เป็นเรื่องของโลก นี่ความเจริญ ถ้าความเจริญของโลก ความแข่งขันเราต้องมีปัญญาแข่งขันกับเขา แล้วมีปัญญาแข่งขันกับเขาเพื่อดำรงชีวิตของเรา ต้องมีธรรมะเพื่อชโลมหัวใจของเรา

ถ้าเรามีธรรมะชโลมหัวใจของเรา เรารักษาใจของเราได้ เวลาคน ๒ คนที่เขาทะเลาะเขาเถียงกัน ไอ้เราคุมใจของเราได้นะ เราขำๆ เราขำๆ มันไม่เอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเราเองไง แต่ถ้าเราเจริญทางโลกๆ เราต้องมีการแข่งขัน เราต้องมุมานะ แต่หัวใจมันแห้งแล้ง หัวใจมีแต่ความทุกข์ความยาก หัวใจมีแต่ความเครียด สิ่งนั้นมันก็เป็นความทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ความทุกข์ ทุกข์เพราะไม่มีจะกิน ทุกข์เพราะความทุกข์ความยากเป็นทุกข์ประจำธาตุขันธ์

เวลาทุกข์ประจำธาตุขันธ์ เพราะคนต้องอยู่ต้องกิน คนเราต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้นแหละ แต่เวลาทำหน้าที่การงานขึ้นมา เราก็ทุกข์เราก็ยาก เราก็ต้องพยายามแข่งขัน ความแข่งขันนั้น ถ้าเรามีคุณธรรม เขาว่าทำธุรกิจต้องมีธรรมาภิบาลๆ อย่าเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป เราทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เราทำคุณงามความดีของเรา เพราะมีธรรมะอย่างนี้แล้ว อยู่กับโลกมันจะร้อน มันร้อนมันก็ยังมีที่พึ่งอาศัย แต่เวลาวันหยุดวันว่างขึ้นมาเราก็ไปวัดไปวา

ไปวัดไปวาทำไมล่ะ อยู่กับโลก โลกมันมีความเจริญ โลกมีแต่ทางวิทยาศาสตร์ให้เราศึกษาไง ไปอยู่วัดอยู่วา ไปอยู่โคนต้นไม้ ไปอยู่กับอากาศมันไม่เห็นมีอะไรเลย

มาพักหัวใจไง ถ้ามาพักหัวใจนะ มันได้พักได้ผ่อนขึ้นมา มันบำรุงรักษา ต้นไม้ต้นหนึ่ง คนที่ดูแลต้นไม้ต้นนั้นเขาดูแล เขารดน้ำพรวนดิน เขาดูแลต้นไม้ของเขา ต้นไม้ของเขาชุ่มชื้นของเขา เห็นไหม ต้นไม้ของเราเหี่ยวเฉา ใบมันร่วง ดอกมันก็ไม่มีเลย เราไม่ดูแลของเราเลย

มาวัดมาวาก็มาดูแลต้นไม้ของเรา มาดูหัวใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เราพยายามพรวนดิน เราตั้งสติ ใส่ปุ๋ยหัวใจของเรา ถ้าใส่ปุ๋ยหัวใจของเรา ถ้าเราเห็นคุณประโยชน์ ถ้าเราเห็นประโยชน์นะ เราเห็นประโยชน์ เราก็จะขวนขวายของเรา แต่เราไม่เห็นประโยชน์ของเรานะ เราเห็นประโยชน์ทางโลก เราทำมาหากินขนาดนี้ยังไม่ทันเขาเลย แล้วเราจะมีเวลาว่างไปที่ไหน

ทำมาหากินขนาดไหนมันก็ทำมาหากินไป แต่ถ้ามันถึงเวลา ต้นไม้ถ้ามันเหี่ยวมันเฉา คิดอะไรก็ไม่ออก ทำอะไรก็อั้นตู้ไปหมดแหละ แต่ถ้าเรามารดน้ำพรวนดินหัวใจของเรา เราดูแลหัวใจของเรา นี่หนีร้อนมาพึ่งเย็น หนีร้อนมาพึ่งเย็น เวลาพึ่งเย็นขึ้นมาแล้ว เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติมันเย็นไหมล่ะ เวลานั่งสมาธิไปทำไมมันเจ็บมันปวด เวลาเดินจงกรมทำไมมันเหนื่อยมันล้าขนาดนั้นล่ะ มันเหนื่อยมันล้าเพราะอะไร เพราะเราคาดหมายไง เราคาดหมายว่าเราจะได้ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องได้ทรัพย์สมบัติของเรา แล้วเราคาดหมายไป จิตมันส่งออก เห็นไหม ทั้งๆ ที่จะมาดูหัวใจของตัวนะ รดน้ำพรวนดินมันรดที่โคนต้น รดน้ำพรวนดินที่โคนต้น เวลาผลมันออก มันออกที่ปลาย ออกที่กิ่งก้าน เขาไม่รดน้ำที่กิ่งก้านแล้วดอกมันจะออกที่นั่นหรอก นี่ก็เหมือนกัน เวลานั่งสมาธิภาวนาก็จะเอามรรคเอาผล จะเอาความสงบของใจ เอาความสงบของใจ มันร้อนอยู่นี่

แต่ถ้าเราวางให้หมดเลย แล้วกำหนดพุทโธๆๆ ของเรา รดน้ำพรวนดิน รดน้ำพรวนดิน ถ้ารดน้ำพรวนดินนะ พอพุทโธๆ มันไม่แซงหน้าไง เวลากิเลสมันแซงหน้าไปนะ “โอ๋ย! ภาวนาแล้วจิตมันจะสงบ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะมีความสุข พอมีความสุขมันจะมีความเวิ้งว้าง พอมันมีความเวิ้งว้างมันจะเกิดปัญญา ปัญญามันจะแทงทะลุกิเลสไปเลยนะ อู้ฮู! จะเป็นพระอรหันต์พรุ่งนี้” มันคิดไปนู่น มันส่งไปอยู่นู่น มันไม่ดูโคนต้น มันไม่ดูที่ตัวมัน มันไม่ดูที่ใจ

ทีนี้เวลาเราจะภาวนา เราวางให้หมด เราวางให้หมด เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านศึกษามาแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาธุ! เทิดใส่ศีรษะ หลวงปู่มั่นใช้คำว่า “เทิดใส่ศีรษะ” เราเคารพบูชานะ ปัญญาที่เราศึกษา ทฤษฎีที่เราศึกษามา ศึกษามาจากทฤษฎีของเขา

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้เป็นทฤษฎี เป็นทฤษฎีเป็นภาคปริยัติ เราศึกษามา ศึกษามาภาคปริยัติ ศึกษาแล้วต้องปฏิบัติให้ตามความเป็นจริงขึ้นมา

ทางโลก ทางโลกเราซื้อได้ เทคโนโลยีเราซื้อได้ เราทำได้ เราจ้างบริษัทที่ปรึกษา เราทำได้หมดแหละ แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติความจริง มันซื้อไม่ได้ มีเงินมีทองขนาดไหน เงินทองก็คือเงินทอง เราก็คือเรา ถ้าคนรู้จักใช้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เงินทองก็จะมีเก็บหอมรอมริบ คนเรามีเงินมีทองใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หาไม่ทันใช้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเรามีสติมีปัญญามันทำความเป็นจริง ฉะนั้น เวลาปฏิบัติ สิ่งที่เราศึกษามา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะไว้ คือมันเป็นของประเสริฐ เพราะทฤษฎีอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ ทำได้จริงอย่างนี้ พระพุทธเจ้าถึงพ้นจากทุกข์ไป แล้วจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยปริยัติ ด้วยทฤษฎีที่สอนให้เราฝึกฝน ถ้าเราฝึกฝนขึ้นมา มัคโคทางอันเอก แล้วมรรคมันอยู่ที่ไหน ที่มาบนถนน ถนนนี้เทศบาลเขาตัด แล้วถนนของเราล่ะ ค้นคว้าจิตเรายังไม่เจอ แล้วยังมีถนนของเราอีก มรรค ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ ถ้ามันจิตสงบเข้าไปก็นี่คือเราไง

เวลาบอกว่ารู้จักพ่อกูไหม ไปอวดเขา รู้จักพ่อกูไหม

มึงยังไม่รู้จักเลย แล้วกูจะรู้จักได้อย่างไรล่ะ

มึงรู้จักพ่อกูไหม เขาอยากเป็นคนดังไง มึงรู้จักพ่อกูไหม

นี่ก็เหมือนกัน เอ็งรู้จักกูไหม ไอ้ที่ชื่อพ่อแม่ตั้งให้ บางคนนะ ตั้งชื่อไม่ทัน ไปที่กรมทะเบียนเขาตั้งให้เสร็จเลย แล้วถึงเวลาก็ไปเปลี่ยนชื่อ ชื่อนี้ไม่เพราะ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ไปแล้ว

ถ้าเราพุทโธๆ เวลาจิตสงบเข้ามา อื๊ม! นี่โคนต้น นี่ต้นไม้ นี่ใจของเรา ถ้าใครเห็นใจของตัวนะ คนเราเกิดมามีกายกับใจ ร่างกายนี้เราบำรุงรักษามัน หาอยู่หากินเพื่อบำรุงร่างกายนี้มาตลอดเลย แต่หัวใจทิ้งๆ ขว้างๆ คำว่า “ทิ้งๆ ขว้างๆ” เราไม่เข้าใจเองเราถึงทิ้งๆ ขว้างๆ ด้วยความไม่เข้าใจของเรา

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านเห็นคุณค่าตรงนี้ ท่านเสียสละทุกๆ อย่างขึ้นมา แล้วพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ท่านจะหาหัวใจของท่านให้เจอ ถ้ามันเจอหัวใจของท่าน มัคโค ทางอันเอกมันจะเกิด สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ ถ้ามันเดินลงที่นี่ ปัญญามันเกิดที่นี่ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนาล้วนๆ ถ้าปัญญาเกิดจากภาวนาล้วนๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมามีใครสอน ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ใครก็สอนไม่ได้ เขาสอนมาขนาดไหน ส่งออกหมด ก็เหมือนที่เราคิดกันเวลาปฏิบัติไง “พอพุทโธแล้วนะ เดี๋ยวมันจะสงบ สงบแล้วมันจะเกิดความสุข พอเกิดความสุขแล้วมันจะเกิดปัญญา พอเกิดปัญญา” นี่ไง มันทฤษฎีทั้งนั้น แล้วมันได้ไหม

แต่ถ้าเราทิ้งหมดเลย เห็นไหม เวลาศึกษามาแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นท่านบอกหลวงตาประจำ เราเทิดใส่ศีรษะนะ ไม่ใช่ว่าไม่มีคุณค่านะ ถ้าไม่มีคุณค่ามันจะไม่มีวัฒนธรรมประเพณีอย่างนี้ ดูวัฒนธรรมประเพณีมันเกิดจากไหนล่ะ เกิดจากพระไตรปิฎกทั้งนั้นแหละ เพราะเราศึกษามา ใครซาบซึ้งสิ่งใดมาก็เอาสิ่งนั้น ครูบาอาจารย์องค์ไหนอยู่ในตำบลถิ่นไหน มีความซาบซึ้งข้อไหนเขาก็เผยแผ่อย่างนั้น มันก็เลยเป็นวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไป นี่มันมีคุณค่า แต่มีคุณค่านี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาได้ทฤษฎีมา วันนี้วันพระ เราจะหาพระของเราไง

เวลาเขาจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาไปอินเดีย ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่อยู่อาศัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานักปฏิบัติ เราจะหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวอก พุทโธๆ ถ้าเราเจอใจก็เจอพุทธะ เจอพุทธะคือเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เสียใจใช่ไหม ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วเราเกิดไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเจอพุทธะสิ เราได้จับต้องเลย จับต้อง เห็นไหม ผู้ใดแม้อยู่ภาคตะวันตกชมพูทวีป ทำเหมือนเราเหมือนใกล้เรา ใครจับชายจีวรเราไว้ แต่ไม่ได้เหมือนเรา เหมือนอยู่ห่างเรา

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆ จนเราเจอ เราเจอเอง เรารู้เอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก พอมันพุทโธๆ จนจิตมันสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามา นั่นแหละความจริง ถ้าความจริงแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา พวกเราก็ถือตัวถือตนว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา แล้วก็เที่ยวดูถูกลัทธิความเชื่ออื่นว่าเขาไม่มีปัญญา เขาได้เชื่อตามๆ กันมา ของเรามีปัญญา

ปัญญาก็เชื่อตามๆ กันมาเหมือนกัน ก็ค้นคว้ามาจากพระไตรปิฎกเหมือนกัน แต่เวลาถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้ว เวลาถ้ามันเกิด เวลาเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากจิตนั้น ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ เวลาจิตมันกำเนิด ๔ ต้นเหตุของความทุกข์ความยากคือการเกิด มีความเกิดที่ไหนต้องมีการดับที่นั่น มีการเกิดที่ไหนต้องมีการตายที่นั่น ถ้ามีที่ไหน แล้วเวลาจิตมันสงบเข้าไปมันเข้าไปสู่ฐีติจิต เข้าไปสู่ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณปฏิสนธิ แล้วถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา แล้วปัญญาอย่างนั้นจะเอาปัญญาที่ไหนล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ มันละเอียดนะ เห็นไหม เวลาปัญญาของเราก็ปัญญาสมอง ปัญญาขันธ์ คือความคิด ความปรุง ความแต่ง นี่เป็นปัญญาอย่างหยาบๆ เวลามีสมาธิเข้ามารองรับขึ้นมา มีสมาธิขึ้นมารองรับ ปัญญาที่เกิดขึ้นมันมหัศจรรย์แล้ว มันก็เป็นสังขารเหมือนกัน แต่มีสัมมาสมาธิรองรับ เวลาพิจารณาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันคายสังโยชน์เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป พอมันคายหมดเลย มันเป็นปัญญาญาณ ปัญญาญาณเพราะปฏิสนธิจิตไง ภวาสวะตัวภพไง จะทำลายตัวมันเองไง ตัวที่ทำลายมันเอง เอาตัวอื่นมาทำลายได้ไหม? ตัวอื่นทำลายไม่ได้ ภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนา แล้วเวลาการภาวนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มรรค ๔ ผล ๔ ไง

เราไปวัดไปวาไปทำบุญ ไปทำบุญกับพระ ได้เห็นสมณะ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ การเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นมงคลชีวิตนะ เห็นสมณะนี่ แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พุทโธๆ เราเห็นสมณะในใจของเรา นี่เป็นสมบัติของเราเลย เราไปวัดไปวา ไปหาครูหาอาจารย์ก็ไปใกล้ชิดสมณะ ไปใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ได้ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็ตอกย้ำของเรานี่ไง

ฉะนั้น เราพุทโธๆ เราเป็นสมณะนะ ดูสิ นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน นางวิสาขาได้บวชหรือเปล่า ทำไมเป็นพระล่ะ นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันนะ นี่เราเป็นของเราไง ถ้าเราเป็นของเรา เราเป็นสมณะ สมณะสงบระงับ สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในหัวใจ เห็นไหม

วันพระ เราหนีร้อนมาพึ่งเย็น หนีร้อนมาพึ่งเย็น เราเกิดมา เราเกิดมากับโลก คนเกิดต้องมีพ่อมีแม่ ถ้ามีพ่อมีแม่ พระก็มีอุปัชฌาย์อาจารย์ เวลาเกิดมันต้องมีคนพาเกิด เวลาเกิดมาแล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะหาความจริงของเรา หาความจริงของเรานะ

อยู่ทางโลกก็ต้องทำหน้าที่การงาน ก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยดำรงชีวิตนี้ไว้ เพราะชีวิตนี้สำคัญที่สุด ใจเป็นผู้สัมผัสธรรม ใจเป็นผู้รู้ ใจเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ใจนี้เป็นผู้มีปัญญา ใจนี้สามารถสำรอกคายอวิชชาคือความไม่รู้ออกหมด แต่สิ่งที่หน้าที่การงานเป็นวิชาชีพ วิชาชีพทำแล้ว ถึงเวลาแล้ว แล้วก็ส่งต่อให้กับอนุชนรุ่นหลังไป

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์ เวลาพระอานนท์คร่ำครวญ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “อานนท์ เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย เราเอาแต่ของเราไปเอง” เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะจะนิพพานก็มาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า “สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” เห็นไหม สมบัติของใครของมัน สมบัติในใจของเขาไง

นี่ก็เหมือนกัน สมบัติของเรา เราศึกษานะ เราเป็นบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นอุบาสก-อุบาสิกา เราก็ขวนขวายของเรา หน้าที่การงานเราก็ทำ อาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อความดำรงชีวิต รักษาชีวิตนี้ไว้ มีสติปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าหายใจเข้ามีสติ นี่เรามีสติ เราระลึกถึงใจเรา มันมีค่าตรงนี้ แล้วคิดดูสิ เรามีสติกับความรู้สึกของเรา สิ่งที่เป็นสมบัติมันก็อยู่ของมันโดยธรรมชาติของมันใช่ไหม มันก็เป็นของเราอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ แต่ถ้าเราเผลอ เราไปแบกหาม ไปแบกรับภาระ เหนื่อยยาก

หาพระในใจของเรา หนีร้อนมาพึ่งเย็น แล้วเวลากิเลสมันเป็นไฟแผดเผาในหัวใจ เราก็หาธรรมะเพื่อให้หัวใจเรามันร่มเย็น ให้มันมีที่พึ่งที่อาศัย ทำบุญเพื่อเหตุนี้ บุญนี้สร้างอำนาจวาสนาบารมี บุญสร้างมาให้จิตใจเป็นสาธารณะ ยอมรับความเห็นต่าง แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นไปมันเป็นจริตนิสัย เป็นสมบัติของเรา เป็นมรรคของเรา เป็นปัญญาของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง