เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ มี.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราแสวงหากัน เราอุตส่าห์ขวนขวายมาเพื่อสิ่งใด เราขวนขวายมาเพื่อความสุขของเรา เกิดมาทั้งชาติหาความสุขเพื่อตัวเอง เราหาความสุขกันไม่เจอ ตะครุบเอาแต่เงาไง ตะครุบแล้วตะครุบอีกว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสุขๆ แล้วไม่มีสิ่งใดเป็นความสุขจริงแม้แต่นิดเดียวเลย

แต่เป็นความสุขจริงๆ ขึ้นมาแล้วไม่ต้องไปหาที่ไหน หาในหัวใจของเรานี่แหละ ในหัวใจของเรานี่แหละ มันสุขมันทุกข์มันอยู่ในหัวใจของเรานี่ แต่หัวใจนี้ ปฏิสนธิจิตเกิดจากไข่ถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดโอปปาติกะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาเกิดจากเวรจากกรรมของเขา เวลาเขาเกิดมา

ปฏิสนธิจิต เกิดจากไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ จิตนี้มันต้องกำเนิดไง พอกำเนิดขึ้นมาแล้วมันมีภาระไง เวลากำเนิดมาแล้วนะ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้าเป็นพระอินทร์ เขาก็ต้องปกครองเทวดาของเขา เกิดมาแล้วก็มีภาระ

นี่ก็เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็บอกมีพ่อมีแม่ มีชาติมีตระกูลเป็นภาระรับผิดชอบ แต่เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมีภาระหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี้ไว้เพื่อดำรงชีวิตไว้ทำไม ดำรงชีวิตไว้เพื่อ? นี่มันอยู่ที่กิเลสหรือจริตนิสัยของคน ถ้าอยู่เพื่อโลกก็อยู่เพื่อโลก ถ้าอยู่เพื่อธรรมล่ะ ถ้าอยู่เพื่อธรรมนะ เราก็แสวงหาของเรา เรามาทำบุญกุศลกันนี้เพื่ออะไร? เพื่อให้หัวใจมันยอมรับไง เวลาหัวใจเรายอมรับนะ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรามันคืออะไรล่ะ? มันคืออวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร ไม่รู้ทั้งนั้นเลย เพราะไม่รู้มันถึงเกิดไง แต่ถ้ารู้ล่ะ วิชา ถ้ารู้ รู้อะไร ก็รู้สัจจะ รู้ความจริง ถ้ารู้ความจริง เรามาฝึกหัดตรงนี้ ฝึกหัดตรงนี้ให้หัวใจมันยอมรับ ถ้าหัวใจมันยอมรับนะ มันทำสิ่งใดขึ้นมามันไม่ทุกข์ไม่ยาก สิ่งที่ว่าไม่ทุกข์ไม่ยากนะ

คนเราเกิดมาเป็นธรรมดา วัตถุสิ่งใดก็แล้วแต่ ของมันอยู่ของมัน มันต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา มันต้องมีการแปรสภาพของมันเป็นธรรมดา สรรพสิ่งในโลกเป็นธรรมดา ดูชีวิตเราสิ ชีวิตเราตั้งแต่เกิดมาเป็นเด็กน้อย มันน่ารักน่าชังทั้งนั้นแหละ มันไร้เดียงสาทั้งนั้นแหละ แต่ชีวิตจะเป็นอย่างนี้ได้ไหม ชีวิตเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ชีวิตเราก็ต้องเติบโตขึ้นมา ชีวิตของเราต้องรับผิดชอบของเราขึ้นมา

ถ้าชีวิตรับผิดชอบขึ้นมา เราหาอยู่หากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หาอยู่หากินเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย หาอยู่หากินใช่ไหม หาอยู่หากินแล้วมันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ มันก็เหมือนกับวัตถุชิ้นหนึ่ง วัตถุชิ้นหนึ่งเกิดขึ้นมา ดูสิ วัตถุสิ่งใดที่เขาประกอบขึ้นมาแล้วเขาต้องซ่อมบำรุงมันตลอดไป ถ้าไม่ซ่อมบำรุงมันก็ต้องชำรุดเป็นธรรมดา เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่งมันก็ต้องตายเป็นธรรมดา มันชราคร่ำคร่าไปหมดแหละ พอมันชราคร่ำคร่าไป เราหาอยู่หากิน หาอยู่หากินเพื่อดำรงชีวิต แล้วดำรงชีวิตแล้วถ้ามันมีธรรมะขึ้นมา มีธรรมะขึ้นมามันจะแสวงหาแล้ว แล้วไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก แสวงหาจากภายใน

ถ้าแสวงหาจากภายใน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มต้นอนุปุพพิกถาให้เขาทำทานก่อน ให้เขาทำทานก่อนเพราะอะไร เพราะถ้าเขาไม่ทำทานก่อน ดูสิ จะไปวัดก็ไปแย่งชิงกัน จะไปนั่งเบียดเสียดกันก็ไม่ใช่ใช่ไหม ให้เขาทำทานก่อน ทำทานก่อนคือว่าให้มีจิตใจเป็นสาธารณะ ให้จิตใจเห็นความเสมอภาค ความเสมอภาคขึ้นมา เวลาใครจะไปฟังเทศน์ฟังธรรม นั่งตรงไหนก็ได้ เสียงมันมาถึงเราหมดแหละ เราจะนั่งอยู่ปลายแถวก็ได้ แต่ในเมื่อสัจธรรมมันเข้าสู่หัวใจของเรา ถ้ามันเข้าสู่หัวใจของเรา สิ่งนั้นมีคุณประโยชน์มาก

ดูสิ เวลาอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขาสร้างวัดสร้างวาขึ้นมาแล้ว เขาทำบุญกุศลของเขา เขาได้เป็นพระอริยบุคคล แต่ลูกเขาคัดค้านๆ เขาจ้างไปฟังธรรม เขาจ้างลูกเขาไปนะ จ้างลูกเขาไป ลูกเขาเห็นแก่เงินไง เห็นแก่เงิน พ่อจ้างไปวัดก็ไปวัด พอไปวัดขึ้นมา กลับมาก็แบมือเอาสตางค์ กลับมาก็แบมือเอาสตางค์ ทีนี้มันดีขึ้น ดีขึ้นจากที่ว่าเขาคัดค้าน เขาไม่เห็นด้วยกับพ่อเขาตลอดเวลา สุดท้ายบอกว่าต่อไปนี้ให้เงินมากขึ้น ให้เงินมากขึ้นนะ แต่ต้องฟังว่าพระพุทธเจ้าว่าอย่างไรวันละคำ

ฟังเฉยๆ ก็เรื่องหนึ่ง เวลาฟังขึ้นมาจะเอาเหตุเอาผลก็อีกเรื่องหนึ่ง พอฟังเอาเหตุเอาผลขึ้นมา มันมีเหตุมีผล สัจธรรม มีสัจจะ มีสัจจะมันเป็นเรื่องของความไม่รู้ เรื่องของความไม่เข้าใจในหัวใจ มีสัจจะ พอฟังเข้าไปมันสะเทือนใจไง มันบรรลุธรรมขึ้นมา พอบรรลุธรรมขึ้นมาเป็นพระโสดาบันเหมือนกัน นี่ลูกของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขาจ้างไปฟังเทศน์ได้เป็นพระโสดาบันนะ กลับไปคราวนี้พ่อถือสตางค์ไว้แล้ว เพราะลูกมันจะมาทวงเอาสตางค์ เพราะมันไปมันอยากได้สตางค์ มันไม่อยากได้ธรรมะหรอก

พอกลับเข้ามา วันนี้ถือสตางค์อยู่ เอ๊ะ! ลูกไม่มาเอา เอ๊ะ! ทำไมลูกไม่มาเอา

รอจนลูกไม่มาเอา เรียกมานะ พอเรียกมา ลูกมันเข้ามา “ไม่เอาๆ อาย เกิดมาพ่อเลี้ยงดูมาตลอด พ่อให้วิชาชีพ พ่อให้ทุกอย่างเลย พ่อให้มาทั้งนั้นเลย ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งใด เวลาไปวัดไปวาก็ต้องจ้างไป” พอไปวัดไปวาขึ้นมา พอบรรลุธรรมขึ้นมามันอายไง มันอายเพราะอะไร เพราะพระโสดาบันมันรู้จักบุญคุณไง มันรู้ที่เกิด รู้ที่เกิด เกิดมาตีนเท่าฝาหอย พ่อก็เลี้ยงมา พ่อก็ให้การศึกษามา พ่อให้ทุกอย่างเลย แล้วพ่อยังให้ธรรมะอีก โอ้โฮ! มันละอายใจ ละอายใจมาก

เวลาเราจะนั่งอยู่ปลายแถวก็แล้วแต่ แต่ถ้าจิตใจ เสียงธรรมมันเข้ามาถึงใจของเรา แล้วถ้าใจของเรามีคุณธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการให้ทำทานก่อน พอทำทานขึ้นมา จิตใจเป็นสาธารณะแล้ว ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะแล้ว ฟังธรรมๆ มันจะมีเหตุมีผล ถ้าฟังธรรมไม่มีเหตุมีผล มันก็ว่าธรรมะคืออะไรล่ะ

ธรรมะ บอกคนมีบุญ มีบุญก็ต้องร่ำรวยมั่งมีศรีสุข ร่ำรวยมั่งมีศรีสุขถ้าใจเขาเป็นธรรม เขาสร้างบุญกุศลของเขามา เขาร่ำรวยมั่งมีศรีสุข แล้วจิตใจเขาเป็นสุขด้วย เพราะสิ่งนั้นเขาเป็นสาธารณะ เขารู้ว่ามันใช้ประโยชน์อย่างใด เงินทองใช้เป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเรามั่งมีศรีสุข เรามั่งมี แต่เราไม่สุข เราทุกข์ มันไม่ใช่ว่ามั่งมีศรีสุขแล้วมันจะสุขไง แล้วถ้าทุกข์จนเข็ญใจแล้วมันจะทุกข์ไง มันทุกข์

คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ดูหลวงตา คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของคนตนเลย แต่โลกนี้ยอมรับหมดเลย คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่เพราะอะไร ยิ่งใหญ่เพราะจิตใจเป็นสาธารณะไง ยิ่งใหญ่เพราะว่าจิตใจมันมีความสุขไง ถ้ามีความสุขแล้ว เห็นไหม

คนเรานะ มันก็แค่กินอิ่มนอนอุ่น ถ้ากินอิ่มนอนอุ่น ถ้ามันไม่มีกิเลสนะ กินอิ่มนอนอุ่นก็เป็นประโยชน์ไง ถ้ามีกิเลส กินอิ่มนอนอุ่นนั่นน่ะตัวร้ายเลยล่ะ เพราะกินอิ่มนอนอุ่นแล้วเวลามันเหลือจะคิดอะไรล่ะ เพราะมันควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้ใช่ไหม แต่ถ้ามันควบคุมหัวใจได้ ดูสิ ควบคุมหัวใจได้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีควบคุมหัวใจตัวเองได้ ลูกชายยังควบคุมไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ก็ต่อต้านๆ มาตลอด แต่เวลาควบคุมได้ อายใจๆ อายใจพ่อ มันสำนึกบุญสำนึกคุณ บุญคุณมันมาจากไหน บุญคุณมันมาจากไหน

บุญคุณ คำว่า “บุญคุณ” บุญคุณนั้น คนที่เขามีคุณเขาทำโดยทิ้งเหว พ่อทำบุญกับลูก พ่อให้ทุกอย่าง ให้ทิ้งเหวเลย คือไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น หวังให้ลูกเราเป็นคนดี หวังให้ลูกเรามีความสุข ความสุขมาจากไหน ความสุขมาจากไหน ความสุขมาจากหัวใจที่ร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามันเข้าใจนะ โอ๋ย! มันดีไปหมดแหละ ถ้ามันเข้าใจ มันเห็นด้วย มันดีไปหมดเลย แต่ถ้ามันขัดแย้ง มันขัดแย้งด้วยอะไรนั่นน่ะ

อย่าไปมองข้างนอกว่าเขาขัดแย้งกันนะ ให้มองที่ใจเรา ความคิดเรามันเสมอต้นเสมอปลายไหม ความคิดในใจเรามันขัดแย้งไหม ความคิดของเรามันขัดแย้ง กิเลสกับธรรมมันขัดแย้งในใจตลอด ความคิดเรามันขัดแย้งตลอด แล้วมันจะทำอย่างไรให้มันไม่ขัดแย้งล่ะ มันไม่ขัดแย้ง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ศีลธรรม ศีล ศีลเป็นสาธารณะ ทุกคนต้องการ ทุกคนปรารถนา ทุกคนต้องการให้คนมีน้ำใจกับเรา ทุกคนต้องการความดีทั้งนั้นแหละ ทุกคนต้องการหมดเลย ทุกคนไม่ต้องการอกุศล ทุกคนไม่ต้องการเรื่องการพนันขันต่อ ทุกคนไม่ต้องการทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครต้องการหรอก

แต่ทุกคนต้องการความดี ถ้าความดี ความดีก็เข้ามาที่นี่ เข้ามาที่ศีลมีธรรม ถ้ามีศีลของเรา เขาบอกคนมีศีลเป็นคนโง่...คนมีศีลโง่ทางโลกไง โลกเขาแข่งขัน เขาแย่งชิงกันไปหาความทุกข์ เขาแย่งชิงกันไปเพื่อแบกรับบาปกรรมของเขา เราแย่งชิงกันๆ แย่งชิงกันไปคุณงามความดีไง เขาว่าคนโง่ โง่อะไร โง่เอามรรค เอาผลใส่หัวใจโง่หรือ ฉลาดเว้ย! ฉลาดกับตัวเอง ฉลาดเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราได้ ใจของเรา อู้ฮู! เห็นเขาแย่งชิงกัน เราก็จะไปแย่งชิงกับเขา

ถ้ามันเป็นธรรมใช่ไหม เรามีหน้าที่การงานของเราอยู่แล้ว เราไม่ได้แย่งชิงกับเขา เขาเรียก “ธรรมาภิบาลๆ” มันเป็นธรรม เป็นธรรมคือหน้าที่การงานของเรา เราทำด้วยขวนขวายของเรา แล้วจิตใจของเรามันสะอาดบริสุทธิ์ ความสุจริตมันคุ้มครองหัวใจของเราไง ทำแล้ววันนี้ก็สุข พรุ่งนี้ก็สุข มะรืนก็สุข มะเรื่องก็สุข เมื่อไหร่ก็พูดได้ เมื่อไหร่ก็ตรวจสอบได้ เมื่อไหร่ก็คุยได้

แต่ถ้าอกุศลที่มันทำแล้ว มันทำแล้วมันได้ตรงนั้นแหละ แต่ระแวงไปหมดเลย มันนั่งทับอกุศลไว้ มันลำบากใจนะ มันระแวงว่าใครจะมาขุดมาคุ้ย เราแย่งชิงกันอย่างนั้นใช่ไหม ฉลาดอย่างนั้นใช่ไหม ฉลาดของเรา ฉลาดที่มีศีลไง เรามีศีลมีธรรมของเรา ใครจะว่าโง่ อันนั้นเป็นเรื่องของโลก

คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก คนโง่มันเต็มโลกเต็มสงสาร คนฉลาด คนฉลาดเขาทำสิ่งใดแล้ว ปิดทองหลังพระ ปิดทองแล้ว ทำสิ่งใดแล้วก็ความดีของเรา ความดีของเรา เราก็มีความสุขของเรา ใครจะว่าโง่ฉลาดก็เรื่องของเขา มันเกี่ยวอะไรกันล่ะ ไม่เห็นเกี่ยวเลย มันเป็นความดีของเราไง เขาจะติฉินนินทาขนาดไหน เขาจะกล่าวร้ายอย่างไรก็ปากของเขา เออ! แล้วความจริงล่ะ ความจริง อ้าว! เรารู้ เราทำ เรารู้ เราทำ เรารู้ของเรา แต่ต้องมีศีลนะ มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องวัด

ถ้าไม่มีศีลมีธรรมมันก็ลำเอียงไป มันทิฏฐิไงว่าเราทำดีๆ ทำดี ทำดีอะไร ทำดี เห็นไหม ดูสิ เขาบอกว่าพระเราเห็นแก่ตัว ไม่ทำอะไรเลย วันๆ หนึ่งกินแล้วก็นอน กินแล้วก็นอนนะ ถ้ากินแล้วก็นอนนะ พระองค์นั้นจะมีความทุกข์ในใจมาก มีความทุกข์ในใจเพราะกิเลสมันจะฟูขึ้นมา

คำว่า “กิเลสฟูขึ้นมา” ทุกข์ใจ โยมคิดดูสิ คำว่า “ทุกข์ใจ” ทุกข์ใจมันบีบบี้สีไฟ มันบีบหัวใจ มันทุกข์ไหม แล้วจะเอาความสุขมาจากไหน มันไม่มีความสุขหรอก มันไม่มีความสุขหรอก แต่ถ้าพระองค์ไหนฉันแล้วเข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่ที่เรือนว่าง ตั้งสติขึ้นมา กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิรักษาหัวใจของตัวให้สงบระงับเข้ามา รักษาหัวใจของตัวให้สงบระงับเข้ามา

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา ความสุขมันเกิดตรงนั้นไง ถ้าความสุขมันเกิดตรงนั้น แล้วบอกพระเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวที่ไหน ไม่ได้เห็นแก่ตัว พระพยายามขวนขวาย พยายามเอาใจของพระองค์นั้นไว้ในอำนาจของพระองค์นั้น แล้วเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาแล้วมันจะเป็นประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลก ประโยชน์กับโลกที่ไหน เวลาคนไข้ไปหาหมอ ต้องให้หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรถึงได้แก้ไขโรคนั้น

เวลาคนทุกข์คนยากมา จิตใจของเรามันมีอวิชชา มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากตอด ทั้งตอด ทั้งทำความเจ็บช้ำน้ำใจ ไปหาพระ ขอธรรมะๆ ขอสัจธรรมนั้นเพื่อบรรเทาทุกข์ บรรเทาหัวใจที่มันโดนกิเลสมันเหยียบย่ำ บรรเทาให้มันเบาบางลงไง ถ้ามันเบาบางลง นี่บารมีธรรมๆ นะ

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าใจของพระที่ไม่มีคุณธรรม จะเอาธรรมโอสถสิ่งใดไปเผื่อแผ่เขา สิ่งที่เผื่อแผ่เขา “ก็ถ้ามันทุกข์ยากมานะ ก็ทำสังฆทานชุดใหญ่ๆ สิ สังฆทานชุดยิ่งใหญ่ยิ่งจะบรรเทาทุกข์ได้” ไอ้คนทุกข์มาเกือบเป็นเกือบตาย ทุกข์มาแสนเข็ญ ยังต้องมาลงทุนทางเศรษฐกิจอย่างนี้อีก แล้วมันไม่ทุกข์จนพูดไม่ออกหรือ

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรมในใจ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นถ้ามีสติ จะให้ธรรมะอย่างใดก็ได้ให้เขาเกิดสติขึ้นมา ถ้าเกิดสติขึ้นมา เขาก็ยับยั้งหัวใจของเขาไม่ให้ขาดสติไปคว้าเอาแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง โทสัคคินา โมหัคคินา ไปคว้าเอาฟืนเอาไฟมาเผาใจของตัวไง ให้ธรรมะเขาให้ได้สติ พอเขามีสติขึ้นมา เขาก็มีสติในใจของเขา ใจของเขาก็จะไม่ลงไปคลุกกับโทสัคคินา โมหัคคินา โลภัคคินา ลงไปคลุกกับไฟไง

ถ้าลงไปคลุกกับไฟ ไปคลุกกับไฟ ไฟมันเผาลนอยู่ แล้วบอก “ฉันจะมั่งมีศรีสุข ฉันจะเจริญรุ่งเรือง” ก็ไฟมันยังเผาอยู่นั่นน่ะ มันจะเอาความรุ่งเรืองมาจากไหน แต่ถ้ามีสติขึ้นมา เขาวางของเขา แล้วเขาทำหน้าที่การงานของเขา เพราะว่าคนเราเกิดมา เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ คนเราต้องมีมนุษย์สมบัติ ไม่มีมนุษย์สมบัติ มันเวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏฏะอยู่แล้ว การเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติมันมีบุญกุศลอยู่แล้ว

ถ้ามีบุญกุศลอยู่แล้วนะ เรามีสติขึ้นมา เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา มันมีเวรมีกรรมไง ถ้าคนมีกรรมดีมา ทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จทั้งนั้นแหละ เพราะกรรมมันเกื้อมันหนุน กรรมดีมันเกื้อหนุน แต่เวลาบาปกรรมมันให้ผลนะ เรามีวิบากกรรม วิบากคือผล มันมีที่มาใช่ไหม เราก็มีสติอยู่นี่ไง เรามีสติที่จะบรรเทา เรามีสติที่จะผ่อนคลาย เรามีสติมีปัญญาที่จะบรรเทาออกไปให้ใจเรามันเคลื่อนไหวไปได้ มันเคลื่อนตัวไปได้ มันก็ไม่มีสิ่งใดมาเผาลน โทสัคคินา โมหัคคินาไง โลภก็ไฟกองหนึ่งมาเผาแล้ว โลภ อยากได้ พอไม่ได้ก็โกรธเผาเข้าไปอีกกองหนึ่ง เผาเข้าไปๆ เผาหัวใจนี้

ถ้าพระที่ไม่เห็นแก่ตัว ฉันแล้ว ฉันจังหันของศรัทธาแล้ว เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาให้หัวใจร่มเย็นเป็นสุข นี่บุญกุศลมันก็เกิดขึ้น เพราะว่าสิ่งที่ได้มาได้มาจากสิ่งใด ได้กำลังมาจากปัจจัย ๔ ปัจจัยมาจากไหน? ปัจจัยมาจากศรัทธาญาติโยม ศรัทธาญาติโยมเขามาจากไหน? เขามาจากหัวใจของเขามีเจตนา เจตนามาจากไหน? มาจากเขาสะสม เขามีปัจจัยของเขา เขาถึงมาทำได้ มันเกี่ยวเนื่องกันไปหมดแหละ เพราะมันต้องมีเหตุมีปัจจัย มันต้องมีที่มาที่ไป บุญไม่ได้ลอยมาจากฟ้า มรรคผลนิพพานไม่ได้ออกมาจากหนังสือ ไม่ได้ออกมาจากตู้พระไตรปิฎก ไม่มีหรอก ทำเองทั้งนั้น ต้องทำขึ้นมาทั้งนั้น มีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยนำคอยบอก แล้วเราพยายามขวนขวายของเรา เพราะเรามีสติปัญญา เกิดมาชาติหนึ่งไม่เสียชาติเกิด เกิดมาชาติหนึ่งเราก็ทำหน้าที่การงานเหมือนกัน เราก็ได้แสวงหาเพื่อประโยชน์ของเราเหมือนกัน แต่เราก็มีสติปัญญาจะรักษาหัวใจของเราเหมือนกัน เราดูแลหัวใจของเราขึ้นมา ให้หัวใจของเรามีคุณธรรมขึ้นมา

ใจนี้ทุกข์ยากนัก ใจนี้เรียกร้องความช่วยเหลือ แล้วใครจะช่วยเหลือมันล่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสาธารณะ ครูบาอาจารย์ของเราเทศนาว่าการให้ได้สติ พอได้สติแล้วเขาพยายามขวนขวาย เอาสิ่งนี้มาเพื่อหัวใจของเรา

หน้าที่การงานเราแสวงหาด้วยสมอง ด้วยมือของเรา เวลาเราจะปฏิบัติ ภาวนามยปัญญาเกิดจากจิต ไม่ใช่เกิดจากสมอง ถ้าเกิดจากสมองนั่นคือความจำ ถ้าเกิดจากจิต เป็นมรรคญาณ แล้วเข้าไปชำระล้างหัวใจของเรา เชิดชูขึ้นมา นี้คืออริยทรัพย์ อัตตสมบัติของหัวใจ เอวัง