เทศน์เช้า วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราอยู่กันเราต้องการความสงบสุข ความสงบสุขมันเกิดจากไหนล่ะ? ความสงบสุขเกิดจากภายนอกและภายใน ภายนอก ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ เวลาเราเกิดมา เราเกิดมามีผู้นำที่ดี ปัจจุบันนี้เราเกิดมาเจอในหลวงที่ดีนะ ๖๐ ปีนี้ชาติไทยร่มเย็นเป็นสุขขนาดนี้ ดูชาติรอบข้างสิ ชาติรอบข้างบ้านแตกสาแหรกขาด อพยพย้ายถิ่นหนีถิ่น เมืองไทยไม่เคยเป็นแบบนั้นนะ เมืองไทยเราร่มเย็นเป็นสุขนะ...ใช่ มันจะมีความขัดแย้งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา คำว่า ธรรมดา พี่น้องยังทะเลาะกัน พี่น้องอยู่ในบ้านเดียวกันยังขัดใจกัน ไอ้เรื่องของหัวใจมันต้องมีการขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดานะ
แต่ถ้าผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดี ผู้นำที่ดี เราเกรงใจ จะทำสิ่งใดเราคิดถึงพ่อถึงแม่นะ ใครทำสิ่งใดก็คิดถึงพ่อถึงแม่เรา ถ้าพ่อแม่เราเป็นคนดี พ่อแม่จะเสียใจไหมถ้าเราทำสิ่งใดไป อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าผู้นำที่ดี เราเองเราก็ยังมีความเกรงใจ ถ้ามีความเกรงใจ เวลาทำสิ่งใดมันทำไม่ได้สุดความคิด
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมา ข้างนอก ข้างนอกคือสังคม สังคมร่มเย็นเป็นสุข นี่อำนาจวาสนาบารมีของคน เราเกิดมา ทุกคนเกิดมาอยากเจอเพื่อนร่วมงานที่ดี อยากเจอเจ้านายที่ดี อยากเจอเพื่อนที่ดี ทุกคนอยากเจอดีๆ ทั้งนั้นเลยล่ะ แต่ทำไมมันไม่เจอล่ะ เวลามันเจอที่ดี ที่ดีก็อยู่กับเราชั่วคราว
มีคนมาพูดมาก เวลาคนดีๆ อยู่กับเราแป๊บเดียว แต่ไอ้คนที่บีบคั้นเรา ทำไมอยู่กับเรานานเหลือเกินๆ ทำไมเลือกไม่ได้ๆ
เลือกไม่ได้มันเป็นอำนาจวาสนา ทำไมเรามาผจญอย่างนี้ล่ะ ทำไมเราไม่เจอคนที่ดีๆ ล่ะ
บางคนเขามาหานะ เขาบอกเขาเกิดมาเขามีแต่สิ่งที่ดีงามมาทั้งนั้นเลย สิ่งที่ดีงาม เขาก็ทำบุญกุศลมา ดูสิ เวลาครอบครัว พ่อแม่พี่น้องมาวัดมาวาร่วมกัน มีความเห็นตรงกันนี่หายาก แค่มีความเห็นตรงกัน ดูสิ เราอยู่ในบ้าน สามีภรรยานะ ลิ้นกับฟันยังมีขบกัน มีกัดกัน มีขบกัดกันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาเพราะหัวใจมันรักษายากไง ถ้าหัวใจรักษายาก นี่เรื่องข้างนอก
เรื่องข้างในล่ะ เรื่องข้างใน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน วันนี้วันพระ วันพระ เราทำทาน ในสมัยโบราณเรานะ พอวันโกนเขาก็เตรียมอาหารแล้ว เตรียมอาหารไว้เพื่อวันพระไปใส่บาตร เขาเตรียมอาหารไว้ เขาคิดถึงเรื่องอะไรล่ะ? เขาคิดถึงเรื่องบุญเรื่องกุศลของเขา เขาคิดถึงเรื่องใฝ่ดี ชีวิตเรามันจะยากแค้น ชีวิตเรามันจะมีความกดดันขนาดไหนก็แล้วแต่ เราจะหวังพึ่งบุญกุศลของเรา จิตใจมันก็มีความคิดแตกต่าง ความคิดแตกแยกจากความที่มันอมทุกข์อยู่นั่นแหละ จิตใจมันอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา เวลามันคิดถึงสิ่งดีๆ มันคิดของมันไป คิดหวังพึ่งบุญกุศล
ในโบราณเราต้องแสวงหา เช้าเราไปทำบุญกุศลนี่เรื่องของทาน ทำบุญกุศล ใกล้ชิดกับผู้ทรงศีลทรงธรรม ถ้าทรงศีลทรงธรรม เข้าไปแล้วมันร่มเย็นเป็นสุขไหม เข้าไปใกล้ชิดผู้มีศีลมีธรรม เข้าไปยิ่งเร่าร้อน ถ้าเข้าไปใกล้ชิดผู้ทรงศีลทรงธรรมมันต้องร่มเย็นสิ มันร่มเย็น แต่ถ้ามันเร่าร้อน เร่าร้อนเพราะอะไร เร่าร้อนเพราะกิเลสมันร้อนไง ถ้ากิเลสของเรามันเข้าไปใกล้ชิดผู้ทรงศีลทรงธรรม เห็นไหม ถ้าถึงความสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ความสงบ ความระงับ ดูสิ ไปดูวัดดูวาที่เขาประพฤติปฏิบัติ ไปประพฤติปฏิบัติ วัดเขาจะร่มเย็น วัดเขาจะเงียบสงบ นี่เราไปวัดขึ้นมามันไปโรงบ้า มีแต่มหรสพสมโภช มันลงวัดที่ไหนล่ะ วัดเขามีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม มีแต่ความสงบสงัดใช่ไหม วัดเข้าไปมีแต่ความวิเวกใช่ไหม วัดไหนที่เข้าไปแล้วมีแต่ความคึกครื้น มีมหรสพสมโภช อบายมุข อบายภูมิ สิ่งที่อบาย ของนี้เป็นอบายหมดแหละ พวกเรื่องการพนันขันต่ออบายมุข อบายมุข การขับร้องฟ้อนรำนี่อบายมุข อบายมุขเพราะมันทำให้คนเผลอ ทำให้คนขาดสติ ทำให้คนประมาท วัดเป็นอย่างนั้นหรือ ถ้าไปวัดอย่างนั้น ไปอย่างนั้นกิเลสมันสนุกไง อยู่บ้านเงียบเหงา ไปวัดแล้ว โอ้โฮ! มันคึกครื้นๆ ไปอย่างนั้นแล้ว อย่างนี้ดี วัดอย่างนี้มันมีความสุข
แต่ถ้าไปวัดที่สงบสงัด กิเลสมันโดนขีดวงนะ มันอึดอัด ไปใกล้ชิดผู้ทรงศีลทรงธรรมแล้วมันต้องมีความสุข ความสงบ ความระงับ ไปใกล้ชิดผู้ทรงศีลทรงธรรมทำไมยิ่งเดือดร้อน
เดือดร้อนนะ มันเดือดร้อน ๒ อย่างไง เดือดร้อนเพราะกิเลสมันเดือดร้อน เดี๋ยวเข้าไปโรงบ้าโรงเบียร์ เข้าไปกิเลสมันคึกครื้นไง อย่างนั้นกิเลสมันคึกครื้น มันจะวัดอะไรล่ะ ถ้ามันวัดมันต้องวัดตรงนี้ไง ถ้าวัดตรงนี้ เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง สุจริต ความถูกต้องดีงามมันคุ้มครอง ถ้ามันคุ้มครอง ทำสิ่งใดก็ทำได้ เรามีความองอาจกล้าหาญทั้งนั้นแหละถ้าเราทำความถูกต้องของเรา ถูกต้องจากข้างนอก-ข้างใน ข้างนอกคือศีล ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันดีขึ้นมา ถ้ามันทำสมาธิได้ สมาธิมันก็จะเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เวลาจะเห็น เห็นศีล เห็นสมาธิ เห็นปัญญา เห็นวิธีการ
แต่ถ้ามันพิจารณาของมันขึ้นไป มันทำของมันขึ้นไป เห็นไหม ปาปมุตๆ มันไม่มีบาปกรรมสิ่งใดเลย ปาปมุต พ้น เป็นผู้ที่ไม่มีบาปกรรมในหัวใจดวงนั้น ผู้ที่ปาปมุต พ้นจากดีและชั่ว แต่ของเรามันระหว่างเดิน ระหว่างที่เราจะก้าวเดินไป มันเป็นมิจฉากับสัมมา ถ้ามันมีศีล ศีลเราสะอาดบริสุทธิ์ เราทำขึ้นไปก็สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเวลาเข้ามาแล้ว สัมมาสมาธิ พื้นฐานที่ดียกขึ้นสู่วิปัสสนา ปัญญาการรู้แจ้ง ถ้ารู้แจ้งก็เป็นมรรค
ถ้าเราทุจริต เราก็พยายามมีความเข้มแข็ง มันก็สงบเข้ามาได้ มันก็เป็นมิจฉา พอมิจฉา มันทำลายล้างไปหมดแหละ มันส่งออก พอมันส่งออก ส่งออก ผลมันคืออะไร? ส่งออก ผลมันคือทำให้ตัวเองแห้งผาด ทำให้ความสะสมของเรา ทำให้ความเข้มแข็งของเราอ่อนแอไปเรื่อย เพราะส่งออกไง ไปรู้เรื่องคนอื่นหมดเลย แต่ไม่รู้เรื่องของตัวเอง
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องเข้ามาดูในใจของเรา เราเข้ามาเพื่อค้นคว้าใจของเรา เราทำเพื่อความสงบระงับของเรา แล้วมันเกิดปัญญา ปัญญารู้แจ้ง รู้แจ้งในความไม่รู้ในใจ
ใจเราไม่รู้เรื่องอะไรล่ะ? ไม่รู้เรื่องอวิชชา ไม่รู้เรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เวลาเกิดนี้เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากพ่อจากแม่เกิดจากผลของวัฏฏะ เกิดจากผลเวรผลกรรม ผลของการสร้างสมบุญญาธิการมาร่วมกัน มันถึงได้เกิดมาเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกันอยู่นี่ไง
การเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก ผลเกิดมาจากกรรม แต่เราบอกเกิดจากพ่อจากแม่ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เราสละ เราละ เราวาง วางอะไร? วางกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง วางไอ้ความบีบคั้นหัวใจไง แต่มีความหมั่นเพียร หมั่นเพียรอะไร? หมั่นเพียรทำคุณงามความดีไง หมั่นเพียรทำคุณงามความดี ความดีของใคร ความดีเพื่อคนอื่นหรือ...ไม่ใช่ ความดีเพื่อหัวใจดวงนี้
หัวใจดวงนี้ถ้ามันมีคุณงามความดีของมัน เพราะคุณงามความดีมันจะไปลบล้างไอ้ความไม่รู้ในใจนั่นล่ะ ไอ้ความไม่รู้ ไอ้ความหลงใหลนั่นล่ะ ถ้ามันมีความดีขึ้นมามันผ่องแผ้ว ความดี ความดีเพื่อใคร? ความดีเพื่อใจ หัวใจดวงนี้ ให้หัวใจดวงนี้มันผ่องแผ้วขึ้นมา ถ้าหัวใจนี้ผ่องแผ้วขึ้นมาใครมันจะโกหกล่ะ เพราะมันโกหกจากข้างนอก ข้างนอกเราก็ได้ผ่านมาแล้ว ข้างนอกเราก็ได้ขวนขวายเข้ามาแล้ว ข้างนอกคืออะไร? ข้างนอกคือความฉ้อฉล
ศีลมันมีความฉ้อฉลไหม การกระทำ กระประพฤติปฏิบัติมันมีการฉ้อฉลไหม ถ้าฉ้อฉลมันก็ส่งออกไง ความฉ้อฉลนั้นเราพยายามต่อสู้ด้วยสติปัญญาของเราแล้ว จนมันสงบระงับเข้ามา แล้วคนจะมาชักนำให้เราฉ้อฉลอย่างนั้น เราจะยอมไปฉ้อฉลกับเขาไหม เราไม่ฉ้อฉลเพราะอะไร เพราะมันปัจจัตตัง มันสันทิฏฐิโก เพราะมันมีความจริงในหัวใจไง ความจริงในหัวใจมันทำมาอย่างไร มันขวนขวายมาอย่างไร มันกระทำมาอย่างไรมันถึงได้ความจริงขึ้นมา ความจริงขึ้นมาคือสติ
เราเรียกร้องให้คนช่วยเหลือ เรียกร้องทุกคนให้เห็นใจเราว่าเราเป็นคนดี แล้วเราไม่ได้รับผลตอบสนอง เราเรียกร้องไง เราเรียกร้องให้คนยอมรับเราไง แต่หัวใจมันยอมรับตัวมันเองไม่ได้ แต่เรามีสติขึ้นมา เรายับยั้งความบีบคั้นในใจของเราได้ เราจะเรียกร้องใครล่ะ
เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม สัตว์ทั้งหลายคือสัตตะผู้ข้อง สัตว์ทั้งหลาย เห็นไหม แล้วมาดูธรรมๆ ดูธรรมคือดูหัวใจข้านี่ไง ดูความผ่องแผ้วนี่ไง ถ้ามันดูหัวใจของเรา เพราะมันสุข มันสงบ มันระงับ มันสว่างไสวกลางหัวใจ มันไปกลัวสิ่งใด มันไปกลัวสิ่งใด ลุยไฟก็ได้ ลุยไฟ จะลุยสิ่งใดก็ได้เพราะมันผ่องแผ้วจากภายในไง ถ้ามันผ่องแผ้วจากภายใน นี่ไง ถ้าศีลธรรมมันคุ้มครองมันคุ้มครองอย่างนี้ไง ถ้ามันคุ้มครองอย่างนี้
ทีนี้มันอยู่ที่วิบากกรรม ถ้าวิบาก ดูสิ ถ้าข้างนอกมันมีความเข้าใจผิด ข้างนอกมีการบิดเบือนกัน ข้างนอกๆ ข้างนอกคือหัวใจดวงอื่น ข้างนอกคือสังคมที่เขามองเรา สังคมเขามองเรานะ ถ้าสังคมเขามองเรา นี่ประชาธิปไตยไง เสียงส่วนใหญ่เขาชอบอย่างนั้นใช่ไหม แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา เรารักษาดูแลหัวใจของเรา เขาก็บอกว่า เราเป็นคนเห็นแก่ตัว เราเป็นคนที่ไม่คิดถึงสังคม
ใครไม่คิดถึงสังคม คิดถึงสังคม แต่เราจะทำให้หัวใจเราต่ำต้อยอย่างนั้น ตามกระแสไปอย่างนั้น กับเรามีจุดยืนของเรา จุดยืนของเรามันไม่มีผิดพลาด ไม่ผิดพลาดเพราะอะไร เพราะว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตนะ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงขึ้นมามันสุขสงบ มันระงับของมัน ถ้ามันสงบระงับของมัน แล้วถ้าเรามีอำนาจวาสนาบารมีแบบพระโมคคัลลานะ ถ้ามีฤทธิ์มีเดชเพิ่มขึ้นมานั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามีฤทธิ์มีเดชมันจะแสดงออกด้วยความรู้เห็นของเขาได้
ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เวลาท่านนอนกำหนดลมหายใจเข้าออก เข้าฌานสมาบัติอยู่ พระก็เห็นว่านิ่งอยู่ก็นึกว่านิพพานไปแล้ว พระอนุรุทธะที่ท่านรู้ของท่าน ท่านเป็นเอตทัคคะทางรู้วาระจิต ท่านบอก ยัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ ท่านกำลังเข้าฌานของท่านอยู่ นี่ผู้รู้เขามี
นี่ก็เหมือนกัน เราทำคุณงามความดี ความดีของเรา ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนาบารมี การแสดงออกด้วยอภิญญาเขาจะรู้กับเราได้อย่างไร แต่ผู้รู้เขามี ผู้รู้เขามี ถ้าผู้รู้เขามี นี่ความจริงเป็นความจริงอย่างนั้น
เราก็ปรารถนาไง เรามาสร้างบุญกุศลกันอยู่นี่ เรามาสร้างที่ไหนล่ะ เราทำความดีๆ ความดีเพื่อหัวใจเราทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ทำความดีเพื่อคนอื่นนะ แต่ความดีอย่างนี้มันเป็นบทฝึกหัด เหมือนนักเรียนเลย นักเรียนอนุบาล แบบฝึกหัดให้มันเขียนหนังสือให้เป็น นี่ก็เหมือนกัน เสียสละๆ ถ้ามันสละอารมณ์ไม่ได้ มันสละความบีบคั้นในใจไม่ได้ มันก็อาศัยอามิส
ดูสิ อาหาร สิ่งที่เราหามา ปัจจัยเครื่องอาศัยมันน้ำพักน้ำแรงเราทั้งนั้นแหละ ของเป็นของวัตถุ ทำไมเราสละได้ เราสละได้ล่ะ แล้วทำไมไอ้ความทุกข์ ไอ้สิ่งที่มันบีบคั้นหัวใจทำไมมันสละไม่ได้ล่ะ มันสละไม่ได้เพราะมันขาดการฝึกหัด ขาดสติ สติกับศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันมีขึ้นมา มันเข้มแข็งขึ้นมา มันละได้ มันชนะได้ เวลาอาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประหัตประหารกิเลสนะ กิเลสคือพญามาร พญามารมันกลัวธรรมะ กลัวศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา ดูสิ ทางโลกอาวุธของเขาก็คือปืนผาหน้าไม้ อาวุธของธรรมะ สติ สมาธิ ปัญญา มันเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ดูสิ มันเป็นอาวุธ ธรรมาวุธ มันเข้าไปประหัตประหารกิเลส เข้าไปต่อสู้กับพญามาร แล้วเวลาคนที่ภาวนานะ คนภาวนา เวลาเขาภาวนาทั้งวันทั้งคืนเพราะอะไรล่ะ เพราะเวลากิเลสกับธรรมมันสู้กันกลางหัวใจ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานของเรา คุณงามความดีของเราคือเกิดธรรมจักร เกิดจักร
ความคิดของโลกมันเป็นกงจักร เวลาธรรมจักรมันหมุน ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดมรรค ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นตถาคต ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล หัวใจดวงใดไม่เกิดศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เกิดมรรคญาณ ไม่เกิดสัจจะความจริงขึ้นมา หัวใจดวงนั้นจะไม่ได้รับรสผลสิ่งใดเลย ถ้าหัวใจดวงใดเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาในหัวใจ มันถึงจะเห็นรสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง
ถ้าเห็นรสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสของธรรมๆ คุณงามความดีจากหัวใจที่มันสุข มันสงบ มันระงับ มันจะส่งออกไปทำทุจริต ส่งออกไปทำสิ่งที่ขัดแย้งกับสังคม ให้สังคมเขามีความเห็นต่าง ให้เขาทุกข์ร้อนไปทำไม มันเป็นไปไม่ได้หรอก เว้นไว้แต่เราทำคุณงามความดีแล้ว แล้วกิเลสมันรับไม่ได้ ถ้ากิเลสรับไม่ได้ ถ้าเรามีสุจริตคุ้มครองหัวใจของเรา เรามีจุดยืนของเรา
เห็นไหม หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง ศาสนทายาท มีผู้ที่มีคุณธรรมในใจคนคนหนึ่ง ดวงใจดวงหนึ่งมันเป็นประโยชน์กับโลกมหาศาลเลย แต่ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรมเบียดเบียน ให้ระลึกถึงเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นเจ้าของศาสนา ยังโดนโลกธรรมเบียดเบียน เพราะว่าลัทธิศาสนาต่างๆ เขาจ้างคนมาติฉินนินทา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็โดนกระทบมาเหมือนกัน แต่กระทบได้แต่สิ่งที่สอุปาทิเสสนิพพาน กระทบได้แต่เรื่องโลกๆ ไง มันเข้าถึงใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ มันเข้าไม่ได้เพราะท่านรู้เท่าทันหมดแล้ว อวิชชามันไม่มี ไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ มันไม่มีสิ่งใดไปรองรับสิ่งนี้หรอก มันทะลุปรุโปร่ง มันหายไปหมดแหละ
แต่ทีนี้ในมุมมองของโลกไง มุมมองของเราพวกบริษัท ๔ ไง พอโดนอะไรกระทบขึ้นไปแล้ว เราก็ทำคุณงามความดีแล้ว ทำไมมันยังโดนอย่างนั้น ทำไมมันโดนอย่างนี้ไง
ถ้าเธอโดนโลกธรรมเบียดเบียน เธอให้ดูเราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในโลกนี้ผู้ที่โดนโลกธรรมเบียดเบียนหนักที่สุดไม่มีใครโดนเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านโดนมหาศาล แต่หัวใจท่านผ่องแผ้ว ท่านไม่มีผลกระทบกระเทือนในความเป็นจริงในใจของท่านเลย ท่านให้ดูเป็นตัวอย่างๆ ดูเป็นตัวอย่างด้วยขันติธรรม
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติโดยความจริงของเรา เพื่อประโยชน์สุขของเรา ความสุจริตมันจะคุ้มครองหัวใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญาจะเป็นสัจจะ เป็นเกราะคุ้มครองความถูกต้องดีงามในใจของเรา เราดูแลใจของเรา
มองโลก มองเขาทำ แล้วก็เปรียบเทียบว่าเราจะทำอย่างนั้นไหม เรามีครูบาอาจารย์นะ หลวงตาท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านจะบอกเลย สอนไว้ประจำ เขาจะทำอย่างไรเรื่องของเขา พวกเราจะทำคุณงามความดีว่ะ
ใครจะติฉินนินทาขนาดไหนท่านบอกนั่นมันเรื่องของเขา เรามีจุดยืนของเรา มีจุดยืนของเราคือมีจุดยืนของท่าน ท่านจะทำคุณงามความดีของท่าน ท่านทำคุณงามความดีของท่าน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน ใครเขาจะทำดีทำเลวขนาดไหนมันเรื่องของเขา เราจะทำความดีว่ะ เราจะทำความดีว่ะ ทำไว้ให้เป็นคติแก่โลก เอวัง