เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ เม.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราอุตส่าห์แสวงหากันนะ อุตส่าห์แสวงหาแสดงว่าเราเป็นคนมีสติปัญญา ไม่ปล่อยทิ้งชีวิตนี้ให้เร่ร่อน ถ้าชีวิตนี้เร่ร่อน ดูสิ เขาเกิดมาทางโลก เขาว่าเขาจะหาความสุขกัน เขาประสบความสำเร็จทางโลกนะ ถ้าเขาประสบความสำเร็จทางโลก แต่เวลาเขาจะพลัดพราก เขาว้าเหว่ทั้งนั้นแหละ

คำว่า “ว้าเหว่” ดูสิ สมัยโบราณวัฒนธรรมของเรา คนเฒ่าคนแก่ให้ไปวัดๆ เพราะไปวัดขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่เขาก็เตรียมตัวของเขา เพราะพระพุทธศาสนาสอนเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเวียนว่ายตายเกิด เวลาเราจะพลัดพรากไป เราก็ต้องมีเสบียงของเราไป เราจะมีบุญกุศลของเราไปไง ถ้ามีบุญกุศลแล้วมันอบอุ่นหัวใจไง แต่ถ้ามันมีแต่บาปอกุศล มันมีแต่ความว้าเหว่ มันมีแต่ความทุกข์ใจไง ถ้ามีแต่ความทุกข์ใจ ถึงบอกว่าพุทธะ พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

คำว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” มันต้องมีการฝึกฝน มันต้องมีการศึกษานะ ถ้าไม่มีการศึกษามันหลับใหลไง ทั้งๆ ที่มีสติปัญญาอยู่อย่างนี้ ดูสิ ดื้อตาใส เห็นตา มองตาใสๆ แต่มันดื้อ มันดื้อเพราะอะไรล่ะ เพราะมันไม่ได้ฝึกฝนในหัวใจมาไง ถ้ามันจะฝึกฝนในหัวใจมา วันนี้วันจักรี วันสถาปนาการปกครอง ถ้ามีการปกครองขึ้นมา เราเป็นคนที่มีชนชาติ เรามีตัวตนของเรานะ ไปที่ไหนเราก็อบอุ่น เราก็ภูมิใจนะ ดูสิ คนที่เขาไม่มีชาติ เขาอยู่ในประเทศใดก็แล้วแต่ ชนชาติของเขา เขาไม่มีชาติของเขา เขาอยู่ที่ไหนเขาอยู่ด้วยความไม่ภูมิใจ

เราก็เหมือนกัน เตี่ยอพยพมาเหมือนกัน เราก็มาอาศัยอยู่ แต่อาศัยอยู่ เราเกิดที่นี่ เราเกิดที่นี่ เราก็มีความภูมิใจว่าเรามีชาติของเรา มีชนชาติของเรา เห็นไหม มันมีความภูมิใจ คนเรามีความภูมิใจ ความเป็นอยู่ของเรามันต่างกันนะ กับคนที่อาศัยเขาอยู่ อาศัยเขาอยู่ อยู่ด้วยความไม่ภูมิใจหรอก แต่ถ้ามีความภูมิใจ ความภูมิใจเราก็มีความภูมิใจของเรา นี่พูดถึงความภูมิใจ

เราบอกว่า “อ้าว! อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องโบราณไง สมัยปัจจุบันนี้ไม่มีพรมแดน การค้าไม่มีพรหมแดน เศรษฐกิจไม่มีพรมแดน”

อันนี้มันเรื่องธุรกิจการค้า การค้าหาสิ่งใดมาก็หามาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้นแหละ สิ่งนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ แต่ความภูมิใจของเรา ความภูมิใจของเรา ถ้าเรามีตัวตนของเรา ดูสิ มีการศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครศึกษาล่ะ บอกว่ามีความรู้มากๆ...คอมพิวเตอร์มันดีกว่า พระไตรปิฎกทุกสำนวนอยู่ในคอมพิวเตอร์ กดได้หมดแหละ แต่คอมพิวเตอร์มันเป็นเหล็ก มันเป็นวัตถุธาตุ มันไม่มีชีวิตจิตใจ มันไม่มีจิตใจ มันไม่ได้สิ่งใดไง แต่คนของเรา เรามีความภูมิใจ เราภูมิใจในตัวเรา ภูมิใจในตัวเรา นี่หัวใจของเรา ถ้าภูมิใจในตัวเรา อะไรมีคุณค่าล่ะ

มันก็โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ยศถาบรรดาศักดิ์มันมีคุณค่าๆ ถ้ามีคุณค่าขึ้นมาแล้ว เวลาโลกธรรม ๘ มันบีบคั้นหัวใจ มันมีคุณค่าไหมล่ะ ถ้ามีคุณค่า หัวใจของเรามีคุณค่ามากกว่า ถ้าหัวใจของเรามีคุณค่า เวลาเราภูมิใจนะ ตัวตนของเรา เราภูมิใจของเรา เลือดมันสูบฉีด แหม! มันฟุ้งไปทั่วร่างกายเลย

แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมา เราจะดูแลหัวใจของเรา ธรรมะ เห็นไหม สัจธรรม สัจธรรมสอนถึง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ตน ในเมื่อเราเกิดมาเป็นสมมุติ เราเกิดมาในโลก มีชนชาติใช่ไหม ชาติก็คือประชาชน ประชาชนก็คือคนนั่นแหละ คนมันมาจากไหนล่ะ

ถ้าทุกคนเป็นคนดีขึ้นมา ชาติมันก็มั่นคง แต่ถ้าประชาชนทุกคนเห็นแก่ตัวนะ ชาติมันจะอยู่ได้อย่างไรล่ะ ต่างคนต่างมากัดกินในชาตินี้ แล้วชาตินี้มันจะมีอะไรมั่นคงล่ะ แล้วถ้าเรามีจิตใจ เพราะเราเป็นคนดีในหัวใจใช่ไหม ถ้าคนดีหมายความว่ามีจิตใจเป็นสาธารณะ มันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มองเห็นคนเป็นคน ถ้ามองเห็นคนเป็นคน คนมันก็เหมือนเรานี่แหละ เราก็ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทุกคน ถ้าคนปรารถนาความสุข ความสุขของใครล่ะ? ความสุขของโลกเขานะ เขามีเครื่องรื่นเริง เขาก็มีความสุขของเขา

ความสุขของเรา ถ้าจิตเราสงบของเรา เรามีความสุขของเรา แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านวิปัสสนาของท่านไปแล้ว ท่านจะมีความสุขของท่าน ความสุขของท่านเพราะเหตุใด ความสุขของท่านเพราะท่านแก้ความลังเลสงสัยของท่าน

ชีวิตนี้มาจากไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไปอดีตชาติ ตั้งแต่อดีตชาติ เราเคยเป็นพระเวสสันดร จากพระเวสสันดรไป ๑๐ ชาติ แล้วจากนั้นไป ชีวิตนี้มาจากไหน เราเกิดมาจากไหน เกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากพ่อจากแม่ พี่น้องทำไมความคิดไม่เหมือนกัน เกิดจากพ่อจากแม่เดียวกัน พี่น้องก็ต้องคิดเหมือนกัน พี่น้องก็ต้องรักกัน มีความผูกพันกัน ทำไมพี่น้องคิดไม่เหมือนกันล่ะ คิดไม่เหมือนกันเพราะภพชาติมาแตกต่างกัน

แต่เวลาเกิดในปัจจุบันนี้ เราเสมอกันโดยการเกิดและการตาย เราเป็นญาติกันโดยธรรมนะ สิทธิเสรีภาพ เราเสมอภาคเลย เว้นไว้แต่ตายเร็วตายช้าเท่านั้นแหละ แต่เรามีสิทธิเสมอภาคเหมือนกันหมดเลย แต่ในหัวใจเรามันมีสิทธิเสรีภาพไหมล่ะ ถ้ามันไม่มีสิทธิเสรีภาพเพราะอะไร เพราะพญามารมันครอบงำอยู่ไง พญามารมันครอบงำ ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปยึดนะ “อันนี้เป็นพุทธพจน์ อันนั้นไม่ใช่พุทธพจน์”

แต่ถ้าใครเข้าไปสู่สัจธรรมความจริงแล้ว นั้นเป็นกิริยา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทวนกระแสกลับมาที่ใจของตัวทั้งหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกลับมาที่ใจของเรานะ ใครรื้อค้นเห็นใจของตัวได้ เห็นไหม เวลาเรามีความภูมิใจในตัวของเราเอง เรายังเลือดสูบฉีดเลย แต่ถ้าจิตของเรา เรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไปสู่ความสงบระงับ เข้าไปสู่ใจของเราได้ เราจะรู้จักตัวเรา

ทุกคนจะสงสัยว่าเราคือใคร เรามาจากไหน ชี้ไปสิ เราอยู่ตรงไหน ชี้ไปสิ อวัยวะทั้งนั้นแหละ เวลาไปหาหมอ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ตัดทิ้ง เวลาซากศพตายแล้วไม่มีใครเอาไป ไปเผาไปที่เชิงตะกอน แล้วเราอยู่ไหนล่ะ

แต่พอจิตมันสงบแล้ว อ๋อ! โอ้โฮ! เรามาอยู่ที่นี่ไง พอเราอยู่ที่นี่นะ

ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามีอำนาจวาสนานะ เราย้อนกลับได้เลย เพราะตัวปฏิสนธิจิตมันเคยเกิดเคยตายมา พอเคยเกิดเคยตายมา มันถึงเป็นจริตนิสัย เพราะคนเคยเกิดเคยตายมา ทำสิ่งใดซ้ำๆๆ มา มันจะเป็นจริตเป็นนิสัยมา แล้วคนเรามันมีสิ่งใดที่ได้ร่วมสร้างบุญกุศลมา หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าใครมีสายบุญสายกรรมกับเรา จะเชื่อฟังเรา จะฟังสิ่งใดมันฟังแล้วมันรื่นหู แต่คนถ้ามีอะไรขัดแย้งกันมา ฟังแล้วมันขัดหูไง เวลาคนเจอหน้าใคร มันมองแล้วมันขัดหูขัดตาไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันเลย เจอกันครั้งแรกทำไมมันไม่พอใจเลย

ไม่พอใจ เห็นไหม มันมีเวรมีกรรมต่อกันมา ความรู้สึกมันสัมผัสได้ แต่เวลาทำความสงบของใจเข้ามา เราทำความสงบของใจเข้ามา ความสงบของใจเข้ามาที่นี่ เห็นไหม เวลาเราภูมิใจว่าเรามีตัวมีตน เรามีชนมีชาติไง แต่เวลาจิตเราสงบเข้ามาแล้ว เวลาเข้าไปสู่ความสงบของใจ ถ้าใจมีความสุข ความสงบ ความระงับ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันจะต้องแสวงหาสิ่งใดล่ะ เราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราหาสิ่งใดๆ มาก็เพื่อรักษาชีวิตนี้ไว้ มีปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ แล้วก็ทุกข์ก็ยากกันว่าต้องการความมั่นคงของชีวิต ต้องการความมั่นคงของมัน

ความมั่นคงของชีวิต ปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยชั่วคราวเท่านั้นแหละ อาหารกินแต่ละมื้อๆ ต้องกินต่อเนื่องตลอดไป มันต้องหล่อเลี้ยงชีวิตตลอดไป เวลาจิตมันสงบเข้าไป มันต้องอาศัยอะไรล่ะ มันแอบอิงอะไรล่ะ จิตมันไม่พาดพิง ไม่แอบอิงอะไรเลย มันเป็นอิสระของมันนะ อิสระขึ้นไป ฤๅษีชีไพรเขาสอนกันแบบนี้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนแบบนี้แล้วมันคลายตัวออกมาได้ไง มันเป็นอนิจจังไง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เวลามันสงบขึ้นมาก็อยากได้ อยากดี อยากเป็น อยากให้อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็คลายตัวออกมา มันก็เป็นอนิจจัง มันแปรสภาพของมันไปไง แล้วสิ่งนี้มันได้มา ได้มาอย่างไร ได้มาเพราะมันมีเหตุมีปัจจัย เรามีสติ มีคำบริกรรมของเรา รักษาใจของเรา ใจมันบริกรรมพุทโธๆๆ พอมันบริกรรมไม่ได้ มันเป็นตัวของมันเองไง

แต่เวลามันคิดๆ มันพาดพิงถึงความรู้สึกนึกคิด มันคิดส่งออกไปข้างนอกไง เวลาออกไปข้างนอกเก่งนัก เป็นนักวิทยาศาสตร์ โอ้โฮ! วิเคราะห์วิจัยเก่ง เก่งมากเลย แต่มันไม่เคยเห็นใจมัน ไม่รู้หรอกว่ามันมาจากไหน

แต่พอมันสงบเข้ามามันเห็นตัวตนของมัน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนามันเกิดภาวนามยปัญญา มันจะมหัศจรรย์มหาศาลเลย เพราะว่าคนไม่เคยเห็นภาวนามยปัญญาจะอธิบายถึงภาวนามยปัญญาไม่ได้ เขาจะอธิบายภาวนามยปัญญาด้วยการด้นการเดา การคาดการหมาย ไม่เป็นความจริงเลย แล้วพอเป็นความจริงล่ะ ความจริงเวลาจะเอามาตีแผ่ให้สังคมเขารู้ได้อย่างไร

สังคมเขาจะรู้ได้ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ไง ใครมีความรู้ขนาดไหนก็พูดได้ขนาดนั้น แล้วคนที่เขาเคยผ่านมาแล้วเขาฟัง เขาเข้าใจไง แต่คนที่ไม่เคยผ่านมา เขาฟังแล้วเขาก็งงๆ ไง เขางง “ไอ้นี่มันจะเป็นอย่างไร เป็นไปได้หรือ เป็นไปได้จริงหรือ” เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นไง

แต่เวลาเขาเคยเห็น แล้วมันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากหัวใจของมนุษย์ไง เกิดมาจากจิตไง แล้วมันมหัศจรรย์ จิตมหัศจรรย์มาก แล้วสิ่งที่จะเข้าไปควบคุมมัน เข้าไปพิจารณา เข้าไปเพื่อชำระล้างหัวใจ มันยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่เลย

“ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” เราก็มองกัน “สัมมาอาชีวะ เป็นคนดี หน้าที่การงานดีทุกอย่าง ดีหมดเลย เป็นคนดีสุดยอดเลย”...ตายเปล่า ก็ตายเหมือนกัน แต่ถ้ามันมีมรรคมีผลของมันขึ้นมา ความดีอันนั้นเป็นความดีของใคร ความดีเป็นความดีในใจที่เอามาตีแผ่ให้ใครเห็นไม่ได้ แต่ผู้รู้เขารู้ได้ ถ้าผู้รู้เขารู้ได้ นี่สัจธรรม

การปกครอง ความมั่นคงไง ความมั่นคง เห็นไหม ศาสนจักร อาณาจักร ถ้าอาณาจักรมั่นคง ศาสนจักรมันก็ร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์เขาได้บำเพ็ญเพียรภาวนา บำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุขเพื่อสังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามันร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขจากในหัวใจ มีอำนาจวาสนา สมณะชีพราหมณ์ ผู้ที่มีศีล ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ฤดูกาลมันสมดุลไปหมด ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ แล้วเผื่อแผ่เจือจานกันนะ แต่ถ้ามันอยากได้เป็นของมันคนเดียว มันกักตุนนะ ฤดูกาลมันก็ไปไม่ได้แล้ว เพราะสภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม ความโลภ ความอยากได้ ความยึดมั่นถือมั่นจะเอาไว้เป็นของคนเดียวทั้งหมด มันทำให้ทุกอย่างเสียหายไปหมดเลย

แต่ถ้าสมณะชีพราหมณ์มีศีลมีธรรม พวกเรามีศีลมีธรรม มีใจเมตตา เผื่อแผ่เจือจานกัน มีน้ำใจต่อกัน ทุกคนมีความร่มเย็นเป็นสุข สภาวะแวดล้อมมันก็ดี ฤดูกาลมันก็สมควรของมันไป นี่ไง ถ้ามันดี มันดีจากไหนล่ะ? มันดีจากภายใน ทุกคนมันจะดี เราก็บอก “โอ๋ย! เราจะช่วยเหลือเจือจานข้างนอก อู้ฮู! ช่วยเหลือเจือจานกัน” ช่วยเหลือเจือจานมันก็น้ำใจ ถ้าใจมันไม่คิด ไม่เผื่อแผ่ ไม่มีหรอก เว้นไว้แต่เขาสร้างภาพกันเท่านั้นแหละ

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ หลวงตาท่านพูดเองบอกว่า ถ้าท่านมีนะ ท่านจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลย ท่านจะเจือจานของท่าน แต่นี่มันเป็นสัจจะ เราเป็นนักบวช มันไม่มีอาชีพ มันจะมีอะไร มันไม่มีหรอก มันมีแต่หัวใจ มีแต่น้ำใจ ถ้ามีน้ำใจแล้วมันก็พูดเผื่อแผ่เพื่อให้คนอื่นเขาช่วยเหลือเจือจานกัน

“ช่วยเหลือเจือจานกัน อ้าว! สมณะช่วยเจือจานกันก่อนสิ อ้าว! สมณะไม่เจือจานกันแล้วใครจะมาเจือจานล่ะ สอนให้คนอื่นเจือจานกัน แล้วตัวเองกักตุนไว้หมดเลย แล้วเอาอะไรไปเจือจานเขาล่ะ”

ถ้าหัวใจมันเจือจาน มันเปิดโล่งตั้งแต่ในใจ สิ่งใดที่มีมันเป็นของสาธารณะ เป็นของหมู่คณะ เป็นของสงฆ์ เจือจานกันตลอด ใครมีน้ำใจนะ ใครมีน้ำใจต่อกัน น้ำใจมันรู้ คนอยู่ข้างเคียงกัน คนอยู่ใกล้กันมันจะรู้ว่ามันมีน้ำใจจริงจากน้ำใจนั้น หรือมันเป็นการสร้างภาพ สร้างภาพนะ สร้างภาพนี่จากกิเลสทั้งนั้นนะ แต่ถ้าเป็นน้ำใจจริงนะ มันมีเท่าไรก็เท่านั้นแหละ มันมีเท่าไรก็เท่านั้น ไม่ไปเอาสิ่งที่โลกเขาอยากมีอยากเป็นกันเพื่อมาเจือจานกัน ถ้าอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ มันเป็นเรื่องสมมุติ มันเป็นเรื่องการสร้างภาพ มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง หัวใจมันสละหมดแล้วก็คือจบ แล้วมีอะไรมันก็เท่านั้น มันไปหมดแหละ นี่พูดถึงใจที่เป็นธรรม ใจเป็นธรรมต้องเป็นจากภายใน ถ้าเป็นจากภายในมันจะมีคุณค่า

จากคนที่มีศักยภาพสูงส่งมาก ศักยภาพสูงส่งมาก เห็นแล้วมีศักยภาพมาก ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วมันทำลายอวิชชา ทำลายตัวตนในใจหมดเลย มันกลับไปสู่สามัญ สูงสุดสู่สามัญ หัวใจที่สูงสุด หัวใจที่สู่สามัญ หัวใจที่กลับไปสู่สัจธรรม มันมีคุณค่ามากเลย แต่ทางโลกมองไม่เห็นคุณค่ามันเลย ไม่เห็นคุณค่าเพราะอะไร เพราะมันไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ไง

ยศถาบรรดาศักดิ์นั้นมันจะได้มา ได้มาด้วยความเป็นจริงนะ ด้วยความเคารพบูชาของสังคม มันสูงส่งกว่านี้เยอะมากเลย มันสูงส่งกว่านี้เยอะมากเพราะอะไร เพราะมันนั่งอยู่ในหัวใจไง ถ้าคนไปนั่งอยู่ในหัวใจ นั่งอยู่ในหัวใจของเขา ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมถึงบอกว่าให้เอาใจของเขาไว้ในใจของเขา อย่าเอาใจของเราไปฝากไว้กับคนอื่นไง

อย่าเพิ่งเชื่อใคร อย่าให้ใครหลอก อย่าเพิ่งคาดหมายอะไร ใช้เวลาพิสูจน์ก่อน กาลามสูตร ต้องพิสูจน์กันก่อน พิสูจน์แล้วว่าจริงหรือไม่จริง เวลาอยู่ด้วยกัน ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมะจะรู้ได้ตอนพูด ใครอ้าปากเท่าไรก็หัวใจมีเท่านั้นแหละ ถ้ามันมีประโยชน์ทับซ้อนในใจ พูดสิ่งใดพอจบแล้ว “อาตมายังขาดไอ้นั่นอีกอย่างหนึ่ง” พอพูดจบแล้วมันก็ไปลงสู่ผลประโยชน์มันนั่นล่ะ ถ้ามันมีผลประโยชน์ทับซ้อน

แต่ถ้าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนนะ อะไรมีคุณค่า ธรรมมีคุณค่ามากที่สุดแล้ว สิ่งใดมันเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้นแหละ ทีนี้คำว่า “อาศัย” อาศัยมันก็ต้องมีผู้ที่มีปัญญา ดูสิ ดูวัด ถ้าครูบาอาจารย์ถ้าเป็นศีลเป็นธรรม วัดนั้นสงบร่มเย็น แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านไม่เป็นธรรมนะ วัดนั้นแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งพรรคแบ่งพวก แล้วพวกเอ็งพวกข้า พวกข้าสุขสบาย พวกเอ็งนู่น อยู่ห่างๆ

นี่เข้าไปที่ไหนมันเห็นหมดแหละ เราต้องพิสูจน์ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อๆ ไง

แต่ถ้าวัดไหนถ้าเป็นธรรมๆ นะ เป็นธรรมแล้วมันต้องเสมอภาคกัน คำว่า “เสมอภาค” นะ คนเรามันจะมีมุมมองแตกต่างกัน เขาจะมีความเห็นอย่างไรมันเป็นของเขา แต่ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้ว เพราะเข้าไปสู่สัมมาสมาธิ เข้าไปสู่หลักใจอันเดียวกัน

ถ้าเข้าไปสู่หลักใจอันเดียวกัน ถ้ามันยกขึ้นวิปัสสนา มรรคมีมาตรฐานเดียว มาตรฐานของอริยสัจ มาตรฐานของมรรค มันเป็นอันเดียวกัน ถ้ามาตรฐานอันเดียวกัน จะมาแนวทางไหน จะปฏิบัติอย่างไรแล้วมันเป็นอันเดียวกัน มันมีมาตรฐานเดียว มาตรฐานของอริยสัจ มาตรฐานของสัจจะความจริง แต่จริตนิสัยมันมาแตกต่างหลากหลาย ถ้าแตกต่างหลากหลายนะ ยกให้กับจริตของเขา ถ้าจริตของเขาเป็นอย่างนั้น ยกให้จริตของเขา แต่เราต้องพยายามทำเข้ามาเพื่อสู่มรรคสู่ผล

มรรคผลเป็นของใครล่ะ? ก็เป็นของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นที่ปรารถนา ใจดวงนั้นที่ปรารถนาความสุข เราปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์นะ แล้วความสุขทางโลกก็อย่างหนึ่ง ความสุขทางโลก เราคิดว่าเป็นความสุขๆ มันเป็นความสุขเพราะว่ากิเลสมันหลอก ถ้ามันได้มาก็สมความปรารถนาว่าได้ความสุข แต่มันได้ซ้ำได้ซากมันก็เบื่อ

แต่ถ้าเป็นสมาธิมันไม่เบื่อนะ อยากได้ แล้วอยากเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วถ้ามีวิปัสสนา มีปัญญานะ โอ๋ย! เวลาปัญญามันเกิดนะ ภาวนามยปัญญามันเกิดนะ มันมหัศจรรย์ มรรคมันเคลื่อน เวลามรรคมันเคลื่อน สติชอบ ปัญญาชอบ ความเพียรชอบ ระลึกชอบ ปัญญาชอบ มันหมุน ความสมดุลของมัน ดูสิ ความที่สมดุล ความที่ละเอียดอ่อน เราเห็นแล้วเราทึ่งมากนะ งานศิลปะที่มันลงตัว โอ้โฮ! เห็นแล้วมันสวยมาก นั่นคนสร้างขึ้นมา แต่เวลามรรคเราเกิดขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง มันอยู่กลางหัวใจของเรา เวลามรรคมันหมุนนะ แล้วมันหมุนบ่อยครั้งเข้า เวลามันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เหมือนน้ำป่าที่มันรุนแรงที่มันถาโถมใส่กิเลส เราเป็นคนเผชิญหน้า เราเป็นคนเห็นเลย เวลากิเลสมันเข้มแข็งขึ้นมา มันนั่งอยู่กลางหัวใจ เวลาสัจธรรมมันเข้มแข็งกว่า มันปัดกิเลสทิ้งหมดเลย แล้วมันอยู่กลางหัวใจ อันนี้ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันกลางหัวใจ

เวลามันพิจารณาซ้ำๆ ซากๆ เวลามันขาด เวลาขาด หัวใจทำลายอันนั้นเลย มันไม่มีที่นั่ง ไม่มีอะไรที่รองรับ ไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่มี มีสัจธรรม มีความจริง มีความรู้แจ้ง เห็นไหม สูงสุดสู่สามัญ เราทำบุญกุศลก็เพื่ออามิส เราทำเพื่อบุญกุศล แต่เวลาจริงๆ แล้ว เวลาปฏิบัติเข้าไปแล้ว สูงสุดสู่สามัญ สละทิ้ง คายทิ้งทั้งหมด แล้วมันจะประเสริฐ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส เอวัง